ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

มีเรื่องเดือดร้อนที่ไม่เข้าใจอยากถามสมาชิกคะ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 24 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 usr34281

usr34281
  • Members
  • 1 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 April 2010 - 10:55 AM

ก่อนอื่นต้องขอแนะนำตัวก่อนว่าดิฉันชื่อจ๋า อายุ 24 ปี ขอไม่เอ่ยชื่อจริงกับนามสกุลนะคะ ทำธุรกิจขายอุปกรณ์การเกษตรกับคุณยายที่สุพรรณคะ
ดิฉันเป็นคนนับถือศาสนาพุทธ ปฏิบัติและก็ศรัทธาในหลักคำสอนของพุทธศาสนามากคะ ไม่เคยคิดร้ายหรือมองแง่ร้ายต่อนิกายใดๆทั้งสิ้น เชื่อว่าแต่ละนิกายหรือกลุ่มคนย่อมมีหลักในการปฏิบัติที่ดี

คุณพ่อกับคุณแม่ของดิฉันแยกทางกันตั้งแต่ดิฉันยังเด็กๆ คุณพ่อก็ไม่ค่อยมาดูแล คุณแม่ก็ไม่รู้ว่าไปไหนทำให้ดิฉันต้องอยู่กับคุณยายที่บ้านมานานแล้วคะ ดิฉันเป็นพี่คนโตมีน้องอีก 4 คน ซึ่งยังเรียนอยู่ทุกคนเลยคะ ธุรกิจขายอุปกรณ์การเกษตรก็พออยู่ได้คะ ค่าผ่อนบ้านก็ใกล้จะครบค่างวดแล้ว แต่ทรัพย์สินที่เก็บไว้ร่อยหรอลงจนแทบจะหมดแล้ว ดิฉันเพิ่งเรียนจบจึงต้องรีบมาศึกษางานและช่วยคุณยายขายของที่บ้านเพื่อเลี้ยงดูน้องๆต่อ

เรื่องมีอยู่ว่าก่อนหน้านี้ประมาณ 1 ปี คุณยายดิฉันเริ่มเข้าไปศึกษาแล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของวัดธรรมกายคะ และเริ่มศึกษาธรรมะหนักขึ้นเรื่อยๆ ตอนแรกดิฉันมองว่าเป็นเรื่องที่ดีคะ เพราะเห็นการปฏิบัติตัวของท่านดีขึ้นหลายอย่างเลยคะ หลังจากนั้นคุณยายดิฉันเริ่มทำบุญมากขึ้นเรื่อยๆ ขอกล่าวสั้นๆเลยนะคะ ถ้าจะให้เล่าทั้งหมดยาวมากเลยคะ ตอนแรกๆคุณยายดิฉันเริ่มทำไม่มากเท่าไหร่ แต่พอนานขึ้นเรื่อยๆคุณยายดิฉันเริ่มทำบุญมากขึ้นเรื่อยๆ ฐานะบ้านดิฉันไม่ใช่คนรวยคะ มีหนี้สินล้นพ้นตัว เหลืออีกสิบล้านกว่าล้านที่ต้องผ่อน พอดิฉันคุยกะคุณยายแบบใช้เหตุผล ก็มีการไ่ม่เข้าใจกันคะว่าทำบุญเยอะขนาดจนที่บ้านลำบาก มันดีตรงไหน หลังๆเริ่มไม่แน่ใจว่าที่มีการตกลงกันว่าจะไม่ทำบุญเยอะขนาดนี้อีกแล้ว มีการแอบดิฉันทำเพิ่มอีกคะ เพราะดิฉันเห็นใบทำบุญอีกหลายครั้งแต่ดิฉันก็ไม่ได้พูดอะไรคะ ดิฉันมองว่าการทำบุญเป็นสิ่งที่ดีมาก ดิฉันยังเชื่อมั่นอยูี่เลยว่าวัดธรรมกายคงสอนถูก แต่คุณยายของดิฉันคงเข้าใจผิดไปเอง

คุณยายของดิฉันบอกดิฉันว่าการทำบุญเป็นการสะสมบุญบารมีเพื่ออนาคตข้างหน้าอันใกล้หรือชาติหน้าๆที่จะมาถึง คุณยายบอกว่าคุณยายทำบุญเผื่อทุกคนในบ้านเลยคะ รวมถึงดิฉันและน้องๆด้วย คนที่จะได้รับผลประโยชน์ก็คือพวกเราเองนี่แหล่ะคะ ดิฉันไม่เคยคิดอคติเลยคะว่ามันจะจริงหรือไม่จริงอย่างไร ระยะหลังเกือบปีมานี้ การค้าขายที่บ้านไม่ค่อยดี บวกกับเงินหลายหมื่นต่อเดือน(เท่าที่รู้นะคะ)ที่เสียจากการทำบุญไป ขาดทุนคะ หลายเดือนติดต่อกันแล้ว แต่คุณยายไม่เข้าใจคะ กลับคิดว่าเรายังกำไรอยู่และมุ่งมั่นจะทำบุญต่อไป พูดยังไงก็ไม่เข้าใจคะจนดิฉันเหนื่อยและเครียดมากๆ คุณยายกลับมีความสุขที่จะรอถึงผลบุญที่ท่านจะได้รับจากการตั้งใจทำบุญ ดิฉันมองว่ามันเป็นการทำบุญที่หวังผลมากๆ ซึ่งไม่น่าจะถูกกับหลักพระพุทธศาสนาใช่มั๊ยคะ?? ควรจะแก้ปัญหาเรื่องการหยุดการทำบุญไปซักระยะนึงก่อน รอให้การค้าขายที่บ้านดีขึ้น ไม่ส่งผลเสี่ยงต่อน้องๆดิฉันที่กำลังเรียนอยู่ใช่มั๊ยคะ ถ้าเกิดว่าน้องๆดิฉัน ไม่มีเงินเรียนแล้วจะทำอย่างไร

ดิฉันชอบการทำบุญมากๆคะ แต่คิดว่าการทำบุญควรมีความพอประมาณและไม่ควรทำบุญเพื่อหวังผล อยากให้หยุดไปซักระยะนึงก่อน เพื่อความปลอดภัยของที่บ้าน เพราะตอนนี้เงินใกล้หมดแล้วคะ ถ้าบ้านโดนยึดดิฉันจะทำอย่างไร ตอนนี้ปัญหาอยู่ที่คุณยายคนเดียวเลยคะ ดิฉันปวดหัวมากๆ ร่างกายก็แย่ลงเรื่อยๆ เพราะความเครียดสะสมเรื่องนี้มานานแล้วคะ ความจริงดิฉันไม่อยากโพสข้อความหรอกนะคะ แต่มันจนปัญญา หมดสิ้นหนทางแล้วจริงๆคะ เพราะเรื่องของศาสนา ตัวดิฉันเองก็ไม่อยากว่า ตัวคุณยายหลังจากศึกษาธรรมะเองแล้วก็มั่นใจในตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ หลังๆไม่ค่อยเชื่อที่ดิฉันพูดแล้วคะ จนปัญญาไม่รู้จะเอาใครมาพูดให้ท่านฟังเพราะท่านเชื่อแต่ัวัดธรรมกาย เพราะตัวของดิฉันเองก็ไม่รู้จักใครเลยคะ เลยอยากมาสอบถามความคิดเห็นกับสมาชิกวัดธรรมกายทุกท่าน ว่ามีหนทางใดจะแก้ปัญหานี้ได้บ้าง หลักการของธรรมกาย จริงๆแล้วเป็นอย่างไร สามารถแนะนำใครที่น่าเชื่อถือในวัดธรรมกายมาพูดให้คุณยายของดิฉันเข้าใจสิ่งที่ควรทำคืออะไรได้บ้าง เพราะคุณยายเพิ่งทำบุญไปหลายหมื่่นทั้งๆทีี่บอกอยู่ว่าที่บ้านไม่มีเงินแล้ว เป็นสัญญาณที่น่ากลัวมากๆคะ ขอร้องสมาชิกทุกท่านช่วยแสดงความคิดเห็นให้ดิฉันด้วยคะ ดิฉันเดือดร้อนแล้วจริงๆ

ขอบพระคุณมากๆคะ


#2 เด็กผู้น้อย

เด็กผู้น้อย
  • Members
  • 436 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 April 2010 - 11:26 AM

ที่จริงเรื่องนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน (ด้านจิตใจ) จริง ๆ นะครับ
มันเป็นเรื่องที่คนในครอบครัวมีความคิดเห็นไม่ตรงกัน ซึ้งหากผมพูดอะไรที่มันไม่ตรงใจหรือเป็นการก้าวล่วงเกินไปผมขออภัยด้วยนะครับ

ในสิ่งที่คุณเล่ามา ก็น่าเห็นใจเป็นอย่างยิ่งที่มีชีวิตลำบากขนาดนี้ ก่อนอื่นผมขอให้คุณตั้งสติ แล้วกลับมาทบทวนตัวเองด้วยการฝึกสมาธิบ่อย ๆ ให้มีความนิ่งและสงบ แล้วค่อยพิจารณาทีละเรื่อง
1. เรื่องของคุณยายพักไว้ก่อน
2. เรื่องการทำบุญของคุณยาย ที่คุณคิดว่าทำมากเกินไป (สำหรับฐานะของทางบ้านคุณ)
3. เรื่องรายได้ของครอบครัว

กรณีเรื่องที่ 1-2 เรื่องของคุณยายที่ทำบุญมากเกินไป ในข้อนี้ขอให้คุณนั่งสมาธิจนใจหยุดนิ่ง พบความสงบ จนมีจิตใจที่เยือกเย็นได้ ลองพิจารณาดูว่าที่คุณยายท่านทำบุญนั้นเป็นสิ่งดีหรือไหม ซึ่งต้องดีอยู่แล้ว และอีกอย่างในสิ่งที่คุณเล่า (อาจจะเป็นความเข้าใจผิดของผมก็ได้) แสดงว่าในบ้านมีคุณยายหมั่นสั่งสมบุญ เข้าวัดอยู่คนเดียวเป็นปกติใช่ไหมครับ ดังนั้นผมก็อยากเสนอให้คุณลองมาสัมผัสชีวิตของคุณยายในการมาวัดว่าเป็นเพราะอะไรทำไมท่านถึงยอมทุ่มเทขนาดนั้น จนคุณหวั่นใจ เมื่อคุณสัมผัสแล้ว ลองหันหน้ามาคุยกันอีกครั้งแต่คราวนี้ไม่คุยธรรมดา ต้องเอารายรับ-รายจ่ายมาให้คุณยายดูด้วย แล้วปรึกษากัน ว่าจะทำอย่างไรต่อไป หากคุณยายอยากทำบุญก็ให้ทำได้ แต่ให้คุณยายรับรู้ว่าเงินเรามีเท่านี้จริง ๆ ควรทำได้แค่ไหน แต่ผมไม่เสนอให้คุณยายหยุดสั่งสมบุญเด็ดขาด (การบริจาคเงินก็ให้เต็มที่ แต่เบาลงได้) ส่วนศีล ภาวนาก็ให้เข้มข้นขึ้นแทน
กรณีที่ 3 เรื่องรายได้ของครอบครัว ผมต้องขออนุญาตย้อนถามว่า หากคุณยายไม่ทำบุญ แล้วฐานะจะดีกว่านี้จริงหรือ ลองพิจารณานะครับ


ความคิดเห็นนี้เป็นการแสดงความคิดเห็นส่วนตัวของตัวผมเองนะครับ ผิดพลาดประการใดผมขอน้อมรับความผิดไว้คนเดียวนะครับ

ป.ล. ขอเสริมว่า คนเราเกิดมาต้องหมั่นสั่งสมบุญ ศีล ภาวนาให้เป็นปกติ ต้องทำทุกวันเหมือนเราต้องกินข้าวทุกวัน ปัญหาที่คุณเจอจะแก้ได้เพียงคุณลองตั้งสติ แล้วปรับความคิดเห็นของคุณกับคุณยายคุณให้ตรงกันในเรื่องการสั่งสมบุญบารมี แล้วทุกอย่างมันจะจบเอง
ผมก็มีฐานะยากจน มีหนี้สินล้นพ้นตัว ต้องจ่ายหนี้เดือนละ 8 พันกว่าบาท ซึ่งรายรับไม่ถึง 8 พันกว่าบาท ทุกครั้งต้องยอมทำบุญแม้จะ 100 หรือ 20 บาท ผมก็พยายามหามาทำบุญให้ได้ เพราะผมอยากได้บุญและไม่อยากลำบากเหมือนชาตินี้อีกแล้ว

#3 somchet

somchet
  • Members
  • 900 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 April 2010 - 11:34 AM

ต้องบอกคุณยายครับ ว่า ทำบุญย่อมได้บุญ ก็ต้องอนุโมทนากับกุศลศรัทธาของคุณยายด้วยนะครับ

แต่ในเมื่อในครอบครัวยังไม่เห็นด้วย และยังเป็นหนี้เป็นสินอยู่ ก็ให้ทำพอประมาณอย่าให้เกินกำลัง ที่วัดสอนให้ทำเต็มกำลัง แต่ไม่ให้เกินกำลังครับ

เพราะการทำบุญย่อมได้บุญ แต่ถ้าทำบุญแล้ว ไม่สามารถรักษาความปิติในภายหลังได้ บุญก็จะหย่อนลงไป

แม้พระพุทธเจ้า ยังสอนว่า บุญเป็นเบื้องหลังของ ความสุขและความสำเร็จ ทั้งหลาย

แม้ จขกท เอง ที่ปัจจุบัน ยังประสบความทุกข์ และ หนี้สิน อยู่ ก็แสดงว่า บุญในอดีต เริ่มจะพร่องแล้ว จึงทำให้วิบากกกรรม ความตระหนี่ มาส่งผลได้

จริงๆ อยากให้ จขกท. มาศึกษาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าดู ศึกษาเรื่องกฏแห่งกรรม ซึ่งไม่ใช่คำสอนที่วัดพระธรรมกายคิดขึ้นนะครับ จขกท อาจจะเข้าใจ ชีวิตมากขึ้น และอาจเข้าใจคุณยายมากขึ้น เมื่อคนในครอบครัว เข้าใจซึ่งกันและกัน การปรึกษาหารือ ก็จะคุยกันด้วยดี ไม่ใช่ ปรึกษาหาเรื่องครับ

เท่าที่อ่านดู จขกท ก็เป้นคนใจบุญอยู่แล้ว แต่ก็เข้าใจที่ต้องมีภาระรับผิดชอบสูงมาก แต่ยังไงก็อย่าลืมคำสอนของพระพุทะเจ้านะครับ ว่าบุญอยู่เบื้องหลังความสำเร็จ เพราะถ้าไม่มีบุญ ต่อให้ จขกท เรียนจนจบ ดอกเตอร์ ก็ไม่ใช่สิ่งรับประกันว่า เป็นดอกเตอร์แล้ว จะทำอะไรสำเร็จ และรวยนะครับ

คนบางคน ไม่เคยเรียนหนังสือ แต่ทำอะไรก็สำเร็จ และร่ำรวย แต่คนในโลกอีกมากมาย ที่เรียนจนจบหลายปริญญา ทำอะไรก็ล้มเหลว ผูกคอตายไปก็มี

ในความเห็นของผม ปัญหาอยู่ที่เป้าหมายชีวิต ที่ จขกท ตั้งเอาไว้ การตั้งเป้าหมายไปทางไหน การตัดสินใจก็จะไปในแนวทางนั้น ตอนนี้ เป้าของ จขกท กับ คุณ ยาย คือ คนละเป้ากันอยู่ครับ เลย มีปัญหาไม่เข้าใจกัน

#4 @--แสงตะวัน--@

@--แสงตะวัน--@
  • Members
  • 723 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:Thailand

โพสต์เมื่อ 20 April 2010 - 11:35 AM

ขอชื่นชมเจ้าของกระทู้จากใจจริงครับ เป็นคนที่น่ารักและตรงไปตรงมามาก ผมว่าน้องต้องได้รับคำตอบดีๆ กลับไปแน่นอนครับ

ลองสมมุติตัวเองเป็นคุณยายซิครับ ท่านผ่านชีวิตมาแค่ไหนกว่าจะสร้างครอบครัว ดูแลครอบครัวมาได้ขนาดนี้
ผมว่าท่านเก่งมากๆ นะครับ เป็นกำลังใจให้ท่านเจ้าของกระทู้ดูแลครอบครัวต่อไปนะครับ

พี่ยังไม่เคยเจอเรื่องราวแบบนี้โดยตรงอาจจะตอบไม่ค่อบตรงใจ รออ่านจากท่านผู้มีประสบการณ์โดยตรงดีกว่า เดี่ยวค่อยรอเสริมในประเด็นที่อาจตกหล่นไปภายหลัง ยังไง เจ้าของกระทู้ต้องหาโอกาสปฏิบัติธรรมบ้างนะครับ เพราะใจจะเป็นภาชนะรองรับเรื่องราวต่างๆ ได้ดีและละเอียดมากยิ่งขึ้น :-)

ยินดีต้อนรับสมาชิกใหม่ครับผม :-)
"ชีวิตนี้อุทิศเพื่อพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย"

#5 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 20 April 2010 - 12:31 PM

จากข้อมูลที่ให้มา แสดงว่า
1. ก่อนหน้านั้น คุณยายเป็นคนทำธุรกิจ ส่วนคุณกับน้องๆ ก็พักอาศัยกับคุณยาย โดยคุณยายเป็นผู้เลี้ยงดูใช่ไหมครับ
2. ช่วงนั้นฐานะการเงินก็มีปัญหามานานแล้วใช่ไหมครับ เพราะคุณบอกว่า มีหนี้สินล้นพ้น มีหนี้อีกสิบกว่าล้านที่ต้องผ่อน แสดงว่า ภาวะนี้ต้องเป็นมานานแล้ว ตั้งแต่คุณยังเรียนอยู่ใช่ไหมครับ แต่คุณยายก็สามารถประคองฐานะการเงินเช่นนี้ไว้ได้เรื่อยๆ มาใช่ไหมครับ ตรงนี้ก็น่าคิดนะครับว่า เป็นเพราะอะไร ผมว่า เป็นเพราะคุณยายคุณเก่งไม่ใช่ย่อยทีเดียว
3. มาช่วงหลังนี่ การค้าขายไม่ค่อยดีใช่ไหมครับ อะไรทำให้การค้าขายไม่ค่อยดีต้องลองคิดดูนะครับ หากค้าขายไม่ดีเพราะความบกพร่องของเราเองก็แก้ไขเสีย แต่หากค้าขายไม่ค่อยดีทั้งที่เราพยายามเต็มที่แล้ว นั่นสิเป็นเพราะอะไร แล้วอะไรจะทำให้กลับมาค้าขายดี ตรงนี้ผมว่า ต้องหยุดนิ่งใจสักพัก แล้วใช้สติตรองดูครับ เพราะต่อให้เราหยุดทำบุญ หรือหยุดใช้จ่าย ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็นจริงๆ แต่ถ้ายังค้าขายไม่ดีอยู่ มันก็แย่อยู่ดีถูกมั้ยครับ อะไรล่ะ อยู่เบื้องหลังก็การค้าขายดีหรือไม่ดี บางคนคิดว่า นางกวัก ต้องติดนางกวัก ผมว่าคิดง่ายไปครับ บางคนคิดว่า ต้องปลูกต้นใบเงินใบทอง ผมก็ว่าง่ายไปเช่นกันครับ บางคนคิดว่า เซ่นเจ้าพ่อเจ้าแม่ แล้วกินเครื่องเซ่นต่อ ไม่ต้องลงทุนอะไร เดี๋ยวก็จะเฮง อย่างนี้ก็ง่ายไปเช่นกัน แล้วอะไรล่ะ อยู่เบื้องหลังการค้าขายดีหรือไม่ดี

4. หนทางของวัดพระธรรมกายไม่มีครับ มีแต่หนทางของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ทางวัดนำมาใช้ครับ เพราะ บัณฑิตแม้ประสบทุกข์แต่ก็ไม่ทิ้งธรรมะ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีมีอยู่ช่วงหนึ่ง ที่วิบากกรรมในอดีตของท่านตามทัน ทำให้ท่านค้าขายไม่ดี และเสียทรัพย์ไปโดยไม่คาดฝัน ท่านเลยทำบุญด้วยน้อยลง แต่ไม่เคยขาดการทำบุญเลยครับ ยังคงมาทำทุกวัน
ดังนั้น ผมขอเสนอแนะนำ ก็ให้ปรึกษากับคุณยายตามสมาชิกข้างต้นแนะนำว่า เราก็แบ่งทำบุญตามที่เราพอทำได้ไปทุกวันนั่นแหละครับ อย่าขาดการทำบุญเป็นอันขาด วิธีการที่ผมใช้คือ ใส่บาตรพระหน้าบ้านทุกวันครับ
ผมจะไม่คิดว่า วันนี้เงินเหลือน้อย ดังนั้น วันนี้หยุดใส่บาตรก่อน เดี๋ยวอีก 7 วันข้างหน้าเงินเหลือเยอะ ดังนั้นอีก 7 วันข้างหน้าค่อยใส่บาตรใหม่ ทั้งนี้เพราะพระท่านต้องฉันทุกวันน่ะครับ ท่านไม่ได้ฉัน 7 วันค่อยฉันอาหารทีนึง ท่านฝากท้องไว้กับญาติโยม ญาติโยมก็ควรใส่บาตรท่านทุกวัน อ้าวแล้วเงินเหลือน้อยทำอย่างไร ก็ใส่อาหารเท่าที่กำลังเงินให้ได้ไงล่ะครับ แต่ทำทุกวัน
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#6 มะลิแก้ว

มะลิแก้ว
  • Members
  • 127 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 April 2010 - 01:06 PM

บางคนที่พบปัญหามาก ไม่ได้หมายความว่ามีทุกข์มาก
บางคนที่ไม่ค่อยมีปัญหา แต่ทุกข์มากก็มีมากมาย

สังเกตุให้ดี มี 2 ประเด็น คือ ปัญหาที่พบ กับ ใจที่คิด
ลองมองดีๆจะเห็นอะไรใน 2 ประเด็นที่ว่าค่ะ

ธรรมมะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าคือโอสถ อยากพ้นทุกข์จริงๆ ต้องศึกษาธรรมมะจริงๆ ให้เข้าใจจริงๆค่ะ
สาธุ...



#7 น้ำใส

น้ำใส
  • Members
  • 778 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 20 April 2010 - 01:37 PM

ก่อนอื่น อยากให้คุณusr34281 ใจเย็น ๆ นะคะ

ทำใจให้นิ่ง ๆ แล้วก็พูดคุยกับคุณยายด้วยความรักและ

เข้าใจท่านให้มากขึ้น แล้วก็ตามคุณยายมาวัดค่ะ

มาศึกษาคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า

โดยเข้าไปกราบเรียนถามพระจารย์ที่วัดค่ะ

แล้วคุณก็จะเข้าใจยิ่งขึ้นของคำว่า "บุญ" ซึ่งเป็นเกื้อหนุน

ทำให้เราพบความสุข ความสำเร็จ ของชีวิตค่ะ

ส่วนทางมาแห่งบุญนั้นเกิดจาก การให้ทาน (บริจาค)

การรักษาศีล และการเจริญภาวนา (สมาธิ) ค่ะ

ขอเป็นกำลังใจให้คุณusr34281นะคะ


เหมือนดอกบัวทะยานตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ เปิดกลีบรับแสงตะวันธรรม

น้อมนำสู่วิถีอันดีงาม


#8 สาคร

สาคร
  • Members
  • 764 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 April 2010 - 01:44 PM

ขอแสดงความคิดเห็นอีกแง่มุมนึงนะครับ
เท่าที่อ่านดูผมเชื่อว่าเจ้าของกระทู้ไม่ได้ออกห่างจากพระพุทธศาสนาเลย ยังคงทำบุญอย่างปกติและก็ไม่ได้คิดที่จะห้ามคุณยาย เลิกทำบุญ
แต่เนื่องจากการทำบุญนั้นต้องประกอบด้วยปัญญา ถ้าการทำบุญที่ขาดปัญญานอกจากจะได้บุญน้อยแล้ว อาจจะไม่ได้เลย

เริ่มจากต้องเข้าใจเรื่องของกรรมก่อนว่า มนุษย์เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม สิ่งที่ได้รับไม่ว่าสุขหรือทุกข์ล้วนเกิดมาจากการกระทำ
ของตัวเองมาแต่อดีตชาติทั้งนั้น เพียงแต่ บุญหรือ บาปที่เราได้ทำ ในชาตินี้ เป็นตัวช่วยเบียดเบียนและส่งเสริม ให้วิบากกรรม ทั้งดีและไม่ดีแต่อดีตชาติส่งผลให้เร็วขึ้นเท่านั้น

เจตนาในการให้ทาน 3 ระยะ เป็นส่วนหนึ่งของชนกกรรม ที่จะนำท่านไปเกิดในภพภูมิต่อไป
1.ก่อนให้ทาน
2.ขณะให้ทาน
3.หลังให้ทาน
ถ้าเจตนาให้ทานบริสุทธิ์ (เงินหรือสิ่งของ)ครบทั้ง 3 กาล ผู้ให้ทานย่อมเกิดมาเสวยสุขตั้งแต่เกิดจนถึงบั้นปลายของชีวิต

ถ้าเจตนาไม่บริสุทธิ์ในระยะแรก แต่บริสุทธิ์ในระยะที่2-3 คือแรกๆไม่คิดจะทำ แต่ในขณะที่ทำทานอยู่นั้นเกิดศรัทธาและพอหลังทำไปแล้วคิดถึงเมื่อไหล่ก็เกิดปิติ เกิดภพชาติหน้า จะเกิดในสภาพที่ ยากจนข้นแค้นอัตคัดฝืดเคือง อยู่อย่างลำบาก ต่อเมื่อถึงวัยกลางคนบุญของระยะที่ 2 ได้ช่องทำให้ผู้นั้นร่ำรวยเงินทอง บุญระยะที่3ก็ส่งผลให้ สุขสบายไปจนถึงบั้นปลายชีวิต

ถ้าเจตนาบริสุทธิ์เพียงระยะสุดท้าย คือก่อนให้ก็ไม่ศรัทธา ขณะให้ก็ไม่ศรัทธา ต่อมาในภายหลังรู้เรื่องในพระพุทธศาสนา เกิดศรัทธาขึ้น นึกถึงบุญที่เคยทำเอาใว้ ก็เกิดปิติทุกครั้ง เกิดภพชาติต่อไป ท่านก็จะลำบากตั้งแต่เกิด ต้องต่อสู้ดิ้นรนหาเลี้ยงชีพแบบอดมื้อกินมื้อ จนล่วงเข้าวัยกลางคน ก็ยังต้องดิ้นรน ทำมาหากินอย่างลำบาก ทำอะไรก็ไม่สำเร็จ จนล่วงเข้าสู่บั้นปลายของชีวิต บุญระยะที่ 3 จึงได้ช่องส่งผลให้ได้อยู่อย่างสุขสบาย
ไม่ต้องลำบากอีก

ถ้าเจตนาบริสุทธิ์ในการให้ทานระยะแรกคือระยะที่ 1 แต่หลังจากนั้น เกิดหมดศรัทธา ในระยะที่ 2และ3 ท่านผู้นั้น ก็จะเกิดมาบนกองเงินกองทอง เช่นรับมรดกมา แต่พอเข้าสู่วัยกลางคนบุญที่ทำก็อ่อนกำลังลง ทำให้ทรัพย์ที่ได้มาเกิดเหตุที่ไม่คาดฝันเป็นอันต้องล้มละลาย หมดเนื้อหมดตัว ต้องยากจนไปตลอดจนถึงบั้นปลายของชีวิต

ถ้าเจตนาบริสุทธิ์ในระยะที่1และที่2 คือให้ด้วยความศรัทธาทั้งก่อนให้และขณะให้ แต่พอหลังจากนั้น จะด้วยเหตุผลอันไดก็แล้วแต่ เกิดเสียดายไม่น่าไปทำเลย หวนนึกถึงทีไรก็ ทุกข์ใจ เกิดภพชาติต่อไปชนกกรรมก็จะนำผู้นี้ไปเกิดในที่สุขสบาย มีทรัพย์สินเงินทอง มีความเป็นอยู่ไม่ลำบาก จนเข้าสู่วัยกลางคนก็ยังเป็นอยู่อย่างสุขสบาย จนกระทั่งเข้าสู่วัยชรากำลังของบุญที่หมดศรัทธาในระยะที่3 ก็ทำให้

ท่านผู้นี้ต้องมาลำบากเอาตอนแก่ ลูกเต้าทิ้งขว้างต้องไปอาศัยวัด หรือบ้านคนชรา ต้องอยู่อย่างลำบาก ไปจนถึงบั้นปลายของชีวิตเลย

นี่เป็นอุทาหรณ์ให้เจ้าของกระทู้ได้มีสติในการที่จะบอกกับยาย ที่จะลดการทำบุญให้น้อยลง เพราะถ้า จขกท สื่อสารให้คุณยายผิด โดยสื่อสารแล้ว ทำให้คุณยายคิดว่า ที่เป็นหนี้เป็นสินนี้เนื่องจากคุณ ยาย นำเงินไปทำบุญ เกิดยายระลึกถึงเงินที่ทำไปแล้ว และเกิดเสียดายขึ้นมา นอกจากไม่เป็นผลดีกับคุณยายแล้ว ตัวเจ้าของกระทู้จะได้รับ บาปติดตัวไปด้วย สุดท้ายผมก็ขอเป็นกำลังใจให้ จขกท แก้ไขสถานการณ์ได้ลุล่วงนะครับ
ความรักความเมตตาและการให้อภัยเป็นสิ่งที่คนดีเขามีกัน


[email protected]

#9 น้ำใส

น้ำใส
  • Members
  • 778 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 20 April 2010 - 03:23 PM

QUOTE
เริ่มจากต้องเข้าใจเรื่องของกรรมก่อนว่า มนุษย์เกิดมาเพื่อชดใช้กรรม


จากคำสอนของครูบาร์อาจารย์ท่านกล่าวไว้ว่า มนุษย์เกิดมาเพื่อ ทำพระนิพพานให้แจ้ง

แสวงบุญ และสร้างบารมีค่ะ ส่วนชีวิตของในปัจจุบันทั้งดี และไม่ดีนี้ เกิดจากการกระทำ

ในอดีตชาติเป็นหลัก และปัจจุบันชาตินี้เป็นส่วนเสริมค่ะ ก็ขอแสดงความคิดเห็นเท่านี้ค่ะ สาธุ

เหมือนดอกบัวทะยานตัวขึ้นสู่ผิวน้ำ เปิดกลีบรับแสงตะวันธรรม

น้อมนำสู่วิถีอันดีงาม


#10 @--แสงตะวัน--@

@--แสงตะวัน--@
  • Members
  • 723 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:Thailand

โพสต์เมื่อ 20 April 2010 - 05:46 PM

น่ามีมักหมุดนะกระทู้ได้ ได้ข้อคิดดีทีเดียว :-) ตามมาอ่านเก็บความรู้ครับผม
เจ้าของกระทู้อย่าลืม update ด้วยนะครับว่ามีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง
"ชีวิตนี้อุทิศเพื่อพระพุทธศาสนาวิชชาธรรมกาย"

#11 บ่าวอุบล

บ่าวอุบล
  • Members
  • 632 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 April 2010 - 07:38 PM

ทั้งเจ้าของกระทู้และคุณยาย เป็นผู้มีบุญ และเป็นคนดีมากๆทั้งสองคน เพียงแค่ความเห็นไม่ตรง(เท่า)กัน ลองเปิดใจพูดคุยกัน หรือคุณเจ้าของกระทู้ลองเปิดใจให้เป็นกลางแล้วถามความคิดเห็นคุณยายดูสิครับ ที่สำคัญทำใจให้สบายๆก่อนอย่าเพิ่งตั้งกำแพงความคิดเห็นเอาไว้

#12 peter10

peter10
  • Members
  • 331 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 April 2010 - 02:54 AM

บางคนเกิดมาก็จน เป็นหนี้ (อันเนื่องจากวิบากกรรมเก่า) ทำอะไรก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ
หากรอให้ทุกอย่างสำเร็จ ซึ่งบางทีก็ไม่ทันในชาตินี้ ก็อาจจะไม่ได้สร้างบุญบารมี
ดังนั้นหากมีโอกาสก็ไม่ควรตระหนี่ให้ตกบุญ
ข้าพเจ้าได้ศึกษาธรรมะกับพระอาจารย์หลายๆวัด ทุกท่านพูดเหมือนกันหมดว่า ทำบุญไม่มีจน
ซึ่งอันนี้ผู้ที่ทำบุญแบบใจบริสุทธิ์ ก็ออกมายืนยันหลายๆท่านเลย เพราะบุญเป็นธาตุสำเร็จ
ข้าพเจ้าก็ขอยืนยันด้วยอีกคน ทรัพย์ก็ได้มาง่ายๆ แต่ทำใจใสๆ
บางคนนั่งทำงานแต่ใจตระหนี่ทั้งๆที่เรียนสูง ขยันทำงานก็ประสบความสำเร็จได้ลำบากยากเย็นเหลือเกิน

เลือกเอา บัวมีสี่เหล่า
เลือกเอา ใจใสๆ

#13 ธาตุล้วนธรรมล้วน

ธาตุล้วนธรรมล้วน
  • Members
  • 255 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 April 2010 - 03:29 AM

เหล่ากัลยาณมิตรได้ตอบไว้ดีแล้วนะครับ


ขอสรุปอีกที

ทำบุญโดยไม่ต้องเดือดร้อนตนเองและผู้อื่น (ลองพิจารณาด้วยสติ สมาธิ ว่า เดือดร้อนจริงไหม อย่าตั้งอคติ)

เกิดมาต้องสร้างบารมี หมั่นบำเพ็ญ ทาน ศีล ภาวนา เป็นคำสอนทางพระพุทธศาสนา เพื่อพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นอริยะ

อย่าเข้าใจผิดว่า เกิดมาชดใช้กรรมตายตัว อันนี้เป็นลัทธิกรรมเก่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ เพราะศาสนาพุทธเน้นปัจจุบันธรรม (กรรมเก่าเป็นเหตุก็จริง แต่เป็นดาราตัวประประกอบเท่านั้น ไม่ใช่พระเอก)


สนับสนุนความเห็นที่สอง แม้รายได้เราไม่มาก แต่เราสามารถแบ่งมาสร้างบุญได้โดยไม่เดือดร้อน พึงกระทำ ต้องสะสมบุญเอาไว้ตามหลักธรรม

เพราะถ้าหวังรวยก่อนแล้วค่อยทำบุญ ก็คงจะไม่รวยซะทีเพราะไม่มีบุญหนุนให้รวย เผลอๆตายซะก่อน กำเลยทีนี้

ถึงต้องพิจารณาโดยปราศจาคอคติว่า ลำบากจริงไหม ถ้าลำบากจริง ก็บริหารจัดการเงินให้ดีๆ แต่ว่าไม่ควรหยุดการสั่งสมบุญ เพราะบุญจะช่วยเราได้ แถมได้ฝึกตนด้วย

อย่าเน้นแต่ทาน เท่านั้น แต่ศีล ภาวนา ก็ต้องบำเพ็ญด้วย


สุดท้ายอธิษฐานให้บุญช่วยสิครับ แรงบุญอย่างน้อยก็ช่วยทรงๆกิจการและชีวิตให้เป็นไปในทางดีขึ้นแน่นอน


มีกรณีนี้เช่น

เป็นหนี้ สามแสน แต่มีเงินอยู่ สามหมื่น ถ้าเป็นผม แบ่งไว้ทำทุน เก็บไว้กินใช้ เก็บไว้ยามฉุกเฉิน และจะแบ่งไว้ทำบุญด้วย แถมยังแบ่งไปใช้หนี้ด้วย อย่างไรก็ต้องแบ่งไปสร้างทานกุศลด้วย ไม่เดือดร้อนครับ ผมจัดสรรได้ลงตัว

แต่ถ้าเรามีแค่สามหมื่น หากตัดใจเอาไปใช้หนี้หมดเลย ก็ตายเปล่าครับ บุญก็ไม่มี ใช้หนี้ก็ไม่พอ แถมอดตายอีก

แต่ก็มีคนทักท้วงว่า เงินยังไม่พอใช้หนี้ยังอยากจะทำบุญอีก (แต่เอาไปทำโน้นนี่ได้ ถึงไม่ใช่เรื่องหนี้กลับไม่ว่า กลับไม่มองให้เป็นเรื่องลำบากใจ)

แต่ถ้าเอาไปทำบุญหมด แล้วพี่ๆน้องๆต้องมาเดือดร้อนไปด้วยก็ไม่ถูกต้องครับ (ลองพิจารณาเรื่องราวของคุณโดยปราศจากอคติก่อนนะครับ)


ขอให้มีความสุขครับ

แล้วเจ้าของกระทู้หายไปไหนน??? เงียบเลยครับ


ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ

ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ

เราตถาคต คือธรรมกาย

#14 Tree

Tree
  • Members
  • 2076 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 April 2010 - 05:48 AM

คิดว่าตอนนี้ทางเจ้าของกระทู้คงได้คำตอบที่ต้องใจจากเพื่อนสมาชิกไปบ้างแล้วนะครับ

ผมมีเรื่องที่อยากจะเสริมอีกสักเรื่องหนึ่งที่ว่า ทางเราทำบุญแล้วทำไมยังลำบากอยู่ อันนี้เชื่อว่าเจ้าของกระทู้คงจะเข้าใจในเรื่องการส่งผลของบุญและบาปที่ชิงชวงกันนะครับ เพราะเท่าที่ดูเจ้าของกรทู้ก็เข้าใจเรื่องนี้ได้ดีทีเดียว ขอเป็นกำลังใจ และขอบุญรักษานะครับ

#15 N22

N22
  • Members
  • 169 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 April 2010 - 11:20 AM

ผมแค่สงสัยว่า การเงินในครอบครัวคุณใครดูแล เพราะจากที่อ่านดูเหมือนว่า คุณยายเป็นคนถือเงิน คุณเป็นคนหา?? แล้วการบริหารเงินเป็นยังไง ผมมองลึกๆยังสบสนอยู่ เพราะถ้าคุณเป็นคนหาเงิน ก็น่าจะสามารถกำหนดการใช้จ่ายของแต่ละคนได้ แต่ลักษณะเรื่องที่เล่าดูแย้งๆกัน เพราะดูเหมือนว่าคุณหาเงิน แต่คุณยายนำไปใช้มากเกินก็แสดงว่าตอนที่คุณให้ท่านก็ต้องรู้นี่ครับ...กรณีอย่างนี้หากคุณต้องการควบคุมการเงินก็น่าจะทำได้นะ...

#16 ธาตุล้วนธรรมล้วน

ธาตุล้วนธรรมล้วน
  • Members
  • 255 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 April 2010 - 10:22 PM

ใช่ครับ อยู่ที่การบริหารจัดการเงิน

ลองพิจารณาอย่างปราศจากอคติ มิใช่อะไรๆก็มาลงโทษที่การทำบุญ นะครับ อิอิ ???

แต่มิใช่ว่าพอคุณไปจัดการการเงินใหม่ คุณให้ยายคุณนิดเดียว เพราะกลัวท่านเอาไปทำบุญอีก ก็ไม่ถูกนะครับแบบนี้ ขอให้จัดการตามปกตินะครับ

และที่สำคัญ คุณเองก็ควรจะสร้างบุญอยู่เรื่อยๆ ทั้ง ทาน ศีล ภาวนา เล็กๆน้อยๆ ไปจนสูงขึ้น เอง ด้วยตัวคุณเอง จากใจของคุณเอง

การสร้างบุญ หยุดไม่ได้ เราต้องสร้างบารมี นี้เป็นสัจจะธรรมที่พระพุทธเจ้าสอนนะครับ

บุญมิใช้แค่เรื่องเงิน หรือ ทาน ยังมีทั้งศีล ภาวนา บุญกิริยาวัตถุ และบารมีสิบ เป็นต้นนะครับ

การสะสมบุญ เป็นธรรมะที่พระพุทธเจ้าสอน เพื่อเป็นการขจัดขัดเกลา และพัฒนาตนเอง

อานิสงส์บุญก็มีทั้งฝ่าย ละ และฝ่าย รับ ต้องเรียนรู้ให้เข้าใจนะครับ

ละ ละกิเลศความตระหนี่ครับ

รับ รับอานิสงส์บุญตามกำลังของบุญและการอธิษฐานครับ

แต่การหลงใหลแต่ในผลบุญเกินพอดี และปราถนาด้วยความโลภมาก อันนั้นแหละเป็นกิเลศอีก ต้องเรียนรู้ และแยกแยะให้ดีๆนะครับ

พระพุทธองค์ตรัสว่า เราจะมีบุญเป็นที่พึ่ง เสมือนสหายที่สนิท ครับ และการสั่งสมบุญนำสุขมาให้ ครับ

ขอให้มีความสุขครับ


ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ

ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ

เราตถาคต คือธรรมกาย

#17 usr34073

usr34073
  • Members
  • 30 โพสต์

โพสต์เมื่อ 25 April 2010 - 01:59 AM

ถ้าในยุคที่ไม่มีเงิน แล้วเค้าทำบุญกันอย่างไร อย่าคิดว่าทำบุญต้องใช้เงินเท่านั้น
การบริจาคเงิน เป็นหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุสิบเท่านั้น
การให้ธรรมทาน เป็นการให้ที่ได้บุญมากที่สุด การให้อภัยทานป็นการให้ที่ยากที่สุด
ในพระสูตรกล่าวไว้ว่า การให้อาหาร 100 หม้อ ใน ตอนเช้า
เที่ยง เย็น ยังไม่ได้บุญเท่ากับ การแผ่เมตตาเพียงชั่วระยะเวลาเดียว
คุณยายของคุณคงคิดว่าชาตินี้ต้องสร้างบารมีให้มากที่สุด
แต่การทำให้ที่บ้านเดือดร้อน ก็ถือว่าเป็นการทำทานที่ไม่บริสุทธิ์แล้ว
อย่าคิดว่าการให้มากถึงจะได้บุญมาก
หากจิตเลื่อมใสทักษิณาทานหาเป็นของน้อยไม่
อันที่จริงการทำบุญไม่ต้องใช้เงินสักสลึงเลยก็ได้

#18 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 25 April 2010 - 08:14 AM

เดี๋ยวๆ ครับ คุณ usr34073

ผมขอยืนยันว่า สำหรับผู้ครองเรือน(ฆราวาส)ที่ทำมาหากินอยู การให้ทานเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะ ฆราวาส(ชาวพุทธ) มีหน้าที่ต้องดูแลพระภิกษุสงฆ์ทั่วสังฆมณฑล เพราะพระภิกษุสงฆ์ท่านไม่สามารถทำมาหากินดังเช่น ฆราวาสได้ เนื่องจากพระวินัยบัญญัติไว้

แล้วหากฆราวาสทุกคน เกิดคิดขึ้นมาว่า "ไม่จำเป็นต้องให้ทาน แค่แผ่เมตตาก็พอ บุญมากกว่าอีก" ผมบอกได้เลยว่า อันตรายครับ พุทธศาสนาจะเสื่อมภายใน 7 วันทันที เพราะจะไม่มีคนใส่บาตรพระ พระไม่สามารถอดอาหารได้เกิน 7 วัน ถ้าไม่มรณภาพ ก็จะสึกออกมากันหมด

เมื่อพุทธบริษัท 4 ขาดไป 2 บริษัท (คือ พระกับเณร) เมื่อนั้น ความเป็นศาสนาก็หมดสิ้นครับ

ดังนั้น เมื่อเรามีปัจจัยมาก ให้ก็เราบำรุงพระพุทธศาสนาให้เต็มที่ แต่ถ้ามีปัจจัยน้อย ก็ให้บำรุงน้อยลงไปตามปัจจัยเรา แต่อย่าขาดการทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นอันขาด หากเป็นชาวพุทธครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#19 ธาตุล้วนธรรมล้วน

ธาตุล้วนธรรมล้วน
  • Members
  • 255 โพสต์

โพสต์เมื่อ 25 April 2010 - 09:38 PM

สำเนาถูกต้องครับ คุณหัดฝัน

พุทธบริษัท 4 คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ต่างมีหน้าที่เป็นของตนนะครับ

ทั้งปฏิบัติเอง บำรุงศาสนา ผู้สอนเผยแผ่ ฯลฯ

หลวงปู้สดวัดปากน้ำเอง ท่านสอนว่า ต้องมีผู้ทำหน้าที่รบ ทำงาน ตรวจงาน เผยแผ่ และกองเสบียงครับ นี้มาจากวิชชาเบื้องสูงจากการปฏิบัติธรรมของพระเดชพระคุณหลวงปู่สดด้วยครับ สุดยอดมากมาย


ที่คุณ usr34073 ก็ถูกต้องแล้วครับ มีทั้งทาน ศีล ภาวนา บุญกิริยาวัตถุ บารมี 10 เป็นต้น เพียงแต่ว่าอย่าหนักไปทางใดทางหนึ่งไงครับ

กองทัพจะเดินได้ ท้องต้องอิ่มนะครับ จะบรรลุธรรม จะโปรดสรรพสัตว์ เผยแผ่ได้ ก็ต้องมีกำลังพร้อมทุกๆด้านครับ

มีพระเถระรูปหนึ่ง บำเพ็ญภาวนามายาวนาน ไม่บรรลุซักที วันหนึ่งท่านได้บำเพ็ญทานกุศลแด่ญาติโยมผู้ป่วยไข้ เพียงเท่านั้นเอง ท่านกลับมาภาวนา บรรลุธรรมทันที

อย่าว่าแต่ญาติโยมเลย เป็นพระภิกษุก็ต้องทำทานบารมีด้วยครับ

จะบรรลุธรรมได้ บารมีต้องเต็ม บารมีจะเต็ม ต้องสร้างบารมี ทานบารมีก็เป็นหนึ่งในนั้น

สาธุ


ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ

ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ

เราตถาคต คือธรรมกาย

#20 DM_flying

DM_flying
  • Members
  • 9 โพสต์

โพสต์เมื่อ 26 April 2010 - 12:48 AM

ก่อนอื่นต้องออกตัวก่อนว่าเป็นสมาชิกใหม่สำหรับที่นี่นะคะ

พี่ขอตอบน้องเจ้าของกระทู้แบบเป็นกันเอง และก็ตรงไปตรงมานะคะ พี่คงไม่สามารถตอบในแนวธรรมะได้ดีมาก เหมือนความคิดเห็นด้านบนที่ตอบน้องมา แต่พี่อยากพูดในเรื่องของการคิดแบบเป็นกลาง

พี่เคยได้ยินมามาก จากหลายๆ คนว่า ไม่พอใจคนในบ้านตนเองที่มาทำบุญกับวัดธรรมกาย จริงๆ เราไม่ควรคิดว่า เขามาทำบุญกับวัดธรรมกาย เพราะคนเรานะคะ หากเรามีใจให้กับสถานที่ใด สถานที่หนึ่ง ซึ่งเราคิดว่าเรานั้นพึงพอใจกับสิ่งที่อิ่มกว่าข้าว อิ่มกว่าความสุข ณ สถานที่แห่งนั้น อาจไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นวัดธรรมกาย หรือวัดใดๆ เลยนะคะ หากเป็นสถานที่อื่น แต่คนผู้นั้นรู้สึกอิ่มเอมใจกับการสะสมบุญ การสะสมการให้ทาน โดยไม่ได้หวังว่าจะได้สิ่งใดตอบแทน พี่ว่าก็จะต้องมีการทำบุญในลักษณะเดียวกัน หรือคล้ายๆ กัน และหากคุณยายทำบุญกับเด็กด้อยโอกาส ด้วยการรับเลี้ยงดู จะเป็นปริมาณเงินที่มากกว่านี้นะคะ

หากน้องมองว่า เงินในบ้านร่อยหรอ พี่อยากให้มองแบบเป็นกลางอีกเช่นกัน ธุรกิจย่อมผันแปรไปกับสภาพต่างๆ โดยองค์รวม ตอนนี้สภาพเศรษฐกิจไม่ได้ดีเหมือนบางช่วงที่ผ่านมา แต่มันอยู่ที่น้องเรียนจบมาแล้ว ก็ควรนำวิชาความรู้ที่ตนได้มา มาจัดการบริหารบ้านเรือน ธุรกิจ และควรเลยไปถึงการบริหารบุคลากรภายในบ้าน ด้วยความรู้สถานภาพ และการรู้ขอบเขตที่เราควรแสดงออก

เราต้องมองย้อน เอาจุดที่เป็นปัญหาออกมาให้ได้ การทำบุญคงไม่ได้เป็นหนทางเดียว ที่จะทำให้บ้านของน้องนั้นหมดเงินทองทั้งหมดที่มีอยู่ แต่น้องๆ ก็ยังเรียนถูกไหมคะ? เพราะฉะนั้นปัญหาเราควรแยกออกมาคร่าวๆ ดังนี้

1. หากคิดว่าทำบุญน้อยไป ก็ควรจัดสรรเงินทองจำนวนหนึ่งให้กับคุณยาย แต่ไม่ใช่ว่าให้ท่านหยุดหรือเลิกทำ คนเราไม่ควรบังคับจิตใจผู้อื่น เพราะหากผู้อื่นบังคับเรา เราก็ไม่ชอบเหมือนกัน ถูกต้องไหมคะ?

2. จัดการแบ่งสันปันส่วนกับระบบบัญชีที่บ้านให้ดี ในแต่ละวันควรจัดแบ่งเปอร์เซ็นต์ ของเงินในลิ้นชักที่ได้รับมาทั้งหมด เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในวันรุ่งขึ้น และในเดือนนั้นๆ เมื่อถึงคราวจำเป็น และควรกันเงินฉุกเฉินไว้ด้วย

3. หากมองด้านธุรกิจ น้องทำด้านการค้า ควรมองตลาด และในยุคปัจจุบัน ไม่ได้มีธุรกิจใดตายตัว ไม่มีธุรกิจใด ธุรกิจเดียวที่จะทำเงินให้เราได้เป็นกอบเป็นกำ นอกเสียจากว่าเรารู้หลักการบริหารธุรกิจนั้นๆ ได้ดีพอ อยากให้มองตรงจุดนี้ให้สำคัญ เราบริหารธุรกิจ และจัดการวิธีรองรับปัญหาได้หลากหลายหรือยัง หรือเราเพียงแค่ขายของหน้าร้าน หรือตามยอดสั่งเพียงเท่านั้น

4. จำกัดรายจ่ายของแต่ละคนในครอบครัว ให้เหมาะสมกับการจับจ่ายในแต่ละโอกาส อย่าได้พุ่งประเด็นไปที่คนใดคนหนึ่ง และอย่ามองปัญหาที่จุดจุดเดียว มิฉะนั้นจะถือเสมือนว่า ถือน้ำเพื่อดับไฟที่สนาม แต่แท้ที่จริงต้นเหตุแห่งไฟ อาจอยู่หลังห้องครัวก็เป็นไปได้นะคะ

5. อยากให้มองถึงสภาพจิตใจของคนคนหนึ่ง ที่ได้ทำการต่อสู้เพื่อความสำเร็จของน้อง และธุรกิจที่เป็นอาชีพของครอบครัว การมีธุรกิจดีมากกว่าคนที่จบมาแล้วต้องไปเดินหางานมากมายนัก การเป็นนายตนเอง มีค่าแห่งความสำเร็จไม่น้อยไปกว่า การเป็นลูกจ้างของคนที่เราไม่เคยรู้จัก

พี่คงตอบคร่าวๆ ดังนี้ อยากให้น้องมีสติ เป็นลำดับแรก และใช้ ศีล ร่วมกับสมาธิ เพื่อก่อให้เกิดปัญญา และมองปัญหาว่าแท้จริงแล้วมีที่ใดบ้าง มองปัญหาที่ปัญหา มองปัญหาที่จุดเกิด อย่ามองปัญหาแค่หน้าบ้าน หรือแค่ที่เราพุ่งประเด็นไปที่จุดเดียว และคิดว่านั้นคือปัญหาใหญ่ที่แน่ชัดแน่นอน บางทีอาจมีหลายปัญหาที่ซ่อนอยู่โดยที่น้องไม่รู้ตัว และอาจลืมคิดถึงมัน มันอาจเป็นเงินมูลค่ามากกว่าเงินที่คุณยายน้องนำมาทำบุญ

พี่คงช่วยตอบเพียงเท่านี้ก่อน หวังว่า น้องคงรู้จักใช้สติ เพื่อเป็นจุดเกิดแห่ง ศีล สมาธิ และปัญญาที่มีในตนนั้นได้ครบถ้วนอย่างสมบูรณ์ และมีคุณค่าที่สุดนะคะ

#21 คณนันท์ ค่ะ

คณนันท์ ค่ะ
  • Members
  • 73 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 April 2010 - 12:15 PM

ขอบุญจากหลวงปู่ช่วยครอบครัวนี้ด้วยเถิดนะค่ะ
สาธุ เพราะบุญเป็นบ่อเกิดแห่งความสำเร็จค่ะ


#22 Airy

Airy
  • Members
  • 162 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 May 2010 - 10:35 PM

แม้กระทู้จะเก่าไปนิด...แต่ผมรู้สึกว่า...จำเป็นต้องเสนอแนะบ้าง..เท่าที่จะทำได้ครับ
หากปล่อยผ่านไปแล้วรู้สึกไม่สบายใจครับ...

ข้อมูล
ประมาณ 1 ปีคุณยายเริ่มเข้าไปศึกษาแล้วก็เป็นส่วนหนึ่งของวัดธรรมกาย และเริ่มศึกษาธรรมหนักขึ้นเรื่อยๆ

ธุรกิจของคุณดำเนินการมานาน..แต่ยังมีหนี้สินต้องผ่อนอีก..สิบกว่าล้าน คุณใช้คำว่าการค้าไม่ค่อยดี
บวกกับเงินเดือนละหลายหมื่นที่เสียกับการทำบุญไป..ขาดทุนหลายเดือนติดต่อกันแล้ว

อยากให้หยุดไปซักระยะนึ่งก่อน เพื่อความปลอดภัยของที่บ้าน เพราะเงินใกล้หมดแล้ว

บ้านโดนยึดจะทำอย่างไร ปัญหาอยู่ที่คุณยายคนเดียว คุณยายเพิ่งทำบุญไปหลายหมื่นทั้งๆ ที่บอกว่าเงิน
เงินที่บ้านไม่มีแล้ว เป็นสัญญานน่ากลัวมาก

ตอบ คุณ จ๋า ควรวิเคราะห์หาสาเหตุที่แท้จริงที่เกิดขึ้นกับร้านคุณให้ดีก่อน..ครับ
คุณต้องวิเคราะห์ ไปทีละประเดนตั้งแต่ข้อที่ 2 ให้ถี่ถ้วนครับ คำตอบมันจะออกมาเองครับ
คงไม่มีใครตอบคุณได้ตรงๆ เพราะไม่มีข้อมูลเพียงพอ

1. วัดธรรมกายไม่มีในโลกครับ มีแต่วัดพระธรรมกาย
2. คุณจ๋าครับ การคิดกำไรขาดทุนของธุรกิจ คิดจากยอดขาย ลบด้วยต้นทุนสินค้าและค่าใช้จ่าย
ดำเนินงานนะครับ ที่เหลือจึงถือเป็นกำไร เงินส่วนนี้เป็นกรรมสิทธิของร้านคุณเมื่อจัดการเสียภาษีแล้ว
3. การที่มีตัวเงินเหลืออยู่น้อย ไม่ได้หมายความว่ากิจการของคุณขาดทุนนะครับ เพียงแค่ขาดสภาพคล่อง
ทางการเงิน คือกระแสเงินที่รับเข้ามา มากกว่า กระแสเงินที่จ่ายออกเท่านั้นเอง
4. สาเหตุอาจเกิดจากซื้อสินค้าเข้ามาสต็อกไว้มากก็ได้ ส่วนยอดขายสินค้าวัสดุทางการเกษตร
ในฤดูแล้งใครๆก็รู้ว่ามันไม่ใช่หน้าเพาะปลูก แถมเป็นปีที่เป็น"เอลนีโย"ด้วย ยอดขายลดเรื่องธรรมดา
5. แน่ใจเหรอว่าคุณยายเป็นสาเหตุ ที่ทำให้สภาพคล่องทางการเงินของร้านคุณมีปัญหา? อาจจะ
มี Factor อื่นๆ ที่คุณยังไม่ได้เอยถึงหรือเปล่า..ครับ
6. คุณยายน่าจะมีประสบการณ์ทางด้านการค้ามาก่อนคุณมากมาย คงมีสามัญสำนึกทางด้านการค้า
ที่ดีที่เดียว น่าจะคาดการณ์อะไรได้ถูกต้องในระดับที่ดี ระดับหนึ่ง ไม่งันคงอยู่มาไม่ถึงวันนี้
7. ผมไม่เห็นจะมีสัญญานที่น่ากลัวอะไร? ที่มาจากคุณยายเลย คุณยายคุณเพิ่มเข้าวัดได้ไม่นาน
ท่านเพิ่มรู้เรื่องอนิสงค์ของบุญ ควรเปิดโอกาสให้ท่านได้ทำบุญบ้าง ตามควรแก่กรณี
8. คุณกำลังวิตกจริตไปเองเกินกว่าเหตุหรือไม่ ? คุณวางแผนเรื่องกระแสเงินสดรายเดือนใหม่ดูดีดีครับ
9. การกู้หนี้มาซื้ออาคารเป็น Over Investment หรือเปล่า ถ้ามันโอเวอร์ก็ไม่เกี่ยวกับคุณยายครับ
10. การมีสภาพคล่องไม่ดีเพียงบางเดือนเป็นเรื่องธรรมดามากๆๆ การขายวัสดุการเกษตรนั้นมีผลกำไร
อยู่ทุกๆบาทที่ขายสินค้าได้อยู่แล้ว แต่การขายสินค้าได้ดีเป็นฤดูกาลเท่านั้น บางเดือนอาจมีปัญหา
11. หนี้สินผ่อนบ้านเป็นหนี้ระยะยาว ซึ่งต้องผ่อนรายเดือน ทั้งผู้ให้กู้และผู้กู้คงวิเคราะห์ทางหนี
ทีไล่มาแล้ว ว่ามีกระแสเงินสดที่เพียงพอสำหรับการชำระได้จริง และเป็นเงินก้อนแรกทีต้องกันไว้ก่อน
ทุกๆ เดือน ก่อนที่จะนำที่เหลือไปใช้จ่ายอย่างอื่น

คุณจ๋า ครับ...คุณต้องตอบคำถามของตัวคุณให้ได้ก่อนครับ ก่อนที่จะไปโทษคุณยายเป็นตัวปัญหา
หรือวัดพระธรรมกาย สอนให้มีความเชื่อผิดๆ

(การทำบุญหลายหมื่น หรือเป็นแสน คนจนอย่างผมยังทำได้ครับ แต่ไม่แนะให้ไปเอาเงินที่หมุนใน
ธุรกิจมาทำครับ ควรเป็นเงินที่มาจากผลกำไรแล้วครับ ซึ่งกิจการของคุณนั้นน่าจะมีผลกำไรมาก
พอสมควรทีเดียวครับ)
ผมสงสัยแต่ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าเท่านั้นเอง..ครับ


#23 nokiko

nokiko
  • Members
  • 17 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 May 2010 - 11:51 PM

อยากให้น้องจ๋าตามคุณยายไปศึกษาธรรมะที่วัดและลองนั่งสมาธิกับคุณยายค่ะ
ถ้าให้ดีให้ไปพนาวัฒน์ ซึ่งเป็นสถานที่ ปฏิบัติธรรม 7 วันที่เชียงใหม่ แล้วจะเข้าใจมากขึ้นเยอะค่ะ
ว่าทำไมคุณยายถึงรักการทำบุญมากขนาดนี้

"บันฑิต ต้องศึกษาและพิสูจน์ ด้วยตัวเองค่ะ"

ขอทิ้งท้ายไว้ว่า "บุญคือบ่อเกิด แห่งความสุขและความสำเร็จ"

#24 Airy

Airy
  • Members
  • 162 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 May 2010 - 01:49 AM

...เรียนคุณ..จ๋าครับ

คุณตั้งคำถามแล้วทำไมไม่กลับมาอ่านครับ..
ผมย้อนกลับมาดูตั้งหลายรอบแล้ว...ครับ
อยากทราบปฏิกริยาจากคุณเพิ่มเติมครับ..เผื่อมีอะไรจะได้คุยกันในรายละเอียดอีก
เพราะเรื่องนี้มีความสำคัญ..สำหรับคุณ..และครอบครัวคุณ...ไม่ใช่เหรอ..ครับ

#25 ธาตุล้วนธรรมล้วน

ธาตุล้วนธรรมล้วน
  • Members
  • 255 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 May 2010 - 03:01 PM

สงสัยจะอัดอั้น แล้วมาทิ้งระเบิด แล้วก็หายไปเลย

ไม่อยากให้เข้าใจผิดเลยนะครับ หากคิดเรื่องนี้ผิดๆติดใจไป ชีวิตจะเป็นไงต่อไป เป็นห่วงนะครับ

สรุปว่า บริหารการเงินให้ดี อย่ามาโทษเรื่องทำบุญว่าเป็นผู้ร้ายเลย

ผู้ร้ายตัวจริงคือความไม่เข้าใจกัน ไม่เข้าใจธรรมะ

และควรสร้างบุญเก็บไว้ ใช้ทั้งโลกหน้า โลกนี้ ด้วยนะครับ

พวกเราเป็นห่วง และหวังดี ครับ biggrin.gif


ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ

ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ

เราตถาคต คือธรรมกาย