อริยสัจ 4 คืออะไร???
#1
โพสต์เมื่อ 23 January 2006 - 01:51 AM
ที่เรียกว่า "สมุทัย" หน้าตาเป็นอย่างไร? สมุทัยอยู่ที่ไหน? มีคุณสมบัติเป็นอย่างไร?
(สมุทัย คือ เหตุแห่งทุกข์)
ที่เรียกว่า "นิโรธ" หน้าตาเป็นอย่างไร? นิโรธอยู่ที่ไหน? มีคุณสมบัติเป็นอย่างไร?
(นิโรธ คือ ความดับทุกข์)
ที่เรียกว่า "มรรค" หน้าตาเป็นอย่างไร? มรรคอยู่ที่ไหน? มีคุณสมบัติเป็นอย่างไร?
(มรรค คือ หนทางดับทุกข์เข้าถึงสุข)
#2 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 23 January 2006 - 08:34 AM
ทุกข์ คือ ความไม่สบาย ทั้งทางกายและทางใจ ทางกายก็เจ็บป่วย ทางใจโลภอยากได้แล้วไม่ได้ โกรธ ความหลง หรือ ความรักบางครั้งก็ทำให้ทุกข์ หรือ ความรู้สึกแย่ๆๆ นั่นนะครับ
และทุกข์ก็มีทั้งทุกข์จร และทุกข์ประจำ ทุกข์จร ก็คือ นานๆมาครั้ง เช่น นานๆเจ็บป่วยที นานๆอกหักที นานๆโกรธกันแรงๆที ส่วนทุกข์ประจำก็เป็นทุกข์ที่เกิดบ่อยๆ เช่น ความหิว ไม่ได้ทานข้าวก็เป็นทุกข์จริงไหมครับ ไม่ได้ขี้ได้เยี่ยว ลองอั้นไว้นานๆสิครับทุกข์ม่ะ ไม่ได้อาบน้ำตัวเหม็นบางทีก็เป็นทุกข์ ความแก่ความเสื่อมโทรมของสังขาร ก็เป็นทุกข์ ลองมีคนทักว่าผมหงอก หัวล้าน หน้าเหี่ยวอย่างนี้ก็นำทุกมาให้
ตกลงทุกข์ อยู่ที่ไหนก็อยู่ที่ตัวเรานี่ล่ะครับ เป็นอย่างไร ก็เป็นความไม่สบาย ถ้าสบายก็ไม่เรียกว่าทุกข์แล้วเรียกว่าสุข คุณสมับัตฺ ก็คือ ทำให้ใจไม่สบาย แม้กายจะไม่สบายแต่สุดท้ายสิ่งที่รับรู้ว่าไม่สบายหรือเป็นทุกข์ก็คือใจนั่นล่ะครับ
อันที่สอง สมุทัย คือเห็นเกิดแห่งทุกข์ พระทธองค์ทรงตรัสว่า คือ ตัณหา คือ ความอยากได้ อยากมี อยากเป็น ตัวอย่างเช่น เมื่อธรรมชาติมนุษย์มีความหิวข้าว นั่นก็หมายความว่า มนุษย์ความอยาก อยากอะไร ก็อยากที่จะกินข้าวไงครับ เมื่อมีความต้องการทางเพศ นั่นก็เป็นความอยาก และอื่นๆ อีกสารพัด และเมื่อได้อย่างต้องการ คือ สามารถสนองตัณหาของตัวเองได้ก็เกิดการยึดยิด เพราะเกิดสุขเวทนา คือ ความรู้สึกชอบที่สามารถบำบัดความอยากของตนเองได้
แต่เมื่อไม่ได้มาสิ่งเกิดขึ้น คือ อะไร คือ ความทุกข์นั่นล่ะครับ หิวข้าว แล้วไม่ได้กินข้าวสักสองวันนี่ทุกข์จริงๆนะครับ ตัณหาจะว่าไปแล้วก็เป็นธรรมชาติของมนุษย์ได้เหมือนกันนะครับ เพราะอะไร เพราะธรรมชาติของมนุษย์มีความอยาก อยากทานข้าว อยากสะดวกสบาย อยากเสพกาม อยากเป็นนั่นเป็นนี่ อยากมีนั่นมีนี่ เป็นต้น และเมื่อไม่ได้อย่างอยาก ก็ ทุกข์แล้ว นี่ละเค้าครับ ตัณหา
ส่วนนิโรธ คือ ความดับ หรือนิพพาน ถ้าทางบาลีไปอ่านในพระจูฬธรรมิกตรี เค้าแปลคำว่านิพพานว่า สภาพใดพ้นจากตัณหา เหตุนั้นสภาพนั้น เรียกว่านิพพานอ่ะครับ ที่เดียวที่ไม่มีตัณหา คือนิพพาน ถ้าตามหลักฐานทางวิชชาธรรมกายเรา ที่คุณครูไม่ใหญ่ กล่าวที่โรงเรียนฝันในฝัน และกลวงปู่ท่านกล่าวไว้ในบทเทศน์ ๖๓ กัณฑ์ นะครับ ท่านก็บอกว่า นิพพานก็อยู่เหนือภพสามไปสามเท่า นับจากภพสามลงไปสามเท่าก็เป็นโลกัณฑ์ และนิพพานที่บอกว่าเป็นความดับก็คือดับจากกิเลส และเป็นสถานที่ที่มีสุขอย่างเดียว ไม่ได้หายสลายไปไหน แต่อยู่ในสภาพของพระธรรมกายนั่งสมาธิเข้านิโรธสมาบัติอยู่ครับ
ส่วนมรรค ก็คือหนทางในการดับตัณหา หรือ หนทางเข้าพระนิพพานนั่นนล่ะครับ ก็มีตั้งแต่สัมมาทิฎฐิ คือ มีความเห็นตรง สัมมาสังกัปป ดำริชอบ เป็นต้น จนไปถึง สัมมาสติ สัมมาสมาธิ คือ สุดท้ายแล้วก็คือการหยุดใจนั่นละครับ เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสรู้ด้วยการทำสมาธิที่ถูกวิธีไง
นี่ล่ะครับ คือ อริยสัจจ์สี่ หรือ ความจริงของพระอริยะ สี่ประการ แล้วยังมีนักวิชาการตีความหายอีกหลายๆแบบ เรื่องนี้ ถ้าค้นคว้าจริงๆมีรายละเอียดเยอะมากนะครับ แต่ณ ที่นี้ก็คือ เอาเท่านี้คร่าวๆ ง่ายก่อนล่ะกัน นะครับ ถ้าอยากได้ข้อมูลเพิ่มก็ค้นในอินเตอร์เน็ต เยอะแย่เลยครับ โมทนาครับ
#3
โพสต์เมื่อ 23 January 2006 - 01:32 PM
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#4
โพสต์เมื่อ 23 January 2006 - 02:35 PM
นิพพานอยู่ตรงไหน? มรรคอยู่ตรงไหน? เหตุใดพระอริยะเจ้ามองเห็น? เหตุใดเราทั้งหลายจึงมองไม่เห็นหละ??
ถ้าพระโมคคัลานะถูกโจรทุบร่างจนแหลกเหลว เกิดความทุกข์ ถามว่าท่านหลุดพ้นจากบ่วงคือความทุกข์ได้อย่างไร?
ขึ้นชื่อว่าพระอรหันต์ ทำไมจึงยังเจ็บและทุกข์ได้อีก??
ในเมื่อเหตุแห่งทุกข์ คือ สมุทัย ท่านรู้ โดยเจริญนิโรธและ มรรค แล้วเหตุใดจึงยังเจ็บอยู่อีกเล่า???
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#5
โพสต์เมื่อ 23 January 2006 - 04:54 PM
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#6
โพสต์เมื่อ 23 January 2006 - 06:49 PM
............................
ตามประวัติพระพุทธศาสนาแล้ว พระพุทธเจ้ามิได้ทรงแสดงอริยสัจแก่ใครง่ายๆ ...แต่พระองค์ท่านได้อบรมด้วยธรรมข้ออื่น จนผู้นั้นมีจิตใจที่บริสุทธิ์ พอที่จะรับ เข้าใจได้แล้ว
จึงทรงแสดง อริยสัจ.........
.........................................................................................
ประมาณว่าท่านทรงแสดงอริสัจ แก่นักศึกษาปริญญาเอก...
ส่วนปริญญาโท..ตรี..อุดมศึกษา มัธยม ประถม อนุบาล...ก็แสดงธรรมข้ออื่นที่เหมาะสมตามระดับครับ...
....................................................................3
พระพุทธเจ้า จะไม่แสดงธรรม ที่สูงกว่าระดับผู้ฟังครับ..ซึ่งจะเป็นการไม่เกิดประโยชน์แก่ทั้งสองฝ่าย..ครับ...
.............................................................................................
ตอนนี้ ผมก็เป็นแค่ระดับนักเรียนอนุบาลฝันในฝัน ผมต้องปฎิบัติตามคุณครูไม่ใหญ่ของผมไปก่อนครับ....ค่อยๆ ทำตามคุณครูไม่ใหญ่และหมู่คณะไปก่อน ว่าไงว่าตามกันครับ..
สักวันหนึ่งผมปราถนาจะได้จบปริญญาเอก ในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝัน โดยมีคุณครูไม่ใหญ่ได้แสดงธรรมเรื่อง อริยสัจสี่ ครับ.............อนุโมทนาบุญกับ ผู้ตั้งกระทู้ครับ...
.......................................................................................
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#7 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 23 January 2006 - 08:46 PM
นิพพานอยู่ตรงไหน ถ้าเป็นที่คุณครูไม่ใหญ่ บอก ก็เหนือภพสามไปสามเท่า แต่ถ้าในพระไตรปิฎกพริกจนจบปริญญา ก็ไม่แสดงให้เห็นครับ มรรค ถ้าเป็นที่หลวงปู่วัดปากน้ำสอนก็ศูนย์กลางกายฐานที่เจ็ดไงครับ ส่วนเหตุใดที่พระอริยเจ้ามองเห็น ก็มองเห็นด้วยกำลังสมาธิไงครับ ที่เรามองไม่เห็นเพราะกำลังสมาธิของเราไม่ดีพอไงครับ แล้วถามว่า หลับตาแล้วเห็นได้ไง ก็เหมือนกับตอนที่เราฝัน เราก็หลับตาไงครับ เราก็ไม่ได้ใช้ตาเห็นแต่ใช้ใจเห็น แต่เป็นใจที่มีคุณภาพนะครับ ซึ่งจะชัดกว่าการฝันและยาวกว่าการฝันเยอะ และพระอรหันต์ท่านเป็นผู้หมดกิเลสและกำลังสมาธิของท่านก็สะอาดมากกว่าเราเยอะๆมากไงครับ ท่านจึงมองเห็น ส่วนที่เรามองไม่เห็น เพราะไม่เคยทำสมาธิ หรือ ไม่ก็ทำแล้วยังไม่ถึงขั้นที่สามารถทำได้อย่างท่านไงครับ
ถ้าพระโมคคัลานะถูกโจรทุบร่างจนแหลกเหลว เกิดความทุกข์ ถามว่าท่านหลุดพ้นจากบ่วงคือความทุกข์ได้อย่างไร?
การหลุดพ้นจากความทุกข์ ต้องถามว่า เอาอะไรหลุดพ้น ถ้ามองดีนะครับ ตอนที่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้แล้ว ท่านยังต้องทานข้าวไหมครับ ต้องบอกว่าต้องทาน ถามว่าท่านยังต้องเข้าห้องนำไหมครับ ก็ต้องเข้า ถามว่าท่านยังหิวน้ำไหม ก็ยังหิวนะครับ ท่านยังแก่ไหม ก็ยังแก่ นี่ก็หมายความว่า แม้จะเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทุกข์ทางกายก็มีอยู่จริงไหมครับ แต่ถ้าถามว่า เมื่อท่านบรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านทุกข์ใจไหม ตอบตรงๆว่าไม่ เพราะใจท่านปราศจากกิเลสแล้ว คือ ความโลภ ความโกรธ ความหลวง จริงไหมครับ
ถามว่าพระโมคคัลานะ ท่านแม้ท่านได้รับความทุกข์ทางกาย ด้วยการทุบตีทำร้าย นั่นป็นเรื่องของกาย คือ ทุกข์ทางกาย แต่สิ่งที่ท่านใช้หลุดจากบ่วงทุกข์ คือ ใจที่เข้าถึงความเป็นพระอรหันต์ไงครับ ทุกข์กายใช้อำนาจของสมาธิระงับได้ด้วยนะครับ ไม่งั้นท่านไม่สามารถทนต่อทุกข์เวทนาได้หรอกครับ พระอรหันตฺกะคนธรรมดาต่างกันที่สภาพของใจนี่ล่ะครับ
เหมือนตอนที่พระพุทธเจ้าท่าน ดับขันธปรินิพพาน คำว่า ดับขันธ์ ก็หมายถึง ดับขันธ์ที่เป็นรูปอย่าง เป็นนามอย่าง เป็นรูปก็ได้แก่ร่างกายนี่ละครับ ส่วนเป็นนามก็เป็นความเห็นจำคิดรู้ที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์ออกไป แล้วเอาธรรมขันธ์เข้านิพพานไงครับ
ขึ้นชื่อว่าพระอรหันต์ ทำไมจึงยังเจ็บและทุกข์ได้อีก??
พระอรหันต์ก็ยังต้องกินข้าวไม่ใช่เหรอครับ ยังต้องเข้าห้องน้ำ อึ ฉี่ ไม่ใช่เหรอครับ ต้องทานน้ำ ถ้าไม่ทานจะเอาแรงที่ไหนมาทำความเพียรล่ะครับ กล่าวง่ายๆ พระอรหันต์ก็มีร่างกายที่เป็นรังแห่งโรคอยู่ไงครับ ตอนเข้านิพพานท่านถึงไม่เอาไปด้วยไง
ในเมื่อเหตุแห่งทุกข์ คือ สมุทัย ท่านรู้ โดยเจริญนิโรธและ มรรค แล้วเหตุใดจึงยังเจ็บอยู่อีกเล่า???
รู้สึกว่าท่านผู้ถาม จะไม่มีความรู้เรื่องนี้เลยนะครับ (ว่าหน่อย) ทุกข์เป็นผลที่เกิดจากสมุทัย สมุทัยเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ส่วนนิโรธเป็นผลที่เกิดจากมรรค มรรคเป็นเหตุให้เกิดนิโรธ
สมุทัย คือ เหตุทำให้เกิดทุกข์ กล่าว คือ ความอยาก เช่น พี่อยากกินข้าว ถ้าไม่ได้กินก็เป็นทุกข์ไงครับ
ส่วนนิโรธ คือ ผลที่เกิดจากการปฏิบัติมรรคมีองค์แปด เหมือนที่พระพุทธเจ้า ท่าน ปฏิบัติมรรคข้อที่เรียกว่าสัมมาสมาธิ แล้ว ท่านก็มองเห็นทางสายกลางที่เรียกว่า มัชมาปฏิปทา ทางสายกลาง หรือ ศูนย์กลางกาย จนสุดท้ายเข้าถึงพระธรรมกาย และเข้าไปนิพพานไงครับ
ส่วนเหตุที่ทุกข์ ก็เอาง่ายๆอ่ะนะครับ ในธรรมจักรหรือบทสวดมนต์ต่างๆๆ พระพุทธท่านก็บอกอยู่แล้วไงครับ ว่า เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นทุกข์ทั้งนั้น แล้ว ถามว่า จะเป็นพระอรหันต์นี่ต้องเกิดไหม จะเป้นพระพุทธเจ้าต้องมีแม่ แล้วเกิดไหม ก็ต้องเกิด พรพุทธเจ้าท่านแก่ไหมครับ ก็แก่ นี่ละครับ มันทุกอย่างนี้ไงครับ
เอาอย่างนี้นะครับ ถ้าอยากอ่านเพิ่มเติม แนะนำไปอ่านในพระไตรปิฏกได้หนึ่งล่ะ สองไปเรียนธรรมศึกษา สองล่ะ สามไปเรียนดีโอยู สี่ไปอ่านบทเทศน์พระมงคลเทพมุนี ห้า ไปเรียนในโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา ติดจานดาวธรรม
หรือ ไม่ก็หาครูดีให้เจอ แล้วฟังคำครู ตรองคำครู และทำตามครู แล้วเราจะเจริญก้าวหน้าในการศึกษานะครับ โม้มาเยอะแล้งไปแล้วนะครับ สนุกดีที่ได้สนทนาด้วยนะครับ โมทนา
#8
โพสต์เมื่อ 23 January 2006 - 10:25 PM
เข้าใจว่าคุณ xlmen น่าจะถามเพื่อให้หลายๆ คนได้ทบทวนความรู้นะคะ
ไม่ใช่ว่าจะไม่ทราบอะไรเลย เพราะคำถามเหล่านี้ดูเหมือน basic
แต่พอมาดูกันจริงๆ แล้ว บางคนยังไม่เข้าใจอริยสัจจ์เท่าที่ควร
คุณ "โอเชครับ" น่าจะ register เป็นสมาชิกนะคะ จะได้เรียกชื่อถูกค่ะ
#9
โพสต์เมื่อ 23 January 2006 - 10:53 PM
ในเมื่อเธอรู้จักทุกข์จริง เหตุใดเธอยังเวียนเกิดเวียนตายอยู่เล่า?
ในเมื่อเธอรู้จักสมุทัยจริง เหตุใดเธอยังเวียนเกิดเวียนตายอยู่เล่า?
ในเมื่อเธอรู้จักนิโรธจริง เหตุใดเธอยังเวียนเกิดเวียนตายอยู่เล่า?
ในเมื่อเธอรู้จักมรรคจริง เหตุใดเธอยังเวียนเกิดเวียนตายอยู่เล่า?
หรือการเรียนของเธอจะเป็นหมัน???
อริยสัจ 4 อยู่ที่ไหน? ตู้หรือ? หนังสือหรือ? ซีดีหรือ? เธอเห็นแล้วหรือ? เธอบรรลุแล้วหรือ? ชาติสุดท้ายของเธอแล้วหรือ?
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#10 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 24 January 2006 - 11:36 AM
#11 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 24 January 2006 - 11:38 AM
#12 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 24 January 2006 - 11:53 AM
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ธุระในพระพุทธศาสนา มีสองอย่าง หนึ่งละคันถธุระ สองวิปัสสนาธุระ ถ้าปริยัติไม่สำคัญจริงท่านไม่กล่าวหรอกครับ ส่วนถ้าไม่มีใครมาเรียนมาศึกษาภาคทฤษฎี แน่ใจเหรอครับ ว่า คำสอนของพระศาสดาจะหลงเหลือให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาแล้วนำปฏิบัติ ตรองให้ดีนะครับ
#13 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 24 January 2006 - 11:55 AM
#14
โพสต์เมื่อ 24 January 2006 - 12:43 PM
คุณโอเช คุณแน่ใจหรือว่าผมไม่ทราบความหมายของอริยสัจ 4 จุดประสงค์ที่ผมนำกระทู้อริยสัจ 4 ขึ้นมาพูดเพื่อต้องการที่จะให้ผู้ที่ปฏิบัติเข้าถึงได้แสดงปัญญาหรือหนทางค้นพบอริยสัจ 4 ด้วยการปฏิบัติโดยแท้ไม่ใช่แค่การศึกษา ท่องจำ หรืออ่านจำคำพูดจากตำรามาแสดงกล่าวเพื่ออวดภูมิกัน และผลพลอยได้ก็จะเกิดกับเพื่อนสมาชิกที่จะได้ประโยชน์จากธรรมทานที่เกิดจากเพื่อนสมาชิกด้วยกันครับ
ผมขอถามคุณโอเชว่า อริยสัจ 4 มันง่ายขนาดนั้นเชียวหรือครับ คุณมีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็นได้ แต่จะดีมากถ้าความคิดเห็นนั้นเกิดมาจากการปฏิบัติแล้วเข้าถึงแล้ว หรืออย่างน้อยก็ไม่จำตำรามาคุยครับ ก่อนที่คุณจะปรามาสใครกรุณาเข้าใจเจตนาของผู้ตั้งกระทู้ด้วยว่าเขาต้องการให้บุคคลท่านอื่นๆ ได้ความรู้ จากเพื่อนๆ ให้ทุกคนที่มีความรู้เหมือนกันมาแสดง มิใช่การเจตนามาคุยโวว่าใครรู้มากกว่าใครเที่ยวว่าบุคคลอื่นว่าไม่มีความรู้เลย เพราะเจตนาที่คุณตอบผมมานั้นผมยอมรับว่าเป็นคำตอบที่ดีสำหรับเพื่อนท่านอื่นๆ ที่จะได้อ่าน แต่มันเสียตรงที่คุณหลงภูมิปัญญาของพระพุทธเจ้าว่าเกิดจากภูมิรู้ของคุณเท่านั้นเอง ความภูมิใจที่คุณคิดว่าคุณรู้มากกว่าคนอื่นแล้วกล่าวคำปรามาส คือ กิเลส มานะทิฐิความชั่วที่หลงออกมาจากใจของคุณแล้วครับ เวลาที่คุณโอเชจะแสดงธรรมใดๆ ขอให้นึกถึงพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และเกรงใจท่านด้วยเพราะความรู้ทั้งหลายมาจากพระพุทธเจ้า ถ้าคุณแสดงธรรมเพื่อประโยชน์จริงคำพูดเหล่านี้จะไม่ออกมาหรอกครับ ตรงข้ามคุณจะรู้สึกว่ายังมีบุคคลอื่นอีกมากที่เขาควรจะได้รู้ได้เห็นธรรมเหมือนอย่างที่คุณรู้บ้าง แต่ถ้าธรรมะของพระพุทธเจ้าติดอยู่เพียงที่ริมฝีปากคุณโอเช หาได้เข้าไปถึงใจแล้ว ผมก็ขออาราธนาให้ธรรมะเหล่านั้นเข้าถึงใจคุณโดยเร็วพลัน ขอให้คุณมีใจเป็นกุศล ไม่เทศนาใครเพื่ออวดภูมิ และเคารพว่าคำสอนนี้ของพระพุทธเจ้าไม่ใช่ของคุณให้มากๆ เพื่อละลายทิฐิคือความหลงภูมิปัญญาของตนเองในเวลานี้เทอญ
#15 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 24 January 2006 - 12:45 PM
ปฏิบัติยังไม่ได้แต่ศึกษาจากความรู้ของพระพุทธเจ้าได้ เรียนจากคำสอนของหลวงพ่อ หลวงปู่ จึงรู้ว่านี่คือทุกข์ นี่คือนิพพาน แต่มั่นใจในความรู้ครูบาอาจารย์ครับ
เธอเป็นพระอริยะเจ้าแล้วหรือถึงได้มั่นใจนัก เธอเคยเห็นนิพพานกับตาเธอเองหรือถึงกล่าวว่านิพพานมีจริง? หรือชาตินี้คือชาติสุดท้ายของเธอ???
ยังไม่เป็นพระอริยะเจ้า ยังไม่เคยเห็นนิพพานด้วย แต่ก็พยายามปฏิบัติทุกวันไม่ได้ขาด แต่มั่นใจว่าพระพุทธเจ้า หลวงปู่ที่ท่านพูดว่า นิพพานตดปึ๋งเดี๋ยวก็ถึง เป็นเรื่องจริง แน่นอนครับ ชาตินี้ไม่ใชชาติสุดท้ายของผมแน่นอน เพราะจะไปที่สุดแห่งธรรมกะหมู่คณะ
ในเมื่อเธอรู้จักทุกข์จริง เหตุใดเธอยังเวียนเกิดเวียนตายอยู่เล่า?
ก็เพราะไม่รู้นี่ละครับ ถึงได้พยายามศึกษาหาความจริง และจริงๆๆคนรู้ทุกข์ก็ใช่ว่าจะเป็นพระอริยเจ้าเสมอไป สมมุติ มีดบาดมือพี่เจ็ดไหม เจ็บ ทุกข์มะ ทุกข์สิ อกหัก เจ็บมะ เจ็บ ทุกข์มะ ทุกข์สิ แล้ว เฉพาะพระอริยะหรือเปล่าที่ต้องรู้ว่านี่คือทุกข์ ไม่ใช่ซักกะหน่อย แม้จะรู้ทุกข์ ก็เวียนไว้ตายเกิดได้นะครับ เพราะทุกคนเกิดมาในโลกก็มีทุกข์กันอยู่แล้ว เราอะอยู่กับทุกข์ตลอดเวลาล่ะครับ อย่างน้อยก็ทุกข์ที่เกิดจากความเสริมของสังขาร จริงปะครับ
ในเมื่อเธอรู้จักสมุทัยจริง เหตุใดเธอยังเวียนเกิดเวียนตายอยู่เล่า?
รู้สมุทัยแล้ว ก็เวียนว่ายได้เกิดอยู่แล้วละครับ เพราะรู้ แค่รู้ ไม่ได้หมายความว่า กำจัดสมุทัยได้จริงปะครับ รู้ๆๆๆๆว่ามันมีอยู่
ในเมื่อเธอรู้จักนิโรธจริง เหตุใดเธอยังเวียนเกิดเวียนตายอยู่เล่า?
การรู้นิโรธแล้ว ทำไมจะเวียนว่ายตายเกิดไม่ได้ หลวงปู่รู้นิโรธจริง ท่านเชื่อเหมือนกันป่ะครับ แล้วทำไมท่านต้องเวียนว่ายตายเกิดอีกอ่ะครับ ตอนประชุมเอ็มพีเเอล พระอาจารย์ท่านว่าไปโน้น หลวงปู่ไปรู้นิพพานถอดกาย ไม่ถอดกาย แล้วตอนนี้ หลวงพ่อบอกว่าท่านจะลงมาสร้างบารมีอีก อย่างนี้รู้แล้วเวียนว่ายตายเกิดได้ไหมครับ พิจารณาดูเองละกันนะ ส่วนผมไม่รู้หรอก แต่อย่างน้อยก็มั่นใจว่าธรรมะภายในเห็นได้จริง เพราะ ปฏิบัติเห็นมาแล้ว
ในเมื่อเธอรู้จักมรรคจริง เหตุใดเธอยังเวียนเกิดเวียนตายอยู่เล่า?
มรรคหน่ะ ท่านหมายถึงตั้งหลายอย่างพี่ ตั้งแต่สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ เป็นหนทางที่ถูกต้องในการสร้างบารมี เพื่อให้บารมีสิบทัศและอุปบารมี และปรมัตถบารมี เกิดรวมเป็นสามสิบทัศอย่างถูกต้อง ไม่ใช่ทำไปมั่วๆ ไม่มีหลักการ ตัวอย่างบางศาสนาสนอให้ฆ่าสัตว์ ฆ่าคนนอกรีดบอกว่าได้บุญ อย่างนี้ไม่ใช่มรรคที่ถูกต้อง จริงป่ะ ไปเปิดในคัมภีรอันกุระอ่านได้ แล้วเมื่อรู้ว่านี่เป็นหนทางปฏิบัติเพื่อพ้นทุกข์จึงหมั่นปฏิบัติเพื่อสั่งสมบุญบารมีพี่ พระพุทธเจ้า สังสมตั้งนานยี่สิบอสงไขยแสนมหากัปป์ เวียนว่ายตายเกิดมานับภพนับชาติไม่ถ้วน แต่ละชาติก็เดินตามมรรคในแต่ละข้อมาต่างกัน จนสุดท้ายก็ค้นหาศูนย์กลางกายเจอ และอีกอย่างแม่เราท่านจะรู้ว่า ศูนย์กลางกายเป็นหนทางพระนิพพานเป็นมัชฌิมาปฏิปทา แต่ถามจริงๆๆชาติหน้าต้องเกิดไหมครับ เกิดแน่ๆๆ แต่ถ้าไม่อยากเกิดก็มีวิธีนะครับพี่ ไปอ่านในหกสิบสามกัณฑ์หลวงปู่นะครับพี่
หรือการเรียนของเธอจะเป็นหมัน??? ไม่เป็นหมันแน่นอนเพราะอย่างน้อยก็รู้วิธีการในการปฏิบัติ ไม่ได้ปฏิบัติแบบมั่วๆ อย่างน้อยก็เอาธรรมะมาสอนตนเองได้ ว่า ชีวิตมีทุกข์ ที่เกิดจากความอยาก และที่ที่ไม่มีทุกข์ก็มีอยู่ และทำทานรักษาศีลเจริญสมาธิภาวนา สร้างบารมี คือทานทางแห่งการดับทุกข์ ไงครับ
อริยสัจ 4 อยู่ที่ไหน?
อริสัจ ๔ เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในตัวของทุกๆคน ทุกข์ก็อยู่ที่มนุษย์ ทั้งทางกาย ทางใจ ตัณหาก็อยู่ที่มนุษย์เพราะมีกันทุกคน ยกเว้นพระอริยะเจ้า นิพพานพระเดชพระคุณหลวงพ่อก็บอกว่า อยู่ที่ไหนครับ ในตัวเราอีกนั่นละ (อย่าสับสนกับสถานที่ตั้งของนิพพานนะครับ) และศูนย์กลางกายอยู่ที่ไหนครับท่าน ในตัวเราอีกนั่นล่ะ ....ตกลงอริสัจ ๔ อยู่ที่ไหนพี่ ตอบหน่อยดังๆๆหน่อย
ตู้หรือ? แน่นอนตู้พระไตรปิฏกในตัว ครับท่าน
หนังสือหรือ? ในหนังก็รวมรวมภาคทฤษฎีไว้สอนคนรุ่นหลัง
ซีดีหรือ? ในซีดีก็เป็นคำสอนที่ถูกบันทึกไว้
เธอเห็นแล้วหรือ? ถ้าเป็นในตู้พระไตรปิฎกนอกตัว ในหนังสือ ตำราต่างๆ ในซีดีคำสอนหลวงพ่อ ในโรงเรียนฝันในฝัน เห็นแล้วแน่นอน ส่วนเรื่องของการปฏิบัติ ก็เดินตามมรรค หมั่นนั่งสมาธิอยู่ทุกวันเหมือนละครับ
และเห็นอีกอย่างหนึ่งก็เห้นนะครับ แต่เห็นไม่หมด อย่างเช่นทุกวันนี้ผมก็ทุกข์กับการต้องดูแลเอาใจใส่สังขารตัวเอง ต้องอดทนต่อความอยากที่เกิดขึ้น เช่น อยากได้นั่นอยากได้นี่ อยากเป็นั่นอยากเป็นนี่ อยากกินนั่นกินนี่ อยากขี้ อยากเยี่ยวก็ห้ามไม่ได้ ก็พริจารณาเห็นว่า ไอ้ความอยากนี่ละเหตุแห่งทุกข์ ส่วนนิพพาน ยังไม่เห็นแน่ๆล่ะครับ แต่ก็มั่นใจในครูบาอาจารย์ ส่วนมรรคก็มีประสบการณ์ภายในเหมือนกันละครับ
เธอบรรลุแล้วหรือ?
บรรลุขั้นไหนครับ ปฐมฌาน ทุติย ตติย หรือ จตุฌาน หรือ โคตรภู โสดา สกทา อนาคา อรหัตตา
สมาธิมีหลายระดับก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าอันไหน แต่เอาเป็นว่าก็มีความสุขที่ได้ปฏิบัติก็พอใจแล้ว
ชาติสุดท้ายของเธอแล้วหรือ? ไม่แน่นอนครับ จะไปที่สุดแห่งธรรม
ว่าแต่ว่า ท่านผู้ถามศึกษาแล้ว เอาไปปฏิบัติปะครับ การจับแง่คิดที่ดีที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในการศึกษานะครับ เค้าเรียกว่าเอาโยนิโสมนสิการมาจับ แล้วเราจะมองเห็นคุณค่าของการศึกษา และเพราะการศึกษาอย่างถ่องแท้อย่างเข้าใจหลักเหตุและผลนี่ละครับ ที่เหตุให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรือง หรือ รอดพ้นจากวิกฤตการณ์เลวร้ายต่างๆ เช่น ท่านคุณานันทะ ไงครับ จริงอยู่การศึกษาแม้ว่าจะเหมือนเป็นดาบสองคม คือ ศึกษาแล้วไม่ปฏิบัติ ก็ไม่สามารถบรรลุ แต่แท้จริงการศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้านำอะไรมาครับ ปัญญาไงล่ะ
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เหตุที่ทำให้เกิดปัญญา มีสาม ทาง จนตมยปัญญา สุตตมยปัญญา และภาวนามยปัญญา การศึกษาธรรมแม้ไม้ได้ปฏิบัติ อย่างน้อยก็ได้ปัญญาที่เกิด ในสองข้อแรก
นัตถิ ปัญญา สมาอาภา แสงส่วางที่เสมอปัญญาไม่มี โอเชนะครับ
#16 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 24 January 2006 - 01:00 PM
ในเมื่อเหตุแห่งทุกข์ คือ สมุทัย ท่านรู้ โดยเจริญนิโรธและ มรรค แล้วเหตุใดจึงยังเจ็บอยู่อีกเล่า???
มีนทำให้คนอ่านสับสน ถ้าคุณบอกว่าคุณรู้จริง งั้นแสดงว่าคุณเจตนาทำให้ผู้อ่านสับสนใช่หรือไม่
#17
โพสต์เมื่อ 24 January 2006 - 03:34 PM
ผมบอกหรือไม่ว่าผมรู้จริง ผมพูดหรือไม่ว่าพระธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นของผม ผมบอกคุณหรือว่าผมเห็นอริยสัจ 4 แล้ว ความหมายที่เราท่านทั้งหลายได้เรียนมา พอที่จะทราบความหมายอยู่บ้าง แต่เนื่องจากธรรมะของพระศาสดาสุขุม นุ่มลึกมาก ผมจึงจำต้องขอฟังความเห็นจากผู้รู้ท่านอื่นเป็นธรรมดาครับ ที่สำคัญกระทู้อริยสัจ 4 มาจากพระโอฐของพระพุทธเจ้า ทุกครั้งที่ผมจะกล่าวธรรมนี้ผมจะต้องบอกที่มาของพระธรรมเทศนาว่ามาจากพระไตรปิฏกเล่มไหน?? และการที่ผมตั้งคำถามก็เป็นเจตนาถามเพื่อคนอื่นให้ได้รับความรู้ด้วยครับ
คุณโอเช ครับ ในโลกใบนี้ยังมีคนอีกมากที่เขาไม่เชื่อในสิ่งเหล่านี้ และคนอีกมากที่ยังไม่รู้ในสิ่งเหล่านี้ ดังนั้นผมจึงเป็นเพียงแค่ตัวแทนของคนเหล่านั้นเท่านั้นเองที่จะออกมาถาม เพื่อต้องการความรู้ ไม่ใช่ต้องการมาสัมปยุทธทางวาจา ทั้งคุณและผมต่างก็ยังมองไม่เห็นอริยสัจ 4 ดังนั้นเวลาจะแสดงธรรมใดๆ ขอให้แสดงด้วยใจที่เป็นกลางงดเว้นการพาดพิงด้วยวาจาเถอะครับ เพราะบาปเกิดขึ้นทันทีที่จิตคุณคิดปรามาสผู้อื่นครับ ผมเป็นเพียงผู้เตือน
และขอย้ำว่าคำว่า อริยสัจ 4 ผมไม่ใช่ผู้ค้นพบ ผู้ค้นพบคือพระพุทธเจ้าครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#18 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 24 January 2006 - 03:46 PM
เรื่องของเรื่อง คือ ต่างเข้าใจผิดกัน ได้โปรดงดโทษด้วยนะครับ พอดีเรื่องนี้ผมค้นมาสี่ถึงห้าปี และบางครั้งก็มีโอกาสได้ อธิบายบ่อยๆ และทำเป็นรายงานส่งอาจารย์ในวิชาพุทธธรรมอ่ะครับ ก็เลย คิดว่าตัวเองน่าจะเป็นส่วนในการแก้ต่างให้คนวัดเราได้ โอ ทำไปเพราะความไม่รู้แท้ๆๆๆ
ขอพระคุณเจ้า ได้โปรดงดโทษ แก่โอเช ด้วย
#19
โพสต์เมื่อ 24 January 2006 - 03:59 PM
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#20 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 24 January 2006 - 06:46 PM
#21
โพสต์เมื่อ 24 January 2006 - 09:31 PM
....ยิ้มกันทุกวันอย่าเก็บไว้......ยิ้ม.ยิ้ม...
................................................................
เรียน..ท่านโอเช ที่นับถือ..
มาสมัครเป็นนักเรียนอนุบาลฝันในฝันกันดีกว่านะครับ..จะได้เป็นทีมเดียวกันครับ..
หนักนิด เบาหน่อย ก็หยอกๆกันแบบฉบับนักเรียนอนุบาล..จะได้อนุโมทนาบุญร่วมกันในทุกๆบุญครับ..........
........ยินดีต้อนรับครับ.ท่าน โอเช..
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#22
โพสต์เมื่อ 25 January 2006 - 09:42 AM
any how interesting Dhamma and the time line beteween the two colums
wow khun โอเช either type really fast or the moderator was pondering about to put the reply back on or not ;
xlmen Yesterday 14:43 .....ผู้มาเยือน Yesterday 14:45 , interesting indeed....
any how thank you kah for bring up อริยสัจ 4 it's always a good Dhamma piece to "pond" on. And khun โอเช thank you for explainng it in depth
you always learn more things in the DMC forum.....
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง
#23
โพสต์เมื่อ 25 January 2006 - 09:57 AM
ศึกษาด้วย เจริญภาวนา
ศึกษา ด้วยวิธี หยุด ใน หยุด
หยุด มีทุกความรู้ ทุกคำตอบ
ขอให้ทุกๆท่าน มีความสุข ความสำเร็จ ในการเรียนธรรมะ
ด้วยวิธี หยุดในหยุด กันทุกท่านนะครับ
#24
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 07:33 PM
ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ซึ่งเป็นสี่คำที่ลึกซื้งครอบคลุมคำสอนของพระพุทธองค์เกือบทั้งหมดที่เกี่ยวกับชีวิตเป็นข้อสรุปมาจาก ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเข้าใจยาก พระพุทธองค์มีวิธีสอนธรรมะได้หลายแบบ จึงได้สรุปง่ายๆเพียง 4 คำ แต่ละคำมีความขยายออกไปอีกมากและบางครั้งพระองค์ท่านก็สอนเรื่องไตรลักษณ์คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ซึ่งก็เป็นหลักสำคัญของชีวิต ที่มีตัวทุกข์เป็นตัวร่วม
ทุกข์ ได้อธิบายไว้แล้วว่าเป็นองค์ประธานของศาสนาพุทธ ซึ่งบรรยายถึงชีวิตของมนุษย์ซึ่งประกอบด้วยขันธ์ห้า (คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ซึ่งขันธ์ห้านี้เต็มไปด้วยความทุกข์ เกิดเป็นทุกข์ แก่เป็นทุกข์ เจ็บป่วยเป็นทุกข์ ตายเป็นทุกข์ ไม่สบายใจ โศกเศร้าเป็นทุกข์ พบสิ่งที่ไม่พอใจเป็นทุกข์ พลัดพรากจากสิ่งที่รักเป็นทุกข์ ไม่สมหวังเป็นทุกข์ จึงเห็นได้ว่าทุกข์เป็นองค์ประธานของขันธ์ห้า หรือชีวิตมนุษย์
คำต่อมาคือ ทุกขสมุทัย หรือเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งตัวสำคัญได้แก่ตัณหา ที่มีกามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา ดังได้เขียนไว้แล้ว แต่นอกจากนี้ยังมีข้อที่เป็นเหตุแห่งทุกข์อีกมากมายได้แก่
อกุศลมูล
อกุศลกรรมบท 10
นิวรณ์ 5
มลทิน 9
อุปกิเลส 10
ทุจริต 3
ทั้งสิ้นนี้เป็นเหตุแห่งทุกข์ทั้งสิ้น
นิโรธ หมายถึง ความพ้นทุกข์คือการต้องตัดตัณหา อุปาทาน อวิชชา เปรียบเหมือนเชื้อไฟเมื่อไม่มีเชื้อก็หมดไฟ
มรรค คือ วิถีทางปฏิบัติให้พ้นทุกข์ หมายถึง ไม่กลับเวียนว่ายตายเกิดอีก คือนิพพาน ซึ่งมีอยู่ทางเดียวคือ มรรคมีองค์แปด ไม่มีทางอื่นมากกว่านี้ได้แก่
1. ความเห็นชอบ (สัมมาทิฎฐิ) มีปัญญาเห็นชอบในสิ่งที่ถูกทั้งทางโลกและธรรมะ เช่น เห็นอริยสัจสี่ เห็นว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เห็นความไม่เที่ยงของสังขาร เป็นต้น
2. ดำริชอบ (สัมมาสังกัปปะ) ไม่คิดโกรธ เบียดเบียน รักใคร่ ยึดธรรมะ คิดให้หลุดพ้นจากกามจากโลภ
3. วาจาชอบ (สัมมาวาจา) ไม่พูดปด พูดส่อเสียด พูดหยาบ พูดเพ้อเจ้อ พูดสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
4. ปฏิบัติชอบ (สัมมากัมมันตะ) ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ขโมย ไม่ประพฤติผิดในกาม
5. เลี้ยงชีวิตชอบ (สัมมาอาชีวะ) ไม่โกง ไม่หลอกลวง ไม่เกี่ยวข้องกับสิ่งผิดกฎหมาย ยาเสพติด เป็นต้น
6. เพียรชอบ (สัมมาวายามะ) ทำความเพียรทั้งทางโลกและทางธรรม
7. ระลึกชอบ (สัมมาสติ) มีความระลึกชอบ รู้ถูกรู้ผิดทางธรรมโดยมุ่งตัดกิเลสทั้งปวง
8. ตั้งมั่นชอบ (สัมมาสมาธิ ) จิตอยู่ในสมาธิที่ถูกต้องได้เสมอ
อ่านดูคิดว่าง่ายและน่าจะทำได้ใน 8 ข้อนี้ เพราะย่อลงได้เพียง 3 คำคือ ศีล (ข้อ 3-5) สมาธิ (ข้อ 6-8) ปัญญา (ข้อ 1-2) แต่ความเป็นจริงยากเย็นมากที่จะปฏิบัติทุกข้ออย่างสม่ำเสมอจนสามารถพ้นทุกข์ได้ ท่านเอาความเห็นชอบ ดำริชอบซึ่งตรงกับปัญญาไว้ต้น เพราะเป็นความสำคัญที่สุดที่จะทำให้คนมุ่งจะปฏิบัติตามมรรคอื่นๆเพื่อให้ทุกข์ จะต้องมี 2 ข้อนี้ก่อน ความจริงทั้ง 8 ข้อ มีความต่อเนื่องกันเป็นวงกลมไม่เป็นเส้นตรงคือ
ต้องมีปัญญาทางโลกก่อนจึงจะคิดถือศีล หรือปฏิบัติสมาธิ และเมื่อปฏิบัติแล้วถึงขั้น ตัวปัญญาจึงจะเกิดเป็นปัญญาทางธรรม
#25
โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 07:55 PM
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#26
โพสต์เมื่อ 17 March 2007 - 04:04 PM