ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ศาสนาพุทธห้ามฆ่าแต่ยังกินเนื้อ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 39 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#31 สาคร

สาคร
  • Members
  • 764 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 August 2006 - 12:20 PM

อืมอออ... ผมก็กินเนื้อสัตว์ บางครั้งขณะกินก็นึกว่าเขาน่าจะทำเป็นลาบหรือต้มยำ ไม่รู้ว่าโดนด้วยหรือเปล่า
ความรักความเมตตาและการให้อภัยเป็นสิ่งที่คนดีเขามีกัน


[email protected]

#32 real

real
  • Members
  • 33 โพสต์
  • Location:yeah
  • Interests:yeah

โพสต์เมื่อ 26 August 2006 - 10:55 PM

ถ้าจะให้ตอบว่า พระห้ามฆ่าสัตว์ แล้ว ทำไมไม่กินเจ
ผมคงตอบว่า มันไม่เห็นเกี่ยวกันหรอก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับตัวพระ แต่ เกี่ยวกับตัวโยม(ชาวโลกทั้งหลาย)
ไม่เกี่ยวกันเพราะอะไรนะ เหรอ
ผมจะตอบฝรั่งว่า แล้วคุณทำให้คนทั้งโลกนับถือศาสนาพุทธได้หมดทุกคนไหมล่ะ (นับถืออย่างเคร่งครัดด้วยนะ)
ถ้าทำได้ ทุกคนในโลกก็จะไม่ฆ่าสัตว์ และเมื่อทุกคนไม่ฆ่าสัตว์ พวกเขาก็จะเอาอาหารอย่างอื่นมาถวายพระเองแหละ 555+

แต่เอาเข้าจริงๆ คุณทำได้เหรอ มันไม่ง่ายหรอก การที่จะทำให้ทุกคน มีความคิดเดียวกันหมด นับถือศาสนาพุทธอย่างเดียวกันหมด
เมื่อมีความแตกต่างเกิดขึ้น มันก็เป็นไปไม่ได้ ที่จะให้ทุกคนกินเหมือนกัน ผมจะยกตัวอย่างๆง่ายๆว่า
ถ้าสมมติ
ในโลกนี้มีคนอยู่ทั้งหมด 100 คน และ 100คน นับถือพุทธ ดังนั้นทุกคนไม่ฆ่าสัตว์ ทุกคนก็จะกินอย่างอื่นที่ไม่ใช่เนื้อเองแหละ
แต่พอเอาเข้าจริงๆ

ในโลกนี้มีคนอยู่ทั้งหมด 100 คน โดยมี 50คนเป็นพุทธไม่ฆ่าสัตว์ และ ที่เหลือ (50คนไม่เป็นชาวพุทธ ฆ่าสัตว์วันละ หลายตัว จนกินไม่หมด)

คุณจะนำเนื้อที่ถูกฆ่า เหล่านั้น มาใช้ประโยชน์ให้เกิดประโยชน์สูงสุดไม่ดีกว่าหรือ ?
หรือคุณจะปล่อยให้เนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าจนกินไม่หมดหล่านั้น เน่าทิ้งไปเฉยๆ เหรอ ?
เพราะยังไงๆ 50 คนที่เขาไม่ใช่ชาวพุทธ เขาก็ยังคงฆ่าเหมือนเดิม

และนี่ก็เลยเป็นเหตุผลว่า เราจะกินอย่างอื่นที่ไม่ใช่เนื้อก็ได้ หรือจะกินเนื้อก็ได้ เพราะเราไม่สามารถบังคับคนทุกคนให้คิดเหมือนกันได้ ดังนั้นก็เลยทำไม่เหมือนกัน


ปล สมมติว่า 50 คนที่ไม่ใช่ชาวพุทธ เขาอาจคิดว่า สัตว์พวกนี้ถูกสร้างมาให้มนุษย์กินอยู่แล้ว...

#33 suwanno

suwanno
  • Members
  • 2 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 August 2006 - 10:28 PM

แน่ใจหรือว่า "หากชาวพุทธไม่กินเนื้อ" แล้วการฆ่าจะหมดไป ถ้าในโลกมีแต่คนดี โดยไม่มีคนชั่ว เป้นไปได้ ก็อาจเป็นได้ที่การฆ่าจะหมดไป ดี - ชั่ว ถูก - ผิด มันเป็นของอยู่คู่โลกอยู่อย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้นเอง ในหลายๆ เรื่องพระพุทธเจ้าท่านไม่ห้าม ไม่ได้บังคับ แต่ให้คนเห็นด้วยปัญญาเอง ในเรื่องนั้นๆ "ทรงใช้คำว่าไม่ควร" พระเองไม่ใช่ว่าไม่ห้ามเลย แต่พระองค์ห้ามฉันเนื้อที่รู้ ที่เห็น ที่ได้รังเกียจ ว่าเขาฆ่ามาจำเพาะเจาะจง เนื้ออย่างนี้ท่านห้ามพระฉัน ถ้าฉันก็เป็นอาบัติ (คำสอนของพุทธศาสนาเป้นเรื่องละเอียดอ่อน เพราะทรงเน้นหนักในด้านของปัญญาก็ว่าได้) ...ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่คงทนต่อการท้าพิสูทธิ์ เป็นศาสนาที่มีหลักเหตุและผลยิ่งกว่าศาสนาใดในโลก....

#34 วัดในดวงใจ

วัดในดวงใจ
  • Members
  • 1199 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 September 2006 - 08:58 PM

อนุโมทนาบุญครับ
พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์

#35 สุญญปาณี

สุญญปาณี
  • Members
  • 11 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 October 2006 - 06:01 PM

ใครอยากรู้ว่าพระพุทธเจ้าทรงเสวยเนื้อสัตว์หรือไม่ อ่านพระสูตรต่อไปนี้

อามคันธสูตรที่ ๒

ติสสดาบสทูลถาม พระผู้มีพระภาคพระนามว่า กัสสป ด้วยคาถาความว่า
[๓๑๕] สัตบุรุษทั้งหลายบริโภคข้าวฟ่าง ลูกเดือย ถั่วเขียว ใบไม้ เหง้ามัน และผลไม้ที่ได้แล้วโดยธรรม หาปรารถนากาม กล่าวคำเหลาะแหละไม่.
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคพระนามว่า กัสสป พระองค์เมื่อเสวยเนื้อชนิดใดที่ผู้อื่นทำสำเร็จดีแล้ว ตบแต่งไว้ถวายอย่างประณีต เมื่อเสวยข้าวสุกแห่งข้าวสาลี ก็ชื่อว่า ย่อมเสวยกลิ่นดิบ.
ข้าแต่พระองค์ ผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพรหม พระองค์ตรัสอย่างนี้ว่า กลิ่นดิบย่อมไม่ควรแก่เรา แต่ยังเสวยข้าวสุกแห่งข้าวสาลีกับ เนื้อนกที่บุคคลปรุงดีแล้ว.
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคพระนามว่า กัสสป ข้าพระองค์ขอทูลถามความข้อนี้กะพระองค์ว่า กลิ่นดิบของพระองค์มีประการอย่างไร ?

พระผู้มีพระภาคพระนามว่า กัสสป ตรัสตอบด้วยพระคาถาว่า
การฆ่าสัตว์ การทุบตี การตัด การจองจำ การลัก การพูดเท็จ การกระทำด้วยความหวัง การหลอกลวง การเรียนคัมภีร์ที่ไร้ประโยชน์ และการคบหาภรรยาผู้อื่น นี้ชื่อว่ากลิ่นดิบ. เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่า กลิ่นดิบเลย.
ชนเหล่าใดในโลกนี้ ไม่สำรวมในกามทั้งหลาย ยินดีในรสทั้งหลาย เจือปนไปด้วยของไม่สะอาด มีความเห็นว่า ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล มีการงานไม่เสมอ บุคคลพึงแนะนำได้โดยยาก นี้ชื่อว่า กลิ่นดิบของชนเหล่านั้น. เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่า เป็นกลิ่นดิบเลย.
ชนเหล่าใดผู้เศร้าหมอง หยาบช้า หน้าไหว้หลังหลอก ประทุษร้ายมิตร ไม่มีความกรุณา มีมานะจัด มีปกติไม่ให้ และไม่ให้อะไรๆแก่ใครๆ นี้ชื่อว่า กลิ่นดิบของชนเหล่านั้น. เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่า กลิ่นดิบเลย.
ความโกรธ ความมัวเมา ความเป็นคนหัวดื้อ ความตั้งอยู่ผิด มายา ฤษยา ความยกตน ความถือตัว ความดูหมิ่น และความสนิทสนมด้วยอสัตบุรุษทั้งหลาย นี้ชื่อว่า กลิ่นดิบ. เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่า กลิ่นดิบเลย.
ชนเหล่าใดในโลกนี้ มีปรกติประพฤติลามก กู้หนี้มาแล้วไม่ใช้ พูดเสียดสี พูดโกง เป็นคนเทียม เป็นคนต่ำทราม กระทำกรรมหยาบช้า นี้ชื่อว่า กลิ่นดิบของชนเหล่านั้น. เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่า กลิ่นดิบเลย.
ชนเหล่าใดในโลกนี้ ไม่สำรวมในสัตว์ทั้งหลาย ชักชวนผู้อื่นประกอบการเบียดเบียน ทุศีล ร้ายกาจ หยาบคาย ไม่เอื้อเฟื้อ นี้ชื่อว่า กลิ่นดิบของชนเหล่านั้น. เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่า กลิ่นดิบเลย.
สัตว์เหล่าใดกำหนัดแล้วในสัตว์เหล่านี้ โกรธเคือง ฆ่าสัตว์ ขวนขวายในอกุศลเป็นนิตย์ ตายไปแล้วย่อมถึงที่มืด มีหัวลงตกไปสู่นรก นี้ชื่อว่า กลิ่นดิบของชนเหล่านั้น. เนื้อและโภชนะไม่ชื่อว่า กลิ่นดิบเลย.
การไม่กินปลาและเนื้อ ความเป็นคนประพฤติเปลือย ความเป็นคนโล้น การเกล้าชฎา ความเป็นผู้หมักหมมด้วยธุลี การครองหนังเสือพร้อมทั้งเล็บ การบำเรอไฟ
หรือแม้ว่าความเศร้าหมองในกายที่เป็นไปด้วยความปรารถนาความเป็นเทวดา การย่างกิเลสเป็นอันมากในโลก มนต์และการเซ่นสรวง ยัญและการซ่องเสพฤดู ย่อมไม่ยังสัตว์ผู้ไม่ข้ามพ้นความสงสัยให้หมดจดได้.
ผู้ใดคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหกเหล่านั้น รู้แจ้งอินทรีย์แล้ว ตั้งอยู่ในธรรม ยินดีในความเป็นคนตรงและอ่อนโยน ล่วงธรรมเป็นเครื่องข้องเสียได้ ละทุกข์ได้ทั้งหมด
ผู้นั้นเป็นนักปราชญ์ ไม่ติดอยู่ในธรรมที่เห็นแล้ว และฟังแล้ว ฯ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสบอกความข้อนี้บ่อยๆ ด้วยประการฉะนี้
ติสสดาบสผู้ถึงฝั่งแห่งมนต์ได้ทราบความข้อนั้นแล้ว
พระผู้มีพระภาคผู้เป็นมุนี ทรงประกาศด้วยพระคาถาทั้งหลาย อันวิจิตรว่า
บุคคลผู้ที่ไม่มีกลิ่นดิบ ผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยแล้ว ตามรู้ได้ยาก
ติสสดาบสฟังบทสุภาษิตซึ่งไม่มีกลิ่นดิบ อันเป็นเครื่องบรรเทาเสียซึ่งทุกข์ทั้งปวง ของพระพุทธเจ้าแล้ว เป็นผู้มีใจนอบน้อม ถวายบังคมพระบาทของตถาคต ได้ทูลขอบรรพชาที่อาสนะ นั่นแล ฯ


จบ อามคันธสูตรที่ ๒


ดู อรรถกถาที่ ความคิดเห็นที่ 1

ที่มา และแนะนำ :-
พระไตรปิฎกเล่มที่ 25 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 17
ขุททกนิกาย สุตตนิบาต จูฬวรรค อามคันธสูตร
http://dharma.school...w...7&lend=7809

สารบัญ พระสุตตันตปิฎก
http://84000.org/tipitaka/pitaka2/

อรรถกถา อามคันธสูตร
มีคำเริ่มต้นว่า สามากจิงฺคูลกจีนกานิ จ เป็นต้น
ถามว่า พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นอย่างไร ?
ตอบว่า พระสูตรนี้มีการเกิดขึ้นดังต่อไปนี้ :-
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่เสด็จอุบัติขึ้น พราหมณ์ชื่อว่า อามคันธะ บรรพชาเป็นดาบสพร้อมกับมาณพ ๕๐๐ คน ให้สร้างอาศรมอยู่ในระหว่างภูเขา (หุบเขา) มีเผือกมันและผลไม้ในป่าเป็นอาหาร อยู่ที่หุบเขาแห่งนั้น ดาบสไม่บริโภคปลาและเนื้อเลย.
ครั้งนั้น โรคผอมเหลืองก็เกิดขึ้นแก่ดาบสเหล่านั้น ผู้ไม่บริโภคของเค็ม ของเปรี้ยวเป็นต้น.
ต่อแต่นั้น ดาบสเหล่านั้นก็พูดกันว่า เราจะไปยังถิ่นมนุษย์ เพื่อเสพของเค็มและของเปรี้ยว ดังนี้แล้ว จึงได้เดินทางไปถึงปัจจันตคาม
ในปัจจันตคามนั้น มนุษย์ทั้งหลายเห็นดาบสเหล่านั้นแล้ว ก็เลื่อมใสในดาบสเหล่านั้น นิมนต์ให้ฉันอาหาร มนุษย์ทั้งหลายได้น้อมเตียง ตั่ง ภาชนะสำหรับบริโภคและน้ำมันทาเท้าเป็นต้น แก่ดาบสเหล่านั้น ผู้ทำภัตกิจเสร็จแล้ว แสดงที่เป็นที่อยู่ด้วยกล่าวว่า
ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลายจงอยู่ในที่นี้ ขอพวกท่านอย่าได้กระสันต์ ดังนี้แล้ว ก็พากันหลีกไป.
แม้ในวันที่สอง พวกมนุษย์ได้ถวายทานแก่ดาบสเหล่านั้น แล้วได้ถวายทานวันละ ๑ บ้านตามลำดับเรือนอีก ดาบสทั้งหลายอยู่ในที่นั้นสิ้น ๔ เดือน มีร่างกายแข็งแรงขึ้น เพราะได้เสพรสเค็มและรสเปรี้ยว จึงได้บอกแก่มนุษย์ทั้งหลายว่า
ท่านทั้งหลาย (อาวุโสทั้งหลาย) พวกเราจะไปละ.
มนุษย์ทั้งหลายได้ถวายน้ำมันและข้าวสารเป็นต้น แก่ดาบสเหล่านั้น. ดาบสเหล่านั้นถือเอาน้ำมันและข้าวสารเป็นต้นเหล่านั้น ได้ไปยังอาศรมของตนนั้นเอง (ตามเดิม)
ก็ดาบสเหล่านั้นได้มาสู่บ้านนั้นทุกๆ ปีเหมือนอย่างเคยปฏิบัติมา.
แม้พวกมนุษย์ทราบว่าดาบสเหล่านั้นพากันมา จึงได้ตระเตรียมข้าวสารเป็นต้น ต้องการเพื่อจะถวายทาน และได้ถวายทานแก่ดาบสเหล่านั้นผู้มาแล้ว เหมือนเช่นทุกครั้ง.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก ทรงแสดงธรรมจักรอันบวรแล้ว เสด็จไปยังเมืองสาวัตถีโดยลำดับ ประทับอยู่ที่เมืองสาวัตถีนั้น ทรงเห็นอุปนิสสัยสมบัติของดาบสเหล่านั้น เสด็จออกจากเมืองสาวัตถีนั้น มีหมู่ภิกษุแวดล้อม เสด็จจาริกไปอยู่ เสด็จถึงบ้านนั้นตามลำดับ.
มนุษย์ทั้งหลายเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ได้ถวายมหาทาน. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมแก่มนุษย์เหล่านั้นด้วยพระธรรมเทศนานั้น มนุษย์เหล่านั้นบางพวกสำเร็จเป็นพระโสดาบัน บางพวกสำเร็จเป็นพระสกทาคามี และพระอนาคามี บางพวกบรรพชาแล้วบรรลุพระอรหัต.
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จกลับมายังกรุงสาวัตถีเช่นเดิมอีก.
ครั้งนั้น ดาบสเหล่านั้นได้มาสู่บ้านนั้น มนุษย์ทั้งหลายเห็นพวกดาบสแล้ว ก็ไม่ได้ทำการโกลาหลเช่นกับในคราวก่อน. ดาบสทั้งหลายถามพวกมนุษย์เหล่านั้นว่า
ท่านทั้งหลาย เพราะเหตุไร มนุษย์เหล่านี้จึงไม่เป็นเช่นกับคราวก่อน หมู่บ้านแห่งนี้ ถูกลงราชอาชญาหรือหนอแล หรือว่าถูกประทุษร้ายด้วยทุพภิกขภัย หรือว่ามีบรรพชิตบางรูปซึ่งสมบูรณ์ด้วยคุณมีศีล เป็นต้นมากกว่าพวกเรา ได้มาถึงหมู่บ้านแห่งนี้.
มนุษย์เหล่านั้นเรียนว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย บ้านนี้จะถูกลงราชอาชญาก็หาไม่ ทั้งจะถูกประทุษร้ายด้วยทุพภิกขภัยก็หาไม่ ก็แต่ว่าพระพุทธเจ้าทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลก พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ทรงแสดงธรรมเพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นอันมาก ได้เสด็จมา ณ หมู่บ้านแห่งนี้.
อามคันธดาบสฟังคำนั้นแล้ว จึงพูดว่า คหบดีทั้งหลาย พวกท่านพูดว่า พุทฺโธ ดังนี้หรือ?
มนุษย์ทั้งหลายกล่าวขึ้นสิ้น ๓ ครั้งว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกข้าพเจ้าย่อมกล่าวว่า พุทฺโธ ดังนี้.
อามคันธดาบสยินดีแล้ว เปล่งวาจาแสดงความยินดีว่า แม้เสียงว่า พุทฺโธ นี้แล เป็นเสียงที่หาได้ยากในโลก ดังนี้ จึงได้ถามว่า พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นเสวยกลิ่นดิบหรือหนอแล หรือว่าไม่เสวยกลิ่นดิบ.
พวกมนุษย์ถามว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ อะไรคือกลิ่นดิบ.
อามคันธดาบสกล่าวว่า ดูก่อนคหบดีทั้งหลาย ปลาและเนื้อ ชื่อว่ากลิ่นดิบ.
มนุษย์ทั้งหลายกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยปลาและเนื้อ.
ดาบสฟังคำนั้นแล้วก็เกิดวิปฏิสาร (เดือดร้อนใจ) ว่า บุคคลผู้นั้นจะพึงเป็นพระพุทธเจ้าหรือ หรือว่าไม่พึงเป็นพระพุทธเจ้า. ดาบสนั้นคิดอีกว่า ชื่อว่าการปรากฏขึ้นของพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลาย บุคคลได้โดยยาก เราไปเฝ้าพระองค์ แล้วถามจักทราบได้.
ต่อจากนั้น ดาบสนั้นจึงได้ไปยังที่พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ถามหนทางนั้นกะมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รีบร้อนประดุจแม่โคที่หวงลูก ได้ไปถึงกรุงสาวัตถี โดยการพักคืนหนึ่งในที่ทุกแห่ง เข้าไปยังพระเชตวันนั้นแล พร้อมกับบริษัทของตน.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทับนั่งบนอาสนะเพื่อแสดงธรรมในสมัยนั้น ดาบสทั้งหลายเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้นิ่งไม่ถวายบังคมได้นั่งอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสปราศรัยแสดงความชื่นชมกับดาบสเหล่านั้น โดยนัยว่า ท่านฤาษีทั้งหลาย ท่านทั้งหลายพออดทนได้ละหรือ ดังนี้เป็นต้น.
แม้ดาบสเหล่านั้นก็ได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพระองค์ทั้งหลายพออดทนได้ ดังนี้เป็นต้น.
ลำดับนั้น อามคันธฤาษีได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระองค์เสวยกลิ่นดิบ หรือไม่เสวย.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า พราหมณ์ ชื่อว่ากลิ่นดิบนั้น คืออะไร ?
ดาบสนั้นทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ปลาและเนื้อชื่อว่ากลิ่นดิบ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพราหมณ์ ปลาและเนื้อไม่ใช่กลิ่นดิบ ก็แลกิเลสทั้งปวงที่เป็นบาป เป็นอกุศลธรรม ชื่อว่ากลิ่นดิบ แล้วตรัสว่า
ดูก่อนพราหมณ์ ตัวท่านเองได้ถามถึงกลิ่นดิบในกาลบัดนี้ก็หามิได้ แม้ในอดีตพราหมณ์ ชื่อว่าติสสะ ก็ได้ถามถึงกลิ่นดิบกะพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่า กัสสปะ แล้ว
ก็ติสสพราหมณ์ได้ทูลถามแล้วอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงพยากรณ์แล้วอย่างนี้ ดังนี้ แล้วได้ทรงนำมาซึ่งพระคาถาที่ติสสพราหมณ์ และพระผู้มีพระภาคเจ้ากัสสปะตรัสแล้วนั้นแล
เมื่อจะให้อามคันธพราหมณ์ทราบด้วยคาถาเหล่านี้ จึงตรัสว่า สามากจิงฺคูลกจีนกานิ จ ดังนี้เป็นต้น.
นี่คือเหตุเกิดขึ้นแห่งพระสูตรนี้ ในที่นี้เพียงเท่านี้ก่อน.

แต่ในอดีตกาลมีเหตุเกิดขึ้นดังต่อไปนี้
ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์พระนามว่า กัสสปะ บำเพ็ญบารมี ๘ อสงไขยกับแสนกัปได้ถือปฏิ#####ในครรภ์ของนางพราหมณี ชื่อว่า ธนวดี ปชาบดีของพรหมทัตตพราหมณ์ในเมืองพาราณสี. แม้อัครสาวกก็เคลื่อนจากเทวโลก ในวันนั้นเหมือนกัน อุบัติในครรภ์ของปชาบดีของพราหมณ์ผู้เป็นอนุปุโรหิต. การถือปฏิ#####และการคลอดจากครรภ์ของพระโพธิสัตว์ และอัครสาวกทั้งสองนั้น ได้มีแล้วในวันเดียวกันนั่นเอง ด้วยประการฉะนี้.
ญาติทั้งหลายได้ตั้งชื่อบุตรของพราหมณ์คนหนึ่งว่า กัสสปะ บุตรของพราหมณ์คนหนึ่งว่า ติสสะ ในวันเดียวกันนั้นเอง. เด็กทั้งสองเหล่านั้นเป็นสหาย เล่นฝุ่นกันมา ได้ถึงความเจริญวัยโดยลำดับ.
บิดาของติสสะได้สั่งลูกชายว่า ดูก่อนพ่อ สหายกัสสปะนี้ออกบวชแล้ว จะเป็นพระพุทธเจ้า. แม้เจ้าเองบวชในสำนักของพระพุทธเจ้าพระนามว่า กัสสปะ นั้นแล้ว ก็จะพึงทำการสลัดออกจากภพเสียได้.
ติสสะนั้นรับว่า ดีละ แล้วก็ไปยังสำนักของพระโพธิสัตว์กล่าวว่า ดูก่อนสหาย แม้เราทั้งสองจักบรรพชาด้วยกัน. พระโพธิสัตว์รับว่า ดีละ.
ต่อจากนั้น ในกาลที่สหายทั้งสองเจริญวัยโดยลำดับ ติสสะพูดกับพระโพธิสัตว์ว่า สหาย มาเถิดเราจะบรรพชาด้วยกัน. พระโพธิสัตว์มิได้ออกบรรพชา. ติสสะคิดว่า ญาณของสหายนั้นยังไม่ถึงกาลแก่รอบก่อน ดังนี้แล้ว ตนเองจึงได้ออกบวชเป็นฤาษี ให้สร้างอาศรมอยู่ที่เชิงภูเขาในป่า.
ในสมัยต่อมา แม้พระโพธิสัตว์ ทั้งๆ ที่ดำรงอยู่ในเรือนนั้นเอง ก็กำหนดอานาปานสติ ทำฌาน ๔ และอภิญญาให้บังเกิดขึ้น แล้วเสด็จไปที่ใกล้โคนต้นโพธิด้วยปราสาท (ด้วยฤทธิ์) แล้วอธิษฐานอีกว่า ขอปราสาทจงดำรงอยู่ในที่ตามเดิมนั้นแล. ปราสาทนั้นก็ไปประดิษฐานอยู่ในที่ของตนตามเดิม.
ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์ที่มิใช่บรรพชิต ไม่อาจจะเข้าถึงโคนต้นโพธิได้ เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์บรรพชาแล้ว จึงไปถึงโคนต้นโพธิ นั่งทำความเพียรอยู่ ๗ วัน ทำให้แจ้งแล้วซึ่งสัมโพธิญาณโดยใช้เวลา ๗ วัน
ณ กาลครั้งนั้น ที่ป่าอิสิปตนะมีบรรพชิตอยู่ถึง ๒ หมื่นรูป ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ ตรัสเรียกบรรพชิตเหล่านั้นมา แล้วทรงแสดงธรรมจักร. ในเวลาจบพระสูตรนั้นเอง บรรพชิตทุกรูปก็เป็นพระอรหันต์.
ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น มีภิกษุ ๒ หมื่นรูปเป็นบริวาร ประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนะนั้นนั่นเอง และพระเจ้ากาสีพระนามว่า กิกี ทรงอุปัฏฐากพระองค์ด้วยปัจจัย ๔.
ต่อมาวันหนึ่ง บุรุษชาวเมืองพาราณสีคนหนึ่ง แสวงหาวัตถุทั้งหลายมีแก่นจันทน์เป็นต้นที่ภูเขา ลุถึงอาศรมของติสสดาบส อภิวาทดาบสนั้นแล้วได้ยืนอยู่ ณ ข้างหนึ่ง.
ดาบสเห็นบุรุษนั้นแล้วถามว่า ท่านมาจากที่ไหน
บุรุษนั้นตอบว่า ผมมาจากเมืองพาราณสีขอรับ.
ดาบสถามว่า ความเป็นไปที่เมืองพาราณสีนั้นเป็นอย่างไรบ้าง.
บุรุษนั้นตอบว่า ท่านผู้เจริญ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า กัสสปะ บังเกิดขึ้นแล้วที่เมืองพาราณสีนั้น.
ดาบสได้สดับคำที่ฟังได้โดยยากก็เกิดปีติโสมนัส แล้วถามว่า พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นเสวยกลิ่นดิบหรือไม่เสวย.
บุรุษนั้นถามว่า กลิ่นดิบคืออะไรขอรับ.
ดาบสตอบว่า กลิ่นดิบคือปลาและเนื้อสิคุณ.
บุรุษนั้นตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสวยปลาและเนื้อ.
ดาบสฟังคำนั้นแล้วก็เกิดวิปฏิสาร ดำริอีกว่า เราจะไปทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ถ้าหากว่าพระองค์จักตรัสว่า เราบริโภคกลิ่นดิบ. ต่อแต่นั้น เราก็จะห้ามพระองค์ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อนั้นไม่เหมาะสมแก่ชาติและสกุลของพระองค์ ดังนี้แล้วคิดว่า เราบวชในสำนักของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้น จักกระทำการสลัดออกจากภพได้ ดังนี้แล้วจึงได้ถือเอาอุปกรณ์ (บริขาร) ที่เบาๆ ไปถึงเมืองพาราณสีในเวลาเย็น โดยการพักราตรีเดียวในที่ทั้งปวง เข้าไปแล้วสู่ป่าอิสิปตนะนั้นเอง.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งบนอาสนะ เพื่อแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ในสมัยนั้นนั่นเอง. ดาบสเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ไม่ถวายบังคม เป็นผู้นิ่งได้ยืนอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นดาบสนั้นแล้ว ตรัสปฏิสันถารโดยนัยที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้ว ในตอนต้นนั้นแล.
แม้ดาบสนั้นกล่าวคำทั้งหลายเป็นต้นว่า “ ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่ากัสสปะผู้เจริญ พระองค์ทรงพออดทนได้อยู่หรือ.“ ดังนี้เป็นต้น แล้วนั่ง ณ ส่วนข้างหนึ่ง ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระกัสสปะผู้เจริญ พระองค์เสวยกลิ่นดิบหรือไม่..
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พราหมณ์ เราหาได้เสวยกลิ่นดิบไม่.
ดาบสทูลว่า ข้าแต่พระกัสสปะผู้เจริญ สาธุ สาธุ พระองค์เมื่อไม่เสวยซากศพของสัตว์อื่น ได้ทรงกระทำกรรมดีแล้ว ข้อนั้นสมควรแล้วแก่ชาติ สกุล และโคตร ของพระกัสสปะผู้เจริญ.
ต่อแต่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงดำริว่า เราพูดว่าเราไม่บริโภคกลิ่นดิบ ดังนี้หมายถึง (กลิ่นดิบ) คือกิเลสทั้งหลาย พราหมณ์เจาะจงเอาปลาและเนื้อ ทำอย่างไรหนอ เราจะไม่เข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาตพรุ่งนี้ จะพึงบริโภคบิณฑบาตที่เขานำมาจากวังของพระเจ้ากิกิ คาถาปรารภกลิ่นดิบจักเป็นไปอย่างนี้ ต่อแต่นั้นเราจะให้พราหมณ์เข้าใจได้ ด้วยพระธรรมเทศนา ดังนี้แล้ว ทรงทำบริกรรมสรีระแต่เช้าตรู่ในวันที่สอง เสด็จเข้าไปยังพระคันธกุฎี ภิกษุทั้งหลายเห็นพระคันธกุฏีปิด จึงรู้ได้ว่า วันนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ประสงค์จะเสด็จเข้าไปพร้อมกับภิกษุทั้งหลาย จึงได้กระทำป#####พระคันธกุฎี แล้วเข้าไปเพื่อบิณฑบาต.
แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าออกจากพระคันธกุฎี แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ฝ่ายดาบสแลต้มกิ่งใบไม้ แล้วเคี้ยวกิน แล้วนั่งอยู่ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้า. พระเจ้ากาสิกราชพระนามว่า กิกิ เห็นภิกษุทั้งหลายเที่ยวบิณฑบาตจึงตรัสถามว่า ท่านผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปไหน และได้ทรงสดับว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในวิหาร มหาบพิตร. แล้วจึงได้ทรงสั่งโภชนะที่ถึงพร้อมด้วยกับและรสต่างๆ สมบูรณ์ด้วยชนิดของเนื้อ แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
อำมาตย์ทั้งหลายไปสู่วิหาร กราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ถวายน้ำทักษิโณทก เมื่อจะอังคาสก็ได้ถวายข้าวยาคู อันถึงพร้อมด้วยเนื้อนานาชนิดเป็นครั้งแรก ดาบสเห็นแล้วจึงได้ยืนคิดอยู่ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสวยหรือไม่หนอ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อดาบสนั้นดูอยู่นั้นแล จึงทรงดื่มข้าวยาคูทรงใส่ชิ้นเนื้อเข้าไปในพระโอษฐ์ ดาบสเห็นแล้วก็โกรธ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดื่มข้าวยาคูเสร็จแล้ว อำมาตย์ทั้งหลายก็ได้ถวายโภชนะอันประกอบด้วยกับข้าว อันมีรสต่างๆ อีก ดาบสเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับโภชนะ แม้นั้นเสวยอยู่ก็โกรธยิ่งขึ้น กล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ฉันปลาและเนื้อ.
ครั้งนั้น ดาบสได้เข้าไปหาพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงทำภัตกิจเสร็จแล้วทรงล้างมือและเท้าประทับนั่งอยู่ ทูลว่า
ข้าแต่ท่านกัสสปะผู้เจริญ ท่านตรัสคำเท็จ ข้อนั้นไม่ใช่กิจของบัณฑิต ด้วยว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทั้งหลายทรงติเตียนมุสาวาทไว้แล้ว แม้พวกฤาษีเหล่านั้นเหล่าใดยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยมูลผลาผลในป่า อยู่ ณ เชิงเขา ฤาษีแม้เหล่านั้นก็ไม่ยอมพูดเท็จ
เมื่อจะพรรณนาคุณทั้งหลายของฤาษีทั้งหลายด้วยพระคาถา จึงกล่าวว่า สามากจิงฺคูลกจีนกานิ จ เป็นต้น.
ติญชาติและธัญชาติที่เข้าถึงซึ่งความเป็นสิ่งอันบุคคลขจัด (เปลือกออกเสียแล้ว)
หรือว่าเลือกเอาแต่รวงทั้งหลายแล้วถือเอา ชื่อว่า ข้าวฟ่าง ในคาถานั้น
อนึ่ง ลูกเดือย (จิงฺคูลกา) มีรวงซึ่งมีสัณฐานเหมือนดอกกณวีระ.
ถั่วเขียว (จีนกานิ) ซึ่งเขาปลูกแล้ว เกิดขึ้นที่เชิงเขาในดง ชื่อว่า จีนกานิ.
ใบไม้ (สีเขียว) อย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปตฺตปฺผลํ.
เผือกมันอย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่า มูลปฺผลํ.
ผลไม้และผลเถาวัลย์อย่างใดอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ควิปฺผลํ.
อีกประการหนึ่ง เผือกมันท่านถือเอาด้วยศัพท์ว่า มูล.
ผลไม้และผลแห่งเถาวัลย์ ท่านถือเอาด้วยศัพท์ว่า ผล.
ผลแห่งกระจับและแห้วเป็นต้น ซึ่งเกิดในน้ำ ท่านถือเอาด้วยศัพท์ว่า ควิปฺผล.
สองบทว่า ธมฺเมน ลทฺธํ ความว่า ละมิจฉาชีพ มีการเป็นทูตรับใช้ และการไปสื่อข่าว แล้วได้มาด้วยการท่องเที่ยวขอเขาเลี้ยงชีพ.
พระอริยเจ้าทั้งหลายผู้สงบ ชื่อว่า สตํ.
บทว่า อสมานา ได้แก่ บริโภคอยู่.
ด้วยบาทพระคาถาว่า น กามกามา อลิกํ ภณนฺติ ฤาษีย่อมแสดงถึงการติเตียนต่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยการสรรเสริญฤาษีทั้งหลายว่า
ฤาษีทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ยึดถือของของตน บริโภคอยู่ซึ่งข้าวฟ่างเป็นต้นเหล่านี้ อยู่อย่างนี้ ย่อมไม่พูดคำเหลาะแหละเพราะปรารถนากาม คือว่าปรารถนากามอยู่ก็ไม่พูดคำเท็จ อย่างที่พระองค์ปรารถนากามทั้งหลายอันมีรสอร่อยเป็นต้น เสวยกลิ่นดิบอยู่นั้นแล ก็ยังตรัสว่า พราหมณ์ เราหาบริโภคกลิ่นดิบไม่ ชื่อว่าตรัสคำไม่จริง (เหลาะแหละ) ดังนี้.
พราหมณ์ ครั้นติเตียนพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยการอ้างคำสรรเสริญฤาษีทั้งหลายอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะแสดงเรื่องการติเตียนตามที่ตนประสงค์ จะติเตียนพระผู้มีพระภาคเจ้าโดยนิปปริยาย จึงได้กล่าวว่า ยทสมาโน เป็นต้น.
ท อักษรในคาถานั้นเป็นการเชื่อมบท แต่เนื้อความมีดังต่อไปนี้ :-
เนื้อนกมูลไถ หรือเนื้อนกกระทาอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งกระทำดีแล้วด้วยการบริกรรมในเบื้องต้น มีการล้างและการหั่นเป็นต้น สำเร็จดีแล้วด้วยการบริกรรมในภายหลัง มีการปรุงและการย่างเป็นต้น อันชนเหล่าอื่นผู้ใคร่ธรรมซึ่งสำคัญอยู่ว่า ท่านผู้นี้ไม่ใช่มารดา ไม่ใช่บิดา (ของเรา) แต่อีกอย่างหนึ่งแล ท่านผู้นี้เป็นทักขิเณยยบุคคล ดังนี้ ได้ถวายไป ชื่อว่า ตกแต่งดีแล้วในการกระทำสักการะ.
ชื่อว่า ประณีต คือตกแต่งเรียบร้อย คือว่าประณีต เพราะเป็นโภชนะมีรสเลิศ เพราะเป็นโภชนะมีโอชะ เพราะเป็นโภชนะที่สามารถจะนำมา ซึ่งกำลังและไขมัน พระองค์เสวยอยู่ คือให้นำมาอยู่ คือว่าพระองค์เสวยเนื้ออย่างใดอย่างหนึ่งอย่างเดียวก็หามิได้ โดยที่แท้แล พระองค์เสวยข้าวสาลีแม้นี้ ได้แก่ ข้าวสุกแห่งข้าวสาลีซึ่งได้เลือกกากออกแล้ว ดาบสเรียกพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยอ้างพระโคตรว่า ข้าแต่ท่านกัสสปะ พระองค์นั้นเสวยกลิ่นดิบ. พระองค์เสวยอยู่ซึ่งเนื้อชนิดใดชนิดหนึ่ง และเสวยอยู่ซึ่งข้าวสาลีนี้ ข้าแต่ท่านกัสสปะ พระองค์ชื่อว่า เสวยกลิ่นดิบ ดังนี้.
ดาบส ครั้นติเตียนพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะอาหารอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เมื่อจะยกเรื่องมุสาวาทขึ้นติเตียน จึงกล่าวว่า น อามคนฺโธ ฯเปฯ สุสงฺขเตหิ
เนื้อความแห่งพระคาถานั้นว่า ดาบส เมื่อกล่าวบริภาษอยู่ว่า
ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพรหม ผู้เว้นจากคุณของพราหมณ์ ข้าแต่ท่านผู้เป็นพราหมณ์ผู้สมมติแต่เพียงชาติ พระองค์เป็นผู้ที่ข้าพระองค์ทูลถามในกาลก่อนแล้ว พระองค์ก็ตรัสอย่างนี้ว่า คือว่าพระองค์ตรัสโดยส่วนเดียว อย่างนี้ว่า กลิ่นดิบไม่สมควรแก่ข้าพเจ้า ดังนี้.
บทว่า สาลีนมนฺนํ ได้แก่ ข้าวสุกแห่งข้าวสาลี.
บทว่า ปริภุญฺชมาโน ได้แก่ บริโภคอยู่.
บาทคาถาว่า สกุนฺตมํเสหิ สุสงฺขเตหิ ความว่า ดาบสกล่าวถึง เนื้อนกซึ่งพระราชานำมาถวายแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าในครั้งนั้น
ก็ดาบสเมื่อจะกล่าวอย่างนี้นั้นเอง จึงได้แหงนมองดูพระวรกายของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในเบื้องล่างตั้งแต่ฝ่าพระบาทจนถึงปลายพระเกศาในเบื้องบน จึงได้เห็นความสมบูรณ์แห่งพระลักษณะอันประเสริฐ ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ รวมทั้งได้เห็นการแวดล้อมแห่งพระรัศมีที่ขยายออกไปวาหนึ่ง จึงคิดว่า
ผู้ที่มีกายประดับด้วยมหาปุริสลักษณะเป็นต้นเห็นปานนี้ ไม่ควรที่จะพูดเท็จ ก็พระอุณาโลมนี้ ซึ่งเกิดขึ้นในระหว่างคิ้ว สีขาวอ่อนนุ่มคล้ายนุ่น และขนที่ขุมขนทั้งหลาย เป็นอเนกเกิดขึ้นแก่ท่านผู้นี้. เพราะผลอันไหลออกแห่งสัจวาจา แม้ในระหว่างภพนั้นเอง ก็บุคคลเช่นนี้นั้นจะพูดเท็จ ในบัดนี้ได้อย่างไร กลิ่นดิบของพระผู้มีพระภาคเจ้าจะต้องเป็นอย่างอื่นแน่แท้
พระองค์ตรัสคำนี้หมายถึง กลิ่นอันใดว่า พราหมณ์ เราหาได้บริโภคกลิ่นดิบไม่ ดังนี้ ไฉนหนอเราจะพึงถามถึงกลิ่นนั้น เป็นผู้มีมานะมากบังเกิดขึ้นแล้ว เมื่อจะเจรจาด้วยอำนาจโคตรนั้นเอง จึงกล่าวคาถาที่เหลือนี้ว่า :-
ข้าแต่ท่านกัสสปะ ข้าพระองค์ขอถามเนื้อความนี้กะพระองค์ว่า กลิ่นดิบของพระองค์มีประการเป็นอย่างไร ดังนี้.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแก้ถึงกลิ่นดิบแก่พราหมณ์นั้น จึงตรัสพระดำรัสเป็นต้นว่า ปาณาติปาโต ดังนี้.
การฆ่าสัตว์ชื่อว่า ปาณาติบาต ในคาถานั้น.
ในคำว่า วธจฺเฉทพนฺธนํ นี้ มีอธิบายว่า การทุบตีทำร้ายสัตว์ทั้งหลายด้วยท่อนไม้เป็นต้น ชื่อว่า วธะ
การทุบตี การตัดมือและเท้าเป็นต้น ชื่อว่า เฉทะ
การตัด การจองจำด้วยเชือกเป็นต้น ชื่อว่า พันธนะ การจองจำ.
การลักและการพูดเท็จ ชื่อว่า เถยยะและมุสาวาท.
การให้ความหวังเกิดขึ้นโดยนัยเป็นต้นว่า เราจักให้ เราจักกระทำแล้วก็ทำให้หมดหวังเสีย ชื่อว่า นิกติ การกระทำให้มีความหวัง.
การให้ผู้อื่นถือเอาสิ่งที่ไม่ใช่ทองว่าเป็นทองเป็นต้น ชื่อว่า วัญจนา การหลอกลวง.
การเล่าเรียนคัมภีร์เป็นอเนกที่ไม่มีประโยชน์ ชื่อว่า อัชเฌนกุตติ การเรียนคัมภีร์ที่ไร้ประโยชน์.
ความประพฤติผิดในภรรยาที่ผู้อื่นหวงแหน ชื่อว่า ปรทารเสวนา การคบหาภรรยาผู้อื่น.
บาทพระคาถาว่า เอสามคนฺโธ น หิ มํสโภชนํ ความว่า ความประพฤติด้วยอำนาจอกุศลธรรม มีปาณาติบาตเป็นต้นนี้ ชื่อว่า อามคันธะ กลิ่นดิบ คือเป็นกลิ่นที่มีพิษ เป็นกลิ่นดุจซากศพ.
ถามว่า เพราะเหตุไร ?
ตอบว่า เพราะไม่เป็นที่พอใจ เพราะคลุกเคล้าด้วยของไม่สะอาด คือกิเลส เพราะเป็นของที่สัปบุรุษทั้งหลายเกลียด และเพราะนำมาซึ่งความเป็นกลิ่นที่เหม็นอย่างยิ่ง.
สัตว์ทั้งหลายเหล่าใด ซึ่งมีกิเลสอันบังเกิดขึ้นแล้ว ด้วยกลิ่นดิบทั้งหลายเหล่าใด สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นผู้มีกลิ่นเหม็นอย่างยิ่งกว่า กลิ่นดิบทั้งหลายเหล่านั้น แม้ร่างที่ตายแล้วของคนที่หมดกิเลสทั้งหลาย ก็ยังไม่จัดว่ามีกลิ่นเหม็น เพราะฉะนั้น กลิ่นนี้ (คือการฆ่าสัตว์เป็นต้น) จึงเป็นกลิ่นดิบ
ส่วนเนื้อและโภชนะที่ผู้บริโภคไม่ได้เห็น ไม่ได้ยิน และไม่ได้รังเกียจ ( คือ ไม่สงสัยว่าเขาฆ่าเพื่อตน ) จัดเป็นสิ่งหาโทษมิได้ เพราะฉะนั้น เนื้อและโภชนะจึงไม่ใช่กลิ่นดิบเลย.
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นทรงวิสัชนากลิ่นดิบโดยนัยหนึ่ง ด้วยเทศนาที่เป็นธรรมาธิษฐานอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพราะเหตุที่สัตว์เหล่านั้นๆ ประกอบด้วยกลิ่นดิบทั้งหลายเหล่านั้นๆ สัตว์ผู้หนึ่งเท่านั้น จะประกอบด้วยกลิ่นดิบทุกอย่างก็หามิได้ และกลิ่นดิบทุกอย่าง จะประกอบกับสัตว์ผู้เดียวเท่านั้น ก็หามิได้ ฉะนั้น เมื่อจะทรงประกาศกลิ่นดิบเหล่านั้นๆ แก่สัตว์เหล่านั้น เมื่อจะทรงวิสัชนากลิ่นดิบด้วยเทศนาที่เป็นบุคลาธิษฐานก่อนโดยนัยว่า ชนทั้งหลายเหล่าใดในโลกนี้ ไม่สำรวมแล้วในกามทั้งหลาย ดังนี้เป็นต้น
จึงได้ทรงภาษิตพระคาถา ๒ พระคาถา.
ในบาทพระคาถานั้น คาถาว่า เย อิธ กาเมสุ อสญฺ ตา ชนา ความว่า
ปุถุชนจำพวกใดจำพวกหนึ่งในโลกนี้ไม่สำรวม เพราะทำลายความสำรวมเสียแล้ว ในกามทั้งหลายกล่าวคือการเสพกาม โดยการเว้นเขตแดนในชนทั้งหลาย มีมารดาและน้าสาว เป็นต้น.
สองบทว่า รเสสุ คิทฺธา ความว่า เกิดแล้ว คือเยื่อใยแล้ว สยบแล้ว คือได้ประสบแล้ว ในรสทั้งหลายที่จะพึงรู้ได้ด้วยชิวหาวิญญาณเป็นผู้มีปกติ เห็นว่าไม่มีโทษ ไม่มีปัญญาเป็นเครื่องสลัดออก บริโภครสทั้งหลายอยู่.
บทว่า อสุจีกมิสฺสิตา ความว่า คลุกเคล้าด้วยของไม่สะอาด กล่าวคือมิจฉาทิฏฐิมีประการต่างๆ เพื่อประโยชน์แก่การได้รส เพราะความติดในรสนั้น.
บทว่า นตฺถีกทิฏฺิ ความว่า ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ ๑๐ อย่าง เช่น มิจฉาทิฏฐิข้อที่ว่า ทานที่ให้แล้วไม่มีผลเป็นต้น.
บทว่า วิสมา ความว่า ประกอบด้วยกายกรรมเป็นต้นที่ไม่สม่ำเสมอ.
บทว่า ทุรนฺนยา ความว่า เป็นผู้อันบุคคลอื่นแนะนำได้โดยยาก ได้แก่ ผู้ที่ประกอบด้วยการไม่สละคืน การยึดมั่นถือมั่นในทิฏฐิที่ผิดๆ.
บทว่า เอสามคนฺโธ ความว่า พึงทราบกลิ่นดิบที่พระผู้มีพระภาคเจ้าแสดงเฉพาะในบุคคล ด้วยคาถานี้ว่ามี ๖ ชนิด ด้วยอรรถที่พระองค์ตรัสไว้ในตอนต้น
แม้อื่นอีกว่า ความไม่สำรวมในกาม ๑ การติดในรส ๑ อาชีววิบัติ ๑ นัตถิกทิฏฐิ ๑ ความเป็นผู้ไม่สม่ำเสมอในทุจริตมีกายทุจริตเป็นต้น ๑ ความเป็นผู้แนะนำได้ยาก ๑.
คำว่า น หิ มํสโภชนํ ความว่า ก็เนื้อและโภชนะหาใช่กลิ่นดิบไม่ ด้วยอรรถตามที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้นั้นแล.
พึงทราบวินิจฉัยแม้ในคาถาที่ ๒ ดังต่อไปนี้.
สองบทว่า เย ลูขสา ความว่า ชนเหล่าใดเศร้าหมอง ไม่มีรส อธิบายว่า ประกอบตนไว้ในอัตตกิลมถานุโยค.
บทว่า ทารุณา ได้แก่ หยาบช้า กักขละ คือประกอบด้วยความเป็นผู้ว่ายาก.
บทว่า (ปร) ปิฏฺิมํสิกา ความว่า ต่อหน้า ก็พูดไพเรา แล้วก็พูดติเตียนในที่ลับหลัง จริงอยู่ ชนทั้งหลายเหล่านี้ ไม่อาจจะแลดูซึ่งหน้าได้ เป็นราวกะว่า แทะเนื้อหลังของชนทั้งหลายลับหลัง เพราะเหตุนั้น ท่านจึงเรียกว่า หน้าไหว้หลังหลอก.
บทว่า มิตฺตทุพฺภิโน คือ ผู้ประทุษร้ายมิตร มีคำอธิบายว่า ปฏิบัติผิดต่อมิตรทั้งหลายผู้ให้ความคุ้นเคย ในเรื่องภรรยา ทรัพย์ และชีวิต ในที่นั้น ๆ.
บทว่า นิกฺกรุณา ความว่า ปราศจากความเอ็นดู คือต้องการให้สัตว์ทั้งหลายพินาศ.
บทว่า อติมาโน ได้แก่ ประกอบด้วยการถือตัวจัด ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
คนบางคนในโลกนี้ ดูหมิ่นผู้อื่นด้วยกระทบถึงชาติกำเนิด ฯลฯ หรือด้วยอ้างถึงวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่ง ความถือตัวเห็นปานนี้ใด ฯลฯ ความเป็นผู้มีจิตเหมือนกับธง.
บทว่า

#36 บุญเย็น

บุญเย็น
  • Members
  • 812 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:thailand

โพสต์เมื่อ 09 October 2006 - 07:33 PM

เรื่องการไม่กินเนื้อ เป็นเรื่องของพระพุทธศาสนาฝ่่ายมหาญาณ โดยมีเหตุผลที่ลึกซึ้งนัก ก่อนอื่นขอถามทุกท่ีานว่า

ถ้าท่านมีความเมตตาในสัตว์เลี้ยงตัวใดตัวหนึ่งของท่าน ไม่ว่าจะเป็น หมา แมว ไก่ ปลา นก เป็ด และอื่นๆ ที่ท่านเลี้ยงไว้เพราะเอ็นดู แล้วอยู่ๆ ก็มีคนนำอาหารจานหนึ่งซึ่งมีกลิ่นหอม น่ารับประทาน แต่คนที่นำมาบอกว่า ขอเชิญท่านรับประทานอาหารจานนี้ ที่ทำมาจาก เนื้อสัตว์ ตัวนั้น ตัีวนี้ ที่ท่านเลี้ยง

เมื่อนั้น ถ้าเป็นท่าน จะสามารถรับประทานอาหารจานนั้นลงหรือไม่
คนทั่วไปมักตอบว่า ทานไม่ลง เพราะเมตตามันลงไปในสัตว์ตัวนั้น แ่ตทำไมคนที่ตอบอย่างนี้ก็ยังสามารถรับประทาน เนื้อสัตว์ที่มาจากร้านตลาดได้
คำตอบก็คือ เพราะเมตตาไม่ได้ไปในสัตว์อื่นๆ ที่ตนไม่รู้จัก

แต่ทางมหาญาณ หรือ พระมหาโพธิสัตว์ ผู้มีใจเสมอ มักไม่กินเนื้อสัตว์มาตั้งแต่เกิด มีครูบาทางภาคเหนือ เช่นครูบาศรีวิชัย ครูชัยวงศาพัฒนา ครูบาบุญชุ่ม เป็ํนต้น
และทางธิเบต ก็มีอีกมาก เพราะเมื่อจิตเสมอในสัตว์ทั้งหมดทั่วโลกมีเมตตาเท่ากันหมด คนที่ปฏิบัติได้ถึงขั้นนี้ โดยธรรมชาติเขาก็ไม่กินเนื้อแน่นอนครับ ยิ่งบางท่านมีบุญมาก เกิดมาไม่ต้องให้ใครสอนก็เป็นเองไม่กินเองโดยธรรมชาติ

มีคำถามว่า การซื้อของโจรผิดกฏหมายหรือไม่
ผิด

แล้วการกินเนื้อสัตว์ผิดหรือไม่
บางท่านว่า ผิด บางท่านว่า ไม่ผิด

แต่ลองคิดถึงเหตุผลนี้น่ะครับว่า เนื้อสัตว์ที่เราท่านทานนี้ ใครเป็นเจ้าของที่แท่จริง
เจ้าของที่แท่จริงก็คือ ตัวสัตว์นั้นเพราะสังขารของมัน แล้วมันถูกฆ่า ถูกนำมาทาน มันอนุญาตหรือไม่
อันนี้ขอผู้อ่าน โปรดพิจารณาเอง

แต่อย่าลืมน่ะครับ สัตว์ฺโลกมีกิเลส มีความยึดมั่น ขนาดคนที่ตาย แล้วมีผู้มาลักเอาสมบัติที่เป็นของนอกตัวไป ยังกลายเป็นผีอาฆาต จองเวร ตามทวงของคน อันนี้ก็มีให้เห็นกันมาก

แล้วเราทานเนื้อสัตว์โดยไม่รู้ว่าสัตว์ตัวที่เราทานไปนั้น มันยินดีในการถูกฆ่าหรือเปล่า มันยินดีในการถูกกินหรือเป่ล่า แล้วมันจะจองเวรหรือเปล่า อันนี้เราท่านก็ไม่ทราบ แต่ลองตรึกตรองดูน่ะครับ

คนที่ทานมังสวิรัต หรือทานเจ มักมีสุขภาพที่แข็งแรง โรคน้อย กว่าคนทั่วไป แล้วที่สำคัญอาหารก็มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นอารมณ์
แม้ร่างทรง(ของจริงน่ะครับเพราะปลอมมีมาก) เทพที่สูงๆ มีเจ้าแม่กวนอิมเป็นต้น ล้วนเป็นร่างที่ถือศีล กินเจ ทั้งนั้น

คนที่เว้นเนื้อสัตว์ จะมีเวรกรรมเรื้องปาณาติบาต เบาบางกว่าคนที่ยังทานเนื้อสัตว์อยู่ (โดยมากน่ะครับ)
การปฏิบัติภาวนาสมาธิจึงไปได้ดี เร็ว สะดวก อันนี้อย่าเพิ่งคัดค้นน่ะครับ ขอท่านผู้ไม่เชื่อลองปฏิบัติดูก่อน
แล้วท่านจะทราบด้วยของท่านเอง

ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ไม่มีตำรามาอ้างอิงน่ะครับ
แต่ขอใหทุกท่านโปรดพิจารณาด้วยเหตุและผลก็แล้วกัน
มีเหตุผลใดก็ขอคำชี้แนะด้วยน่ะครับ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ



ป.ล.ยุคพระศรีอริยเมตไตรย์ ไม่มีเนื้อทานน่ะครับ ถ้าฝึกไว้ก็ดีจะได้ไม่ยากทานเนื้อจะได้อยู่ได้ ความยากเป็นทุกข์
ขอบคุณครับ

นำมอ ตี่ จ่าง อ้วง ผู่ สัก

#37 lufio11

lufio11
  • Members
  • 1 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 October 2006 - 10:38 PM

เรื่องทานเจ ละเว้นการกินเนิ้อนั้น กระผมเห็นด้วยนะครับ
แต่เนื่องด้วยสังคมที่เราอยู่อาจจะทำให้เกิดความทุกทางกายากว่า
ดังนั้น ทางเลือกอาจทำได้มากกว่าเช่น กำหนดการกิน กินให้น้อย กินสัตว์เล็ก
หรือกินเท่าที่จำเป็น แล้วก้อสามารถทำได้อย่างที่ญา๖ผู้ใหญ่ผมทำอยุ่
ท่านไม่กินเนื้อเลยครับ แรกๆ ท่านก้อกินอาทิตย์ล่ะครั้ง 2 ครั้ง
ต่อมาก้อ วันเว้นวัน หลังๆ ก้อเป็นอาทิต เป็นเดือน จนไม่กินเลยครับ
ท่านว่าสบายใจดี เย็นดี มีความสุขดี สุขถึงข้างใน
ดังนั้น เทสกาลกินเจนี้ กระผมจะพยายามเต็มกำลังเพื่อ บุญกุศลอันน้อยนิดเท่าที่สามารถทำได้
อนึ่ง เรื่องข้างบนจากการอ่านแล้ว ทำให้สงสัยในหลายเรื่อง เนื่องจากการไม่เข้าใจถ่องแท้ในคำสอน ทำให้สรุปด้วยตัวเองได้ว่า
การที่จะมีใครมาพูดจา เพื่อการทำให้แตก ขัดแย้ง ผิดในคำสอน อันนั้นย่อมไม่ดี ให้เลือกที่จะทำความเข้าใจก่อน
มิใช่เอาความขัดแย้งมาใส่ใจ ครับ

สาธุ

#38 บุญเย็น

บุญเย็น
  • Members
  • 812 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:thailand

โพสต์เมื่อ 09 October 2006 - 11:00 PM

คุณ lufio11 ตอบได้ดีครบ สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
นำมอ ตี่ จ่าง อ้วง ผู่ สัก

#39 Defilement Destroyer

Defilement Destroyer
  • Members
  • 274 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 15 October 2006 - 10:22 PM

หากคิดว่าสิ่งที่ทำไม่เบียดเบียนทั้งตนเองและผู้อื่นก็จงทำเถอะครับ
คนจะดีไม่ดีไม่ใช่สิ่งที่กินเข้าไป แต่ขึ้นอยู่กับสิ่งที่ทำ
ความเชื่อบางทีมันก็แล้วแต่บุคคลครับ
แม้ในกามลามสูตรจะสอนให้เชื่อเมื่อตนเองพิสูจน์แล้วก็ตาม
แต่ผมยังโง่อยู่ขอเชื่อพระพุทธเจ้าครับ
บรรพชิตควรพิจารณาเนืองๆว่าความเลี้ยงชีวิตของเราเนื่องด้วยผู้อื่น
เราควรทำตัวให้เขาเลี้ยงง่าย
ทำสิ่งไหนก็ตามขอให้กิเลสเราลดก็ ok กินเจหรือกินเนื้อถ้าทำกรรมก็มีผลครับ

-----------------------------------------------------------------------


ภูเขาศิลาล้วนย่อมตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวเพราะแรงลมฉันใด
ผู้ที่ทำนิพพานให้แจ้งแล้ว ก็ย่อมมีจิตตั้งมั่น
ไม่หวั่นไหวในโลกธรรมทั้งหลายฉันนั้น
(พุทธพจน์)

#40 ipat

ipat
  • Members
  • 5 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 June 2007 - 10:04 PM

โหยยยย สลับสับส้อนน งงจางเลยอ่า >.<