คัดลอกมาจาก
ทำไมพระพุทธศาสนา จึงเสื่อมไปจากอินเดีย
พระราชวิสุทธิกวี (พิจิตร ฐิตวัณโณ) เรียบเรียง
http://www.pharm.chu...uter/web_...
ความเสื่อมของพระพุทธศาสนาในอินเดีย
เริ่มโดย Dd2683, Jan 10 2006 10:54 PM
มี 5 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้
#1
โพสต์เมื่อ 10 January 2006 - 10:54 PM
#2
โพสต์เมื่อ 10 January 2006 - 11:37 PM
ป.ล. 6 จากความทรงจำ
พระเดชพระคุณ พระภาวนาวิริยะคุณ ( หลวงพ่อ ทัตตชีโว ) เคยให้ทรรศนะเรื่องการศึกษา ประวัติศาสตร์ไว้
( โดยความหมายว่า )
การศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้รู้เรื่องราวความเป็นมาของชนชาติเรา
แน่นอนการสร้างชาติ การรักษาชาติ ป้องกันประเทศ ก็ต้องมีศรัตรู คู่สงครามบ้าง
แต่ไม่ได้หมายความว่า คนยุคเราต้องไปทำสงครามจองล้างจองผลาญ คู่สงครามในอดีต
ที่สำคัญเราศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อให้รู้สาเหตุ ที่คนรุ่นก่อนทำให้เกิดปัญหาในแต่ละยุคสมัย
เพื่อที่ คนในยุคของเรา จะได้ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา ซ้ำซาก หรือป้องกันเพื่อให้เกิดปัญหาให้น้อยที่สุด
………………….
*** เช่นกันครับ การศึกษาประวัติศาสตร์ ทางศาสนา ก็มีวัตถุประสงค์อย่างนั้น
หวังว่า ไม่มีท่านใด ใจขุ่น หรือมีทรรศนะคติด้านลบ กับศาสนิกชนอื่นที่เคย ล้างผลาญศาสนทายาท พุทธสถาน
อดีต ก็คือ อดีต
อนาคต ก็ขึ้นอยู่กับปัจจุบัน
ดังนั้น ปัจจุบัน จึงสำคัญที่สุด
ที่แต่ละท่าน จะใช้เวลาแห่งชีวิตที่มีอยู่ ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่
ไว้ใช้สร้างบารมี และพัฒนา กาย วาจา ใจ เห็น จำ คิด รู้ ให้สะอาด บริสุทธิ์
เพื่อมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรรม
ขออนุโมทนาบุญในการสร้างบารมีของทุกท่านด้วยนะครับ สาธุ สาธุ สาธุ.
พระเดชพระคุณ พระภาวนาวิริยะคุณ ( หลวงพ่อ ทัตตชีโว ) เคยให้ทรรศนะเรื่องการศึกษา ประวัติศาสตร์ไว้
( โดยความหมายว่า )
การศึกษาเรื่องราวประวัติศาสตร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้รู้เรื่องราวความเป็นมาของชนชาติเรา
แน่นอนการสร้างชาติ การรักษาชาติ ป้องกันประเทศ ก็ต้องมีศรัตรู คู่สงครามบ้าง
แต่ไม่ได้หมายความว่า คนยุคเราต้องไปทำสงครามจองล้างจองผลาญ คู่สงครามในอดีต
ที่สำคัญเราศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อให้รู้สาเหตุ ที่คนรุ่นก่อนทำให้เกิดปัญหาในแต่ละยุคสมัย
เพื่อที่ คนในยุคของเรา จะได้ป้องกันไม่ให้เกิดปัญหา ซ้ำซาก หรือป้องกันเพื่อให้เกิดปัญหาให้น้อยที่สุด
………………….
*** เช่นกันครับ การศึกษาประวัติศาสตร์ ทางศาสนา ก็มีวัตถุประสงค์อย่างนั้น
หวังว่า ไม่มีท่านใด ใจขุ่น หรือมีทรรศนะคติด้านลบ กับศาสนิกชนอื่นที่เคย ล้างผลาญศาสนทายาท พุทธสถาน
อดีต ก็คือ อดีต
อนาคต ก็ขึ้นอยู่กับปัจจุบัน
ดังนั้น ปัจจุบัน จึงสำคัญที่สุด
ที่แต่ละท่าน จะใช้เวลาแห่งชีวิตที่มีอยู่ ใช้ทรัพยากรที่มีอยู่
ไว้ใช้สร้างบารมี และพัฒนา กาย วาจา ใจ เห็น จำ คิด รู้ ให้สะอาด บริสุทธิ์
เพื่อมุ่งไปสู่ที่สุดแห่งธรรรม
ขออนุโมทนาบุญในการสร้างบารมีของทุกท่านด้วยนะครับ สาธุ สาธุ สาธุ.
#3
โพสต์เมื่อ 11 January 2006 - 12:04 AM
QUOTE
กองทัพมุสลิม ไปถึงที่ไหน พระพุทธศาสนา และศาสนาพราหมณ์ ก็ย่อยยับที่นั่น ประชาชนถูกบังคับ ให้ยอมรับนับถือ ศาสนาอิสลาม ถ้าไม่ยอม ก็ถูกประหารทิ้งสิ้น.
ฆาตกรรม ครั้งที่ใหญ่ที่สุดคือ เมื่อมหหมุดโจมตี เมืองกัญญากุพชะ ได้ฆ่าคน ในเมืองไป ประมาณแสนคน จับเอาไปเป็นเชลย 8 หมื่นคน เชลยเหล่านี้ มหหมุดสั่งให้เอาไป ขายเป็นทาส ราคาคนละ 2 รูปี เท่านั้น. นครกาบูล ในอาฟกานิสถาน ของมหหมุด จึงเป็นตลาดค้าทาส ที่ใหญ่ที่สุด.
ฆาตกรรม ครั้งที่ใหญ่ที่สุดคือ เมื่อมหหมุดโจมตี เมืองกัญญากุพชะ ได้ฆ่าคน ในเมืองไป ประมาณแสนคน จับเอาไปเป็นเชลย 8 หมื่นคน เชลยเหล่านี้ มหหมุดสั่งให้เอาไป ขายเป็นทาส ราคาคนละ 2 รูปี เท่านั้น. นครกาบูล ในอาฟกานิสถาน ของมหหมุด จึงเป็นตลาดค้าทาส ที่ใหญ่ที่สุด.
กิเลสมารที่ว่าร้ายแล้ว ยังคงมีพญามารที่อยู่ในเหตุที่ร้ายยิ่งกว่า พุทธศาสนาโดยเฉพาะวิชาธรรมกายถ้าไปรู้ไปเห็นโครงการของพญามารเขามากๆ ก็แน่หละที่เขาจะต้องเดินวิชา บังคับคนของเขาที่มีจิตเป็นบาปให้กระทำการทำลายล้าง เข่นฆ่า ให้บิดเบือนคำสอน ให้ฟุ้งเฟ้อ ละเลยความสันโดษ ให้ผิดธรรมวินัย ให้ไม่รู้ผลของการกระทำในวันนี้ว่าจะมีผลเสียตามมาจากการสร้างหรือไม่สร้างหรือไม่ ? หลอกรู้ลวงญาณให้ไม่รู้ผลคือความแตกแยกของชาวพุทธต่อการกระทำที่หรูหราฟุ่มเฟือยที่ทำไปแล้วหรือไม่ อย่างปัจจุบันนี้ก็มีวัดจำนวนไม่น้อยที่มีการจัดงานมโหรสพรื่นเริง มีการจุดพลุภายในวัด ฉายหนังกางแปลง ละคร ลิเก เลยกลายเป็นว่าคนชอบเที่ยวมากกว่าจะชอบฟังธรรม พูดถึงงานวัดนึกถึงการพาสาวไปเที่ยว ถ้าพูดถึงวัดเฉยๆ นึกถึงงานศพ เป็นต้น
แม้อย่างกรณีวัดพระธรรมกายเองก็เจอปัญหาภายในประเทศเข้าแล้วแบบเต็มอัตราศึกทีเดียว ถ้าไม่ดำเนินนโยบายสมานฉันท์ แต่ยังทำนโยบายตามใจฉันอยู่ สวนกระแสความสันโดษแบบเดิมๆ หันมาสันโดษแบบไฮโซ ก็ยากที่คำว่าวิชชาธรรมกายจะเป็นที่ยอมรับกับคนไทยภายในประเทศได้โดยง่ายครับ ขนาดคนไทยพูดภาษาไทย ฟังภาษาไทย ยังไม่รู้เรื่องแล้วจะไปหวังให้ต่างชาติฟังรู้เรื่องมันจะป่วยการหรือเปล่าครับ
#4
โพสต์เมื่อ 11 January 2006 - 04:20 PM
คนไทยนี่แหล่ะตัวดีค่ะ อย่าไปสนใจให้มาก พูดเท่าไรก็ไม่รู้เรื่องหรอก ขนาดเบียร์ช้างจะเข้าตลาด ยังอ้าแขนรับ ซะจนตัวสั่นไปหมด
รู้จักโครงการป่าล้อมเมืองรึเปล่าละคะ เดี๋ยวนี้ชาวต่างชาติเลิกนับถือพระเจ้ากันเยอะแล้วนะคะ แล้วหันมาหาที่พึ่งทางใจที่ช่วยให้เค้าพ้นทุกข์ได้จริงๆ แบบพุทธศาสนานี่ไงคะ ถ้าชาวต่างชาติเห็นดีเห็นงามเมื่อไร ขี้คร้านพี่ไทย จะเห็นดีเห็นงามตาม ก็คนไทยน่ะ ชอบเลียนแบบไงคะ มีของดีอยู่กับตัว ก็มักจะมองว่าไม่ดี จนเมื่อฝรั่งเอาไปทำให้มันดี เหมือนกระทิงแดงที่กลายเป็น Red Bull ไงละคะ แล้วก็มาคุยโม้กับฝรั่งกันว่า โอ้ย เนี่ย กระทิงแดงอ่ะ ของพี่ไทยคุณรู้มั้ย ฝรั่งตอบว่า "ไม่รู้" เจ้าค่ะ คิดว่าของ Aus
รู้จักโครงการป่าล้อมเมืองรึเปล่าละคะ เดี๋ยวนี้ชาวต่างชาติเลิกนับถือพระเจ้ากันเยอะแล้วนะคะ แล้วหันมาหาที่พึ่งทางใจที่ช่วยให้เค้าพ้นทุกข์ได้จริงๆ แบบพุทธศาสนานี่ไงคะ ถ้าชาวต่างชาติเห็นดีเห็นงามเมื่อไร ขี้คร้านพี่ไทย จะเห็นดีเห็นงามตาม ก็คนไทยน่ะ ชอบเลียนแบบไงคะ มีของดีอยู่กับตัว ก็มักจะมองว่าไม่ดี จนเมื่อฝรั่งเอาไปทำให้มันดี เหมือนกระทิงแดงที่กลายเป็น Red Bull ไงละคะ แล้วก็มาคุยโม้กับฝรั่งกันว่า โอ้ย เนี่ย กระทิงแดงอ่ะ ของพี่ไทยคุณรู้มั้ย ฝรั่งตอบว่า "ไม่รู้" เจ้าค่ะ คิดว่าของ Aus
#5
โพสต์เมื่อ 14 January 2006 - 02:35 PM
ปัจจุบันความรู้ดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า กำลังขยายตัวเข้าสู่ประเทศต่างๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ครับ ข้อมูลจากนิตยสาร Time ระบุว่า ปัจจุบัน มีคนอเมริกันกว่า 10 ล้านคน หันมาฝึกสมาธิอย่างจริงจัง โดยนำความรู้มาจากประเทศ อินเดีย ทิเบต จีน ญี่ปุ่น ลังกา ลาว พม่า และไทยด้วยล่ะครับ
เรื่องการสันโดษนั้น สังคมถูกนักวิชาการศาสนากลุ่มหนึ่ง บิดเบือนให้เข้าใจผิดมานาน ความจริงแล้ว สันโดษหมายถึง พอใจตามมี ยินดีตามได้ แต่ไม่ใช่สันโดษในการสร้างบุญครับ ยิ่งสร้างบุญมาก พระพุทธเจ้ายิ่งทรงสรรเสริญ
ดังเช่นเรื่องราวของอสทิสทาน (สุดยอดแห่งทาน) ของพระเจ้าปเสนทิโกศล
เรื่องราวเริ่มจาก พระราชาทำทานครั้งใหญ่ แล้วบอกชาวเมืองให้มาดูทานของตน ชาวเมืองรวมตัวกัน ถวายทานครั้งใหญ่ แล้วบอกให้พระราชามาดูทานของพวกตน จากนั้น ก็ทำทานแข่งกัน แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงห้ามปรามแต่อย่างใด จนพระราชากลุ้มใจ เพราะท่านมีพระองค์เดียว สู้ชาวเมืองรวมตัวกันไม่ได้
พระนางมัลลิกาทราบเรื่อง จึงทูลว่า พระนางจะจัดการให้พระราชาทำทานแล้วชนะชาวเมืองให้ได้ ว่าแล้วก็ใช้เจ้าชายเจ้าหญิงถึง 500 (ชาวเมืองไม่มีเจ้าชาย เจ้าหญิง) ช้างอีก 500 (ชาวเมืองไม่มีช้าง) มาพิธีให้ทานมโหราฬ ใช้ทรัพย์ถึง 140 ล้านภายในวันเดียว
กาฬอำมาตย์เห็นทานของพระราชาแล้วนึกในใจว่า ฉิบหายใหญ่แล้ว พระราชาผลาญทรัพย์ 14 โกฏิ หมดในวันเดียว เอาไปให้พวกพระ (รวมพระพุทธเจ้าด้วย) พวกนี้กินแล้วก็นอน ไม่มีประโยชน์อันใด สู้เอาไปให้คนยากจนดีกว่า มันคงทำงานให้เราตัวเป็นเกลียวทีเดียว
พระพุทธเจ้าทราบความคิดนั้นแล้ว ทรงทราบว่า ทานนี้ยิ่งใหญ่มาก หากอนุโมทนาเต็มที่ ศีรษะอำมาตย์ผู้นี้จะแตกเป็น 7 เสี่ยงทันที จึงทรงช่วยด้วยการอนุโมทนาแค่สั้นๆ
พระราชาเสด็จไปถามสาเหตุ เมื่อทรงทราบ ก็ทรงบอกกาฬอำมาตย์ว่า เราทำทานก็เป็นเงินของเรา ไปเดือดร้อนเงินของท่านที่ตรงไหน แล้วก็ทรงไล่อำมาตย์ออกนอกประเทศ
หลังจากนั้น พระพุทธเจ้าทรงอนุโมทนาอย่างยิ่งใหญ่ สรรเสริญสุดยอดมหาทานอย่างเปี่ยมล้น
จะเห็นว่า พระพุทธเจ้า ทรงสรรเสริญ การสร้างบุญ เต็มที่ แต่พอกาลผ่านมา นักวิชาการศาสนากลุ่มหนึ่ง ที่มีอิทธิพลต่อสังคม ได้สอนความรู้พระพุทธศาสนาให้สังคมเฉพาะท่อนที่ตัวเองชอบ ทำให้ความรู้ถูกบิดเบือนเข้าใจผิด กลายเป็นคนสร้างวัดใหญ่โต ถือเป็นคนไม่สันโดษ พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญเป็นต้น
แต่ตอนนี้จานดาวธรรมกำลังขยายออกไป ความรู้ดั้งเดิมที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ กำลังถูกเปิดเผยออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ผมว่า ท้ายที่สุดสังคมก็จะมาเข้าใจความรู้ที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนาครับ
เรื่องการสันโดษนั้น สังคมถูกนักวิชาการศาสนากลุ่มหนึ่ง บิดเบือนให้เข้าใจผิดมานาน ความจริงแล้ว สันโดษหมายถึง พอใจตามมี ยินดีตามได้ แต่ไม่ใช่สันโดษในการสร้างบุญครับ ยิ่งสร้างบุญมาก พระพุทธเจ้ายิ่งทรงสรรเสริญ
ดังเช่นเรื่องราวของอสทิสทาน (สุดยอดแห่งทาน) ของพระเจ้าปเสนทิโกศล
เรื่องราวเริ่มจาก พระราชาทำทานครั้งใหญ่ แล้วบอกชาวเมืองให้มาดูทานของตน ชาวเมืองรวมตัวกัน ถวายทานครั้งใหญ่ แล้วบอกให้พระราชามาดูทานของพวกตน จากนั้น ก็ทำทานแข่งกัน แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงห้ามปรามแต่อย่างใด จนพระราชากลุ้มใจ เพราะท่านมีพระองค์เดียว สู้ชาวเมืองรวมตัวกันไม่ได้
พระนางมัลลิกาทราบเรื่อง จึงทูลว่า พระนางจะจัดการให้พระราชาทำทานแล้วชนะชาวเมืองให้ได้ ว่าแล้วก็ใช้เจ้าชายเจ้าหญิงถึง 500 (ชาวเมืองไม่มีเจ้าชาย เจ้าหญิง) ช้างอีก 500 (ชาวเมืองไม่มีช้าง) มาพิธีให้ทานมโหราฬ ใช้ทรัพย์ถึง 140 ล้านภายในวันเดียว
กาฬอำมาตย์เห็นทานของพระราชาแล้วนึกในใจว่า ฉิบหายใหญ่แล้ว พระราชาผลาญทรัพย์ 14 โกฏิ หมดในวันเดียว เอาไปให้พวกพระ (รวมพระพุทธเจ้าด้วย) พวกนี้กินแล้วก็นอน ไม่มีประโยชน์อันใด สู้เอาไปให้คนยากจนดีกว่า มันคงทำงานให้เราตัวเป็นเกลียวทีเดียว
พระพุทธเจ้าทราบความคิดนั้นแล้ว ทรงทราบว่า ทานนี้ยิ่งใหญ่มาก หากอนุโมทนาเต็มที่ ศีรษะอำมาตย์ผู้นี้จะแตกเป็น 7 เสี่ยงทันที จึงทรงช่วยด้วยการอนุโมทนาแค่สั้นๆ
พระราชาเสด็จไปถามสาเหตุ เมื่อทรงทราบ ก็ทรงบอกกาฬอำมาตย์ว่า เราทำทานก็เป็นเงินของเรา ไปเดือดร้อนเงินของท่านที่ตรงไหน แล้วก็ทรงไล่อำมาตย์ออกนอกประเทศ
หลังจากนั้น พระพุทธเจ้าทรงอนุโมทนาอย่างยิ่งใหญ่ สรรเสริญสุดยอดมหาทานอย่างเปี่ยมล้น
จะเห็นว่า พระพุทธเจ้า ทรงสรรเสริญ การสร้างบุญ เต็มที่ แต่พอกาลผ่านมา นักวิชาการศาสนากลุ่มหนึ่ง ที่มีอิทธิพลต่อสังคม ได้สอนความรู้พระพุทธศาสนาให้สังคมเฉพาะท่อนที่ตัวเองชอบ ทำให้ความรู้ถูกบิดเบือนเข้าใจผิด กลายเป็นคนสร้างวัดใหญ่โต ถือเป็นคนไม่สันโดษ พระพุทธเจ้าไม่สรรเสริญเป็นต้น
แต่ตอนนี้จานดาวธรรมกำลังขยายออกไป ความรู้ดั้งเดิมที่พระพุทธเจ้าสอนไว้ กำลังถูกเปิดเผยออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ผมว่า ท้ายที่สุดสังคมก็จะมาเข้าใจความรู้ที่ถูกต้องในพระพุทธศาสนาครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร
#6
โพสต์เมื่อ 17 March 2007 - 02:42 PM
สาธุ