เภริวาทชาดก
ชาดกว่าด้วยโทษของการไม่รู้จักประมาณ
ชาดกว่าด้วยโทษของการไม่รู้จักประมาณ
ในอดีต สมัยเมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชย์สมบัติกรุงพาราณสี ทรงโปรดให้มีงานนักขัตฤกษ์เป็นประจำทุกๆปี ครั้งหนึ่งสองพ่อลูกนักตีกลอง ได้ชวนกันไปแสดงการตีกลองในงานนี้ด้วย
ฝีไม้ลายมือการตีกลองของพ่อลูกทั้งสอง ครึกครื้น เป็นที่ถูกอกถูกใจของผู้ชมมาก นอกจากนี้ เขาทั้งสองยังแสดงท่าร่ายรำประกอบการตีกลอง ได้แปลกตา ประทับใจ ไม่ว่าจังหวะกลองจะเป็นเช่นไรก็ตาม ดังนั้นทุกครั้งที่สิ้นเสียงกลอง ผู้ชมจะปรบมือกันกราวใหญ่ พร้อมๆ กับเงินเหรียญจำนวนมากมายที่มอบให้เขาสองพ่อลูก
ทั้งสอง แสดงการตีกลองไปตลอดคืน จนกระทั่งงานเลิกก็สะพายกลองและถุงย่ามใบใหญ่ที่ใส่เงินกลับบ้าน ลูกชายวัยรุ่นยังไม่หายครึ้มอกครึ้มใจ จึงรัวกลองตีกระหน่ำมาตามทางด้วยความคะนองมือ
หนทางกลับบ้านของสองพ่อลูก เป็นทางเปลี่ยว ต้องเดินลัดป่าผ่านเข้าไปในดงโจร ไม่มีทางหลีกเลี่ยง พ่อจึงเตือนลูกว่า
“เมื่อเจ้าอยากตีกลองก็ตีไปเถิด พ่อไม่ห้าม แต่ให้เลือกตีแต่จังหวะเพลงที่ใช้ในขบวนพิธี และตีเป็นระยะๆ อย่าตีกระหน่ำพร่ำเพรื่อ พวกโจรจะได้หลงเข้าใจว่ากำลังมีเจ้านาย หรือคนใหญ่คนโต เดินทางผ่านมา จะได้รีบหนีไปเสียไกลๆ”
ลูกชายได้ยินพ่อพูดห้ามปรามแล้ว แต่ก็ไม่เชื่อฟัง กลับพูดอวดดีว่า
“พ่ออย่ากลัวไปหน่อยเลย ฉันจะกระหน่ำกลองให้พวกมันเตลิดหนีไปทั้งหมดทีเดียว”
ว่าแล้วก็กระหน่ำตีกลองต่อไป แต่เนื่องจากยังเกรงใจพ่ออยู่บ้าง ในคราวแรกจึงตีกลองในจังหวะที่พ่อบอก
พวกโจรในย่านนั้น ได้ยินเสียงกลองในจังหวะที่ใช้สำหรับตีประโคมเวลาเจ้านายเดินทางก็ตกใจ กลัวเจ้าหน้าที่บ้านเมืองที่ตามมาในขบวน จะมองเห็นพวกตน จึงซ่อนตัวอยู่ห่างๆ ไม่กล้าโผล่หน้าออกมา
แต่ครั้นเวลาผ่านไปสักครู่ ลูกชายรู้สึกเบื่อหน่ายจังหวะกลองที่ซ้ำๆอย่างนั้น จึงพลิกแพลงตีจังหวะอื่นๆ ที่สนุกสนาน ระทึกใจเสียงกลองดังลั่นไปทั่วป่า ไม่มีเว้นระยะเลย
พวกโจรซุ่มฟังอยู่ ได้ยินเสียงกลองจังหวะโลดโผนเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอย่างนั้นก็เฉลียวใจ คิดว่าคงจะไม่ใช่กลองในขบวนเกียรติยศของเจ้านายเสียแล้ว จึงได้สะกดรอยตามดู ครั้นเห็นมีเพียงสองพ่อลูกเดินอยู่ในป่าตามลำพัง โดยมีลูกชายตีกลองเล่นอยู่ก็โกรธจึงพากันวิ่งกรูเข้ามารุมทุบตีสองพ่อลูกเสียสะบักสะบอม ฐานที่หลอกให้หลงเข้าใจผิด แล้วฉวยเอาถุงย่ามใส่เงิน และทรัพย์สินติดตัวไปจนหมดเสียอีกด้วย
เมื่อพวกโจรกลับไปหมดแล้ว ผู้เป็นพ่อก็ค่อยๆพยุงร่างกายที่บอบช้ำ คลานเข้าไปหาลูก๙งมีสภาพเช่นเดียวกัน แล้วกล่าวสั่งสอนด้วยเสียงอันสั่นเครือกระท่อนกระแท่นว่า
“กลองนั้นตีดีๆก็มีประโยชน์ แต่ไม่ควรตีกระหน่ำไม่หยุดหย่อนเช่นนี้ เพราถ้าตีพร่ำเพรื่อคึกคะนองเกินไปก็จะก่อให้เกิด เรื่องเลวร้าย เงินทองวอดวาย เกือบถึงตายอย่างวันนี้”
แล้วพันซมซานกลับบ้านไปด้วยความยากลำบากแสนสาหัส
*****************
ข้อคิดจากชาดก
๑. คำตักเตือนสั่งสอนของผู้ใหญ่ ย่อมมีคุณค่าควรรับฟัง เพราะผู้ใหญ่ผ่านโลกมามาก ย่อมมองเห็นการณ์ไกลคาดคะเนอะไรมักไม่พลาด ผู้ใหญ่ที่ดีๆมีคุณธรรม ย่อมชักนำเราไปสู่ความสำเร็จ
๒. การทำอะไรตายใจตัวเอง ทำตามความคึกคะนองไม่รู้จักประมาณ ไม่คำนึงถึงกาลเทศะ ย่อมเกิดโทษแน่นอน