ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

เหตุที่เทพเจ้า คิดว่าตนเป็นพระผู้สร้างสรรพสิ่ง


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 11 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 June 2008 - 11:16 AM

happy.gif มา(อีก) แว้วว..จ้า ได้ไปอ่านเจอคำตรัสของ ‘องค์พระผู้สัพพัญญู’ ของเรา

ซึ่งเห็นว่ามีความสำคัญมากและน่าศึกษาอย่างยิ่งอีกตอนหนึ่ง

มาให้กัลยาณมิตรได้ศึกษาเพิ่มเติมกันจ้ะ


happy.gif หลักฐานนี้มาจากพระไตรปิฎก (ซึ่งเป็นคำภีร์อันสูงสุดของศาสนาพุทธเรา) อยู่ในพระสูตรที่ชื่อว่า

‘พรหมชาลสูตร’ พระศาสดาทรงแสดงให้เห็นถึงทฤษฎี(ทิฏฐิ)ของแต่ละลัทธิความเชื่อไว้ถึง ๖๒ แบบ

ซึ่งครอบคลุม ทฤษฎีความเชื่อของทุกลัทธิไว้ทั่วโลกละครับ


happy.gif แต่ที่นี้จะนำมาเล่าเฉพาะลัทธิความเชื่อหนึ่ง คือ ‘เทพเจ้านิยม’

ซึ่งลัทธิความเชื่อนี้ เป็นประดุจตาข่าย (ชาล) ครอบคลุมชาวโลกส่วนใหญ่ในปัจจุบันไว้

ส่วนฉบับเต็มของพระสูตรนี้ เพื่อนกัลยาณมิตรทั้งหลาย

สามารถหาศึกษาเพิ่มเติมได้จากที่อ้างอิงไว้ท้ายเรื่องแล้วครับ


happy.gif เหตุที่เทพเจ้าบางองค์ คิดว่าตนเป็นพระผู้สร้าง ผู้บันดาลสรรพสิ่ง ฯลฯ happy.gif



ภิกษุทั้งหลาย สมัยหนึ่งเมื่อล่วงไปนานๆ โลกนี้พินาศ (ด้วย ไฟ น้ำ ลม อย่างใดอย่างหนึ่ง)

เมื่อโลกกำลังพินาศ เหล่าสัตว์ส่วนมากไปเกิดที่อาภัสสรพรหมโลก

นึกคิดอะไรก็สำเร็จได้ตามปรารถนา มีปีติเป็นอาหาร เที่ยวสัญจรไปในอากาศ

อยู่ในวิมานอันงดงาม สถิตอยู่นานแสนนาน



สมัยหนึ่ง เมื่อล่วงไปนานๆ โลกนี้กลับฟื้นขึ้น

เมื่อโลกกำลังฟื้นขึ้น วิมานของพรหมปรากฏว่าว่างเปล่า

เวลานั้นสัตว์ผู้จุติจากชั้นอาภัสสรพรหมโลก เพราะสิ้นอายุหรือสิ้นบุญ

ย่อมเกิดที่วิมานพรหมอันว่างเปล่า นึกคิดอะไรก็สำเร็จได้ตามปรารถนา

มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากร่างกาย เที่ยวสัญจรไปในอากาศ

อยู่ในวิมานอันงดงาม สถิตอยู่นานแสนนาน



เพราะสัตว์ผู้นั้นอยู่ในวิมานแต่ผู้เดียวเป็นเวลานาน

จึงเกิดเบื่อหน่ายว่า โอหนอ แม้สัตว์เหล่าอื่นพึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง

ต่อมา สัตว์เหล่าอื่นจุติจากชั้นอาภัสสรพรหมโลก เพราะสิ้นอายุหรือสิ้นบุญ

ย่อมเกิดที่วิมานพรหม เป็นอยู่ร่วมกับสัตว์นั้น

แม้สัตว์พวกนั้นนึกคิดอะไรก็สำเร็จได้ตามปรารถนา

มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากร่างกาย เที่ยวสัญจรไปในอากาศ

อยู่ในวิมานอันงดงาม สถิตอยู่นานแสนนาน



ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสัตว์พวกนั้น ผู้เกิดก่อนมีความคิดอย่างนี้ว่า

เราเป็นพรหม เป็นท้าวมหาพรหม ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครข่มเหงได้

เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง ผู้บันดาล ผู้ประเสริฐ ผู้บงการ ผู้ทรงอำนาจ

เป็นบิดาของสัตว์ผู้เกิดมาแล้วและกำลังจะเกิด เราบันดาลสัตว์เหล่านี้ขึ้นมา เพราะเหตุไร

เพราะว่าเรามีความคิดมาก่อนว่า ‘โอหนอ แม้สัตว์เหล่าอื่นพึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง’

เรามีความตั้งใจอย่างนี้และสัตว์เหล่านี้ก็ได้มาเป็นอย่างนี้แล้ว



แม้พวกสัตว์ที่เกิดมาภายหลังก็มีความคิดอย่างนี้ว่า

ท่านผู้เจริญนี้เป็นพระพรหม เป็นท้าวมหาพรหม ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครข่มเหงได้

เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง ผู้บันดาล ผู้ประเสริฐ ผู้บงการ ผู้ทรงอำนาจ

เป็นบิดาของสัตว์ผู้เกิดมาแล้วและกำลังจะเกิด พระพรหมผู้เจริญบันดาลพวกเราขึ้นมา

เพราะเหตุไร เพราะว่าพวกเราได้เห็นพระพรหมองค์นี้เกิดในที่นี้ก่อน ส่วนพวกเราเกิดมาภายหลัง



ภิกษุทั้งหลาย บรรดาสัตว์พวกนั้น ผู้เกิดก่อนมีอายุยืน ผิวพรรณงดงามและมีศักดิ์มากกว่า

ส่วนผู้เกิดภายหลังมีอายุสั้น ผิวพรรณทรามและมีศักดิ์น้อยกว่า



ข้อที่สัตว์ผู้จุติ (เคลื่อน) จากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้ (จากพรหมโลกมาเกิดเป็นมนุษย์)

เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ เมื่อเขามาเป็นอย่างนี้แล้วออกจากเรือนไปบวชเป็นบรรพชิต

เมื่อบวชแล้วอาศัยความเพียรเครื่องเผากิเลส

ความเพียรที่ตั้งมั่น ความหมั่นประกอบ ความไม่ประมาท

และอาศัยการใช้ความคิดอย่างถูกวิธีแล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เป็นเหตุทำจิตให้ตั้งมั่น

ระลึกชาติก่อนนั้นได้ ถัดจากนั้นไประลึกไม่ได้(ระลึกได้ชาติเดียว)



เขาจึงพูดอย่างนี้ว่า ‘ท่านผู้เป็นพระพรหมผู้เจริญ เป็นท้าวมหาพรหม ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีใครข่มเหงได้

เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิสระ เป็นผู้สร้าง ผู้บันดาล ผู้ประเสริฐ ผู้บงการ ผู้ทรงอำนาจ

เป็นบิดาของสัตว์ผู้เกิดแล้วและกำลังจะเกิด พระพรหมผู้เจริญบันดาลพวกเราขึ้นมา

ท่านเป็นผู้เที่ยงแท้ ยั่งยืน คงทน ไม่ผันแปร จักดำรงอยู่เที่ยงแท้ไปเช่นนั้นทีเดียว



ส่วนพวกเราที่พระพรหมผู้เจริญนั้นบันดาลขึ้นมา

กลับเป็นผู้ไม่เที่ยงแท้ ไม่ยั่งยืน อายุสั้น ต้องจุติมาเป็นอย่างนี้’



ภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นมูลเหตุ ๑ ซึ่งสมณพราหมณ์พวกหนึ่งอาศัยแล้วปรารภแล้ว

จึงมีวาทะว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง

บัญญัติอัตตาและโลกว่า บางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง...



happy.gif ตอนท้ายเรื่องพระองค์สรุปทฤษฎีลัทธิความเชื่อทั้ง ๖๒ นี้ว่า



เปรียบเหมือนชาวประมง หรือลูกมือชาวประมง (พญามารและเสนา ?) ผู้ชำนาญ

ใช้แหตาถี่ทอดลงหนองน้ำเล็กๆ เขาคิดว่า บรรดาสัตว์ตัวใหญ่ในหนองน้ำนี้ทั้งหมด

ถูกแหครอบเอาไว้ อยู่ในแหนี้ เมื่อผุดขึ้นก็ผุดอยู่ในแหนี้ ติดอยู่ในแหนี้

ถูกครอบเอาไว้
เมื่อผุดขึ้นก็ผุดอยูในแหนี้ ฉันใด



สมณะหรือพราหมณ์... ที่ประกาศวาทะแสดงทฤษฎี(ทิฏฐิ) ต่างๆ

ทั้งหมดถูกทิฏฐิ ๖๒ นี้ ซึ่งเป็นดุจตาข่ายปกคลุมเอาไว้ ตกอยู่ในตาข่ายนี้

เมื่อโผล่ขึ้นก็โผล่อยู่ในตาข่ายนี้ ติดอยู่ในตาข่ายนี้

ถูกปกคลุมไว้ เมื่อโผล่ขึ้นก็โผล่อยู่ในตาข่ายนี้เอง ฉันนั้นแล




อ้างอิงจาก-พระไตรปิฎก(มจร.แปล) เล่มที่ ๙ ข้อที่ ๓๙-๔๔ หน้าที่ ๑๖-๑๘, ๔๖.



happy.gif โอ... น่า see heart (เห็นใจ) มากนะครับ สำหรับสรรพสัตว์ที่เกิดมาพร้อมกับ

ความไม่รู้เรื่องราวความจริงของชีวิตอย่างนี้

ยิ่งเหล่าสัตว์ที่ไม่รู้ว่าตัวเองไม่รู้นี่ โอววว... ยิ่งอันตรายอย่างยิ่งยวดครับ



happy.gif ดังนั้นขอให้พวกเราได้ช่วยกันทำหน้าที่ ‘สุดยอดกัลยาณมิตร’

นำหมู่มวลมนุษยชาติ ออกจากข่ายแห่งทิฏฐินี้ให้ได้โดยเร็วนะครับ



happy.gif ‘ทัพใหญ่’ รอเราอยู่ที่ดุสิตบุรีแล้ว เหล่านักรบผู้กล้าแห่งกองทัพธรรมทั้งหลาย

ขอท่านจงฝึกฝนตนให้เต็มที่ และทำหน้าที่ ‘ทหารหาญ’ อย่างเต็มกำลัง

เพื่อรวบรวมกำลังพลกลับไปสบทบกับ ‘ทัพใหญ่’ ให้ได้มากที่สุดครับ

ขอขอบคุณ และอนุโมทนาในการได้ศึกษาธรรมะร่วมกันครับ. happy.gif

#2 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 June 2008 - 11:24 AM

Sa Thu krub

#3 ศรีวยาฆร

ศรีวยาฆร
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 June 2008 - 01:53 PM

happy.gif ต่อเพิ่มเติมครับ

ในสมัยนั้น กรุงสาวัตถีที่พระบรมศาสดาเสด็จประทับอยู่นั้น
มีสมณพราหมณ์และปริพาชก(นักบวชต่างศาสนา) อาศัยอยู่จำนวนมากทีเดียวครับ
และต่างก็มีลัทธิแตกต่างกัน มีทฤษฎี(ทิฏฐิ)แตกต่างกัน
มีความพอใจชอบใจแตกต่างกันไปตามแต่ละสำนัก
เมื่อสมณพราหมณ์เหล่านั้นเกิดความบาดหมางกัน ทะเลาะ วิวาทกัน ใช้หอกคือปากทิ่มแทงกันอยู่

ตอนเช้าๆ เวลาพระภิกษุออกไปบิณฑบาต
จะได้ยินสมณพราหมณ์และปริพาชกเหล่านี้ ทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำ
หลังพระท่านกลับมาจากบิณฑบาต ฉันอาหารเสร็จแล้ว
จึงได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
ได้กราบทูลเรื่องราวเหล่านี้ให้พระผู้มีพระภาคฟังแล้ว


พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า “ภิกษุทั้งหลาย อัญเดียรถีย์ปริพาชกเป็นคนบอด ไม่มีจักษุ
จึงไม่รู้ประโยชน์ ไม่รู้สิ่งที่มิใช่ประโยชน์ ไม่รู้ธรรม ไม่รู้สิ่งที่มิใช่ธรรม
เมื่อไม่รู้ประโยชน์ ไม่รู้สิ่งที่มิใช่ประโยชน์ ไม่รู้ธรรม ไม่รู้สิ่งที่มิใช่ธรรม
ก็เกิดการบาดหมาง ทะเลาะ วิวาทกัน ใช้หอกคือปากทิ่มแทงกันอยู่


ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า

อหงฺการปสุตาย ปชา ปรงฺการูปสฺหิตา
เอตเทเก นาพฺภฺสุ น น สลฺลนฺติ อทฺทสุ
เอตฺจ สลฺล ปฏิคจฺจ ปสฺสโต
อห กโรมีติ น ตสฺส โหติ
ปโร กโรตีติ น ตสฺส โหติ ฯ
มานุเปตา อย ปชา มานคนฺถา มานวินิพฺพทฺธา
ทิฏฺีสุ พฺยารพฺภกตา สสาร นาติวตฺตตีติ ฯ

หมู่สัตว์นี้ คือพวกที่ถือทิฏฐิว่า เราเป็นตัวการ
พวกที่ถือทิฏฐิว่า ผู้อื่นเป็นตัวการ[1]
และสมณพราหมณ์พวกหนึ่งไม่คล้อยตามทิฏฐิทั้งสองนี้[2]
ไม่เห็นทิฏฐินั้นว่า ‘เป็นเหมือนลูกศร’
แต่สำหรับผู้ใช้ปัญญาพิจารณาจนรู้แจ้งว่า
ทิฏฐินั้นเป็นเหมือนลูกศร
ย่อมไม่มีทิฏฐิที่ว่า “เราสร้าง”
ย่อมไม่มีทิฏฐิที่ว่า “ผู้อื่นสร้าง”
หมู่สัตว์ที่มีมานะ ถูกมานะร้อยรัด ถูกมานะผูกพันไว้ ชอบกล่าวถกเถียงกันในเรื่องทิฏฐิ
จึงไม่ล่วงพ้นสังสารวัฏไปได้


[1]เราเป็นตัวการ แปลจากบาลีว่า ‘อหังการ’ ในที่นี้หมายถึงลัทธิสยังการหรือสยังกตา (ลัทธิสยังการหรือสยังกตานี้ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ลัทธิอัตตการ) หมายถึง
ลัทธิที่เชื่อว่าตนเป็นตัวการ คือเป็นผู้สร้างอัตตาและโลกขึ้นเอง (ขุ.อุ.อ. ๕๖/๓๗๑)
[2]หมายถึงพวกอธิจจสมุปปันนวาท คือลัทธิที่เชื่อว่าอัตตาและโลกเกิดขึ้นได้เอง มิได้อาศัยเหตุอะไร เป็นลัทธิปฏิเสธทั้งลัทธิสยังการ และลัทธิปรังการ(ผู้อื่นเป็นตัวการ) พวกอธิจจสมุปปันนวาทนี้ เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า อเหตุกวาท (ขุ.อุ.อ. ๕๕/๓๗๐, ๕๖/๓๗๑-๓๗๒) และดู สํ.นิ. ๑๖/๑๗/๑๙, สํ.นิ.อ. ๒/๑๗/๔๐ ประกอบ


อ้างอิงจาก-พระไตรปิฎก (มจร.แปล) เล่มที่ ๒๕ ข้อที่ ๕๖ หน้าที่ ๒๙๘-๓๐๒.
พระสูตรนี้มีชื่อว่า ‘ตติยนานาติตถิยสูตร’ (ว่าด้วยลัทธิแตกต่างกัน สูตรที่ ๓) ครับ


happy.gif เรื่องราวเหล่านี้ คงช่วยให้พุทธศาสนิกเราเข้าใจลัทธิความเชื่อของเพื่อนต่างศาสนิกได้ดียิ่งขึ้นนะครับ
ผมคิดว่าการได้รู้เขารู้เราอย่างนี้ จะช่วยให้การทำหน้าที่ยอดกัลยาณมิตรของพวกเราง่ายเข้า
และถ้าเราได้รู้เรื่องราวเหล่านี้ไว้ เราก็จะเป็นทนายแก้ต่างให้พุทธศาสนาได้เต็มที่ยิ่งขึ้น
เมื่อถูกเขากล่าวข่ม กล่าวตู่ หรือกล่าวบิดเบือนศาสนาพุทธของเรา
เราจะได้ปรับวาทะ ปรับทิฏฐิเขาได้ถูกต้อง ไม่เคอะเขิน
มีความมั่นใจในข้อมูลความรู้ที่ตรัสมาจากพระโอษฐ์ของ ‘พระบรมครู’ ของเรา
และจะได้นำความรู้นี้ ไปทำหน้าที่เผยแผ่ให้เพื่อนมนุษย์ไปทั่วโลก

happy.gif โลกที่เต็มไปด้วยความไม่รู้(อวิชชา) ที่กำลังรอคอยแสงสว่างนี้จากยอดกัลยาณมิตรทุกท่านครับ
ท้ายนี้ขอขอบคุณ และอนุโมทนากับทุกความดีของทุกท่านครับ happy.gif


#4 usr17119

usr17119
  • Members
  • 47 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 June 2008 - 04:58 PM

อนุโมทนาบุญ สาธุ คะ


#5 131072

131072
  • Members
  • 237 โพสต์
  • Gender:Not Telling

โพสต์เมื่อ 01 July 2008 - 10:33 AM

อนุโมทนาสาธุกับธรรมทานค่ะ

#6 usr23545

usr23545
  • Members
  • 5 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 July 2008 - 12:17 PM

อนุโมทนาสาธุคะ

#7 usr20351

usr20351
  • Members
  • 109 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 July 2008 - 05:00 PM

ดีครับดี

#8 *sky noi*

*sky noi*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 02 July 2008 - 07:29 PM

สาธุ

#9 kullapat

kullapat
  • Members
  • 22 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 July 2008 - 03:41 PM

สาธุ สาธุ สาธุ

#10 Wiboon Joong (wbj)

Wiboon Joong (wbj)
  • Members
  • 43 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 July 2008 - 11:43 AM

สาธุ

#11 Boontomak

Boontomak
  • Members
  • 431 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 July 2008 - 09:08 AM

สาธุ
ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย ยายทำ ยายก็ได้ คุณก็ไม่ได้ คุณทำคุณก็ได้ เพราะฉะนั้นก็ทำมากๆ ไว้ก่อน เราทำทุกๆ วัน "ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าวัดตลอดชีวิต"

#12 mpbkkt

mpbkkt
  • Members
  • 55 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 July 2008 - 07:17 PM

แจ๋ว