ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

อานิสงส์ของการบูชาพระเจดีย์ด้วยจิตศรัทธา


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 1 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 Boontomak

Boontomak
  • Members
  • 431 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 July 2008 - 09:30 AM

เอาอานิสงส์การถวายประทีปโคมไฟมาฝากนะครับ

พระมังคละ พุทธเจ้า

ชื่อว่ารัศมีแห่งพระสรีระของพระพุทธเจ้านั้น ย่อมปรากฏแก่ชนทั้งหลายเป็นคุณลักษณะพิเศษ ที่ทำให้พระพุทธองค์แตกต่าง จากชนทั่วไป ด้วยอานิสงส์ที่พระพุทธองค์สั่งสมไว้เป็นอย่างดี ถึงกระนั้นแล้วก็ยังมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งได้ชื่อว่า รัศมีแห่ง พระสรีระของพระองค์นั้น มีเกินยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ แสงแห่งพระพุทธองค์ทรงครอบงำ แม้แสงสว่างของดวงจันทร์ ์และดวงอาทิตย์ แม้หมื่นโลกธาตุก็สว่างจ้า ด้วยกุศลใดหนอจึงทำให้เป็นเช่นนั้นได้

เรื่องราวมีอยู่ว่า เมื่อพระโกณฑัญญศาสดาเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ศาสนาของพระองค์ดำรงอยู่แสนปี เพราะพระสาวก ของพระพุทธะและอนุพุทธะอันตรธานหายไป ศาสนาของพระองค์จึงอันตรธานหายไปตาม ต่อจากสมัยนั้นไปอีกหนึ่งอสงไขย แต่อยู่ในกัปเดียวกัน ได้บังเกิดพระพุทธเจ้าขึ้นมาอีกสี่พระองค์คือ พระมังคละ พระสุมนะ พระเรวตะ พระโสภิตะ

หนึ่งในสี่ของพระพุทธเจ้านั้นก็คือ พระมังคละพุทธเจ้า ซึ่งจะได้กล่าวในที่นี้ ก่อนที่จะมาเป็นพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงบำเพ็ญ บารมี ๑๖ อสงไขย์กับอีกแสนกัป บังเกิดอยู่ในสวรรค์ชั้นดุสิต ทรงดำรงตลอดอายุในสวรรค์ชั้นดุสิตนั้น


นับแต่พระมังคละมหาสัตว์ ผู้เป็นมงคลของโลกทั้งปวง ทรงถือปฏิสนธิในพระครรภ์ของพระนางอุตตระมหาเทวี พระรัศมี แห่งพระสรีระก็แผ่ไปตลอดเนื้อที่ประมาณ ๘๐ ศอก ทั้งกลางคืนกลางวันแสงจันทร์และแสงอาทิตย์ก็สู้รัศมีนั้นไม่ได้ พระรัศมีนั้น สามารถกำจัดความมืดได้โดยไม่ต้องใช้แสงสว่างอย่างอื่นเลย พระรัศมีดังกล่าวนั้นชื่อว่า มีเกินกว่าพระรัศมีแห่งพระสรีระของพระ- พุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ ซึ่งพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ มีโดยรอบประมาณ ๘๐ ศอกบ้าง วาหนึ่งบ้าง

หากแต่พระรัศมีของพระมังคละพุทธเจ้านั้น แผ่ตลอดหมื่นโลกธาตุเป็นนิจนิรันดร์ ต้นไม้ ภูเขา เรือน กำแพง หม้อน้ำบานประตู ทุกสิ่งทุกอย่างเสมือนหุ้มไว้ด้วยแผ่นทอง พระองค์มีพระชนมายุถึง ๙ หมื่นปี คราวนั้นรัศมีของดวงจันทร์ และดวง อาทิตย์หรือ แม้แต่ ดวงดาวไม่มีตลอดเวลา กลางวันและกลางคืนก็ไม่สามารถกำหนดได้ เพราะไม่มีความแตกต่างของแสง สัตว์ทั้งหลาย อาศัยแสงสว่างแห่งพระพุทธองค์ในการประกอบการงาน โดยแยกกลางวันกลางคืนด้วยดอกไม้ยามเย็นและเสียงนกร้องในยามเช้า

มีข้อสงสัยว่า อานุภาพอย่างนี้ของพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ นั้นไม่มีหรือ ตอบว่าไม่มี แม้ว่าพระพุทธเจ้าพระองค์อื่น ๆ เมื่อทรง ประสงค์จะแผ่พระสรีระไปตลอดหมื่นโลกธาตุ หรือยิ่งกว่านั้นได้ก็จริง แต่ก็เป็นไปโดยพระประสงค์ หากอานุภาพของพระมังคละ พุทธเจ้านี้เป็นไปโดยธรรมชาตินิรันดร ทั้งนี้ก็ด้วยอานิสงส์ที่พระองค์ทรงบำเพ็ญไว้ตั้งแต่ครั้งเป็นพระโพธิสัตว์ ดังต่อไปนี้คือ

ครั้งหนึ่ง เมื่อเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์ พระองค์ได้เห็นพระเจดีย์ของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง คิดว่า "ควรจะสละชีวิต ของเราเพื่อพระพุทธเจ้าพระองค์นี้" จึงได้ให้เขาพันทั่วทั้งสรีระเหมือนกับพันด้ามประทีปให้บรรจุถาดทองมีค่านับแสนซึ่งมีช่อ ดอกไม้ตูมขนาดศอกหนึ่ง เต็มด้วยของหอมและเนยใส จุดไส้เทียนพันไส้ไว้ในถาดทองนั้น ใช้ศีรษะเทินถาดทองนั้นแล้วให้จุดไฟ ทั่วทั้งตัว แล้วทำประทักษิณรอบพระเจดีย์ตลอดทั้งคืน เมื่อพระโพธิสัตว์พยายามอยู่จนอรุณขึ้นอย่างนี้ ไออุ่นจากไฟไม่จับแม้เพียง ขุมขน พระมหาสัตว์ได้ตั้งความปรารถนาว่า

"ด้วยผลแห่งทานของเรานี้ ในอนาคตกาล ขอรัศมีทั้งหลายจงแล่นออกโดยทำนองเดียวกันนี้" เมื่อพระองค์ตรัสรู้ ู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว รัศมีสว่างไสวไม่มีประมาณเปล่งออกจากสรีระแผ่ไปตลอดทุกสถานที่ มีนัยดังพรรณนามาแล้วข้างต้น

นี้เป็นอานิสงส์ของการบูชาพระเจดีย์ด้วยจิตศรัทธา ที่เหนือกว่าการถวายประทีปเป็นพุทธบูชาทั่วๆไป เพราะเหตุที่ประทีปนี้คือ ประทีปชีวิต อันยากยิ่งที่จะมีใครสละได้โดยง่าย เมื่อบุญส่งผล อานิสงส์ที่ได้รับจึงเลิศกว่าบุคคลอื่นในฐานะเดียวกัน ตามเหตุที่ประกอบไว้

พระอนุรุทธเถระ ผู้มีทิพยจักขุญาณเลิศยิ่งกว่าผู้ใด

พระอนุรุทธะ เอตทัคคะในทางผู้มีทิพย์จักษุญาณ พระอนุรุทธะ สาวกของพระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นผู้มีปัญญาเฉียบแหลม ฉลาดรอบรู้พระธรรมวินัยอย่างแตกฉาน พระพุทธเจ้าตรัสว่าเพราะในชาติปางก่อนพระอนุรุทธะเคยให้แสงประทีปเป็นทาน จึงมีปัญญาเฉลียวฉลาด พระอนุรุทธะ เมื่ออุปสมบทแล้ว ได้เรียนกรรมฐานจากพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรแล้ว เข้าไปสู่ป่าปาจีนวังสมฤคทายวัน ขณะเจริญสมณธรรมอยู่นั้นได้ตรึกถึงมหาปุริสวิตก ๗ ประการคือ:-

๑ ธรรมนี้ของผู้มีความปรารถนาน้อย ไม่ใช่ของผู้มีความปรารถนาใหญ่
๒ ธรรมนี้ของผู้สันโดษ ยินดีด้วยของที่มีอยู่ ไม่ใช่ของผู้ไม่สันโดษ
๓ ธรรมนี้ของผู้สงัดแล้ว ไม่ใช่ของผู้ยินดีในหมู่
๔ ธรรมนี้ของผู้ปรารภความเพียร ไม่ใช่ของผู้เกียจคร้าน
๕ ธรรมนี้ของผู้มีสติตั้งมั่น ไม่ใช่ของผู้มีสติหลง
๖ ธรรมนี้ของผู้มีใจตั้งมั่น ไม่ใช่ของผู้มีใจไม่ตั้งมั่น
๗ ธรรมนี้ของผู้มีปัญญา ไม่ใช่ของผู้มีปัญญาทราม
เมื่อพระเถระตรึกอยู่อย่างนี้ พระบรมศาสดาเสด็จไปยังที่อยู่ของพระเถระทราบว่าเธอกำลังตรึกอยู่อย่างนั้น ทรงอนุโมทนาว่าดีล่ะ ดีล่ะ แล้วทรงแนะให้ตรึกในข้อที่๘ ว่า
๘ ธรรมนี้ของผู้ยินดีในธรรมที่ไม่เนิ่นช้า ไม่ใช่ของผู้ยินดีในธรรมที่เนิ่นช้า

ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ตรัสสอนพระเถระแล้ว ได้เสด็จกลับสู่ที่ประทับส่วนพระอนุรุทธะ ได้บำเพ็ญสมณธรรมต่อไป ก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ตั้งแต่นั้นมาท่านได้ตรวจดูสัตว์โลกด้วยทิพยจักษุญาณเสมอ ยกเว้นขณะกำลังฉันภัตตาหารเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ พระบรมศาสดา ได้ตรัสยกย่องชมเชยท่านในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทาง ผู้มีทิพยจักษุญาณ

พระอนุรุทธะ ในอดีตชาติท่านเคยเกิดเป็นคนยากจนแต่ท่านได้ทำบุญใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้าที่ออกจากฌาณสมาบัติและอธิษฐานขอคำว่า ไม่มี จงอย่าเกิดแก่ข้าพเจ้า และก็ได้เป็นเศรษฐีเมื่อตายไปก็ได้ไปเกิดเป็นพระอินทร์ ๗ ชาติ พระมหาจักรพรรดิ์ ๑๔ ชาติอีกทั้งเคยทำบุญใหญ่สร้างประทีปโคมไฟหลายพันดวงเพื่อบูชาเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระปทุมุตระพุทธเจ้าและเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระกัสสปะพุทธเจ้าอีกเมื่อเกิดมาในชาตินี้ก็เป็นพระราชโอรสของ อมิโตทนะศากยะพระอนุรุทธะถือการไม่นอนเป็นข้อวัตรอยู่ ๕๕ ปี กำจัดความง่วงเหงาได้ ๒๕ ปีและท่านมีญาณรู้เห็นทุกสรรพสิ่ง ขณะที่พระพุทธเจ้าใกล้จะปรินิพพานท่านก็ตามดูจิตและบอกพระอานนท์ทราบทุกขณะพระพุทธเจ้าทรงยกย่องท่านเป็นเลิศทางทิพย์จักษุญาณ


เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน ณ กรุงกุสินารา ครั้งนั้นพระอนุรุทธเถระ หนึ่งในอสีติมหาสาวกของพระ-
พุทธองค์ ผู้เลิศกว่าภิกษุใดด้านมีตาทิพย์ ได้ติดตามรู้ตามเห็นการเสด็จสู่ปรินิพพานของพระพุทธองค์ตลอดเวลานับเป็นพยาน สำคัญ การดับขันธปรินิพพานของพระพุทธองค์ ที่จารึกไว้ในพระไตรปิฏกในกาลต่อมา บุญและผลแห่งบุญ เป็นเรื่องของเหตุและผลว่า ประกอบเหตุเช่นไรย่อมได้ผลเช่นนั้นเกิดขึ้นพอเหมาะกับเหตุ หากเรามีความ ปราถนาอย่างไรจึงจะสามารถสั่งสมบุญเพื่อให้ได้ผลตามที่ต้องการได้ แต่บางครั้งเราไม่มีโอกาสที่จะทราบเช่นนั้นหากมีบุคคลหนึ่ง ที่ได้สั่งสมบุญบารมีข้ามภพข้ามชาติอย่างต่อเนื่อง อย่างตรงเป้าหมายที่ตนปรารถนา แล้วในที่สุดท่านก็ได้บรรลุคุณวิเศษตามที่ ต้องการ ท่านเป็นผู้มีบุญญาธิการมาก จึงมีโอกาสได้ทราบแนวทางของการสร้างบารมีจากพระสงฆ์ผู้มีคุณวิเศษในอดีตกาลโดยตรง และไม่ละเลยที่จะปฏิบัติตาม เรื่องมีอยู่ว่า ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่า "ปทุมุตตระ" พระอนุรุทธเถระได้บังเกิดเป็นผู้สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ วันหนึ่งเขาไปวิหารเพื่อฟังธรรมในสำนักของพระศาสดา ในวันนั้นพระศาสดาทรงสถาปนาพระภิกษุรูปหนึ่งไว้ในตำแหน่ง ผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้มีจักษุทิพย์ จึงคิดว่า

พระภิกษุรูปนี้มีคุณความดีมาก จนพระผู้มีพระภาคเจ้าตั้งไว้ในตำแหน่งอันเลิศฝ่ายทิพยจักษุ แม้ตัวเราก็ควรได้เป็นผู้เลิศด้าน ทิพยจักษุในพระศาสนาของพระพุทธองค์หนึ่งในอนาคตกาลบ้าง คิดได้ดังนั้น ก็แทรกแหวกกลุ่มชนเข้าไปกราบทูลนิมนต์พระปทุมุตตรทศพล พร้อมทั้งพระภิกษุสงฆ์นับแสนรูปเพื่อทูลนิมนต์ ฉันภัตตาหารที่บ้านของตน เขาได้ถวายมหาทานอย่างนั้นติดต่อกัน ๗ วัน และในวันที่ ๗ ก็ถวายผ้าอย่างดี พร้อมด้วยเครื่องเย็บ และเครื่องย้อมแด่พระปทุมุตตรพุทธเจ้าและพระภิกษุสงฆ์แสนรูป แล้วตั้งความปราถนาเฉพาะพระพักตร์ว่า "ข้าพระองค์ได้ทำการสักการบูชาในคราวนี้ มิพึงประสงค์ทิพยสมบัติหรือมนุษยสมบัติอื่นใดเลย พระองค์ทรงตั้ง ภิกษุใดไว้ในตำแหน่งอันเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายด้านทิพยจักษุ ๗ วัน ก่อนหน้านี้ ขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นผู้เลิศ เช่นนั้น ในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ในอนาคตกาลเถิดพระเจ้าข้า" พระปทุมุตตรพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐด้วยอนาคตังสญาณ คือ ความรู้เหตุการณ์ในภายหน้า ทรงเห็นว่าความปราถนาของอนุรุทธะ นั้นจักสำเร็จแน่นอน ไม่มีอุปสรรคขัดขวาง จึงทรงพยากรณ์ว่า "เมื่อสิ้นเวลาแสนกัปในอนาคต จักมีพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า โคดม อนุรุทธะนี้จะได้เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายทิพยจักษุและมีชื่อว่าอนุรุทธะ" จากนั้นทรงกระทำ ภัตตานุโมทนาแล้วเสด็จกลับพระวิหาร เขาได้กระทำบุญกุศลตลอดพระชนมายุแห่งพระพุทธองค์
กาลต่อมาเมื่อพระปทุมุตตรพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว คนทั้งหลายได้ช่วยกันสร้างสุวรรณเจดีย์สูงถึง ๗ โยชน์ อนุรุทธะนั้นเกิดศรัทธาต้องการจะทำบุญกุศลเกี่ยวกับองค์พระเจดีย์ทองนั้นบ้าง จึงเข้าไปถามพระภิกษุสงฆ์ว่า
"ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ การกระทำบุญกุศลเพื่อให้เกิดผลเป็นทิพยจักษุนั้น จะต้องกระทำเช่นไรขอรับ"
เมื่อทราบวิธีการแล้ว อนุรุทธะได้จัดต้นประทีปใหญ่แห่งหนึ่งพันต้น นำไปตั้งไว้รอบๆพระสุวรรณเจดีย์ และมีดวง ประทีปเล็กๆ คั่นอยู่ในระหว่างกลางของต้นประทีปดวงใหญ่ๆนั้น แล้วจุดบูชาพระสุวรรณเจดีย์ ด้วยตั้งใจบูชาพระปทุมุตตรพุทธเจ้า เมื่อรวมประทีปทั้งปวงที่มีผู้อื่นนำมาจุดบูชาพระเจดีย์ในครั้งนั้นมีหลายพันดวง แสงประทีปทำให้ปริมณฑลของพระเจดีย์ทอง แลดูโชติช่วงชัชวาลปานประหนึ่งเวลากลางวัน


นอกจากจะบูชาเจดีย์แล้ว อนุรุทธะยังไม่ละเลยการกระทำบุญกุศลอื่นๆ จนตลอดชีวิต เมื่อสิ้นชีวิตแล้วได้ท่องเที่ยวเสวย ทิพยสมบัติอยู่ใน ๒ โลก คือเทวโลกและมนุษยโลกเท่านั้นตลอดกาลนาน




การบูชาพระพุทธเจ้าด้วยประทีปเช่นนั้น พระอนุรุทธเถระมิได้สร้างกุศลนี้เพียงในชาตินี้ชาติเดียว หากไดสร้างอย่างต่อเนื่อง ดังครั้งที่ท่านเกิดในสมัยของพระสุเมธสัมมาสัมพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน ครั้งนั้นท่านได้จุดประทีปบูชาพระสุเมธศาสดา ซึ่งทรงเข้า ฌานอยู่ที่โคนต้นไม้ต้นหนึ่งเป็นเวลา ๗ วันด้วยกัน อานิสงส์ครั้งนั้นจะนับจะประมาณมิได้ อาทิเช่น


เมื่อละโลกแล้วได้ไปเกิดเป็นเทวดามีวิมานสว่างไสว มีรัศมีกายสว่างกว่าเทวดาทั้งหลายอยู่เป็นนิตย ทั้งในเวลากลางวัน และกลางคืน ได้ถือกำเนิดเป็นพระเจ้าจักรพรรดิถึง ๒๘ ครั้ง และมีดวงตาที่มีประสิทธิภาพในการเห็น สามารถเห็นได้ไกลถึง ๑ ประโยชน์ ได้กำเนิดในเทวโลก เป็นเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่อมรินทราธิราชอยู่ ๓๐ กัป

เมื่อผ่านมาอีกหนึ่งแสนกัป ได้กลับมาเกิดเป็นอนุรุทธะอยู่ในเมือง ซึ่งตรงกับสมัยของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีโอกาส สร้างคุณงามความดีเกี่ยวกับการบูชาพระพุทธเจ้าด้วยประทีปเพิ่มขึ้นอีก เป็นบุญสนับสนุนการมีทิพยจักษุของท่านอีกครั้งหนึ่ง

ครั้งนั้น เมื่อพระกัสสปพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วมหาชนได้สร้างพระเจดีย์สูงได้ ๑ โยชน์ เพื่อบรรจุพระบรมสารี - ริกธาตุสำเร็จแล้ว จึงให้สร้างถาดสัมริดเป็นจำนวนมาก ใสเนยใสจนเต็ม กระทำไส้ใส่แล้วจุดบูชาไว้รอบพระเจดีย์นั้น

ส่วนอนุรุทธะนั้นจะบูชาบ้าง จึงให้ทำถาดสัมริดใหญ่กว่าถาดทั้งปวง ใส่เนยใสจนเต็ม กระทำไส้พันไส้วางไว้รอบขอบปาก กระทำไส้ใหญ่ไว้ตรงกลาง จุดให้ลุงโพลง แล้วทูนถาดขึ้นบนศีรษะเดินเวียนรอบพระเจดีย์ ตั้งใจจะทำเป็นพุทธบูชา

จะสังเกตเห็นว่า ไม่ว่าในพุทธสมัยไหน การบูชาด้วยประทีป โคมไฟเป็นพุทธประเพณี ที่กระทำสืบมาด้วยความเคารพ เลื่อมใสจนเป็นปกติ และมักจะทำไว้โดยรอบของพระเจดีย์ด้วย ซึ่งอานิสงส์ผลบุญครั้งนั้นของอนุรุทธะ ส่งผลให้ท่านได้ไปเกิด ในเทวโลก เสวยทิพยสมบัติอย่างต่อเนื่องหลายภพหลายชาติ

นั้นคือบุพกรรมทั้งหลายของพระอนุรุทเถระ ผู้มีความปรารถนาจะเป็นภิกษุผู้เลิศด้านทิพยจักษุ และในภพชาติปัจจุบัน เมื่อมาพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านก็ได้เป็นหนึ่งในอสีติมหาสาวกผู้เลิศกว่าภิกษุใดด้านมีทิพยจักษุ สมความปรารนาที่ตั้งไว้ ทั้งยังได้เข้าถึงคุณวิเศษคือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖สามารถทำให้แจ้งแทงตลอดในคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าได้

นี้คือ อานิสงส์แห่งความตั้งใจจริง และบำเพ็ญกุศลอย่างต่อเนื่อง ถูกต้องตามประเภทของบุญและการเกิดผลอานิสงส์ ดังที่พระสงฆ์สาวกขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวรับรองไว้ว่า การถวายประทีปเป็นพุทธบูชานั้น ทำให้ได้ทิพยจักษุ ดังอานิสงส์ที่พระอนุรุทธเถระได้รับในชาตินี้นั้นเอง
ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย ยายทำ ยายก็ได้ คุณก็ไม่ได้ คุณทำคุณก็ได้ เพราะฉะนั้นก็ทำมากๆ ไว้ก่อน เราทำทุกๆ วัน "ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าวัดตลอดชีวิต"

#2 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 July 2008 - 03:03 PM

Sa Thu Krub