วันอาสาฬหบูชาตามที่มาในพระไตรปิฎก
อีกไม่กี่วันก็จะถึงวัน อาสาฬหบูชาแล้วซึ่งเป็นวันสำคัญยิ่งอีกวันหนึ่งทางพระพุทธศาสนาของเรา
จึงได้นำเอาประวัติความเป็นมาเป็นไปในเรื่องนี้มาเล่าสู่กันฟังจ้ะ
มีประวัติความเป็นมา ตามพระไตรปิฎก (มจร.แปล) เล่มที่ ๔ ข้อที่ ๑-๘ หน้า๑-๑๕. ว่า
หลังจากที่ ‘พระบรมโพธิสัตว์สิทธัตถะ’ ได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ เป็น ‘พระสัมมาสัมพุทธเจ้า’
ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ในคืนเพ็ญวิสขะ (๑๕ ค่ำ เดือน ๖) แล้ว
เสด็จเสวยวิมุติสุขตลอด ๗ สัปดาห์ โดยทบทวน ‘ปฏิจจสมุปบาท’ ทั้งอนุโลมและปฏิโลม
(ตามลำดับและย้อนลำดับ) ทั้งทรงเปล่ง ‘พุทธอุทาน’ อยู่เป็นระยะๆ แล้ว
ทรงเสด็จมาประทับยังต้นอชปาลนิโครธ(ต้นไทรของคนเลี้ยงแพะ)อีกครั้ง
ขณะที่ทรงหลีกเร้นอยู่ในที่สงัด ทรงเกิดความดำริขี้นในพระทัยว่า
“ธรรมที่เราได้บรรลุแล้วนี้ ลึกซึ้ง เห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต
ไม่เป็นวิสัยแห่งตรรก ละเอียด บัณฑิตจึงจะรู้ได้
สำหรับหมู่ประชาผู้รื่นรมย์ด้วยอาลัย (กามคุณ ๕) เพลิดเพลินในอาลัย ฐานะอันนี้ย่อมเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก
กล่าวคือหลักอิทัปปัจจยตา หลักปฏิจจสมุปบาท ถึงแม้ฐานะอันนี้ก็เป็นสิ่งที่เห็นได้ยากนัก
กล่าวคือความสงบแห่งสังขารทั้งปวง ความสลัดอุปธิทั้งปวง ความสิ้นตัณหา วิราคะ นิโรธ นิพพาน
ก็ถ้าเราจะพึงแสดงธรรม และผู้อื่นไม่เข้าใจซึ้งต่อเรา
ข้อนั้นก็จะพึงเป็นความเหน็ดเหนื่อยเปล่าแก่เรา จะพึงเป็นความลำบากเปล่าแก่เรา”
อนึ่ง อนัจฉริยคาถา เหล่านี้ที่ไม่เคยทรงสดับมาก่อน
ได้ปรากฏแจ่มแจ้งแก่พระผู้มีพระภาคว่า
“บัดนี้ เรายังไม่ควรประกาศธรรมที่เราได้บรรลุด้วยความลำบาก
เพราะธรรมนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ถูกราคะและโทสะครอบงำ จะรู้ได้ง่าย
แต่เป็นสิ่งพาทวนกระแส ละเอียด ลึกซึ้ง รู้เห็นได้ยาก ประณีต
ผู้กำหนัดด้วยราคะ ถูกกองโมหะหุ้มห่อไว้ จักรู้เห็นไม่ได้”
เมื่อพระองค์ทรงพิจารณาดังนี้ พระทัยก็น้อมไปเพื่อการขวนขวายน้อย มิได้น้อมไปเพื่อแสดงธรรม
ครั้งนั้น ‘ท้าวสหัมบดีพรหม’ ทราบความดำริในพระทัยของพระผู้มีพระภาคด้วยใจตน
ได้มีความดำริว่า ‘ท่านผู้เจริญเอ๋ย โลกจะฉิบหายหนอ โลกจะพินาศหนอ
เพราะพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงน้อมพระทัยไปเพื่อความขวนขวายน้อย
มิได้น้อมพระทัยไปเพื่อทรงแสดงธรรม”
จึงหายไปจากพรหมโลก มาปรากฏ ณ เบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาค
เปรียบประหนึ่งบุรุษมีกำลังเหยียดแขนออกหรือคู้แขนเข้าฉะนั้น
แล้วห่มอุตตราสงค์(ผ้าคลุม)เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง คุกเข่าเบื้องขวาลงบนแผ่นดิน
ประนมมือไปทางที่พระผู้มีพระภาคประทับพลางทูลว่า
“พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคได้โปรดแสดงธรรม
ขอพระสุคตเจ้าได้โปรดแสดงธรรม เพราะสัตว์ทั้งหลายผู้มีธุลีในดวงตา*น้อยมีอยู่
สัตว์เหล่านั้นย่อมเสื่อมเพราะไม่ได้สดับธรรม (และ)เพราะจักมีผู้รู้ธรรม”
[*ธุลีในดวงตาคือ ราคะ โทสะ โมหะ ที่ปิดบังดวงตาปัญญา - วิ.อ. ๓/๘-๙/๑๔-๑๕]
ท้าวสหัมบดีพรหมได้ทูลอาราธนาดังนี้ แล้วได้ทูลเป็นประพันธคาถาต่อไปว่า
“ในกาลก่อน ธรรมที่ไม่บริสุทธิ์อันคนมีมลทินคิดค้นไว้ประกาศในแคว้นมคธ
พระองค์ โปรดทรงเปิดประตูอมตธรรมนั้นเถิด
ขอเหล่าสัตว์ จงฟังธรรมที่พระสัมพุทธเจ้าผู้ปราศจากมลทิน ได้ตรัสรู้แล้วตามลำดับ
ข้าแต่พระองค์ผู้มีปัญญาดี มีสมันตจักษุ
บุรุษผู้ยืนอยู่บนยอดเขาศิลาล้วน พึงเห็นหมู่ชนได้โดยรอบฉันใด
พระองค์ผู้หมดความโศกแล้ว ก็ฉันนั้น โปรดเสด็จขึ้นสู่ปราสาทคือธรรมแล้ว
จักได้เห็นหมู่ชนผู้ตกอยู่ในความโศกและถูกชาติชรา(ความเกิดและความตาย)ครอบงำได้ชัดเจน
ข้าแต่พระองค์ผู้มีความเพียร ผู้ชนะสงคราม ผู้นำหมู่ ผู้ไม่มีหนี้
ขอพระองค์โปรดลุกขึ้นเสด็จจาริกไปในโลก
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์โปรดจงทรงแสดงธรรม เพราะจักมีผู้รู้ธรรม”
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงรับคำทูลอาราธนาของพรหม และเพราะอาศัยพระกรุณาในหมู่สัตว์
ทรงตรวจดูโลกด้วย ‘พุทธจักษุ’
เมื่อทรงตรวจดูโลกด้วยพุทธจักษุ ได้เห็นสัตว์ทั้งหลายผู้มีธุลีดในตาน้อย มีธุลีในตามาก
มีอินทรีย์แก่กล้า มีอินทรีย์อ่อน มีอาการดี มีอาการทราม สอนให้รู้ได้ง่าย สอนให้รู้ได้ยาก
บางพวกมักเห็นปรโลกและโทษว่าน่ากลัว ก็มี
บางพวกมักไม่เห็นปรโลกและโทษว่าน่ากลัว ก็มี
มีอุปมาเหมือนในกออุบล(บัวขาบ) ในกอปทุม(บัวหลวง) หรอในกอบุณฑริก(บัวขาว)
(๑) ดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก บางดอกที่เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ยังไม่พ้นน้ำ จมอยู่ในน้ำ
(๒) ดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก บางดอกที่เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ อยู่เสมอน้ำ
(๓) ดอกอุบล ดอกปทุม ดอกบุณฑริก บางดอกที่เกิดในน้ำ เจริญในน้ำ ขึ้นพ้นน้ำ ไม่แตะน้ำ
ครั้นทรงเห็นแล้ว ได้ตรัสคาถาตอบท้าวสหัมบดีพรหมว่า
“สัตว์ทั้งหลายเหล่าใดจะฟัง จงปล่อยศรัทธามาเถิด
เราได้เปิดประตูอมตธรรมแก่สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว
ท่านพรหม เพราะเราสำคัญว่าจะลำบาก จึงมิได้แสดงธรรมที่ประณีตคล่องแคล่ว ในหมู่มนุษย์”
ขณะนั้น ท้าวสหัมบดีพรหมได้ทราบว่า “พระพุทธองค์ได้ทรงประทานโอกาสเพื่อจะแสดงธรรมแล้ว”
จึงได้ถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณ(เดินวนขวาโดยรอบ)แล้ว อันตรธาน(หายตัว)ไป ณ ที่นั้นแล
อ้างอิงจาก-พระไตรปิฎก (มจร.แปล) เล่มที่ ๔ ข้อที่ ๗-๙ หน้าที่ ๑๑-๑๕.