ไปที่เนื้อหา


usr21748

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 24 Jan 2008
ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด Feb 06 2008 12:03 AM
-----

โพสต์ที่ฉันโพสต์

ในกระทู้: มีเรื่องแก้ไม่ตก

06 February 2008 - 12:03 AM

เรื่องของเรื่องเป็นกลไกทางจิตของมนุษย์ทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าใครๆจะพบเจอกับปัญหาใดๆก็ตาม ทุกๆปัญหา มีไว้ให้เราแก้ ถ้าไม่มีปัญหา มนุษย์ไม่มีปัญญาหรอกครับ ปัญหาที่แก้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องแก้ปัญหานั้น ปล่อยมันไป เพราะนั้นก็คือการแก้ปัญหาแบบผู้รู้ ผู้รู้ไม่ยึดติดกับปัญหาที่ไม่มีทางแก้ในปัจจุบัน หากไม่เช่นนั้น เวลาจะมีไว้ทำไม เพราะเวลานั้น ถ้าจะกล่าวไปแล้ว เป็นการยึดติดกับเวลาทำให้เกิดอารมณ์ หงุดหงิดขึ้นมาได้ ตัวอย่าง เช่นต้องเข้าคิวเพื่อจะทำกิจกรรมอะไรซักอย่างที่มีจำนวนผู้คนมากๆ การจัดคิว คือทางแก้ปัญหาให้มีความทัดเทียมกัน แต่ความจริงแล้ว เป็น วิธีการของผู้รู้ รู้ยังไง รู้แบบนี้ เมื่อต้องเจอกับปัญหาแบบนี้เข้าเมื่อใด เราต้องท่องไว้ในใจข้อแรกเลยว่า มีคนจำนวนมากชอบเลือกเวลานี้ ทำให้เราต้องต่อคิว แสดงว่า เรายังมีชีวิตในโลกมนุษย์อยู่ กิจกรรมแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับเราตลอดเวลา นี้ คือ กิจกรรมของการเสมอภาค เรื่องการ แบ่งเวลาให้กับบุคคลใหม่ๆที่เรายังไม่รู้จักเขา ในฐานะที่เรา เกิดมาเป็นมนุษย์ทั้งที หนึ่งชีวิตนี้ มีเวลาเท่าๆกัน เรารู้จักผู้คนทั้งชีวิตของเรา มีทั้งหมดเท่าไรกัน ถ้าหนึ่งร้อยคน แม้มันน้อยไปหน่อยนะ เพราะคนไทยมีตั้ง หกสิบกว่าล้านคน ที่สำคัญเราพูดภาษาแบบนี้ สามารถสื่อสารกันได้ ช่างดีเหลือเกิน อย่างน้อยๆ เราไม่ต้องใช้ความพยายาม ที่จะสื่อ ด้วยวิธีการอื่น แค่ ทักด้วยคำพูดที่ไพเราะเพราะพริ้งว่า การจัดคิวนี้ดีจังทำให้เราได้มีกิจกรรมแบบนี้ ร่วมกันครั้งแรกในชีวิต อย่างน้อยๆ ก็เพื่อประกาศให้คนอื่นได้รับทราบว่า ฉันมีความภูมิใจที่ได้แนะนำตัวเองให้ ผู้คนใหม่ๆ ได้รู้จักในฐานะที่ฉันเกิดเป็นมนูย์เหมือนกัน เลยสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ ภูมิใจจังเลย นี้ถ้าฉันไปเกิดเป็นนก จะสื่อสารกับมนุษย์คงไม่มีวันเข้าใจได้ง่ายๆ ว่า ฉันอยากมี กิจกรรมแบบนี้จัง มีการเข้าคิวรอรับอาหาร เข้าคิวจ่ายเงินเพื่อกิจกรรมต่างๆ ฯลฯ การมีคิวทำให้เรารู้จักการแบ่งปัน เพราะมนุษย์อยู่ได้ด้วยการแบ่งปัน เราได้บุญจากการแบ่งปันทั้งนั้น ท่านทั้งหลายลองตรองดูดเถิด ไม่ใช่เพราะ การแบ่งปันดอกหรือ ทำให้เราได้มี บุตรหญิง บุตรชายไว้เชยชม ไม่ใช้เพราะการแบ่งปันดอกหรือ ทำให้เรา มีความรักเกิดขึ้นภายในใจของตน ทำให้จิตใจของเราอ่อนนุ่มละมุนละไม การให้เท่านั้นที่จะเชื่อมตัวเราไปถึงคนอื่นๆ ทำให้คนสองคนได้รู้จักกันออกไป และขยายสู่ความเข้าใจอันดีงามต่อกัน สร้างมิตรภาพใหม่ให้เกิดขึ้นมา เพราะ การให้มิใช่หรือ เราจึงมีความสวยงามเกิดขึ้นมา ดัง ดอกไม้ ที่ได้ให้สีสันต่างๆแก่โลกใบนี้ ทำให้โลกมีความน่าอยู่ เพราะมีความสดใสมีชีวิตมีชีวา และดอกไม้ยังไม่เคยหยุดให้สีสันแก่โลกใบนี้ ถึงแม้กาลเวลาจะผ่านไปแค่ไหนก็ตาม
เพราะทุกๆกิจกรรมของมนุษย์ คือตัวตนของเรา จงรีบเร่งทำความดี แต่อย่ารีบร้อนทำความชั่วด้วยการ ทำลายความชั่วลงได้ ด้วยความใจเย็น คือ ชัยชนะอันยิ่งใหญ่ภายในใจของตน เพราะ ไฟร้อนภายในใจถูกดับแล้วด้วยความดี ด้วยการให้ ใจของตน ได้มีคิวเพิ่มที่จะทำความดีต่อๆไป ด้วยการให้ และให้ ใจของเราได้แต่สิ่งที่ดีๆ มีความสุข เมื่อ ทุกๆคนต่างมีความปราถนาแต่ในด้านที่ดีๆ เราก็ควรทำดี เพราะ ทำดียังไงก็ดี ทำกี่ครั้งก็ดี อยู่ที่ว่า เรารู้จักคำว่า ดี ดีแค่ไหนเท่านั้น
ถ้าเราคิดว่า เรารู้จัก คำว่า ดีพอ มันจะพอดีกับใจของเราในทันที นี้คือ ทางสายกลางโดยแท้ ไม่มากไม่น้อย มันพอดีๆ
ขอความเจริญในปัญญาจงบังเกิดแด่ท่านทั้งหลายเถิด ประดุจดังแสงสว่างที่ส่องสว่างไปไหนอนาคต ทำให้เรา ได้มองเห็นในอนาคต ว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเรา ว่าเป็นเช่นไร ไม่ว่า จะประสบกับปัญหาใดๆ ปัญหานั้นเกิดขึ้นมาเพื่อมีไว้ ให้มนุษย์แก้ไขปัญหานั้นๆ เราเกิดมาเพื่อการนี้จริงๆ นี้คือ ปัญญาของมนุษย์โดยแท้ ผู้รู้ย่อมมีความสุขที่ได้แก้ปัญหา

ในกระทู้: พวงมาลัยหลังเลิกงานบูชาข้าวพระ

04 February 2008 - 10:42 PM

ข้าพเจ้าให้ข้อสังเกตุที่อาจจะแตกต่างจากท่านอื่นๆออกไปดังนี้ บุคคลที่หนึ่งแสวงหาดอกบัวที่ปราณีต เพื่อนำมาถวายเป็นพุทธบูชา บุคคลที่สองนำเอาของที่เคยถวายไปแล้ว มาถวายใหม่ เพื่อให้ตนได้มีโอกาสได้ถวายเหมือนกัน บุคคลสองประเภทนี้ พอจะมองเห็นในความแตกต่างได้ตามความสมควร แต่ยังมีบุคคลอีกประเภทที่สาม ที่มีสติปัญญามองการไกลกว่า ถึงแม้จะมีเพียงแค่ดอกบัวเพียงดอกเดียวเช่นกัน ที่ได้น้อมนำมาถวายเช่นเดียวกัน แต่เขากลับได้บุญมากกว่า บุคคลประเภทที่หนึ่ง ที่ดูแล้วเหมือนใช้ของดี ปราณีต เพื่อนำมาถวาย ก็น่าจะสูงสุดแล้ว ดีแล้ว ยังจะมีอะไรที่ดีไปกว่านั้นอีก
คำตอบ คือ บุคคลที่สามมีสติปัญญามากกว่าที่จะแสวงหาบุญได้มากกว่า บุคคลที่ว่านี้ เขากระทำเช่นไรหรือ จึงได้บุญมากกว่า กล่าวคือ เขากระทำเช่นนี้ เข้านั้นแสวงหาสายพันธ์บัวที่ดีที่สุด แล้วนำมาปลูก ทุกๆวันเข้าได้ปลูกสติปัญญาของเข้าด้วยการระลึกถึงดอกบัวที่สวยงามภายในใจตลอดเวลา ตั้งความปราถนาไว้ว่าจะนำผลผลิตที่ได้คือดอกบัวที่เขาคัดสันต์มาดีแล้ว เฝ้าเพียรพยายามดูแลเป็นอย่างดี ทั้งดอกบัวภายนอกหมายถึงต้นบัวเฝ้าใสปุ๋ยดูแลน้ำ อย่างพิธีพิถันทุกขั้นตอน และ ดอกบัวภายในหมายถึง เฝ้าระลึกถึงดอกบัวที่สวยงามปราณีตภายในใจตลอดเวลา เฝ้านับวันรอดอกบัวภายนอกออกดอกตูม เพื่อจะได้ตัดมาถวายในท้ายสุด ของการถวายอย่างปราณีต บุคคลผู้นั้น ย่อมได้บุญมากกว่า ฉันนี้แล และบุคคลเช่นนี้ ย่อมจะเป็นบุคคลที่ เข้าถึงธรรมได้ง่ายกว่า บุคคลสองประเภทแรก เพราะเขาทำตามหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ทุกขั้นตอน นั้นก็คือ รู้จักทุกข์ก่อน เป็นประการแรก ครั้นเมื่อรู้จักกับทุกข์ดีแล้วย่อมจะรู้ว่า ย่อมเห็นเหตุแห่งการเกิดทุกข์ ครั้นเมื่อเห็นเหตุดีแล้ว ย่อมมองเห็นหนทางแห่งการดับทุกข์ และปฏิบัติไปสู่การดับทุกข์ บุคคลผู้นั้นได้เชื่อว่าเข้าใกล้ ซึ่งพระพุทธเจ้าโดยแท้ และย่อมบูชาต่อพระพุทธเจ้าได้ปราณีตสูงที่สุด ทั้งทางกายและทางใจ
พระพุทธเจ้าทรงสอนให้มนุษย์เรา เดินทางย้อนหลังไปสู่ต้นกำเนิดของการเกิดทุกข์ก่อน พระพุทธเจ้าเป็นของสูง ที่ไม่ได้หมายเอา การอยู่สูงไปในท้องฟ้า เพราะในนั้นย่อมมีดวงดาวอาศัยอยู่ แต่สูงในที่นี้หมายเอา สูงเข้าไปในจิตใจของเรา ที่ซ้อนทับด้วยชั้นของมาร
การที่เรานั่งสมาธิแล้ว จิตของเรามักจะจดจำเรื่องของอดีตสะเป็นส่วนใหญ่ ส่วนเรื่องในอนาคตก็ได้แต่คาดเดาตางๆนาๆกันไปนั้น อย่าได้ท้อแล้วเลิกล้มไปเพราะนั้น กำลังล้างข้อมูลเดิมๆออกไป ถ้าไม่ล้างเรื่องอดีตออกไปเช่นนี้ ในปัจจุบันจะไม่เกิดการบรรลุธรรมได้ดอก เมื่อต้องเข้าถึงธรรม ก็ต้องเข้าไปสู่อดีตชาติก่อน นั้นก็คือ ศูนย์กลางกายนั้นเอง กายเหล่านี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน กายเหล่านี้ตางหากที่มีข้อมูลแห่งการทำดี นั้นก้อคือ บารมีตางๆ ที่ได้สะสมมาในอดีต เราข้ามเวลาไปสะสมในอนาคตไม่ได้ดอก เราเคยอยู่ได้แต่อดีตกับปัจจุบันเท่านั้นจริงๆ
การเห็นธรรมไม่ใช่เกิดจากความคิดเห็น แต่ การคิดเห็น เป็นหนทางไปสู่การเห็นธรรม เมื่อใจ คิด และเห็น หยุดลงที่ ละความสงสัยทิ้งเสียได้ หยุดตรงนี้เอง คือเกิดดวงตาเห็นธรรม
จงละทิ้งความสงสัยทั้งปวงทิ้งไป ด้วยความไม่สงสัย แต่แทนที่ด้วยความศรัทธา ที่เต็มไปด้วยความอ่อนน้อม บุคคลผู้มีความอ่อนน้อมต่อพระรัตนตรัยอยู่เป็นเนื่องนิตย์ ย่อมทำให้ใจอ่อนนุ่ม เป็นดังภาชนะที่อ่อนนุ่ม ย่อมเหมาะแก่การ รองรับในสิ่งต่างๆได้ดี พญามารเค้ากลัวความอ่อนนุ่มเช่นนี้ยิ่งนัก เพราะยิ่งอ่อนน้อมต่อพระรัตนตรัยมากขึ้นเท่าใด ความแข็งกระด้างต่อพญามาร ย่อมจะมีมากขึ้นฉันนั้น
สาธุ

ในกระทู้: =QUIZ= เรื่องพุทธวงศ์ในกัปปัจจุบัน

04 February 2008 - 09:30 PM

ขออภัยข้าพเจ้าไม่ได้และไม่สามารถตอบกระทู้นี้ได้ แต่ข้าพเจ้าขออนุญาต เขียนในบางบทความที่ข้าพเจ้าพอจะเข้าใจมาบ้าง ( เพียงความเข้าใจส่วนตัวเท่านั้นยังไม่ใชภูมิธรรม )
เหตุที่พระพุทธองค์ทรงปราภพ ในเรื่องการกำเนิดขึ้นของพระพุทธเจ้า ข้าพเจ้าขอสันนิษฐานดังนี้
เป็นไปเพื่อเปรียบเทียบในเชิงการบรรลุธรรม ที่มีอยู่จริง ที่พระพุทธองค์ทรง ขยายความในส่วนต่างๆ ในอดีตที่สามารถกำหนดระยะเวลาได้ แต่หาใช่เป็นอดีตก่อนหน้าโน้น เพราะมีพระพุทธเจ้า เกิดขึ้นก่อนหน้าโน้นอีก หากนำมาเปรียบเทียบกับเม็ดทราย ที่มีมากกว่าเม็ดทรายในทวีปทั้งสี่ ( หมายถึง เม็ดทรายในแต่ละโลก ที่หมายถึง สี่โลกที่มีมนุษย์อาศัยอยู่ ) นี้เอาแค่ในโลกที่เราอาศัยอยู่นี้ หากเมื่อเราเหยียบย่ำลงไปบนพื้นทราย หรือทรายที่นำมาสร้างบ้าน เราก็ไม่อาจนับได้หมดแล้ว ในนี้ร่วมถึงพระสารีริกธาตุที่เรากำลังพากันเหยียบย่ำอยู่ในปัจจุบันนี้ ในอีดตอาจเป็นพระสารีริกธาตุที่หลงเหลืออยู่ ให้เราๆท่านๆได้ระลึกถึง แล้วเรายังได้เหยียบย่ำไปบนพระสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ที่ได้เสด็จดับขันธ์นานมาแล้วในอดีตกาล ที่ยังคงสภาพอยู่ชั่วกัปชั่วกัลป์ แม้โลกนี้จะสลายไปแล้วกี่ครั้งกี่คราว เม็ดทรายเหล่านี้ก็หาได้ถูกทำลายไปหมดได้ ดังนันเม็ดทรายทั้งหลายเล่านี้จึงเปรียบดังเม็ดทรายที่ไร้ซึ่งกาลเวลา
ดังนั้นในขณะนี้ที่เรายังมีชีวิตอยู่ตอนนี้ อย่าได้เสียเวลาไปกับการไปสนใจให้มากกับเรื่อง การกำเนิดพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆในอดีตอยู่เลย จงพากันบรรทึกไว้ให้สำหรับบุคคลที่ยังติดในเรื่องความสงสัยที่ยังประโยชน์ได้น้อย เพราะถึงเราจะรู้ดีในคำจารึกสักเพียงใด ตรงจุดนี้ยังไม่สามารถทำให้เราบรรลุธรรมได้โดยง่ายอยู่ดี เพราะถ้าหากว่ายังยึดติดอยู่ที่ความเป็นผู้รู้มากในเรื่องประวัติศาสตร์ แต่ตนเองกลับวนๆอยู่แค่ตรงนี้ หลงยึดติดในรูปธรรม ไม่สลัดทิ้งไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับพระธรรม ที่มีผลดีกว่า อุปมาเหมือน ผู้เลี้ยงโคเนื้อ ถึงแม้จะรู้ดีไปทั้งหมดทุกๆเรื่องในการเลี้ยงอย่างไร้ให้ได้เนื้อดี แต่ผู้นั้นกลับไม่เคยได้นำเนื้อโคนั้นมาเป็นเนื้อของตน ด้วยการกินเนื้อนั้นเลย บุคคลผู้นั้นย่อมจะไม่เคยได้รับรู้ว่า ทั้งรสชาด และ พลังงานที่ได้มาเป็นเช่นไร เช่นเดียวกันกับ การเอาทรายมาผสมเท่ หรือฉาบเป็นเสาบ้าน เป็นผนังห้องต่างๆ ฯลฯ
ถ้าตราบใดที่ยังไม่ระลึกถึงอยู่ตลอดเวลาว่า พื้นผิวที่ย่ำเดินไปอยู่ทุกวัน เป็นดังเครื่องเตือนสติให้ระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองคื แล้วเรียบเร่งปฏิบัติธรรมเพื่อให้เข้าถึง เพื่อจะได้ไปขอขมาต่อพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ ที่ได้ล่วงเกินโดยไม่มีเจตนา แต่ไม่อาจหลีกหนี้ไปให้พ้นได้ ในเรื่องของการเหยียบย่ำ ในทุกวันๆนี้ได้
แบบนี้ต่างหากเป็นกิจที่ควรเร่งกระทำก่อน แล้วเราจะได้ชื่อว่า เราเองรู้ลึกจริง อย่างแท้จริง
ขอความเจริญในธรรมจงบังเกิดขึ้นแด่ท่านทั้งหลายไปอย่างต่เนื่องตราบกระทั้งถึง ที่สุดแห่งธรรม คือ พระนิพพานเทอญ
อ่านจบแล้วอย่าลืมนั่งสมาธิด้วยหละ สิ่งนี้ทำเพื่อตัวของท่านเองไม่ได้ทำเพื่อใครๆ จงเห็นแก่ตัวก่อน เหมือนนิสัยผู้คนทั่วไป เห็นแก่ตัวแบบนี้ พระพุทธเจ้า ทรงสรรเสริญอย่างแน่นอน เชื่อข้าพเจ้าเถอะ

ในกระทู้: กระทู้ ส่งเสริมการอ่านและการคิดเชิงสร้างสรรค์

03 February 2008 - 08:07 PM

สมัยก่อนแม้กระทั้งในปัจจุบันนี้ มนุษย์ส่วนใหญ่อาจไม่ทราบว่า ดินชนิดหนึ่งมีคุณสมบัติพิเศษ เมื่อถูกเผาด้วยความร้อนสูงๆแล้วสามารถนำมาใช้งานได้ตามความต้องการ ดินชนิดนี้ เขาผู้นั้นในอดีตตั้งชื่อให้มันว่า เหล็ก ความเป็นไปเป็นมาของเรื่องราวเหล่านี้ ข้าพเจ้าเพียงนำมาเล่าสู่กันเพื่อให้ได้รับทราบโดยทั่วกันว่า มีหลายๆคนตั้งข้อสงสัยว่า มนุษย์เรานี้สามารถอยู่ได้โดยไม่กินอะไรเลยได้หรือไม่ ก่อนที่จะไปหาคำตอบ ขอเชิญท่านทั้งหลายไปอ่านกระทู้ ตั้งคำถามไว้ ในหัวข้อข้อ มนุษย์เราสามารถอยู่ได้โดยไม่กินอะไรเลยได้หรือไม่

ในกระทู้: ทำไมจิตของมนุษย์ถึงยอมรับสิ่งที่เป็น อกุศล ง่ายกว่า กุศล

31 January 2008 - 11:31 PM

อวิชชา คือ ความไม่รู้จริง เมื่อไม่รู้จริง จึงหลงเข้าใจว่า ทำชั่วได้ง่าย กว่าทำดี เราเข้าใจว่า เรารู้ แต่ความเป็นจริงแล้วจิตเราไม่รู้จึงถูกอวิชชาของความไม่รู้จริง ให้หลงกระทำกันอยู่ จิตมีความหลงเข้าใจว่ารู้จักจิตของตนเองดี จึงทำให้ขาดสติ แม้จะบอกว่า มีสติดี แต่กำลังใช้สติในการทำชั่ว แบบนี้ เรียกว่า มีสติดีไม่ได้ เพราะคำว่ามีสติดี สติที่ดีจะมีวิชชา ( ปัญญา)พร้อมอยู่ตลอดเวลา ไม่มีช่องว่างให้เติม อวิชชาเข้าไปได้ แบบนี้สิ จึงจะเรียกว่ามีสติดีจริงๆ
ทุกดวงจิตไม่มีหน่วย ความจำใดๆ ด้วยเหตุนี้ อวิชชา จึงแทรกแซงได้ง่ายกว่า ส่วนหนวยความจำ หาใช่ จิตจำ แต่ เป็นเพราะ บารมีของจิตที่จดจำ ข้ามพบข้ามชาติได้ บารมีเป็นเสาหลักของจิต หาใช่ จิตเป็นเสาหลักของบารมี การอธิบาย ในเรื่อง บารมีกับจิต มีความคล้ายๆแต่ไม่เหมือนกัน บารมี เกิดจากกรรมดี ส่วนจิตเกิดจากความว่างเปล่า บารมีทำหน้าทีเป้นเหมือน กายของมนุษย์ และ สรรพสัตว์ทั้งหลาย ส่วนจิตทำหน้าที่ จับบารมี มาปรุ่งแต่งรสชาติเข้าไป บารมีเป็นเหมือน ยานพาหนะ จิตเป็นเหมือนผู้อาศัย อวิชชาจึงเข้ามาห่อหุ้มได้ง่าย เมื่อใดที่ จิตมีบารมีน้อย เมื่อทุกท่าน ทราบดังนี้แล้ว ควรรีบเร่งสะสมบารมี ตามที่คุณครูไม่ใหญ่ ชวนสะสมกันเถิด ได้อย่าสงสัย ใดๆ ในคำสอนของท่านเลย เพราะท่าน ได้น้อมนำเอาคำสอนของพระพุทธเจ้า ( ไม่ใช่คำสอนที่เกิดมาจากความอยาก หากแต่เป็นคำสอนที่ มีความบริสุทธิ์ จากกิเลสทุก
ตระกูลแล้ว ) ล้วนๆ และที่สำคัญ มาจากวิชชา ไม่ใช่อวิชชา
ขออวิชชาทั้งหลายจงมะลายหายสูญไปจากจิตของท่านทั้งหลายเทอญ สาธุ