ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* - - - - 1 คะแนน

EMBRYOLOGY


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

แบบสำรวจ: EMBRYOLOGY ตัวอ่อนมนุษย์ (13 สมาชิก ได้เข้าร่วมลงคะแนน)

…..คนโบราณเขารู้สิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร….

  1. จากการเล่าต่อๆ กันมา (3 ลงคะแนน [23.08%])

    อัตราส่วนของคะแนน: 23.08%

  2. จากผู้มีภูมิปัญญานอกโลก (0 ลงคะแนน [0.00%])

    อัตราส่วนของคะแนน: 0.00%

  3. จากหูทิพย์ ตาทิพย์ (7 ลงคะแนน [53.85%])

    อัตราส่วนของคะแนน: 53.85%

  4. จากแพทย์แผนโบราณ (3 ลงคะแนน [23.08%])

    อัตราส่วนของคะแนน: 23.08%

ลงคะแนน ผู้มาเยือนไม่มีสิทธิ์ลงคะแนน

#1 เถลิงเกียรติ

เถลิงเกียรติ
  • Members
  • 760 โพสต์
  • Interests:N/A

โพสต์เมื่อ 08 June 2006 - 07:49 AM

"....ปฐมํ กลลํ โหติ กลลา โหติ อพฺพุทํ

อพฺพุทา ชายเต เปสิ เปสิ นิพฺพตฺตเต ฆโน

ฆนา ปสาขา ชายนฺติ เกสา โลมา นขาปิ จ ...."


.......................................................................................................................................................

จากพระบาลีข้างบนนั้น พอจะถอดใจความได้ว่า…..


ในสัปดาห์แรก -- แห่งการเปฎิสนธินั้น เกิดขึ้นเป็นกลลรูป คือ เป็นหยดน้ำใสเหมือนน้ำมันงา..........

ในสัปดาห์ที่สอง -- หลังจากกลลรูป เกิดเป็นอัพพุทรูป มีลักษณะเป็นฟองสีเหมือนน้ำล้างเนื้อ........

ในสัปดาห์ที่สาม หลังจากอัพพุทรูป เกิดเป็นเปสิรูป มีลักษณะเหมือนชิ้นเหลวๆสีแดง.........

ในสัปดาห์ที่สี่ หลังจากเปสิรูป เกิดเป็นฆนรูป มีลักษณะเป็นก้อน มีสัณฐานเหมือนไข่ไก่.......

ในสัปดาห์ที่ ๕ เกิดปุ่มขึ้น ๕ แห่ง เพื่อเป็นมือและเท้าอย่างละ ๒ และเป็นศีรษะ ๑.

ต่อจากนั้น คือระหว่างสัปดาห์ที่๑๒ ถึงสัปดาห์ที่๔๒ ผม ขน เล็บ เหล่านี้เกิดขึ้นๆลๆ.......


................................................................................................................................

[/color]

###ในสัปดาห์แรก……ภาษาบาลีเรียกว่า”กลละ”

……มีประมาณเท่าหยาดน้ำมันงา ซึ่งตั้งอยู่ที่ปลายเส้นด้ายที่ทำด้วยเส้นขนสัตว์ ๓ เส้น ท่านกล่าวหมายความว่าหยาดแห่งน้ำมันงา เนยใส "ใสไม่ขุ่นมัว ฉันใดเขาเรียกกันว่า กลละมีสีคล้ายกัน ฉันนั้น".


……ทางวิทยาศาสตร์ปัจจุบันเรียกว่า blastocystซึ่งตรงกับกลละในภาษาบาลี จะมีชั้นใสๆล้อมรอบ(ภาษาคนโบราณที่ว่าใสไม่ขุ่นมัว)ที่วิทยาการปัจจุบัน เรียกว่า zona pellucida(pellucidแปลว่า โปร่งใส) blastocystจะเต็มวัยเมื่ออายุ5วันนับจากวันปฏิสนธิ หลังจากนั้นชั้นใสๆล้อมรอบที่เรียกว่า zona pellucidaจะหลุดออก อนึ่งblastocystนี้มีขนาดที่เล็กมากๆประกอบด้วยเซลล์จำนวนไม่มาก เส้นผ่าศูนย์กลาง0.2มม. !!! ซึ่งตามนุษย์เปล่ามองไม่เห็นแน่ๆ …..ก็น่าแปลกใจมากที่คนโบราณท่านทราบลักษณะของกลละว่า”ใสไม่ขุ่นมัว”ได้อย่างไร

###ในสัปดาห์ที่สอง……

เมื่อกลละนั้นล่วงไป ๗ วัน ก็มีสีเหมือนน้ำล้างเนื้อ จึงชื่อว่า “อัมพุทะ”. ชื่อว่า กลละ ก็หายไป. เมื่อชั้นใสๆหลุดออกไป ความใสก็หายไป สีก็จะ เปลี่ยนไปเป็นสีเหมือนน้ำล้างเนื้อ….. ในตำราฝรั่งว่า ในวันที่5 ชั้นใสๆจะหลุดไป และวันที่6-7 (เข้าสัปดาห์ที่สอง)blastocyst จะเข้าไปฝังในเยื่อบุผนังมดลูก…..นี่ก็น่าแปลกใจอีกว่าคนโบราณท่านทราบได้อย่างไรว่า zona pellucida หลุดออกไปแล้ว ความใสก็หายไป คือสีจะเปลี่ยนไปในสัปดาห์นี้

###ในสัปดาห์ที่สาม….

.อัพพุทะจะมีสีเข้มขึ้น เกิดเป็นเปสิรูป มีลักษณะเหมือนชิ้นเหลวๆสีแดง ส่วนขนาดก็ต้องใหญ่ขึ้นเป็นธรรมดา

###ในสัปดาห์ที่สี่…..

เปสิจะแปรสภาพเป็นฆนะ ก้อนคล้าย”ไข่ไก่ “(ต้องดูรูปตัวอ่อนมนุษย์ในวันที่25-26ของการเจริญเติบโตจากหนังสือเอมบริโอโลยี่ กำกับ)…. ตรงนี้ผมว่า ลักษณะคล้ายไปทางไข่ไก่ก็จริง แต่เหมือนไข่ไก่เอามาต่อส่วนด้านเรียวออกไปอีกหน่อย…. การใช้ภาษาของคนโบราณที่ผ่านมา2000กว่าปีแล้ว อาจจะไม่สมบูรณ์นักในการบรรยาย แต่บรรยายได้ขนาดนี้โดยไม่มีแว่นขยายก็มหัศจรรย์แล้ว!!!

###ในสัปดาห์ที่ห้า….

เกิดปุ่มขึ้น ๕ แห่ง เพื่อเป็นมือและเท้าอย่างละ ๒ และเป็นศีรษะ ๑. ตรงนี้ ในตำราปัจจุบัน จะเริ่มเห็นupper limbuds(ส่วนที่จะเจริญไปเป็นแขน)ได้ลางๆเมื่อวันที่26(ปลายสัปดาห์ที่สี่) แต่จะยังไม่เห็นlower limb buds(ส่วนที่จะเจริญไปเป็นขา)…. lower limb budsจะเห็นในวันที่28(สัปดาห์ที่สี่ ต่อกับสัปดาห์ที่ห้า)…. และจะเห็นเป็นห้าปุ่มอย่างชัดเจนในประมาณวันที่29-30 ซึ่งตรงกับต้นของสัปดาห์ที่ห้าในพระบาลีพอดี!!!ในตอนนี้ตัวอ่อนมนุษย์จะวัดความยาวได้ประมาณ5มม. ซึ่งคงเป็นไปไม่ได้สำหรับคนโบราณที่จะมาผ่าศพแม่เพื่อมาดูตัวอ่อนในครรภ์…. เพราะเวลาผ่าลงไปถ้าไม่รู้ว่าจะหาดูอะไร และดูตรงไหน สิ่งขนาดมิติ5มม.นี้คงจะหาไม่เจอหรอก

ส่วนที่เหลือ หลังจากนั้นพระบาลีกล่าวไว้คร่าวๆตามข้างต้น…..

เมื่อกว่า2000ปีก่อน…..คนโบราณเขารู้สิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร….ถ้าไม่ใช่สิ่งเหนือวิสัยเช่น”ทิพยจักษุ”……



รูปตัวอ่อนระยะต่างๆ


###สัปดาห์ที่1.....ระยะ"กลละ" หรือBlastocyst ขนาด0.1-0.2มม จะเห็นชั้นใสๆที่ล้อมรอบ เรียกว่าzona pellucida ตรงกับพระบาลีที่ว่า "ใสๆไม่ขุ่นมัว" ......

http://www.visembryo...aby/stage3.html

###สัปดาห์ที่2.....ระยะ"อัพพุทะ" ระยะนี้ชั้นใสๆจะหายไปแล้ว ตัวอ่อนฝังเข้าไปในผนังมดลูก มีเส้นเลือดใหม่ของผนังมดลูกของแม่มาสู่ตัวอ่อน จะเห็นสีเหมือนน้ำล้างเนื้อ......

http://www.visembryo...aby/stage5.html

###สัปดาห์ที่3......ระยะ"เปสิ" http://www.visembryo...aby/stage7.html

###สัปดาห์ที่4 ระยะ"ฆนะ" ส่วนลำตัวสัณฐานเหมือนไข่(แต่มีส่วนหัวยื่นยาวออกไปอีกเล็กน้อย)

http://nmhm.washingt...c/stage_12a.htm

### สัปดาห์ที่5 ระยะที่มี"ปัญจสาขา" มีปุมที่เป็นศรีษะ แขนทั้งสอง และขาทั้งสอง http://www.visembryo...by/stage14.html



......................................................................................................................................

[color="#6633ff"]




ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
อาจเป็นเรื่องที่แตกต่างหรือเกี่ยวข้องกับ วิทยาศาสตร์ หรือ วิศวกรรมศาสตร์
ดังนั้นเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนถ้าไม่ตรงกับความคิดเห็นของท่านใด ขออย่าได้มีอคติก่อน
แต่ถ้าตรงกับความคิดเห็นของท่านผู้ใด ขออย่าได้เชื่อไปก่อน
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าเรื่องที่แสดงความเห็นเป็นแนวคิดของข้าพเจ้า
และข้อมูลที่ค้นคว้าเพื่อเสริมสร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้มั่นคง
ซึ่งอาจจะถูกบ้างผิดบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็จะเป็นประโยชน์ เป็นข้อมูลหนึ่ง กับท่านที่ศึกษาทางพุทธศาสตร์
ข้าพเจ้ามีความเชื่อว่า แต่ละคนก็มีกรรมเป็นของตนเอง เราเป็นทายาทแห่งกรรม
ทำดีตามครูไม่ใหญ่ ต้องได้ดีแน่นอน
และสรุปได้ว่า การเอาธรรมในพุทธศาสนามาใช้ในการดำรงชีวิตไม่เคยล้าสมัย สามารถใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย

ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม



#2 MiraclE...DrEaM

MiraclE...DrEaM
  • Members
  • 1368 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 June 2006 - 10:54 AM

อันนี้เป็นความรู้จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ ท่านคงไปรู้ไปเห็นมาด้วยญาณทัศนะครับ
สิ่งอัศจรรย์ ปรากฏ บนผืนหล้า
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา

*********************

รักษ์ร่างพอสร่างร้าย ..... รอดตน
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว

เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล


คำสอนของเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย

#3 PS-Junior

PS-Junior
  • Members
  • 247 โพสต์
  • Location:Bangkok
  • Interests:Meditation

โพสต์เมื่อ 08 June 2006 - 01:44 PM

ถ้าตอบตามหลักวิทยาศาสตร์ ก่อนนะค่ะ เพราะถ้าตามหลักศาสนาคงเป็นเรื่องละเอียด ซึ่งจังกึมมีความรู้ไม่พอ ไม่กล้าตอบค่ะ

1. คนสมัยโบราณ ไม่ได้หมายความว่าวิทยาการสมัยนั้นจะโบราณไปด้วยนะค่ะ ไม่เช่นนั้นเราจะเห็นสิ่งมหัสจรรย์ต่างๆที่สร้างขึ้นแบบเหนือธรรมชาติจากมนุษย์ยุคก่อน ที่เราไม่สามารถอธบายได้ ได้อย่างไร แสดงว่าบางที่วิทยาการสมัยนั้นอาจจะก้าวหน้าไปกว่าเราสมัยนี้ก็ได้ แต่เรายังไม่ทราบ

2. ถ้าไม่เกี่ยวกับวิทยาการที่ทันสมัย ก็น่าจะเกิดจากการเรียนรู้สืบต่อกันมาเรื่อยๆ อาจจะเริ่มจากการที่เห็นตัวอ่อนของมนุษย์ ที่แท้ง คลอดก่อนกำหนด หรือมารดาที่เสียชีวิตทั้งกลม และศึกษาระยะต่างๆของตัวอ่อนมนุษย์แต่ละระยะไปพร้อมๆกับพัฒนาเทคโนโลยีที่ทำให้เรียนรู้ได้มากขึ้นก็ได้ เช่นการผ่าสัตว์เพื่อศึกษาตัวอ่อน ก่อนที่จะมาทำในคน เป็นต้น

ทั้งหมดนี้ไม่ทราบเหมือนกันว่าจะจริงแท้แค่ไหนนะค่ะ เพราะจังกึมเองเท่าที่จำความได้ ก็เพิ่งดูโลกใบนี้ได้ ไม่ถึง 30 ปีเลยค่ะ


#4 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 08 June 2006 - 02:50 PM

คำว่า Embryology มิได้มีความหมายว่า วิวัฒนาการในครรภ์ หากแต่หมายถึง "คัพภวิทยา" ซึ่งเป็นการศึกษาเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของตัวอ่อนในสิ่งมีชีวิต การพัฒนาและการเกิดอวัยวะต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตในแต่ละช่วงเวลาของการพัฒนาตัวอ่อนครับ
"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#5 SmilingCat

SmilingCat
  • Members
  • 1209 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 June 2006 - 02:50 PM

วิทยาศาสตร์เก่งเพียงไหนรู้หมดว่ามนุษย์เกิดเป็นอย่างไร แต่สุดท้ายก็ยังไม่รู้เรื่อง
วิญญาณที่มากำเนิดเลยแม้แต่น้อย แต่พุทธศาสนาเรารู้แม้ว่าวิญญาณนั้นอาจจะมาจากไหน


เรื่องนี้ก็อาจจะกล่าวได้ว่ามหัศจรรย์เหมือนกันเพราะว่าความรู้ทางพุทธศาสนามาตรงกับ
ความรู้ทางโลกซึ่งมาค้นได้ทีหลัง สำหรับผู้ไม่ศรัทธาก็อาจจะบอกว่าอาจจะเกิดจากตำราสมัย
โบราณที่เล่าสืบกันมาอาจจะมีคนเคยแท้งแล้วตายเลยผ่าท้องดูในระยะต่าง ๆ ของการ
ตั้งครรภ์ แล้วจดบันทึกเอาไว้
บันทึกเอาไว้
หยุดคือตัวสำเร็จ

#6 เราคือใคร

เราคือใคร
  • Members
  • 137 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 June 2006 - 04:10 PM

เพราะพระสูตรนี้แหละครับ ทำให้ผมได้เริ่มเข้ามาสร้างบารมีในเส้นทางนี้ครับ

ตอนสมัยนั้นเรียนอยู่ปีหนึ่งกำลังเรียนวิชา คัพภะวิทยา แล้วบังเอิญ (คงเป็นบุญบันดาล) ให้ไปอ่านหนังสือเจอเรื่องราวเกี่ยวกับตัวอ่อนในพระไตรปิฏก เลยช็อคมากกับเรื่องราวต่างๆ ในพระไตรปิฏก เลยได้ขึ้นชมรมพุทธและสร้างบารมีมาจนทุกวันนี้ครับ

#7 Sareochris

Sareochris
  • Members
  • 207 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:-
  • Interests:-

โพสต์เมื่อ 05 August 2006 - 06:46 PM

Embryology หมายถึง ชลาพุชวิทยา ศาสตร์ว่าด้วยการกำเนิดของตัวอ่อน

Fetology คัพภวิทยา คือ วิชาที่ศึกษาเรื่องการเติบโตของตัวอ่อนในครรภ์

ระยะตัวอ่อน-วัยเด็กของมนุษย์ Embryo-Fetus-Infant-Childhood

หากผิดพลาดประการใด ขออภัยมานะที่นี้ด้วยครับ

#8 jane_072

jane_072
  • Members
  • 539 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 June 2007 - 08:11 PM

อนุโมทนากับเจ้าของกระทู้และผู้ตอบกระทู้ทุกท่านครับ สาธุๆๆ

#9 บุญเย็น

บุญเย็น
  • Members
  • 812 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:thailand

โพสต์เมื่อ 25 June 2007 - 08:40 AM

สาธุ
นำมอ ตี่ จ่าง อ้วง ผู่ สัก

#10 Thummada

Thummada
  • Members
  • 5 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 July 2007 - 05:55 PM

อ๊ะๆ เค้ารู้กันมานานแล้วหรอคะเนี่ย happy.gif ..

#11 suriya1503

suriya1503
  • Members
  • 23 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 September 2007 - 08:02 PM

เมื่อใจสว่างและหยุดนิ่งได้ ชื่อว่า ความลับย่อมไม่มี