สงสัยครับ!!!
#1
โพสต์เมื่อ 25 September 2010 - 07:33 PM
เราต้องมีใจอยู่ในบุญด้วยไหมครับ
แล้วทำไมต้องเอาใจให้อยู่กับบุญด้วยอ่ะครับ
และต้องทำอย่างไรอีกถ้าอยากให้ผลบุญที่เกิดจากบุญที่เราทำในปัจจุบันส่งผมได้เร็ว
ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ
#2
โพสต์เมื่อ 25 September 2010 - 08:05 PM
บุญ แปลว่า … เครื่องชำระใจให้สะอาดบริสุทธิ์จากกิเลสตัณหา
มีวิธีทำได้หลายวิธี โดยย่อมี ๓ คือ
จากการทำทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา
ทาน...ขจัดความโลภ
ศีล...ขจัดความโกรธ
ภาวนา...ขจัดความหลง หลงทิศ หลงทาง หลงผิด หลงลืม หลงใหล
- เป็นงานบุญใหญ่
- เปี่ยมด้วยเจตนา ศรัทธาเลื่อมใส ยินดีทุกกาล อธิษฐานจิตอันแรงกล้า
- ใจตั้งจรดศูนย์ อู่แห่งทะเลบุญ
#3
โพสต์เมื่อ 25 September 2010 - 09:43 PM
#4
โพสต์เมื่อ 25 September 2010 - 10:56 PM
หมั่นศึกษาทำความเข้าใจ มีปัญหาคาใจถามได้ที่WWW.DMC.TVนะครับ
เพราะขาดแม้เพียงวันเดียว ใจเราจะหยาบ ทำให้ผังวิตกกังวลได้ช่อง
#5
โพสต์เมื่อ 25 September 2010 - 11:19 PM
- คนมีเงินหนึ่งเอ็มตัดใจทำบุญหนึ่งเอ็ม กับคนมีเงินหนึ่งร้อยเอ็มแต่ตัดใจทำบุญหนึ่งเอ็ม มีปีติยินดีอย่างสุดๆเท่ากัน จะได้บุญเท่ากัน
- แต่คนมีเงินหนึ่งเอ็มตัดใจทำบุญหนึ่งเอ็ม มักจะมีปีติมากกว่า เพราะเป็นบุญที่ทำได้ยากกว่า
- เมื่อบุญส่งผล หากปีติเท่ากัน บุญก็ส่งผลเท่ากัน แต่ถ้าปีติมากกว่ากันปลื้มมากกว่ากัน เพราะเป็นบุญที่ทำได้ยากกว่า เมื่อบุญส่งผลจะส่งผลเร็วกว่า
- แต่ หากตามระลึกนึกถึงบุญบ่อยๆมากกว่ากัน ก็จะส่งผลตามจำนวนชาติที่เกิดใหม่มากขึ้น เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีโอกาสนึกถึงบุญมากกว่า คือ ผู้ที่ทำบุญด้วยชีวิต
- เมื่อลูกและครอบครัวได้คบบัณฑิตและได้ฟังธรรมในปัจจุบัน จึงทำให้เข้าใจเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิต และเป็นเหตุให้ตัดใจทำบุญได้
- ผัง จนได้ถูกรื้อไปเยอะแล้ว แต่ก็ยังพอมีอยู่ ควรจะรื้อให้หมดด้วยการสั่งสมบุญอย่างสม่ำเสมอ และตามระลึกนึกถึงบุญทุกบุญบ่อยๆ บุญนี้ก็จะส่งผลดีในปัจจุบันเป็นอัศจรรย์
* บุญในอดีต คือ บุญที่ลูกเคยทำทานด้วยตนเอง และได้ไปชวนคนอื่นๆมาทำด้วย กับหมู่คณะ
* บุญปัจจุบัน คือ บุญสร้างเสาแก้วพันปีกับหมู่คณะ
* ภายหลังจากวันนั้น ได้มาสร้างองค์พระธรรมกายประจำตัวอีก ก็ทำให้ขายบ้านได้อีก 4หลัง เพราะบุญในอดีตดังกล่าว กับบุญที่สร้างองค์พระธรรมกายประจำตัว มารวมส่งผล
** การที่เป็นเช่นนี้ ก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้ทุกครั้งและกับทุกคน เพราะมีตัวแปรอย่างน้อยสามประการ คือ...
(1) สิ่งที่เราปรารถนาหรืออานิสงส์ที่เราจะได้นั้น เมื่อเปรียบเทียบกับกำลังบุญแล้ว ต้องพอเหมาะกัน เช่น สิ่งที่เราปรารถนานั้นใหญ่ กำลังบุญก็จะต้องใหญ่ พอเหมาะกันด้วย (เปรียบได้กับเราต้องการบ้านราคา 7ล้าน ก็ต้องมีเงิน 7ล้านจึงจะซื้อได้ หากมีเงินไม่พอก็ซื้อไม่ได้)
(2) บุญในอดีตทางด้านนั้นๆ มีมามากขนาดไหน เช่น บางคน ชวนคนทำทานและทำด้วยตัวเองด้วย สำเร็จตามเป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้ ไม่ลดเป้าหมายลงมา เมื่อบุญส่งผลก็จะได้สมบัติตามเป้าหมายที่ตนเองตั้งไว้
* หากทำเกินเป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้ เมื่อบุญส่งผลก็จะได้สมบัติเกินเป้าหมายที่ตนเองตั้งไว้
* หากทำไม่ถึงเป้าหมายที่ตัวเองตั้งไว้ เมื่อบุญส่งผลก็จะได้สมบัติไม่ถึงเป้าหมายที่ตนเองตั้งไว้
(3) บุญที่ทำในปัจจุบัน ได้เติมลงไปอีกจนเต็มเปี่ยม ในระดับพอเหมาะกับสิ่งที่ตนปรารถนา ถ้าบุญเก่าน้อยก็ต้องเติมบุญปัจจุบันให้มากๆ
* แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น บุญเก่าจะให้ผลได้เร็วกว่าบุญใหม่ เพราะบุญเก่านั้นได้ทำงานมาก่อนล่วงหน้า
* เหมือนการปลูกต้นไม้ที่ได้ปลูกมานานแล้ว รอคอยแต่เวลาส่งผล
* ส่วนต้นไม่ที่ปลูกใหม่ก็ต้องรอคอยนานหน่อย คือ ต้องให้บุญมีเวลาทำงานด้วย
* บุญและบาปจะรอคอยทยอยการส่งผล ถ้าบุญได้ช่องก่อน ก็จะส่งผลดี
* ถ้าบาปได้ช่องก่อน ก็จะส่งผลร้าย
* จะชิงช่วง ช่วงชิงกันอย่างนี้ ดังนั้น ในกรณีที่บางคนทำบุญแล้วเจออุบัติเหตุ เพราะบาปเก่าส่งผลก่อนที่บุญใหม่จะส่งผล
3. ช่วงที่นั่งสมาธิมาก ก็ทำให้บุญเก่ามีโอกาสส่งผลได้ง่าย...เปิดโอกาสให้บุญเก่ามาเชื่อมกับบุญใหม่ได้ง่าย จึงมีอุปสรรคน้อย
* สมาธิทำให้เกิดปัญญา ซึ่งจะทำให้เราสามารถวินิจฉัย หรือคาดการณ์อะไรต่างๆได้อย่างถูกต้อง
* จะคิด จะพูด จะทำอะไร เมื่อตั้งอยู่บนฐานของใจที่สบายแล้ว ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นง่าย กอปรกับบุญเก่าบุญใหม่ก็รวมส่งผลได้ง่ายด้วย
* การทำสมาธิ คือ การเปิดโอกาสให้บุญเก่าบุญใหม่มาเชื่อมกันแล้วส่งผล
7.การที่ทำบุญแบบตกบันไดพลอย (ได้) บุญแบบนี้ เวลาบุญส่งผล สมบัติจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหันไม่คาดคิด
* สมบัติจะเกิดขึ้นมาอย่างง่ายๆ แบบไม่มีเงื่อนไข เมื่อลูกตัดสินใจทำบุญทันที แม้ว่าตอนนั้นจะยังไม่มีเงิน แต่ลึกๆในใจคิดว่า ทำได้ แล้วก็ทำได้สำเร็จจริงๆ
ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)
ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป
#6
โพสต์เมื่อ 25 September 2010 - 11:44 PM
วัตถุสัมปทา ปัจจัยสัมปทา เจตนสัมปทา คุณาติเรกสัมปทา
จริงอยู่ ชื่อว่าสัมปทามี ๔ อย่างคือ วัตถุสัมปทา ปัจจัยสัมปทา เจตนาสัมปทา คุณาติเรกสัมปทา.
ในสัมปทา ๔ อย่างนั้น พระอรหันต์ หรือพระอนาคามี ควรแก่นิโรธสมาบัติ ผู้เป็นทักขิไณยบุคคลล ชื่อวัตถุ สัมปทา.
การบังเกิดขึ้นแห่งปัจจัยทั้งหลาย โดยธรรมสม่ำเสมอ ชื่อปัจจัย- สัมปทา
ความที่เจตนาใน ๓ กาล คือในกาลก่อนแต่ให้, ในกาลกำลังให้, ในกาลภายหลัง สัมปยุตด้วยญาณ อันกำกับโดยโสมนัส ชื่อเจตนสัมปทา.
ส่วนความที่ทักขิไณยบุคคลออกจากสมาบัติ ชื่อว่าคุณาติเรกสัมปทา.
#7
โพสต์เมื่อ 26 September 2010 - 08:43 AM
ฮีอ ฮีอ ช้าไปต๋อยเลยเรา....
#8
โพสต์เมื่อ 26 September 2010 - 04:36 PM
#9
โพสต์เมื่อ 26 September 2010 - 09:24 PM
#10
โพสต์เมื่อ 27 September 2010 - 08:25 PM