ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * - - 2 คะแนน

มันจะดีกว่าไหมถ้า


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 48 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ตำรวจรักบุญ

ตำรวจรักบุญ
  • Members
  • 985 โพสต์

โพสต์เมื่อ 12 September 2010 - 11:01 PM

จะดีกว่าไหมถ้า
1.หลวงพ่อจะบอกเพียงว่า สิ่งที่เราทำเกิดประโยชน์
ต่อโลกและพระศาสนาอย่างไร
2.จะไม่พูดถึงอานิสงค์ ว่าที่ทำไปเราได้อะไร มากมายอย่างไร
3.จะไม่พูดถึงอานุภาพบุญปัจจุบัน ที่เกิดขึ้นกับใครๆ

แค่บอกว่าจะให้ทำอะไรก็น่าจะพอแล้ว ยังไงก็พร้อมถวาย
ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้ว



#2 จีวร

จีวร
  • Members
  • 149 โพสต์

โพสต์เมื่อ 12 September 2010 - 11:22 PM

ขนาดหลวงพ่อบอกทุกอย่างหมดแล้วทั้งหยาบและละเอียด
มีทั้งภาพ เพลง Animation พูดแล้วพูดีอีก

ยังถูกมารบังเลย ไม่ค่อยจะทำกัน เข้าหูซ้าย ทะลุหูขวา จนมีครั้งหนึ่งที่ท่านต้องสีไวโอลินให้เราฟัง

ไม่งั้นอาคาร 100 ปีคงเสร็จตั้งแต่ที่หลวงพ่อพูดครั้งแรกแล้ว

ท่านก็คงไม่อยากจะพูดมากหรอกครับ ท่านอยากจะนั่งสมาธิ ทำละเอียด เราสิ ยังไม่ได้ดั่งใจท่านเลย

ท่านเลยต้องเมตตา มาบอก มาสอน นี่ไงครับ

ดังนั้นต้องรีบปฏิบัติตามท่านบอก รีบไปรวยกันนะครับ

#3 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 12 September 2010 - 11:27 PM

คนในโลกนี้ที่ดู DMC มีหลายล้านคน มีหลายล้านความคิด มีหลายล้านความอยากรู้

การที่ทาง DMC จะนำเรื่องใดเรื่องหนึ่งออกมาเผยแผ่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ และทีมงานทั้งหมดต้องทำการพินิจพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่าจะเกิดประโยชน์สูงสุดกับ "ทุกคน" ที่ได้ดูเรื่องนั้นๆ

เรื่องบางเรื่องเราอาจจะรู้แล้ว หรือไม่อยากรู้ หรือไม่สนใจที่จะรับรู้ แต่อาจจะมีอีกล้านคนที่ไม่เคยรู้ ที่ไม่เคยได้ยินแต่อยากได้ยิน

เหตุผลที่จะอธิบายว่า "ทำไม" คงต้องขอเสียมารยาทยกให้ท่านอื่นเข้ามาช่วยตอบแล้วกันครับ พอดีว่า ผมไม่เคยสงสัยในการกระทำใดๆเพื่องานเผยแผ่พระพุทธศาสนาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฯ และทีมงานแม้แต่นิดเดียว โดยผมไม่ต้องเสียเวลาคิดหาเหตุผลใดๆมารองรับ ทำให้ผมไม่สามารถจะอธิบายให้เจ้าของกระทู้เข้าใจได้ครับ

เดี๋ยวคงมีท่านผู้รู้เข้ามาช่วยตอบให้หายข้องใจครับ

อนุโมทนาบุญด้วยครับ
สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ

#4 Nee-Sansanee 2

Nee-Sansanee 2
  • Members
  • 893 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 12:10 AM

สำหรับ innerpeace เมื่อได้เห็นปฎิปทา และการทำงานของหลวงปู่ คุณยาย หลวงพ่อทั้งสองและ

ลูกพันธุ์แท้(มิใช่กาฝาก)ของหมู่คณะ แล้วเกิดศรัทธาเต็มเปี่ยมในหัวใจ อย่างนี้แล้วแม้แต่ชีวิตก็ให้ได้ค่ะ

ไม่มีคำถามอื่นใดอีกแล้ว --------------------------------------------------------------------

ภาคมารเขาก็ทำหน้าที่เขาด้วยเหมือนกัน จึงต้องหมั่นตรวจตราตัวเองอย่าให้ตกเป็นเครื่องมือมาร และรักษา

องค์กรไว้ให้ดี ทำตามพ่อ ฟังพ่อ ติดตามตามติดพ่อไปไม่ว่าจะอยู่ไกล้หรือไกลตาพ่อ มิให้ตกบุญต่าง ๆ และ

สร้างศรัทธาให้มั่นคงทั้งกับตัวเองและแบบอย่างให้ผู้อื่นด้วยค่ะ

#5 ตำรวจรักบุญ

ตำรวจรักบุญ
  • Members
  • 985 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 12:39 AM

การพูดถึงอานุภาพบุญดูจะไม่ได้ประโยชน์อะไร
เพราะไม่ได้ช่วยไห้มีกำลังใจ
ที่จะทำอะไรให้มากขึ้น
เพราะคงทำมากกว่านี้ไม่ได้
ทั้งแรงกาย สติปัญญา ทรัพย์ ที่มี
ก็ทำจนหมด ทำจนสุดกำลังที่มีทั้งหมดอยู่แล้ว
ไม่เคยเสียดายอะไร
ถ้าทำโดยมีคนคอยบอกอยู่ตลอดเวลา
ว่าจะได้อย่างโน้นอย่างนี้ อานิสงค์มหาศาส
แต่ไม่ได้สักที มันรู้สึกไม่ดี นานๆไปมันฟ่อ แล้วมันจะไม่ปลื้ม
หากทำแล้วเป็นประโยชน์กับโลก กับพระศาสนา
ถึงรู้ว่าไม่ได้อะไร(กับตนเอง)
ก็ควรทำอยู่แล้ว เพราะมันคืองานอาสา ไม่ใช่รับจ้าง
แต่ถ้ามี ก็จะได้เอามาต่อบุญ
ให้มีกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ ที่ทำงานให้ดียิ่งๆขึ้นไป
อย่างนี้ปลื้มกว่า

ไม่ได้มีเจตนาจะลบหลู่ครูบาอาจารย์นะครับ

#6 ตะกร้าอีกใบ

ตะกร้าอีกใบ
  • Members
  • 1297 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 02:32 AM

QUOTE
จะดีกว่าไหมถ้า
1.หลวงพ่อจะบอกเพียงว่า สิ่งที่เราทำเกิดประโยชน์
ต่อโลกและพระศาสนาอย่างไร
2.จะไม่พูดถึงอานิสงค์ ว่าที่ทำไปเราได้อะไร มากมายอย่างไร
3.จะไม่พูดถึงอานุภาพบุญปัจจุบัน ที่เกิดขึ้นกับใครๆ

แค่บอกว่าจะให้ทำอะไรก็น่าจะพอแล้ว ยังไงก็พร้อมถวาย
ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่แล้ว


QUOTE
การพูดถึงอานุภาพบุญดูจะไม่ได้ประโยชน์อะไร
เพราะไม่ได้ช่วยไห้มีกำลังใจ
ที่จะทำอะไรให้มากขึ้น
เพราะคงทำมากกว่านี้ไม่ได้
ทั้งแรงกาย สติปัญญา ทรัพย์ ที่มี
ก็ทำจนหมด ทำจนสุดกำลังที่มีทั้งหมดอยู่แล้ว
ไม่เคยเสียดายอะไร
ถ้าทำโดยมีคนคอยบอกอยู่ตลอดเวลา
ว่าจะได้อย่างโน้นอย่างนี้ อานิสงค์มหาศาส
แต่ไม่ได้สักที มันรู้สึกไม่ดี นานๆไปมันฟ่อ แล้วมันจะไม่ปลื้ม
หากทำแล้วเป็นประโยชน์กับโลก กับพระศาสนา
ถึงรู้ว่าไม่ได้อะไร(กับตนเอง)
ก็ควรทำอยู่แล้ว เพราะมันคืองานอาสา ไม่ใช่รับจ้าง
แต่ถ้ามี ก็จะได้เอามาต่อบุญ
ให้มีกำลังกาย กำลังใจ กำลังทรัพย์ ที่ทำงานให้ดียิ่งๆขึ้นไป
อย่างนี้ปลื้มกว่า


แนบไฟล์  Ae_Monk2009_40.jpg   8.89K   14 ดาวน์โหลด
คือคนสั่งสมระดับบารมี ไม่เท่ากันเลย ส่วนใหญ่ก็อ่อนแอกันทั้งนั้น มีส่วนน้อยที่บารมีแก่กล้าจึงจะเข้าใจอะไรได้อย่างง่ายๆ อย่างยุคพุทธกาล พูดไม่กี่คำก็เข้าใจกันเป็นโกฎิๆ เข้าถึงธรรมกันเป็นโกฎิๆ
ฉะนั้นการที่เห็นว่า ...ควรทำแบบนี้นะ ..แบบโน่นนะ...ก็เพียงพอแล้ว ) คือบอกแค่จุดประสงค์ )
ผมว่ามันไม่สามารถทำให้คนส่วนใหญ่เขาเข้าใจได้ เพราะมันละเอียดเกินไปที่จะทำให้เข้าใจ หรือเกิดกำลังใจได้เทียบเท่ากับคนบางคนซึ่งเป็นผู้ที่อาจจะสั่งสมบุญมาอย่างดีจนเข้าใจได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้ามองให้ดี คนคนนั้นที่เขาเข้าใจเป็นอย่างดีในหลายๆเรื่อง เขาก็อาจจะขาดตกบกพร่องในเรื่องที่คนอื่นเขาไม่ขาดกัน
นี้เองทำให้ต้องมีการแยกแยะ แจกแจง ยกตัวอย่าง ให้รายละเอียดปลีกย่อย เพื่อที่จะทำให้เราทุกคนเห็นข้อบกพร่องในตัวเอง เห็นตัวอย่างเห็นแนวทางในการพัฒนาตัวเองให้ผ่านพ้นปัญหาตรงนั้น
เว้นไว้แต่ว่าเรามองข้าม หรือเรานำมาคิดไปเองจนเพี้ยนไป
*เราต้องรักกันนะครับ วันนี้เราลองมองย้อนไปดูภาพเก่าๆ ใบอนุโมทนาบัตรเก่าๆ หนังสือเก่าๆ ภาพเก่าๆ สิ่งเหล่านี้อาจทำให้เราหวนกลับไปนึกย้อนถึงจุดมุ่งหมายของการเข้าวัดของเรา เราอาจจะเห็นบางสิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิมก็ได้ nerd_smile.gif

*ยังไม่สายที่จะทบทวนเรื่องราวทั้งหมด แล้วก็เปลี่ยนแปลงมันเสียใหม่ laugh.gif

*ความปลื้มจะเกิดขึ้นต่อเมื่อ เราทำสำเร็จด้วยความถูกต้องและความชอบธรรม โดยไม่มีความกังวลใจใดๆ ตั้งอยู่ด้วยสัมมาทิฎฐิ biggrin.gif


แนบไฟล์  44478_145466805475173_100000355623425_294203_332813_n.jpg   60.99K   50 ดาวน์โหลด




สู้ๆนะครับคุณน้าตำรวจรักบุญ
อย่าขาดการปฏิบัติธรรมแม้แต่เพียงวันเดียว
เพราะขาดแม้เพียงวันเดียว ใจเราจะหยาบ ทำให้ผังวิตกกังวลได้ช่อง

7 ส.ค. 48



#7 usr21238

usr21238
  • Members
  • 233 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 07:07 AM

วัตถุประสงค์ของการตอกย้ำนั้นก็เพื่อให้ลูกๆยังคงรักษาระดับของกำลังใจไว้อย่างเหนียวแน่น ไม่หมดกำลังใจไปเสียก่อน เพราะขณะที่ฝ่ายบุญทำงาน ฝ่ายโน้นเขาก็ทำการตัดรอนกำลังใจ กำลังทรัพย์หรือแม้แต่กำลังปัญญา

ปลูกต้นไม้กว่าจะโต ต้องรอเวลาช้าเร็วแล้วแต่พันธ์ไม้ ฉันใด บุญจะส่งผลก็ต้องรอเวลาเช่นกันยกเว้นแต่เป็นบุคคลอัศจรรย์กันทุกคนละก้อ คงได้เห็นความมหัศจรรย์ทันใจอย่างคุณจ้อ แต่ถึงกระนั้นก็ยังต้องรอเวลาพอสมควร แต่เธอก็ไม่เคยท้อและถอย ดังคำของพระเดชพระคุณหลวงพ่อคุณครูไม่เล็กท่านว่า ท้อได้เพราะอร่อยดี แต่อย่าท้อแท้

ก็ขอเป็นกำลังใจนักรบพันธ์ตะวันทุกท่าน หลานคุณยายใจเกินร้อย สาธุ

#8 ดินสอแห่งธรรม

ดินสอแห่งธรรม

    สร้างบารมีเป็นหมู่คณะ = ฝึกตนให้เป็นผู้ใจกว้าง

  • Members
  • 1478 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ดุสิตบุรี
  • Interests:สร้างบารมีแบบเต็มกำลัง

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 07:43 AM

...ก็ขนาดพระศาสดา ยังทรงตรัสถึงอานิสงค์ถึงบุญ ถึงบาป ถึงความเป็นไปทั้งหยาบและละเอียดอย่างชัดเจน และตรัสถึงอานิสงค์ของทาน และมหาทาน และโทษของความตระหนี่ ของเศรษฐีทั้งหลายในกาลก่อน และผู้เสวยวิบากกรรมแห่งความหวงแหนทรัพย์ไว้อย่างชัดเจน ด้วยเห็นประโยชน์มากกว่าโทษ และไม่สนคนบาปใดจะลบหลู่ดูหมิ่นคำสอนของพระองค์เลย แล้วจะต้องไปคิดถึงสิ่งอื่นใดอันเป็นทางปฏิเสธคำสอนหรือพระวัจนะพระองค์ท่านทำไมเล่า?
..อันมือของฉันสองมือนี้ ดูเล็กนิดเดียวและไม่มั่นใจว่าฉันจะสร้างสิ่งดีๆ ให้เกิดแก่โลกใบนี้ได้.. แต่ฉันมั่นใจว่า ...หัวใจของฉันนี้ มอบไว้ให้แด่พระพุทธศาสน์....

#9 tnawut

tnawut
  • Moderators
  • 2398 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:Laksi
  • Interests:Internet, Computer, Electronic, Security, Merit, Meditation, อินเตอร์เน็ต, คอมพิวเตอร์, ทำบุญ, ปล่อยปลา, บูชาเจดีย์, ฝันในฝัน, DOU, หมู่บ้านปฏิบัติธรรม, บวช, บรรพชา, Web, CU, Chula

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 08:52 AM

ว่าอย่างไรต้องว่าตามกันครับ

#10 สาธุธรรม

สาธุธรรม
  • Members
  • 1124 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 10:36 AM

ใจร่ม ๆ ใจร่ม ๆ น๊ะ

เหลืออีกอย่างที่ยังไม่ได้ถวาย...ค่ะ


ถวายชีวิตส่วนที่เหลือทั้งหมดในผ้ากาสาวพักตร์ ค่ะ

ขอกราบอนุโมทนาบุญล่วงหน้านะคะ สาธู๊



หยุดนิ่งนั้นแหละไซร้ พรหมจรรย์
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ

สุนทรพ่อ

#11 ตำรวจรักบุญ

ตำรวจรักบุญ
  • Members
  • 985 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 10:49 AM

เมื่อวานเพิ่งโดนเจ้าหน้าที่วัดดูถูกว่าทำบุญน้อย
ขนาดเขาอยู่วัดยังทำได้มากกว่า
พอจะทำเพิ่ม เธอก็บอก แค่ร้อยสองร้อยไม่ต้องทำหรอก
มีเยอะแล้วค่อยมาทำ

ก็แล้วเมื่อไหร่ล่ะ ผมถึงจะได้ทำบุญกันล่ะ

#12 abigman10

abigman10
  • Members
  • 75 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 11:34 AM

"เจ้าหน้าที่วัด" คุณตำรวจต้องระบุให้ชัดเจนน่ะว่า "ชื่ออะไร " มีเป็นหลักพันอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่สะดวกตอบที่หน้า page ไปตอบที่ข้อความส่วนตัว

ส่วนทั้งสามเรื่องที่คุณเสนอว่าจะดีกว่าไหมถ้า.....

>>> ที่จริงแล้วหลวงพ่อท่านก็ไม่อยากเสียเวลาตรงนี้หรอกครับ ท่านปรารภให้ฟังอยู่ใน DMC เองก็บ่อยๆ ว่าท่านไม่ถนัดที่จะทำแบบนี้ งานที่แท้

จริง ท่านก็อยากทำ แต่งานหยาบๆ ยังไม่จบ ตอนนี้หลวงพ่อท่านพูดอะไรให้ฟังก็ฟังเถอะครับ ถ้าเป็นอย่างเมื่อก่อนท่านลงมาเฉพาะ วันอาทิตย์ต้น

เดือนกับบุญใหญ่ อย่ามัวน้อยอกน้อยใจเรื่องบุญไม่ส่งผลเลยครับ OK ตามนี้น่ะครับ คุณตำรวจไทย!

#13 usr36534

usr36534
  • Members
  • 1 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 11:57 AM

ทำบุญให้หวังบุญ ทำบุญเอาบุญ ทำบุญลดกิเลส ทำบุญเพื่อค้ำจุนพระพุทธศาสนา ทำบุญเพื่ออนุเคราะห์สัดว์โลก

บุญมีหน้าที่ส่งผลที่ดี บาปมีหน้าที่ส่งผลที่ไม่ดี เมื่อทำบุญแล้วก็พึงหวังได้แน่นอนว่าจะได้สิ่งดีๆ กลับมา แต่จะกลับมาเมื่อไรนั้น ไม่สามารถตอบได้(หากไม่มีญาณทัสสนะ) แต่ถึงอย่างไร บุญจะส่งผลไม่ส่งผลก็ต้องทำกันต่อไป เพราะเป้าหมายสุดท้ายคือสร้างบุญทุกบุญ บารมีทุกอย่าง จนกว่าจะหมดกิเลสเข้านิพพาน

ถ้าเมื่อไรคิดน้อยใจ เสียใจ ทำไมบุญไม่ส่งผลสักที อยากทำมากๆ อย่างคนอื่นเขาบ้าง รอมานานแล้วทำไมบุญไม่ส่งผล ทำน้อยคนอื่นก็ว่าค่อนขอด ถ้ายังรู้สึกแบบนี้แสดงว่าฝึกใจยังไม่ดีพอ ต้องฝึกใจให้ใส อดทนต่อโลกธรรม บางทีบางท่านอาจจะทำดีที่สุดแล้ว ทุ่มเทสรรพกำลังกาย ใจ ช่วยงานพระศาสนาเต็มที่แล้ว ทรัพย์มีเท่าไรก็ทุ่มทำเต็มที่ แต่เหลืออย่างเดียว ฝึกใจให้ใส ฝึกใจให้คิดให้เป็น (โยนิโสมนสิการ) ฝึกให้กำลังใจตัวเอง อดทนต่อโลกธรรม 8 ประการ ถ้าฝึกใจได้ อะไรๆ ก็ไม่สามารถทำให้น้อยใจ เสียใจ หรือผิดหวังได้ ถึงจะมีบ้างแต่ก็เป็นครั้งคราวและไม่มากเท่าไรนัก

บุญเค้าก็ต้องใช้เวลาในการทำงาน หลวงพ่อก็บอกอยู่เสมอๆ ดูอย่างคุณจ้อ เข้าวัดมาสามสิบปีกว่า ทำทุกบุญ กว่าจะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานจนมีทรัพย์มาทำบุญได้มากๆ ก็ยังต้องใช้เวลาและกำลังใจ คนที่เขามีบุญเก่ามามาก เขาก็สำเร็จไว คนที่บุญเก่าน้อยก็อาจจะช้าหน่อย แต่ถ้าไม่น้อยใจ ยังไงก็ต้องมีวันของเราสักวัน ขอเพียงทำให้ต่อเนื่อง สม่ำเสมอ รักษาใจให้ดี

แค่มีร่างกายแข็งแรง มีข้าวกิน ไม่เจ็บไม่ป่วย ก็ถือว่ามีสมบัติมากแล้วในระดับหนึ่งนะครับ ทำใจให้สบาย ทำหน้าที่ของเราต่อไป สิ่งที่หลวงพ่อสอนท่านก็เอามาจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ฟังแล้วก็จะได้รู้ถึงอานิสงส์ คนเราธาตุธรรมแก่อ่อนไม่เท่ากัน ท่านจะสอนคนทั้งโลก ท่านก็ต้องเลือกสิ่งที่คนทั้งโลกฟังแล้วได้ประโยชน์ไปพร้อมๆ กัน ถ้าคนมีปัญญามากแล้ว พูดนิดเดียวก็เข้าใจ แต่นี่คนมากมายท่านก็ต้องสอนให้หลากหลายและกว้างขวางไปด้วย

เห็นคุณตำรวจบรรยายความในใจมาหลายกระทู้แล้ว ก็อยากจะเสนอความเห็นให้ฟังบ้าง เห็นใจนะครับ แต่อยากให้ทำใจให้ใส แล้วทุกอย่างจะค่อยๆ ดีขึ้นเองครับ

#14 บ่าวอุบล

บ่าวอุบล
  • Members
  • 632 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 12:00 PM

ใครบุญส่งผล รวย เร็ว แรง เราก็อนุโมทนาบุญกับเขา เขาทำบุญมาดีน่ะ

ส่วนเราก็ทำให้เต็มที่เท่าที่เราทำได้ก็พอมั้งพี่ ไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใคร

ต้องทำบุญเป็นล้านหรือจึงจะปลื้ม ต้องทำเท่าไหร่ถึงจะมาก เรามีน้อย เราทำร้อยสองร้อย ก็ถือว่ามากสุดสำหรับชีวิตเราแล้ว

ครั้งหนึ่ง มีตังค์อยู่ร้อยบาท ซื้อผลไม้ไปถวายวัด เจ็ดสิบบาท ก็ปลื้มแล้ว ไม่เห็นต้องรอทำหลักล้านจึงจะปลื้ม

#15 usr32420

usr32420
  • Members
  • 6 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 12:40 PM

เป็นกำลังใจให้ค่ะ
ทุกอย่าง สำเร็จได้ด้วยใจเรา
ต้องขยายใจให้กว้าง ให้ใส พอใจในสิ่งที่เราทำได้ และได้ทำอย่างเต็มที่
มีปัจจัย หนึ่งร้อย ก็ทำ หนึ่งร้อย มีปัจจัย หนึ่งพันก็ทำหนึ่งพัน
ส่วนตัวข้าพเจ้าปลื้มทุก ๆ บุญที่ได้ทำกับหลวงพ่อ




#16 ดินสอแห่งธรรม

ดินสอแห่งธรรม

    สร้างบารมีเป็นหมู่คณะ = ฝึกตนให้เป็นผู้ใจกว้าง

  • Members
  • 1478 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ดุสิตบุรี
  • Interests:สร้างบารมีแบบเต็มกำลัง

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 03:40 PM

....ทำไมหลายๆคนไม่ทำเลยก็ไม่โดนใครว่า ทำ 1 บาทก็ไม่โดนใครว่า ทำ20 ใช้ซองหนาๆก็ไม่เคยมีใครว่า ฯลฯ เป็นวิบากส่วนตัวนะ แม้ทำบุญยังโดนมารปัดให้ไปเจอเจ้าหน้าที่แบบนี้เพื่อทำให้ใจหมอง บุญหล่น หรือไม่ก็เลิกทำไป แสดงว่าวิบากแรงนะ ถึงต้องมาเจอแบบนี้อยู่ ในวัดน่ะเหมือนบ่อน้ำใส ปลามาได้ งูก็มาได้ เหมือนกัน
..อันมือของฉันสองมือนี้ ดูเล็กนิดเดียวและไม่มั่นใจว่าฉันจะสร้างสิ่งดีๆ ให้เกิดแก่โลกใบนี้ได้.. แต่ฉันมั่นใจว่า ...หัวใจของฉันนี้ มอบไว้ให้แด่พระพุทธศาสน์....

#17 tnawut

tnawut
  • Moderators
  • 2398 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:Laksi
  • Interests:Internet, Computer, Electronic, Security, Merit, Meditation, อินเตอร์เน็ต, คอมพิวเตอร์, ทำบุญ, ปล่อยปลา, บูชาเจดีย์, ฝันในฝัน, DOU, หมู่บ้านปฏิบัติธรรม, บวช, บรรพชา, Web, CU, Chula

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 03:45 PM

QUOTE
เมื่อวานเพิ่งโดนเจ้าหน้าที่วัดดูถูกว่าทำบุญน้อย
ขนาดเขาอยู่วัดยังทำได้มากกว่า
พอจะทำเพิ่ม เธอก็บอก แค่ร้อยสองร้อยไม่ต้องทำหรอก
มีเยอะแล้วค่อยมาทำ


ถ้าพูดอย่างนั้น น่ากลัวแทนคนพูด... เจตนาอาจจะไม่เป็นอย่างนั้นก็ได้ครับ... ที่น่ากลัวกว่าก็คือเราคิดไปเอง ขอแนะนำให้ทำใจสบายๆครับ นั่งสมาธิเยอะๆ

#18 ping

ping
  • Admin
  • 251 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 06:18 PM

เจริญพร

เป็นคำถามที่ดีมาก และคำถามนี้จะเป็นประโยชน์กับทั้งคุณตำรวจรักบุญและผู้ที่มีความคิดเห็นเช่นเดียวกันนี้ซึ่งมีมากมายเลยทีเดียว(ขอบอกว่ามากมายจริงๆ ไม่เว้นแม้แต่พระบางรูป ซึ่งก็ไม่แตกต่างกันกับในสมัยพุทธกาลเลย และในอนาคตก็ยังคงจะมีคำถามเช่นนี้อีกต่อไปแน่นอน...)

ลองคิดกลับกันดูว่า ถ้าเป็นคุณตำรวจรักบุญขึ้นเทศน์เอง แล้วเทศน์อย่างที่แนะนำมาในหัวข้อของกระทู้ ถามว่า ผู้ฟังซึ่งมีหลากหลายอัธยาศัย หลากหลายจริต ฟังแล้วจะเห็นด้วยกับคุณตำรวจทุกคนหรือไม่ จะแสดงอาการออกมากันอย่างไรบ้าง ???

ก็คงต้องมาดูที่พระพุทธองค์เป็นหลักก่อน แล้วดูซิว่า พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่าน ได้ดำเนินรอยตามเยี่ยงพระพุทธองค์อย่างไรหรือไม่ในการเทศน์สั่งสอนสรรพสัตว์

1 2 3...พร้อมแล้วยัง... ถ้าพร้อมลุยอ่านกันเลยโยม (อ่านแบบสบายๆนะ ห้ามเครียด...)

-เรื่องที่ 1 ในสมัยพุทธกาล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปเทศน์สั่งสอนให้กับพระภิกษุในป่าแห่งหนึ่ง จำนวน 180 รูป ซึ่งแบ่งกันเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มละ 60 รูป ในวันนั้นพระพุทธองค์ได้แสดงธรรมเรื่องอานิสงส์ของศีลและโทษของการเป็นผู้ทุศีล(ซึ่งพระพุทธองค์ก็ตรัสเล่าทั้งภาคหยาบและภาคละเอียด ในอานิสงส์ของศีลและโทษของการเป็นผู้ทุศีล) เมื่อแสดงพระธรรมเทศนาจบ พระภิกษุกลุ่มแรกรู้สึกเร่าร้อนไปทั่วร่างกายและถึงกับอาเจียนออกมาเป็นโลหิต และขอลาสิกขาไป พระภิกษุกลุ่มที่ 2 ฟังแล้วรู้สึกเร่าร้อนวูบวาบเสียวสันหลัง คิดว่าจะลาสิกขาดีหรือไม่ ส่วนพระภิกษุกลุ่มที่ 3 ฟังแล้วรู้สึกปีติซาบซ่านไปทั่วร่างกาย ใจสงบล้ำลึก
แล้วหยุดนิ่งจนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์

ถามว่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ? ทั้งๆที่สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงแสดงธรรมให้ฟังก็เป็นเรื่องเดียวกัน สถานที่ฟังแห่งเดียวกัน ในเวลาเดียวกัน แต่ทำไมผลจึงออกมาแตกต่างกันเห็นปานนี้

ก็ตอบว่า ไม่ได้เป็นความผิดของพระพุทธองค์ แต่เป็นไปตามกรรมและความประพฤติของพระภิกษุแต่ละองค์ เพราะแต่ละองค์สั่งสมบุญบารมีมาไม่เหมือนกัน อินทรีย์บารมีไม่เหมือนกัน ความประพฤติก็ไม่เหมือนกัน


-เรื่องที่ 2 พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จไปโปรดสองสามีภรรยามาคันทิยะพราหมณ์ จนได้บรรลุเป็นพระอนาคามี ส่วนลูกสาวชื่อว่านางมาคันทิยาฟังพระธรรมเทศนาแล้วกลับรู้สึกไม่พอใจ ได้ผูกโกรธอาฆาตจองเวรกับพระพุทธองค์ จนภายหลังได้เป็นพระมเหสีคนที่สามของพระเจ้าอุเทน ได้จ้างวานคนเป็นอันมากมารุมด่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระสาวกขณะเสด็จออกบิณฑบาต และยังหาทางใส่ร้ายและสั่งให้จุดไฟเผาพระนางสามาวดี(พระมเหสีคนที่สองของพระเจ้าอุเทน)กับบริวารทั้ง 500คน เหตุเพราะเป็นพุทธสาวิกาของพระพุทธเจ้าที่ตนเองผูกอาฆาตไว้

เรื่องที่พระพุทธองค์ทรงตรัสเทศน์ในครั้งนั้น ก็ว่าด้วยเรื่องความไม่งามของสังขารร่างกายและความต่ำทรามของกาม โดยมีเจตนาให้พราหมณ์สองสามีภรรยาได้สลดใจแล้วพิจารณาธรรมไปตามความเป็นจริงจนได้ดวงตาเห็นธรรม แต่นางมาคันทิยาผู้มีใจหยาบกระด้าง ฟังแล้วกลับคิดด้วยทิฏฐิมานะของตนว่า เราเป็นคนสวยปานเทพอัปสร เมื่อพ่อแม่ของเรายกเราให้กับพระพุทธองค์แล้ว เมื่อไม่ทรงรับ ก็ไม่ควรมาต่อว่าเรา หรือแสดงความรังเกียจต่อเราถึงเพียงนี้ (ซึ่งนางคิดไปเองทั้งสิ้น โดยที่พระพุทธองค์มิได้มีเจตนาเช่นนั้นเลย)

ถามว่า พระพุทธองค์ทรงทราบหรือไม่ว่าเมื่อเทศน์ไปแล้ว พราหมณ์ผู้เป็นพ่อแม่จะบรรลุธรรม ส่วนลูกสาวจะผูกอาฆาตกับพระพุทธองค์

ตอบว่า พระองค์ทรงทราบดี แต่พระองค์ก็ต้องยืนหยัดเพื่อผลประโยชน์ต่อการบรรลุธรรมของสองสามีภรรยาเป็นหลัก พระพุทธองค์เวลาแสดงธรรมก็ต่างมุ่งไปที่ประโยชน์ต่อส่วนรวมหรือผู้ฟังที่พร้อมจะเข้าถึงธรรมในเวลานั้นเป็นหลัก มิได้มีความลำเอียง หรือเกรงกลัว อิทธิพลใดๆทั้งสิ้น

-เรื่องที่ 3 พระพุทธองค์ทรงมีเมตตาเดินทางไกลถึง 30 โยชน์ เพื่อไปแสดงธรรมให้กับชายหนุ่มเลี้ยงโคคนหนึ่ง ซึ่งในขณะนั้นเขายังมาไม่ถึงที่ฟังธรรม เพราะมัวไปตามโคที่หลงฝูงไปตัวหนึ่ง เมื่อมาถึงสถานที่ฟังธรรม พระพุทธองค์ทรงทราบดีว่าชายหนุ่มเลี้ยงโคคนนี้กำลังหิวข้าวอย่างที่สุด เพราะไม่กล้ากลับไปบ้านกินข้าวก่อน แต่รีบมาฟังธรรมเพราะกลัวว่าจะช้าเกินไป พระพุทธองค์จึงให้ชายหนุ่มคนนั้นได้กินข้าวให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงทรงแสดงธรรมจนหชายหนุ่มคนนั้นได้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบัน เรื่องนี้สร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้านซึ่งมาต้อนรับกับทั้งพระสงฆ์(ที่ยังเป็นปุถุขน)ที่ติดตามพระพุทธองค์มาด้วยนั้นเพราะต่างต้องอดทนนั่งรออยู่นานสองนาน (และเรื่องที่เทศน์ในวันนั้นก็ไม่ได้ทำให้คนอื่นนอกจากชายหนุ่มเลี้ยงโคเข้าถึงธรรมเลย) จนเรื่องได้ยินไปถึงพระองค์ พระพุทธองค์จึงทรงเมตตาแก้ข้อสงสัยให้กับปุถุชนเหล่านั้นว่า เราสร้างบารมีมาถึง 20 อสงไขย
กับแสนมหากัปป์และมาที่นี่ก็เพื่อการบรรลุธรรมของชายหนุ่มเลี้ยงโค เขาจะพลาดจากการเข้าถึงธรรม ถ้าเขาไม่ได้กินข้าวให้หายหิวเสียก่อนการฟังธรรมของเขาจะไม่บรรลุผล

ในเรื่องนี้สำหรับเหล่าพระอริยเจ้าท่านก็ไม่มีปัญหาอะไรหรือสงสัยอะไรในการตัดสินใจจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไรก่อนหลังของพระพุทธองค์ แต่สำหรับปุถุชนนั้นมักเอาความพอใจของตนเองเป็นหลัก ถูกใจตนก็ชมไม่ถูกใจก็ต่อว่าพระพุทธองค์

พระเดชพระคุณหลวงพ่อของเราเวลาท่านแสดงธรรม หรือนำนั่งธรรมะ ท่านก็กำหนดใจไว้ที่กลางของพระธรรมกายภายใน ไม่มีความลำเอียงต่อผู้หนึ่งผู้ใด ว่าใครฟังแล้วจะชอบหรือไม่ชอบท่าน แต่มุ่งไปที่ประโยชน์ต่อส่วนรวมเป็นหลัก หรือมุ่งไปที่ผู้ที่พร้อมจะเข้าถึงธรรมในครั้งนั้นเป็นหลัก

ฉะนั้นผู้ฟังที่ดี ควรเปิดใจให้กว้างดุจดั่งท้องฟ้า ต้องยอมรับว่าจริตของคนเราแตกต่างกันตั้ง 6 จริต ในขณะที่บางคนวันนั้นรู้สึกปลาบปลื้มปีติ แต่บางคนกลับหดหู่ขัดแย้งในใจ อย่าลืมที่พระพุทธองค์เคยตรัสสอนไว้ว่า สุสฺสูสํ ลภเต ปญฺญํ (อ่านว่า สุสสูสัง ละภะเต ปัญญัง แปลว่า ฟังด้วยดีย่อมได้ปัญญา) ถ้าฟังไม่ดีย่อมมีปัญหา

วิธีฟังเทศน์ที่ถูกคือ เวลาฟังหลวงพ่อหรือพระอาจารย์ท่านเทศน์สอน เราต้องน้อมเอาเสียงของท่านมาไว้ที่ศูนย์กลางกาย แล้วฟังด้วยใจที่จรดที่ศูนย์กลางกาย อย่าฟังเพียงแค่ผ่านใบหู เพราะมันจะไปประมวลผลทีสมองแล้วเราก็เอาแต่คิดจนเกิดเป็นนิวรณ์ขวางกั้นดวงปัญญาอันแท้จริงของเรา การฟังด้วยใจที่ศูนย์กลางกายนั้นจะทำให้ใจเราเป็นกลางมากที่สุด ถ้าบทเทศน์ตอนไหนมีประโยชน์และถูกจริตกับเรา บทเทศน์ตอนนั้นก็จะซึมซับผ่านเข้าไปในใจของเราเองอย่างเป็นธรรมชาติ ถ้าบทเทศน์ตอนไหนไม่ถูกกับจริตของเราและไม่เป็นประโยชน์ต่อเราในตอนนั้นมันก็จะไหลผ่านใจเราไปเลย ใจเราเพียงแต่รู้แต่ไม่ได้ร้บไว้ ถ้าเราฟังเป็นก็จะรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่เราได้ฟังธรรม ไม่รู้สึกหงุดหงิดฟุ้งซ่านรำคาญใจ

ดังนั้น ขอฝากการบ้านให้เราไปฝึกการฟังที่ถูกวิธีกันด้วยนะ และให้หมั่นมีมุทิตาจิตต่อผู้อื่นที่เขาประสบผลแห่งบุญแล้ว เห็นอานุภาพของบุญและพระรัตนตรัยแล้ว อย่าเพียงแต่มองตนเองเป็นหลักแล้วเลยลืมนึกถึงผู้อื่นว่าเขาจะรู้สึกกันอย่างไร...

ต้องขออนุโมทนาบุญ กับ นักเรียนอนุบาล ตำรวจรักบุญ ที่ได้ตั้งกระทู้ด้วยความจริงใจจากจิตใจของตน แต่ควรดูกาลเทศะในบางโอกาสก็จะดีมาก เพระการตั้งและตอบกระทู้ด้วยสภาวะของใจที่ยังรุ่มร้อน อาจจะนำความรุ่มร้อนไปสู่ผู้อ่านได้ และเพราะช่วงระยะเวลานี้ก็ใกล้งานบุญใหญ่เข้ามาทุกที ควรตั้งกระทู้ชูใจ บันเทิงใจ เพื่อให้เพื่อนๆคนอื่นๆที่ได้เข้ามาอ่านแล้วรู้สึกสบายใจ เกิดแรงบันดาลใจมีขันติความอดทน อยากทำแต่ความดี ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท หมั่นตรึกระลึกนึกถึงบุญอยู่เสมอๆ อย่างนี้จึงจะสมควรแก่กาลนะโยม

เจริญพร




#19 Nee-Sansanee 2

Nee-Sansanee 2
  • Members
  • 893 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 06:54 PM



นมัสการหลวงพี่ ping ด้วยความเคารพ

โยมขอกราบอนุโมทนา สาธุ ๆ ๆ ค่ะกับบุญธรรมะที่หลวงพี่ได้ชี้แจ้งแสดงให้เห็นกระจ่างชัด

ในเรื่องของบุญบารมีโดยภาพรวมว่ามีลักษณะสัมพันธ์กันอย่างไรในแต่ละบุคคลที่สร้างสมกันมา

ข้ามภพข้ามชาติไม่เหมือนกัน ชอบตัวอย่างประกอบการแสดงธรรมค่ะทำให้ง่ายต่อการเข้าใจ

เพราะฉะนั้นเราต้องใช้เวลาให้คุ้มค่าสร้างบารมีกันต่อไป ตามหัวใจพระพุทธศาสนาคือ ให้ละชั่ว

ประพฤติดี และทำจิตใจให้ผ่องใส เตรียมพร้อมรองรับบุญทั้งบุญเล็กบุญใหญ่กันนะคะ



#20 ดินสอแห่งธรรม

ดินสอแห่งธรรม

    สร้างบารมีเป็นหมู่คณะ = ฝึกตนให้เป็นผู้ใจกว้าง

  • Members
  • 1478 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ดุสิตบุรี
  • Interests:สร้างบารมีแบบเต็มกำลัง

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 07:01 PM

...โอ้โห นมัสการพระคุณเจ้าขอรับ บทเทศนาครั้งนี้ ถูกใจผมเป็นยิ่งนัก เพราะผมก็พลาดที่ฟังแบบไม่ถูกต้องมาเหมือนกัน และบางเรื่องก็ลืมในประวัติการสร้างบารมีของพระศาสดาไปทำให้ใจเป็นลบ และเผลอคิดเปรียบเทียบบางอย่างที่ไม่เหมาะไม่ควรเช่นกัน การเทศนาของพระคุณเจ้าครั้งนี้ กระผมขอน้อมรับไปปฏิบัติด้วยขอรับ ขออนุโมทนาบุญและกราบนมัสการพระคุณเจ้าที่เมตตาด้วยขอรับ.. happy.gif
..อันมือของฉันสองมือนี้ ดูเล็กนิดเดียวและไม่มั่นใจว่าฉันจะสร้างสิ่งดีๆ ให้เกิดแก่โลกใบนี้ได้.. แต่ฉันมั่นใจว่า ...หัวใจของฉันนี้ มอบไว้ให้แด่พระพุทธศาสน์....

#21 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 07:15 PM

ความจริงแล้ว มันก็คล้ายๆ จริตอัธยาศัยในการนั่งสมาธินั่นเอง เมื่อก่อนผมก็เคยเป็น นั่นคือ

ในการนำนั่งสมาธิของหลวงพ่อนั้น หลายๆ ครั้งท่านก็จะสอนให้กำหนดนิมิตเป็นดวงแก้วกลมใส หลายๆ หนท่านก็จะสอนให้วางใจสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไรเลย ซึ่งตัวผมเองนั้น ไม่ถนัดในการนั่งสมาธิแบบกำหนดนิมิต เวลาลองกำหนดทีไรจะเครียดมาก ยิ่งไปฟังคนอื่นที่เขากำหนดแล้ว เขาเห็นอย่างง่ายๆ สบายๆ ก็ยิ่งเครียด อะไรทำไมทำได้ง่ายๆ อย่างนั้น ทำไมเราทำไม่ได้เลย

แต่พอครั้นบางครั้ง หลวงพ่อนำนั่งแบบให้วางใจสบายๆ ไม่ต้องคิดอะไร ผมก็รู้สึกทำตามได้อย่างสบายๆ มีความสุข ผมถึงกับกับนึกในใจคล้ายๆ คุณตำรวจในเวลานี้แหละครับ(แต่ไม่ได้มาโพสบอกใคร แค่นึกในใจเฉยๆ)ว่า หลวงพ่ออย่าสอนให้นึกดวงแก้วได้ไหม สอนให้วางใจสบายๆ ดีกว่า ผมทำแล้วสบายจังเลย คิดว่า คนอื่นต้องชอบวิธีนี้กันหมดแน่นอน ผมหลงคิดผิดไปเช่นนั้น

แต่ครั้นพอได้มีโอกาสไปพูดคุยกับผู้นำบุญที่เขานั่งสมาธิแบบกำหนดนิมิตได้ดี ไปบอกเขาว่า หลวงพ่อสอนให้วางใจสบายๆ ดีกว่าเนอะ ไม่ต้องไปสอนให้กำหนดนิมิตอะไรนั่นหรอก ผมนึกตามไม่ได้เลย

แต่คำสอนของเขาตรงข้ามกับที่ผมคิดไว้ เขาบอกว่า ใครบอกล่ะ ฉันนั่งสมาธิแบบวางใจสบายๆ ทีไร รู้สึกจะเคลิ้มหลับทุกที ฉันชอบเวลาหลวงพ่อสอนให้กำหนดนิมิตเป็นดวงแก้วใสนั่นแหละจะเหมาะกว่า ฉันนึกตามทีไรก็เห็นดวงใสชัดเจนในกลางท้อง

อ้าวเป็นงั้นไป ในที่สุดผมก็เข้าใจ หากเราปฏิบัติธรรมเป็นหมู่คณะย่อมๆ ไม่ใหญ่นัก (เหมือนพายเรือข้ามแม่น้ำ) การสอนแบบใดแบบหนึ่งไปเลย ดังที่คุณตำรวจโพสมา ดูจะเหมาะ เพราะสามารถหาคนที่คล้ายๆ กันมารวมกันได้เร็ว เมื่อได้จำนวนย่อมๆ ตามที่ต้องการแล้ว ก็มุ่งหน้าสู่พระนิพพานไปเลย

แต่การจะปฏิบัติธรรมเป็นหมู่คณะใหญ่ๆ (เหมือนสร้างสะพานข้ามมหาสมุทร หรือ เหมือนถมมหาสมุทรให้เป็นแผ่นดิน) การสอนจะต้องหลากหลายครอบคลุม เพราะมีคนเป็นหมู่คณะใหญ่มากๆ จริตอัธยาศัยมีตั้งแต่ต่างกันเล็กน้อย จนถึงต่างกันมากๆ การสอนก็ต้องหลากหลายเช่นกัน

หากสังเกตดีๆ จะเห็นการสอนที่หลากหลายของหลวงพ่อครับ ไม่ได้มุ่งพูดอานิสงส์บุญอย่างเดียว เช่น ตอนเด็กดีวีสตาร์ หรือ ตอนแข่งขันตอบปัญหาธรรมะทางก้าวหน้า นี่จะเห็นชัด อานิสงส์บุญอัศจรรย์ไม่มี หรือมีก็เล็กน้อย แต่มุ่งเน้นพฤติกรรมการเป็นคนดี ดังที่คุณตำรวจต้องการเลยทีเดียว แต่หลายๆ ครั้ง หลวงพ่อก็พูดถึงอานิสงส์ผลบุญ เช่น หมวดน้อย นั่งอยู่ในป้อมสี่แยกไฟแดงข้างๆ กันกับเพื่อนตำรวจ อยู่ๆ รถปิ๊กอัพเมาก็พุ่งเข้าชน ปรากฏว่า ป้อมพังไปทั้งแถบ เพื่อนตำรวจเจ็บหนักต้องเข้าโรงพยาบาล แต่หมวดน้อยไม่เป็นอะไรเลย วันนั้นหมวดน้อยพึ่งไปทำบุญมา และห้อยเหรียญหลวงปู่ด้วย อย่างงี้จะไม่ให้บอกว่า อัศจรรย์อานุภาพบุญ แล้วจะให้บอกว่าอะไร

แต่ OK บุญก็ไม่ได้บันดาลให้หมวดน้อยเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐีมีทรัยพ์หลายๆ เอ็ม แต่บุญบันดาลให้แคล้วคลาดจากภยันตราย เพียงแต่หมวดน้อยไม่ได้กังวลกับการต้องมีทรัพย์หลายๆ เอ็ม ซึ่งก็ต้องแล้วแต่คนล่ะครับ

สรุป ปิดท้าย ผมอยากจะฝากคำพูดของพระธุดงค์ องค์หนึ่ง ที่ผมประทับใจ (ครูไม่ใหญ่ก็เคยพูดคำพูดเหมือนพระธุดงค์องค์นั้น โดยบังเอิญผ่าน DMC) ท่านบอกว่า "เมื่อใด เราไม่ต้องการสิ่งใด เมื่อนั้น เราจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการ"

อีกเที่ยวนะครับ อีกเที่ยว "เมื่อใด เราไม่ต้องการสิ่งใด เมื่อนั้น เราจะได้ทุกสิ่งที่ต้องการ"



ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#22 ตำรวจรักบุญ

ตำรวจรักบุญ
  • Members
  • 985 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 07:33 PM

บังเอิญสิ่งที่ได้มา ไม่ใช่สิ่งที่ต้องการ

พระท่านพูดคงหมายความว่า
"เมื่อไม่ต้องการ ย่อมไม่ได้อะไร
เพราะการไม่ต้องได้อะไร นั่นคือสิ่งที่ต้องการ" หรือเปล่า
ไม่งั้นจะอธิฐานกันไปทำไม จริงมั้ย

#23 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 07:47 PM

สำหรับพระธุดงค์ก็ใช่แล้วล่ะครับ คุณตำรวจ
แต่สำหรับ เราๆ ท่านๆ ก็ต้อง ทำเหมือนการปฏิบัติธรรมไงล่ะครับ ถามผู้ปฏิบัติธรรมว่า อยากเข้าถึงดวงปฐมมรรค อยากเข้าถึงพระธรรมกายกันทุกคนหรือเปล่า คำตอบคือ ใช

แต่เวลาปฏิบัติธรรมต้องทำเฉยๆ สบายๆ ไม่ทำว่าอยากจะเห็นดวงให้ได้ แล้วเราก็จะเข้าถึงได้เอง (เร็วหรือช้าขึ้นกับใจแต่ละคน)

สูตรนี้เลยใช้ได้กับทั้งผู้ที่มีความอยาก และผู้ไม่อยากจริงๆ แล้วด้วยครับ
เพราะแม้ผู้ที่ไม่ได้รู้เรื่องธรรมกายมาก่อน (ย่อมไม่มีความอยากจะเข้าถึงธรรมกาย) เมื่อเขาปฏิบัติธรรมโดยวางใจเฉยๆ ไร้ความอยากใดๆ จนใจถูกส่วน เขาก็เข้าถึงพระธรรมกายได้เช่นกัน

แต่ลองสังเกตุดีๆ ว่า สำหรับผู้ที่อยากจะเข้าถึงแต่ยังเข้าไม่ถึง ไม่ใช่ว่าทำใจไม่อยาก สองสามทีก็เข้าถึงเลย ไม่ใช่นะครับ มันต้องมีความถูกส่วนของใจ ที่อธิบายเป็นทฤษฎีแบบจังหวะเวลาไม่ได้ ว่าแค่คิดว่าไม่อยาก รับรองไม่เกิน 1 ชั่วโมงเข้าถึง ไม่มีสูตรแบบนั้นครับ

แต่สูตรนี้จึงกลายเป็นสูตรสุดยอด และยอดสุด (หยุด เป็นตัวสำเร็จ) เหมือนนักเล่นหมากรุกที่เก่งฉกาจ ดักทางหนีทีไล่ของคู่ต่อสู้ไว้รอบด้าน นั่นคือ หากยังเข้าไม่ถึง ก็ไร้ปัญหา เพราะวางใจแบบไม่ต้องการสิ่งใด เมื่อยังไม่ได้สิ่งใด ก็ยังที่ชื่อว่า ได้สิ่งที่ตัองการอยู่ดี และเมื่อใจถูกส่วน แม้ไม่ต้องการสิ่งใด ก็ยังจะได้เห็นธรรมะภายในที่จะกลายเป็นสิ่งที่ต้องการ(อยู่ดี)
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#24 ตำรวจรักบุญ

ตำรวจรักบุญ
  • Members
  • 985 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 07:58 PM

แต่ประเด็นคือ การสร้างทานบารมี
การทำใจหยุดนิ่งย่อมถึงธรรมอันนี้เข้าใจ


แต่เมิ่อเราอยากได้ทรัพย์เราก็ต้องแสวงหา
เมื่อเราไม่อยากได้ทรัพย์เราก็คงไม่ไปแสวงหา

การทำใจให้ไม่อยากได้แล้วไปหา มันจะไม่ดูแปลกๆหรือ

#25 ดินสอแห่งธรรม

ดินสอแห่งธรรม

    สร้างบารมีเป็นหมู่คณะ = ฝึกตนให้เป็นผู้ใจกว้าง

  • Members
  • 1478 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ดุสิตบุรี
  • Interests:สร้างบารมีแบบเต็มกำลัง

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 08:00 PM

....สรุป ทำบุญหวังผล....

...การทำบุญ ทำทาน ไม่ได้เป็นเหมือนการลงทุนทำธุรกิจ ว่าทำไปเท่านี้ต้องได้กลับมาเท่านี้ มันเก็งกำไรกันไม่ได้ มันไม่มีมาตรวัดค่า มันซื้อขายกันไม่ได้ แต่ขณะที่มองไม่เห็นค่าของบุญหรือทานที่ทำไป กลับมีบาปที่เป็นตัวช่วยให้มองไม่เห็นและไม่เข้าใจขึ้นไปอีก ทวีกำลังเรื่อยๆ เพื่อไม่ให้มีช่องทำทาน หรือทำบุญเพิ่ม เมื่อวิบากกรรมเดิมเยอะและบุญอ่อนกำลังเมื่อไหร่ ก็จะไม่ศรัทธาในบุญหรือทานบารมีอีกต่อไป และเลิกทำบุญนั่นเอง นี่คือฝ่ายกิเลส ที่บังคับ ใหโลภ ให้โกรธ และหลง ให้คิดหวัง ให้ขุ่มมัวในสิ่งที่ไม่สมปรารถนา ให้อยากได้อยากมีอยากเอาทรัพย์นั้นๆ หรือให้บุญส่งผลเร็วๆ จะได้มาทำโน่นทำนี่ต่อ สุดท้ายก็อยู่ในกิเลสทั้งหมด

...สมมุติ ถ้าต้นไม้ต้นหนึ่งจะออกลูกให้กินต้องใช้เวลา 30 ปี แต่ตอนนี้เลี้ยงมันโตมา 20 ปีแล้ว ถามว่ามันมีลูกให้กินหรือยัง? ก็มันยังไม่ครบกำหนดเวลา ต่อให้ตัด ให้คว้าน หรือโค่นมันลงมาก็ไม่มีให้กิน แต่ถ้าอดทนเลี้ยงมันได้ มันก็ต้องออกลูกมาได้เพราะมันเป็นต้นไม้ที่ออกลูกได้แน่นอนและกินได้แน่นอน มันเหลือแค่ต้องรอมัน

...ถ้าต้นไม้คือการเริ่มต้นสร้างบารมี บุญคือสภาวะแวดล้อมที่ทำให้ต้นไม้โตเร็ว ผลคือช่องของบุญที่จะส่งผล และบาปคือสภาวะที่ทำให้ต้นไม้โตช้า หรือตายไปซะก่อน ถ้าเลี้ยงต้นไม้ไม่เป็น ไม่รู้วิธี สภาวะต้นไม้โตขึ้นก็เป็น 0 แต่ถ้ารู้และเติมสภาวะบุญให้เป็นต้นไม้โตเร็วและอยู่รอดได้ก็จะถึงวันที่มันโตจนออกลูกได้ และออกมาให้กินให้อยู่อย่างสมบูรณ์อย่างสาสม แต่บางคนก็โค่นต้นไม้ทิ้งเพราะไม่ต้องการจะรอมันอีกต่อไป หรือบางคนก็ตายไปก่อนก็มีเพราะอายุขัยตนน้อย แต่ต้นไม้ตายไปด้วยหรือไม่? แน่นอนคนตายต้นไม้ไม่ได้ตายไปด้วย ยกเว้นแต่คนจะโค่นมันลงมา หรือปล่อยให้สภาวะแห่งบาปอกุศลโค่นต้นไม้นั้นเอง ต้นไม้นี้มันโตและตายได้ เพราะสภาวะแวดล้อม ซึ่งมีทั้งดี และไม่ดี อยู่ที่ผู้ที่ปลูกมันจะดูแลมันยังไง ถ้าดูแลดีจนมันแข็งแรงและปักรากฐานอย่างมั่นคงแล้ว คนปลูกตาย ต้นไม้ก็ยังโตและออกผลได้ในที่สุด และต้นบุญที่เปรียบเป็นต้นไม้นี้ บุญจะติดตามไปสนองอย่างสาสม เฉกเช่นบาปอกุศลเช่นกัน..

...เมล็ดบุญคือได้จากผลของบุญอีกทีหนึ่ง การจะได้เมล็ดต้องได้ผลก่อน ถ้ายังเอาลูกบุญออกมาไม่ได้ เมล็ดย่อมออกมาไม่ได้ แต่เมื่อกินผลแล้วยังเหลือเมล็ดก็เอาไปปลูกเป็นต้นบุญต่อไปได้ หากเพียงสิ่งที่คุณปรารถนามันข้ามขั้นตอน เพราะสิ่งที่คุณทำได้ตอนนี้ มีเพียงป้องกันสภาวะทำลายต้นไม้ และเติมสภาวะบุญเพื่อหล่อเลี้ยงเร่งให้ต้นไม้บุญโตไวๆเท่านั้น นอกนั้นคุณทำไม่ได้ แม้การอธิษฐานก็เช่นกัน ต้นบุญไม่โตพอขออะไรก็ไม่ได้ เพราะเป็นเช่นนี้ไง คนจึงคิดโค่นมันทิ้งเพราะมองว่ามันทำประโยชน์อะไรไม่ได้ แต่ไม่ได้มองอนาคต มองแต่สิ่งที่เป็นปัจจุบัน เพราะคิดว่าไม่ยุติธรรม ก็ต้องตอบว่า มันไม่ยุติธรรมจริงๆ เพราะมันไม่ใช่โลกของเรา ไม่ใช่อาณาจักรของเรา เราไม่ได้สร้างกฎนี้ขึ้นมา ไม่ได้สร้างภพนี้ขึ้นมา เราต้องมาเป็นทาส และอาศัยเขาอยู่นี่ไง และรอวันที่จะปลดจากการเป็นทาส ถ้ารอได้ก็ต้องรอ ถ้ารอไม่ได้ก็ต้องรอ ไม่มีทางเลือก
..อันมือของฉันสองมือนี้ ดูเล็กนิดเดียวและไม่มั่นใจว่าฉันจะสร้างสิ่งดีๆ ให้เกิดแก่โลกใบนี้ได้.. แต่ฉันมั่นใจว่า ...หัวใจของฉันนี้ มอบไว้ให้แด่พระพุทธศาสน์....

#26 ตำรวจรักบุญ

ตำรวจรักบุญ
  • Members
  • 985 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 08:18 PM

ใช่ครับ ทำบุญย่อมต้องหวังผล
เพราะการทำบุญย่อมมีผลแน่นอน
แต่ไม่ได้หวังแค่ผลบุญ
หวังถึงเมล็ดบุญด้วย
เพื่อจะนำไปปลูกเป็นต้นบุญ
เพื่อทำให้ใบไม้เพียงกำมือ กลายเป็นใบไม้เต็มผืนป่า



#27 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 09:00 PM

สูตรนี้ใช้ได้กับทุกเรื่อง แม้แต่ทานบารมีครับ
คือ เมื่อใดทำทานแบบไม่หวังสิ่งใด หวังเพียงให้แค่หมดกิเลส(ความโลภ) เมื่อนั้น ก็ย่อมจะได้สิ่งที่ต้องการอยู่ดี คือ เกิดความรู้สึกว่าไม่โลภ(เพียงชั่วครู่ก็ยังดี) และฝึกให้ไปเรื่อยๆ
และเมื่อถึงคราวบุญส่งผล ก็จะบันดาลผลให้ได้ทรัพย์อยู่ดี แม้ไม่ต้องการก็ตาม ดังเช่น พระนางสิริมหามายา ตอนคลอดเจ้าชายสิทธัตถะฝันหลายเรื่อง แต่เรื่องที่สำคัญเรื่องหนึ่ง คือ ฝันว่า ลูกชายของพระนางจะยืนอยู่ใต้หมู่หนอนยั้วเยี้ยไปหมด แต่หมู่หนอนนั้น ไม่อาจไต่ขึ้นมาตามตัวลูกชายพระนางได้ ซึ่งเป็นนิมิตว่า ต่อไป ลูกชายพระนางจะได้เป็นศาสดาเอก จะมีลาภสักการะหลั่งไหลมาหาลูกชายพระนางมากมายเหลือคณา แต่ลูกชายพระนางหาได้ติดข้องในลาภสักการะเหล่านั้นไม่

ตรงนี้คุณตำรวจจะเห็นชัดเจนว่า การได้ทรัพย์โดยไม่ต้องแสวงหานั้นมีอยู่ เช่น การไปเกิดเป็นลูกมหาเศรษฐี (การไปเกิดได้ไม่ใช่บังเอิญ) คนไปเกิดเป็นลูกมหาเศรษฐีไม่เห็นต้องแสวงหาทรัพย์เลย ก็มีทรัพย์แล้ว ก็บุญเขาได้ช่องส่งผล ซึ่งก็คือ เจ้าชายสิทธัตถะ เกิดมาก็ไม่ต้องแสวงหาทรัพย์เลย แต่ก็มีทรัพย์มากมาย ครั้นพอเจ้าชายโตเป็นหนุ่ม ท่านก็แสดงความไม่ต้องการทรัพย์เข้าให้อีก ด้วยการสละสมบัติในวังหนีไปบวช แต่ครั้นบวช ตรัสรู้ธรรมเป็นพระพุทธเจ้า ลาภสักการะก็เกิดขึ้นแก่พระพุทธองค์ และพระในศาสนาของพระองค์ มากยิ่งกว่าตอนเป็นเจ้าชายเสียอีก

การไม่คิดแสวงหา แล้วจะได้ทรัพย์ มันไม่แปลกไปหรือ
คำตอบ คือ นี่แหละครับ มันจึงกลายเป็นสูตรสำเร็จขั้นสุดยอด ดังเรื่องของเจ้าชายสิทธัตถะที่ยกมา ว่าพอถึงคราวบุญส่งไม่มีอะไรมาขวางได้ ทรัพย์ก็มาแบบทำนบทะลาย แต่ผู้มีบุญก็จะไม่ติดในทรัพย์นั้น

เหตุใดพระพุทธองค์ถึงได้เช่นนี้ ก็ทำมานับชาติไม่ถ้วน โดยใช้สูตรนี้ไงครับ เมื่อไม่ต้องการสิ่งใด ก็จะได้สิ่งที่ต้องการ
เช่น ชาติหนึ่งพระพุทธองค์เป็นมหาเศรษฐี มีทรัพย์มาก จึงบริจาคทรัพย์ใหญ่ทุกวัน ต่อมาพระอินทร์กังวลว่า พระโพธิสัตว์ทำทานมากขนาดนี้ สงสัยอธิษฐานจะเป็นพระอินทร์ อย่างนี้ยอมไม่ได้ ว่าแล้วจึงมาบันดาลให้ทรัพย์หายไปหมด แต่พระโพธิสัตว์ กลับไม่คิดเลยว่า ทำไมทำบุญแทบตายทรัพย์หายหมด แล้วจะเอาอะไรไปเลี้ยงชาวบ้านทั้งหลาย ทำไมบุญไม่ช่วยเลย

ตรงข้าม พระโพธิสัตว์กลับคิดว่า ต้องไปทำนาเอาข้าวมาทำทานแทน จนสลบไป ครั้นฟื้นขึ้นมา พระอินทร์จึงมาปรากฏกาย ห้ามทำทาน พระโพธิสัตว์ หาได้หวั่นเกรงอานุภาพพระอินทร์ไม่ หากทำไม่ถูก ยิ่งใหญ่แค่ไหนก็ไม่ถูกอยู่ดี จึงต่อว่า พระอินทร์ว่า ทำไมจึงพูดไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม

พระอินทร์ถามว่า พระโพธิสัตว์ ทำทานเพราะอยากเป็นพระอินทร์ใช่ไหม พระโพธิสัตว์ตอบว่า ทำทานเพราะอยากบรรลุธรรม เพื่อสอนให้คนบรรลุตามต่างหาก พระอินทร์สบายใจเลยคืนสมบัติให้

นี่พระโพธิสัตว์คิดเช่นนี้ ข้ามภพข้ามชาติมา
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#28 ตำรวจรักบุญ

ตำรวจรักบุญ
  • Members
  • 985 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 09:25 PM

คำถามคือถ้าไม่อยากได้แล้วจะไปแสวงหาทำไมครับ

เมื่อครู่ฟังครูไม่เล็กแล้วหายสงสัย รู้แล้วว่าทำไมบุญไม่ส่งผล
แต่ฟังแล้วก็หมดหวังเลย ที่จะขายที่ดินได้

#29 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 09:48 PM

แสดงว่า ชอบฟังครูไม่เล็ก ถ้าชอบก็ฟังท่านบ่อยๆ นะครับจะได้สบายใจ ผมเคยพูดคุยกับผู้นำบุญหลายกลุ่ม บางกลุ่มมักชอบสไตล์ครูไม่ใหญ่ แต่ก็มีอีกหลายกลุ่มชอบสไตล์ครูไม่เล็ก ชอบทางไหนก็ฟังตามนั้นเลยครับ สบายใจดี

ขอบคุณที่สนทนากับผมนะครับ
คำถามที่ว่า ถ้าไม่อยากได้ แล้วจะแสวงหาไปทำไม
คำตอบ ก็พระโพธิสัตว์ข้างต้นไงล่ะครับ ท่านไม่ได้อยากได้ทรัพย์ อ้าวงั้นทำไมพอทรัพย์หมด จึงไปทำนาแสวงหาทรัพย์ไปทำไมเล่า
คำตอบ ก็เอาไปทำทานให้คนยากจนไงล่ะครับ ไม่ได้อยากได้เพื่อตัวท่านเองเลย

ตรงนี้ผมคิดว่า ตรงกับคุณตำรวจ(จึงไม่น่าถามนะ) ว่าอยากได้ทรัพย์ไปเพื่อบิดามารดา และตัวเองจะได้บวชยาว หรือ อะไรก็ตามที

เพียงแต่วิธีการต่างกันครับ พระโพธิสัตว์ท่าน ไม่ไปต้อพ้อต่อว่าบุญญาวาสนา หรืออะไรก็ตามที แต่ท่านยังคงทำทานของท่านต่อไป ทีนี้คุณตำรวจอาจคิดว่า พระโพธิสัตว์ก็สอนตัวเองได้นี่ เรายังไม่ถึงขั้นสักหน่อย

ผมก็อยากจะบอกต่อ วิธีการแก้ปัญหาที่ดีกว่าการโพสในที่สาธารณะก็มีอยู่มากมายครับ เช่น ไปปรึกษากับครูไม่เล็กเป็นการส่วนตัว สมัยผมเป็นอาสาสมัครก็เคยไปปรึกษาท่านในบางเรื่องที่ขัดข้องใจ เดี๋ยวก็จะได้ข้อคิดดีๆ มาครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#30 จีวร

จีวร
  • Members
  • 149 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 September 2010 - 10:27 PM

กราบอนุโมทนาบุญหลวงพี่ด้วยครับ นิมนต์มาถวายความรู้ ให้ธรรมะพวกเราบ่อยๆครับ