สวรรค์กับนรก
#1
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 11:58 AM
ปัญญาทานนั้นร่มเย็น เมื่อได้เห็นเป็นสุขใจ
#2
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 12:06 PM
ใจใสไปสุคติ ใจหมองไปทุกคติไงครับ ทำบุญจนใจใสนั้นแหละครับ ทางสวรรค์ก็เปิด ใสมากก็ไปสูงมาก ใสน้อยก็ไปสูงน้อยๆ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#3
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 12:07 PM
เกณฑ์ที่เป็นเครื่องบ่งชี้ก็คือ ปริมาณของบุญและบาปที่มีอยู่ในตัวเรานั่นแหละครับ ว่าพอเหมาะพอสมกับภพภูมิที่เป็นสุคติหรือทุคติ ถ้าพอเหมาะพอสมกับทุคติภูมิ อายตนะของทุคติภูมิก็จะดึงดูดให้ไปปฏิสนธิเกิดขึ้นตามกำลังแห่งดวงบาปที่มีอยู่ในตัว อาทิเช่น คนที่ทำอนันตริยกรรม ๕ ประการ เมื่อทำกาละแล้วปริมาณแห่งดวงบาปมีความพอเหมาะพอสมกับอายตนะของมหานรกขุมอเวจี อายตนะนั้นก็จะดึงดูดเอากายละเอียดให้ไปเสวยทุกข์โทษในอเวจีมหานรกทันที นี่ของฝ่ายบาป ฝ่ายบุญก็เช่นเดียวกัน ถ้าปริมาณดวงบุญมีความสัมพันธ์กับสุคติภพในระดับใด ก็จะดึงดูดเอากายทิพย์ให้ไปบังเกิดในสุคติภพตามแต่ระดับและปริมาณความเข้มข้นของดวงบุญที่มีอยู่ในตัวเช่นเดียวกันครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#4
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 12:07 PM
จิตเต สงฺกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกงฺขา
เมื่อจิตเศร้าหมองไม่ผ่องใส ทุคติเป็นที่ไป
จิตเต อสังกิลิฏเฐ สุคติ ปาฏิกังขา
เมื่อจิตผ่องใส ไม่เศร้าหมอง สุขคติเป็นที่ไป
อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่
นรก และศึกชิงภพ
http://www.dmc.tv/pa...ide/page07.html
อ่านหนังสือเรื่องศึกชิงภพ ได้ที่นี่
http://www.kalyanami...ok.asp?bookid=9
ตายแล้วไปไหน
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสเรื่องนี้เอาไว้ถึง ๓ ประเด็นใหญ่ว่า เมื่อตายแล้ว
๑) บางพวกตกนรกหรือไปนรก
๒)บางพวกไปสวรรค์
๓) บางพวกหมดกิเลสแล้วไปนิพพาน
ฟังเสียงพระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตชีโว เรื่องศึกชิงภพ ได้ที่
http://www.kalyanami...ing.asp?catid=5
แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง
#5
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 12:33 PM
๑. ความหมองหรือใสของใจในขณะใกล้มรณาสันวิถี
๒. ปริมาณของดวงบุญและดวงบาปที่มีอยู่ในตัว
เกี่ยวกับนรก
=> http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=3358
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#6
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 12:42 PM
ปัญญาทานนั้นร่มเย็น เมื่อได้เห็นเป็นสุขใจ
#7
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 12:52 PM
เราสามารถทำใจของเราให้ใสได้โดยการตั้งจิตชอบด้วยการบำเพ็ญทาน รักษาศีล เจริญภาวนาอยู่อย่างสม่ำเสมอ เมื่อทำได้ดังนี้ จิตของเราย่อมเสพคุ้นอยู่กับความดีจนกระทั่งกลายเป็นนิสัยที่หยั่งรากลึกลงสู่ขันธสันดาน เมื่อนั้น ความผ่องใส ความปีติปราโมทย์ใจ อันเกิดจากการตั้งตนและการเป็นผู้มีจิตตั้งมั่นชอบย่อมเกิดขึ้นแก่เราอยู่อย่างตลอดเวลาครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#8
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 01:52 PM
ตามหลักไตรสิกขาครับ คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
Someday I'm gonna be free.
#9
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 08:32 PM
#10
โพสต์เมื่อ 17 July 2006 - 11:05 PM
และการละอบายมุขทุกๆ อย่าง ก็เป็นตัวชี้วัดได้ด้วยนะ...สาธุ
#11
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 12:12 AM
น้าจี้
#12
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 08:48 PM
เราก็ต้องเข้าใจก่อนน่ะครับว่า ใจจะเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส เกิดจากอะไร ใจนั้นจะเศร้าหมอง ไม่ผ่องใส ก็ด้วยอำนาจกิเลส คือ ความโลภ โกรธ หลง
ลองสังเกตุใจเราสิครับ
ถ้ามีความโลภ อยากได้ทรัพย์ บุตร ภรรยา ยศ ตำแหน่งของผู้อื่น ใจเราเศร้าหมองหรือผ่องใส
ถ้ามีความโกรธ อยากทำร้ายไม่สิ้นสุด ใจเราเศร้าหมองหรือผ่องใส
ถ้ามีความหลง หลงในลาภ ยศ ตำแหน่งที่เรามีว่าจะให้ความสุขกับเราตลอดไป แล้วยึดติดในสิ่งเหล่านั้น หวงแหนสิ่งเหล่านั้น ใจเราเศร้าหมองหรือผ่องใส ถ้าต้องพลัดพรากจากสิ่งเหล่านั้น ก็เสียใจ ใจเราเศร้าหมองหรือผ่องใส
เมื่อเราทราบว่า ใจเราเศร้าหมองด้วยกิเลส คือ โลภ โกรธ หลง เราก็จะเข้าใจทันทีว่า ใจเราจะผ่องใส เมื่อพ้นจากอำนาจ กิเลส คือ โลภ โกรธ หลง
เราจะละจาก โลภ ได้ ก็ด้วยการปฏิบัติ คือ ทำทาน (การให้)
เราจะละจาก โกรธ ได้ ก็ด้วยการปฏิบัติ คือ รักษาศีล
เราจะละจาก หลง ได้ ก็ด้วยการปฏิบัติ คือ ภาวนา
ดังนั้น ทาน ศีล ภาวนา จึงทำให้ใจเราผ่องใส ด้วยประการฉะนี้แล
#13
โพสต์เมื่อ 18 July 2006 - 11:04 PM
แค่เข้ามาเห็นรูป หมีไหว้พระ ของคุณ หยุดอะตอมใจ แค่นี้ก็ ใจใสแล้วละค่ะ อิ อิ ชอบจริงๆ
น้าจี้
#14
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 05:05 PM
ทำบุญเท่าที่ทำให้ใจใสค่ะ ถึงได้ไปสวรรค์
แล้วทำบาปที่ทำให้ใจหมองค่ะ ก็จะตกนรก
ความใส-หมองของใจตอนก่อนตายเป็นเกณฑ์ค่ะ
ใจใส คือใจสบายค่ะ
ทำอะไรแล้วสบายใจ ตัวโล่ง ปลื้ม คิดถึงแล้วยิ้มได้ นี่คือสิ่งที่ทำให้ใจใสค่ะ
ส่วนสิ่งที่ทำแล้วก่อให่เกิดความไม่สบายใจ หงุดหงิด น้อยใจ เสียใจ คิดถึงแล้วใจหวิวๆ อยากร้องไห้
หรืออยากกลับไปแก้ไขใหม่ นั่นคือ สิ่งที่ทำแล้วทำให้ใจหมองค่ะ
#15
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 06:44 PM
#16
โพสต์เมื่อ 19 July 2006 - 08:17 PM
ทำการบ้าน 10 ข้อ ที่คุณครูไม่ใหญ่ให้ไว้ จะช่วยให้ใจใสได้สม่ำเสมอ
ละบาปกรรมทุกอย่าง ไม่ทำอีกแม้แต่นิดเดียว
ความผิดพลาด กรรมไม่ดีที่เคยทำในอดีต ลืมไปให้หมด
ทำบุญบ่อยๆ ทำทุกวัน ให้เป็นอาจิณกรรม
ทำความดีจนจำได้ตนเองติดตาติดใจ
หมั่นแผ่เมตตาให้ทั้งคน สัตว์ แผ่เมตตาก่อนนอน
อย่าโกรธ เมื่อเกิดความหงุดหงิด ขัดใจ ก็รีบยิ้มและตรองดูดีๆ อย่าให้พัฒนาไปจนเป็นความโกรธ
ยิ้มบ่อยๆ
นั่งสมาธิทุกวัน
ใจจะใสๆ
#18
โพสต์เมื่อ 27 July 2006 - 09:12 PM
ส่วนคำแนะนำคนอื่นๆ นั้นผมเห็นด้วยครับ
#19
โพสต์เมื่อ 28 July 2006 - 11:30 AM
เกณฑ์การตัดสินว่าในภพหน้าจะไปลงอบาย หรือ เสวยสุข อยู่ที่คตินิมิตก่อนละโลก ว่า "หมอง"หรือ "ใส"
#20
โพสต์เมื่อ 01 August 2006 - 12:39 PM
เกณฑ์การตัดสินว่าในภพหน้าจะไปลงอบาย หรือ เสวยสุข อยู่ที่คตินิมิตก่อนละโลก ว่า "หมอง"หรือ "ใส"
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "ธรรมทั้งหลายย่อมมีมาแต่เหตุ" ฉะนั้น ความหมองและความใสของดวงจิตก็เช่นเดียวกัน ล้วนมีเหตุมีปัจจัยอยู่เบื้องหลังเป็นเครื่องอุดหนุน เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงคุณภาพของจิต ณ เวลาใกล้มรณาสันวิถี ซึ่งก็คือ ปริมาณของดวงบุญและดวงบาปที่มีอยู่ในตัวนั่นเอง กล่าวคือ หากมนุษย์ผู้นั้น มีปริมาณของบุญกุศลที่ตนได้สั่งสมมาอย่างมากเพียงพอ กรรมนิมิตที่ย้อนมาฉายให้เห็นย่อมเป็นเหตุให้ดวงจิตของเขาประภัสสร (ใจใส) นอกจากนี้ ยังเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงคตินิมิตในปรโลกอีกด้วยว่า เมื่อทำกาละแล้ว เขาย่อมไปสู่สุคติ ดังนั้น จากปัจจัยสำคัญ ๒ ประการดังกล่าวอันได้แก่
๑. ความหมองหรือใสของใจในขณะใกล้มรณาสันวิถี
๒. ปริมาณของดวงบุญและดวงบาปที่มีอยู่ในตัว
จึงสามารถสรุปได้ว่า ปัจจัยที่ ๒ เป็นเครื่องอุดหนุน เป็นเครื่องบ่งชี้ และเป็นเครื่องกำหนดปัจจัยที่ ๑ ครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#21
โพสต์เมื่อ 18 August 2006 - 12:28 PM
#22
โพสต์เมื่อ 17 May 2008 - 10:48 AM
อืมผมอยากนั่งสมาธิแล้วเห็นองค์พระแล้วไปนรกสวรรค์ได้http://www.dmc.tv/programs/case_study/files/510502case.wmv