ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

5.พระกัปปะเถระ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 6 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 เพียงพอ

เพียงพอ

    I |\|EE|) S()|\/|E |3()DY |_()\/E.

  • Members
  • 724 โพสต์
  • Location:ไม่มีข้อมูล
  • Interests:ไม่มีข้อมูล

โพสต์เมื่อ 16 January 2006 - 07:57 PM

5.พระกัปปะเถระ

[attachmentid=1203]

ท่านพระกัปปะเกิดในสกุลพราหมณ์ ในนครสาวัตถี เมื่อเจริญวัยแล้ว ได้ไปฝากตัวเป็นศิษย์ ศึกษาเล่าเรียนศิลปวิทยาในสำนักของพราหมณ์พาวรี ผู้เป็นปุโรหิตของพระเจ้าปเสนทิโกศล ครั้นต่อมาพราหมณ์พาวรี มีความเบื่อหน่ายในฆราวาส จึงทูลลาพระเจ้าปเสนทิโกศลออกจากตำแหน่งปุโรหิต เมื่อได้รับพระบรมราชานุญาตแล้ว ได้ออกบวชเป็นชฏิลประพฤติพรตตามลัทธิของพราหมณ์ ตั้งอาศรมอยู่ที่ฝั่งแม่น้ำโคธาวารี ที่พรมแดนแห่งเมืองอัสสกะ และอาฬกะต่อกัน เป็นคณาจารย์ใหญ่บอกไตรเพทแก่หมู่ศิษย์ และอยู่ในจำนวนมาณพ ๑๖ คน ที่พราหมณ์พาวรีผูกปัญหาให้ไปทูลถามพระบรมศาสดา ซึ่งประทับอยู่ที่ปาสาณเจดีย์ แคว้นมคธ ทูลขอโอกาสถามปัญหา เมื่อได้รับพุทธานุญาตแล้ว จึงทูลถามปัญหาทีละคน ๆ เมื่อโตเทยยมาณพทูลถามปัญหา ได้ฟังปัญหาพยากรณ์แล้วก็ได้บรรลุพระอรหัต
ลำดับนั้นกัปปมาณพจึงทูลถามปัญหาเป็นคนที่สิบว่า

ขอพระองค์ตรัสบอกธรรม ซึ่งจะเป็นที่พึ่งพำนักของชนผู้ตั้งชรา และมรณะมาถึงรอบข้าง ดุจเกาะอันเป็นที่พึ่งพำนักอาศัยของชนผู้ตั้งอยู่ในท่ามกลางมหาสมุทรเมื่อเกิดคลื่นใหญ่ที่น่ากลัวแก่ข้าพระองค์ อย่าให้ทุกข์นี้มีได้อีก ?
พระบรมศาสดาทรงพยากรณ์ว่า เรากล่าวว่า นิพพานอันไม่มีกิเลสเครื่องกังวล ไม่มีตัณหาเครื่องถือมั่น เป็นที่สิ้นชรา และมรณะนี้แล เป็นดุจเกาะ ชนเหล่าใดรู้นิพพานนี้แล้วเป็นคนมีสติ ได้เห็นธรรมแล้วดับกิเลสได้แล้ว ชนเหล่านั้น ไม่ต้องตกอยู่ในอำนาจของมาร ไม่ต้องเดินไปในทางของมารเลย

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  R2475_2.jpg   43.45K   27 ดาวน์โหลด


#2 extra

extra
  • Members
  • 409 โพสต์

โพสต์เมื่อ 16 January 2006 - 08:14 PM

สาธุค่ะ แล้วท่านเป็นเลิศด้านไหนคะ happy.gif

#3 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 16 January 2006 - 08:32 PM

ว่าด้วยปัญหาของท่านพระกัปปะ

[๓๖๖] (ท่านพระกัปปะทูลถามว่า)
ข้าแต่พระองค์ผู้นฤทุกข์ ขอพระองค์โปรดตรัสบอกธรรมอันเป็น ที่พึ่งแก่สัตว์ทั้งหลายผู้ตั้งอยู่ในท่ามกลางสงสาร เมื่อห้วงกิเลส
เกิดแล้ว เมื่อภัยใหญ่มีแล้ว ผู้อันชราและมัจจุถึงรอบแล้ว. อนึ่ง ขอพระองค์โปรดตรัสบอกธรรมเป็นที่พึ่งแก่ข้าพระองค์.
ทุกข์นี้ไม่พึงมีอีก อย่างไร?

[๓๖๗] สงสาร คือ การมา การไป ทั้งการมาและการไป กาลมรณะ คติ ภพแต่ภพจุติ อุปบัติ ความบังเกิด ความแตก ชาติ ชรา
และมรณะ ท่านกล่าวว่า สระ ในอุเทศว่ามัชเญ สรสมิง ติฏฐตัง ดังนี้.
แม้ที่สุดข้างต้นแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏ แม้ที่สุดข้างปลายแห่งสงสารก็ไม่ปรากฏ สัตว์ทั้งหลายตั้งอยู่ ตั้งอยู่เฉพาะ พัวพัน
เข้าถึง ติดอยู่ น้อมใจ ไปแล้ว ในท่ามกลางสงสาร.

ที่สุดข้างต้นแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏอย่างไร? วัฏฏะเป็นไปแล้วสิ้นชาติเท่านี้ พ้นจากนั้น ย่อมไม่เป็นไป ย่อมไม่มีอย่างนั้น
ที่สุดข้างต้นแห่งสงสาร ย่อมไม่ปรากฎแม้อย่างนี้.
วัฏฏะเป็นไปแล้วสิ้นร้อยชาติเท่านี้ พ้นจากนั้นย่อมไม่เป็นไป ย่อมไม่มีอย่างนั้น ที่สุดข้างต้นแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฎแม้อย่างนี้.
วัฏฏะเป็นไปแล้วสิ้นพันชาติเท่านี้ ... สิ้นแสนชาติเท่านี้ ...สิ้นโกฏิชาติเท่านี้ ... สิ้นร้อยโกฏิชาติเท่านี้ ... สิ้นพันโกฏิชาติเท่านี้ ...
สิ้นแสนโกฏิชาติเท่านี้ ...สิ้นปีเท่านี้ ... สิ้นร้อยปีเท่านี้ ... สิ้นพันปีเท่านี้ ... สิ้นแสนปีเท่านี้ ... สิ้นโกฏิปีเท่านี้ ... สิ้นร้อยโกฏิปี
เท่านี้ ... สิ้นพันโกฏิปีเท่านี้ ... สิ้นแสนโกฏิปีเท่านี้ ... สิ้นกัปเท่านี้ ... สิ้นร้อยกัปเท่านี้ ... สิ้นพันกัปเท่านี้ ... สิ้นแสนกัปเท่านี้ ...
สิ้นโกฏิกัปเท่านี้ ... สิ้นร้อยโกฏิกัปเท่านี้ ... สิ้นพันโกฏิกัปเท่านี้ สิ้นแสนโกฏิกัปเท่านี้ พ้นจากนั้นย่อมไม่เป็นไป ย่อมไม่มีอย่างนี้
ที่สุดข้างต้นแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏแม้อย่างนี้.
สมจริงดังพระพุทธพจน์ที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงสารนี้มีที่สุดอันรู้ไม่ได้ ที่สุดข้างต้นแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายมีอวิชชาเป็นเครื่องกั้นไว้ มีตัณหาเป็นเครื่องประกอบไว้ วนเวียนท่องเที่ยวไป เสวยความทุกข์ความพินาศเป็นอันมากตลอดกาลนาน มากไปด้วยป่าช้า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนี้แหละ จึงสมควรจะเบื่อหน่าย ควรจะคลายกำหนัด ควรจะหลุดพ้นในสังขารทั้งปวง ดังนี้. ที่สุดข้างต้นแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏแม้อย่างนี้.
ที่สุดข้างปลายแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏอย่างไร? วัฏฏะจักเป็นไปสิ้นชาติเท่านี้ พ้นจากนั้นจักไม่เป็นไป ย่อมไม่มีอย่างนั้น
ที่สุดข้างปลายแห่งสงสาร ย่อมไม่ปรากฏแม้อย่างนี้. วัฏฏะจักเป็นไปสิ้นร้อยชาติเท่านี้ ... สิ้นพันชาติเท่านี้ ... สิ้นแสนชาติเท่านี้ ...
สิ้นโกฏิชาติเท่านี้ ... สิ้นร้อยโกฏิชาติเท่านี้ ... สิ้นพันโกฏิชาติเท่านี้ ... สิ้นแสนโกฏิชาติเท่านี้ ... สิ้นปีเท่านี้ ... สิ้นร้อยปีเท่านี้ ...
สิ้นพันปีเท่านี้... สิ้นแสนปีเท่านี้ ... สิ้นโกฏิปีเท่านี้ ... สิ้นร้อยปีเท่านี้ ... สิ้นพันโกฏิปีเท่านี้ ... สิ้นแสนโกฏิปีเท่านี้ ... สิ้นกัปเท่านี้
... สิ้นร้อยกัปเท่านี้ ... สิ้นพันกัปเท่านี้ ... สิ้นแสนกัปเท่านี้ ... สิ้นโกฏิกัปเท่านี้ ... สิ้นร้อยโกฏิกัปเท่านี้ ... สิ้นพันโกฏิกัปเท่านี้ ...
วัฏฏะจักเป็นไปสิ้นแสนโกฏิกัปเท่านี้พ้นจากนั้นจักไม่เป็นไป ย่อมไม่มีอย่างนี้ ที่สุดข้างปลายแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฏ แม้อย่างนี้.
แม้ที่สุดข้างต้น แม้ที่สุดข้างปลายแห่งสงสารย่อมไม่ปรากฎ อย่างนี้.
สัตว์ทั้งหลายตั้งอยู่ ตั้งอยู่เฉพาะ พัวพัน ติดอยู่ น้อมใจไปแล้วในท่ามกลางสงสารเพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ผู้ตั้งอยู่ในท่ามกลางสงสาร.

ที่มา : เล่ม 30 พระสุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย จูฬนิทเทส



#4 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 16 January 2006 - 10:30 PM

QUOTE
สาธุค่ะ แล้วท่านเป็นเลิศด้านไหนคะ

ในรายนามผู้ที่รับยกย่องให้เป็นเลิศ จะมีเพียงเท่าที่ได้แจ้งไปแล้วในกระทู้ก่อนหน้านี้ครับ สำหรับท่านพระกัปปะนั้นพระพุทธองค์ไม่ได้กล่าวว่าเลิศในด้านใดครับ ชื่อของท่านคนละชื่อกับพระมหากัสสป และไม่ใช่พระมหากัปปินะ นะครับอย่าจำปนกันครับ
หยุดเหมือนรถเบรค นิ่งเหมือนน้ำในโอ่งที่ปราศจากลม แน่นเหมือนหลักที่ปักลงในเลน
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน

#5 Pro

Pro
  • Members
  • 134 โพสต์

โพสต์เมื่อ 22 January 2006 - 11:24 AM

สาธุครับ
ยิ้มแล้วรวย อ่านกระทู้อยู่ก็ยิ้มได้ครับ

#6 น้ำฝน มัชฌิมหญิงรุ่น14

น้ำฝน มัชฌิมหญิงรุ่น14

    เราคือ นักรบกล้าอาสาสมัคร กองทัพธรรม

  • Members
  • 1961 โพสต์
  • Gender:Female
  • Interests:ช่วยงานบุญที่วัด ให้ถึงที่สุดกำลัง ตราบวันที่ชีวิตจะสิ้นลมหายใจ

โพสต์เมื่อ 26 August 2006 - 07:03 PM

สาธุๆ
"ด้วยใจกล้าอาสา พัฒนาไม่หยุดยั้ง"

น้ำฝนลูกพระธัมฯ

#7 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 17 March 2007 - 03:32 PM

สาธุ