ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * - 4 คะแนน

ความเข้าใจที่บิดเบี้ยว กรณีวัดพระธรรมกาย


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 51 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#31 เถลิงเกียรติ

เถลิงเกียรติ
  • Members
  • 760 โพสต์
  • Interests:N/A

โพสต์เมื่อ 26 May 2007 - 06:01 PM

ปราชญ์ DMC..สาธุ ครับ

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  BUDISH1.JPG   48.09K   50 ดาวน์โหลด


ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
อาจเป็นเรื่องที่แตกต่างหรือเกี่ยวข้องกับ วิทยาศาสตร์ หรือ วิศวกรรมศาสตร์
ดังนั้นเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนถ้าไม่ตรงกับความคิดเห็นของท่านใด ขออย่าได้มีอคติก่อน
แต่ถ้าตรงกับความคิดเห็นของท่านผู้ใด ขออย่าได้เชื่อไปก่อน
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าเรื่องที่แสดงความเห็นเป็นแนวคิดของข้าพเจ้า
และข้อมูลที่ค้นคว้าเพื่อเสริมสร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้มั่นคง
ซึ่งอาจจะถูกบ้างผิดบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็จะเป็นประโยชน์ เป็นข้อมูลหนึ่ง กับท่านที่ศึกษาทางพุทธศาสตร์
ข้าพเจ้ามีความเชื่อว่า แต่ละคนก็มีกรรมเป็นของตนเอง เราเป็นทายาทแห่งกรรม
ทำดีตามครูไม่ใหญ่ ต้องได้ดีแน่นอน
และสรุปได้ว่า การเอาธรรมในพุทธศาสนามาใช้ในการดำรงชีวิตไม่เคยล้าสมัย สามารถใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย

ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม



#32 นับดาว

นับดาว
  • Members
  • 422 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 May 2007 - 12:41 AM

ยาวจริงๆค่ะ
ถ้าใจใส

เรื่องดีๆเกิดขึ้นได้ทุกวัน

#33 niwat

niwat
  • Members
  • 1420 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 27 May 2007 - 11:04 PM

อนุโมทนาบุญกับความตั้งใจดีของพี่ Dangdee ครับ

ได้ข้อคิดและมีประโยชน์มากในการนำไปประยุกต์ใช้
ในการทำหน้าที่กัลยาณมิตรตอบคำถามให้แก่บุคคล
ที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับวัด smile.gif


#34 preechabia

preechabia
  • Members
  • 17 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 May 2007 - 04:09 PM

เรียน คุณแดงดี ได้อ่านบทความของคุณแล้ว ขอแสดงความนับถือในความตั้งใจดีที่ช่วยกันแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ
ความเข้าใจวัดพระธรรมกาย แต่การห้ามคนไม่ให้นินทาว่าร้ายได้นั้นเป็นเรื่องยาก ตราบใดที่ใจเขาไม่ยอมรับและพยายาม
ทำความเข้าใจและเรียนรู้ในสิ่งที่ตนเองสงสัย อย่างที่คุณแนะนำว่า ถ้าเป็นผู้ชายให้ลองมาบวชพระสักหนึ่งพรรษา ถ้าเป็นหญิงก็ให้มาเป็นอุบาสิกา หรือมาเป็นอาสาสมัครที่วัดก็ได้ จะได้เรียนรู้เรื่องราวที่สงสัย แต่อย่างไรก็ตามขอแสดงความชื่นชมคุณแดงดี ที่ใช้ประสบการณ์ที่เข้าวัดมามากกว่า ๒๐ ปี พยายามตอบข้อสงสัยและอธิบายความต่าง ๆ ได้อย่างมีเหตุมี
ผล ขอให้คุณได้ทำหน้าที่กัลยาณมิตรที่ดีเช่นนี้ต่อไป เพื่อชาวโลกที่ยังไม่รู้จะได้รับความกระจ่าง และความสว่างในจิตใจ
ขอขอบคุณ มา ณ โอกาสนี้ สาธุ ๆ ๆ ๆ

#35 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 09 June 2007 - 05:32 PM

ขอเพิ่มเติม ข้อมูลบางส่วนหลังจากที่ไปตั้งกระทู้ใน สิบร้อยทริป ไว้
ซึ่งเพื่อนสมาชิกบางท่านในบอร์ดนั้น วิพากษ์ วิจารณ์ กรณี เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
ผมเห็นว่าอาจเป็นประโยชน์กับเพื่อนสมาชิก dmc.tv จึงขอนำมาโพสต์ที่นี่
หากว่าผู้ดูแลระบบ เห็นว่าไม่สมควร ก็ลบได้นะครับ

ด้วยความนับถือ
Dangdee,Dd2683.dmc.tv


#36 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 09 June 2007 - 05:42 PM

เท่าที่อ่านคคห. ของเพื่อนสมาชิกบางท่าน กรณี เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย
ผมได้ข้อคิดอย่างนี้ครับว่า

1 ) กระดานสนทนา ก็คือ กระดานสนทนา

เป็นพื้นที่สาธารณะให้เพื่อนสมาชิกได้ร่วมสนทนา แบ่งปันความรู้แสดงความคิดเห็น
และความรู้แสดงความคิดเห็น ที่นำมาแสดง ควรเป็นไป เพื่อ
ประโยชน์สุข ของชุมชน ของ members & readers

คือ ต้องเข้าใจก่อนว่า
กระดานสนทนา ไม่ใช่ ศาล หรือ สถานที่ติดสินคดีความ


2 ) เพื่อนสมาชิก ที่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น
ก็ไม่ใช่โจทย์ ไม่ใช่จำเลย ไม่ใช่พยาน ไม่ใช่เจ้าทรัพย์ ผู้เสียหายโดยตรง
ไม่ใช่ทนายความ และไม่ใช่ผู้พิพากษา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ใช่ พระวินัยธร หรือ คณะสงฆ์

ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการ วินิจฉัยหรือ ตัดสิน พิพากษา ภิกษุ
ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับพระธรรมวินัย

พูดให้เข้าใจอย่างง่ายๆ คือ

ฆราวาส ไม่มีอำนาจ หน้าที่ในการแสวงหาความผิดของภิกษุ
ฆราวาส ไม่มีอำนาจ หน้าที่ในการกล่าวหา หรือ พิพากษา ภิกษุ
ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับพระธรรมวินัย หรือ คดีความทางธรรม

ส่วนในเรื่องคดีความทางโลก การวิพากษ์ วิจารณ์
หรือการเลือกเชื่อ เข้าใจ อย่างใด ก็เป็นสิทธิของแต่ละท่านครับ



ฉะนั้น ควรแยกแยะก่อนว่า ตัวเรา อยู่ในสถานะใด ด้วยนะครับ

ในแง่ทางธรรม
เราเป็น ภิกษุ หรือ เปล่า ถึงมากล่าวโจทย์ ภิกษุว่า ต้องอาบัติข้อนั้นข้อนี้
เราเป็น พระวินัยธร หรือ คณะสงฆ์ ที่ได้รับมอบหมายจาก มหาเถรสมาคม
ในการสืบสวน ซักถามภิกษุผู้ถูกกล่าวหา ขอหลักฐานต่างๆ
เพื่อ วินิจฉัย และพิพากษา
หรือเปล่า ??? ก็ไม่ใช่สักหน่อย

และที่สำคัญกระดานสนทนาธรรม นี้
ก็ไม่ใช่ เป็นที่ประชุม ( ศาลพระ ) ในการพิพากษา

ในแง่ทางโลก
เราเป็นโจทย์ จำเลย พยาน เจ้าทรัพย์ ผู้เสียหายโดยตรงหรือเปล่า ???
เราเป็น ทนายความ อัยการ ผู้พิพากษา
ที่เกี่ยวข้องโดยตรงในคดีความนี้ หรือเปล่า ??? ก็ไม่ใช่สักหน่อย

และที่สำคัญกระดานสนทนา นี้
ก็ไม่ใช่ ศาลฎีกา ในการพิพากษา


ดังนั้นถ้าเพื่อนสมาชิกแต่ละท่าน แยกแยะได้ว่า
ก ) กระดานสนทนา ก็คือ กระดานสนทนา
เป็นพื้นที่สาธารณะให้เพื่อนสมาชิกได้ร่วมสนทนา
สามารถแบ่งปันความรู้แสดงความคิดเห็น พอหอมปากหอมคอเท่านั้นครับ
กระดานสนทนา ไม่ใช่ ศาล

ข ) ตัวเราก็ไม่ใช่โจทย์ ไม่ใช่จำเลย ไม่ใช่พยาน
ไม่ใช่ทนายความ และไม่ใช่ผู้พิพากษา

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไม่ใช่ พระวินัยธร หรือ คณะสงฆ์
ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการ วินิจฉัยหรือ ตัดสิน พิพากษา ภิกษุ
ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับพระธรรมวินัย

ก็ไม่ควร ทำตัวเป็นเปาบุ้นจิ้น มาตัดสิน พิพากษานอกศาลไคฟง เลยครับ




ข้อคิดที่ได้อีกอย่าง คือ

การแสดงความคิดเห็น การวิพากษ์ วิจารณ์ ของแต่ละท่านนั้น บ่งชี้ถึง
ความแตกต่างหลากหลายของมนุษย์ ที่นำไปสู่
การเลือกเชื่อ เลือกคิด เลือกพูด เลือกทำ ที่แตกต่างหลากหลายไปด้วย เช่นว่า

1 ) ภิกษุ
ที่เชี่ยวชาญด้านพระธรรมวินัย
ก็มีความรู้ ความเข้าใจ ทัศนะคติ ลุ่มลึกอีกแบบหนึ่ง
ในกรณีวัดพระธรรมกายและคดีความของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย

ภิกษุในระดับผู้ปกครอง
ก็มีความรู้ ความเข้าใจ ทัศนะคติ ในเชิงลึกอีกแบบหนึ่ง

ภิกษุ ที่เชี่ยวชาญด้านธรรมปฏิบัติ เข้าถึงสภาวะธรรมจริง
ก็มีความรู้ ความเข้าใจ ทัศนะคติ อีกแบบหนึ่ง

ภิกษุในระดับผู้ปกครอง
ก็มีความรู้ ความเข้าใจ ทัศนะคติ อีกแบบหนึ่ง

ภิกษุนวกะ หมายถึง พระบวชใหม่ ในระยะ 1- 5 พรรษา
ก็มีความรู้ ความเข้าใจ ทัศนะคติ อีกแบบหนึ่ง

2 ) ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ การสัมผัสจากประสบการณ์จริง ที่แตกต่างกัน จึงนำไปสู่
การเลือกเชื่อ เลือกคิด เลือก พูด เลือกทำ ที่แตกต่างหลากหลายไปด้วย

ตัวอย่างเช่น
พุทธศาสนิกชน ที่ไปวัดพระธรรมกาย ได้รับข้อมูล ข่าวสาร ความรู้
และการสัมผัสจากประสบการณ์จริง
จึงเลือกเชื่อ เลือกคิด เลือกพูด เลือกทำ อีกแบบหนึ่ง

ส่วน พุทธศาสนิกชน ที่ไม่ได้ไปวัดพระธรรมกาย ได้รับข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ จากคนรอบข้าง คนที่รู้จัก
ไม่ได้สัมผัสจากประสบการณ์จริง

จึงเลือกเชื่อ เลือกคิด เลือกพูด เลือกทำ อีกแบบหนึ่ง



3 ) อาชีพ งานอดิเรก ความสนใจเฉพาะด้าน อัธยาศัยส่วนบุคคล ที่แตกต่างกัน จึงนำไปสู่
การเลือกเชื่อ เลือกคิด เลือก พูด เลือกทำที่แตกต่างหลากหลายไปด้วย
ตัวอย่างเช่น

ก )ตำรวจ อัยการ ทนายความ ผู้พิพากษา นักกฎหมาย
ผู้ศึกษานิติศาสตร์
ก็มีความรู้ ความเข้าใจ ทัศนะคติ อีกแบบหนึ่ง
(ที่อ้างอิงมากอาชีพงานอดิเรก ความสนใจเฉพาะด้าน)

จึงแสดงความคิดเห็น วิพากษ์ วิจารณ์ วัดพระธรรมกาย
และคดีความของเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ไปอีกแบบหนึ่ง

ข ) พุทธศาสนิกชน ที่ศึกษา วินัยปิฎก นักเรียนบาลี
ธรรมศึกษา เรียนพระอภิธรรม
ก็มีข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจ ทัศนะคติ อีกแบบหนึ่ง

ค ) บุคลากรทางการแพทย์ สถาปนิก วิศกร
ก็มีข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจ ทัศนะคติ อีกแบบหนึ่ง

ง ) บุคลากรทางการศึกษา ครูบา อาจารย์ ผู้บริหารการศึกษา
ก็มีข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจ ทัศนะคติ อีกแบบหนึ่ง

จ ) นักธุรกิจ เจ้าของกิจการ นักบริหารการเงิน การธนาคาร
ก็มีข้อมูล ความรู้ ความเข้าใจ ทัศนะคติ อีกแบบหนึ่ง

ฉ ) แม้แต่ พ่อค้า แม่ขายและผู้ใช้ถนนเส้นทางที่เชื่อมถึงวัดพระธรรมกาย
ก็มีความรู้ ความเข้าใจ ทัศนะคติ อีกแบบหนึ่ง
คือ บ้างก็ไม่ชอบที่รถติดมาก เวลาวัดจัดงานบุญกุศล
บ้างก็ชอบเพราะเป็น พ่อค้า แม่ขาย ทำให้มีลูกค้ามาก ขายดี เป็นต้น

#37 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 09 June 2007 - 05:48 PM

โดยส่วนตัว ผมก็เหมือนเพื่อนสมาชิกทั้งหลาย
ในกระดานสนทนา โต๊ะศาสนานี้ครับ

คือ ไม่ใช่โจทย์ ไม่ใช่จำเลย ไม่ใช่พยาน ไม่ใช่เจ้าทรัพย์ผู้เสียหายโดยตรง
ไม่ใช่ทนายความ และไม่ใช่ผู้พิพากษา ที่รับมอบหมายโดยตรง
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผม ไม่ใช่ พระวินัยธร หรือ คณะสงฆ์
ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงในการ วินิจฉัยหรือ ตัดสิน พิพากษา ภิกษุ
ในกรณีที่เกี่ยวข้องกับพระธรรมวินัย

ฉะนั้น ผมไม่มี อำนาจ หน้าที่ ในการกล่าวโจทย์ หรือ ถามหาหลักฐาน
หรือเที่ยวหาหลักฐานอะไรมาให้เพื่อนสมาชิกที่หลงเข้าใจเองว่า

1 ) กระดานสนทนานี้ เป็น ศาล หรือที่ประชุมสงฆ์ของคณะพระวินัยธร

2 ) และตนเป็นผู้พิพากษา หรือ พระวินัยธร ที่ได้รับมอบหมายให้
พิจารณา สืบสวน สอบสวนแสวงหาความผิดภิกษุ ว่า

ภิกษุรูปนั้นๆ ต้องอาบัติ ปาราชิก

แต่ ในสถานะเป็นพุทธศาสนิกชน เป็นอุบาสก
ผู้นับถือพระรัตนตรัยว่าเป็น สรณะอันเกษม

ผมมีท่าที ต่อกรณี ภิกษุต้องอาบัติ ประพฤติผิดพระธรรมวินัย ว่า
หากมีการโจทย์ กล่าวหา ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง ว่าประพฤติผิดศีล ผิดธรรมวินัย
ต้องอาบัติอย่างนั้นอย่างนี้

ผมจะแค่รับฟัง เพราะ
1 ) ผมไม่ได้เห็น ไม่ได้ยินด้วยตนเอง
แม้การเห็นด้วยตนเอง แต่ในมุมมองที่ไม่ชัดเจน ก็อาจเข้าใจผิดไปได้ง่าย

2 ) ผมไม่ใช่พระผู้เชี่ยวชาญ ด้านพระวินัยปิฎก
ไม่เชี่ยวชาญเรื่องขั้นตอนและกระบวนการในการวินิจฉัย ด้านนิคหกรรมของภิกษุ
ที่สำคัญ ผมไม่ใช่พระวินัยธร ผู้รับมอบหมายโดยตรง

และหากผมจะแสดงความคิดเห็น หรือ วิพากษ์ วิจารณ์
กรณีมีข้อกล่าวหา หรือมีการพิพากษาจากคณะพระวินัยธรต่อ อาบัติของภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง
ผมจักแสดงความคิดเห็น ส่วนตัวโดยความเคารพต่อภิกษุรูปนั้น ๆ
ผมจักไม่กระทำตนเป็น กฎหมาย เป็นศาล เป็นผู้พิพากษา อย่างแน่นอน






#38 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 09 June 2007 - 05:56 PM

ข้อคิดเพิ่มเติม

1 ) ครั้งที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ยังทรงพระชนม์อยู่
ผมยังไม่เคยทราบเลยว่า พระบรมศาสดา ทรงตัดสิน พิพากษา
ให้ ภิกษุรูปใด ต้องลาสิกขา พ้นสมณะเพศเลย นะครับ

แม้แต่พระเทวทัต ที่กระทำอนันตริยกรรมถึง 2 ข้อ คือ
ก ) มุ่งร้ายสังหาร พระบรมศาสดา หลายครั้ง แต่ก็ทำได้เพียง
ทำให้พระพุทธองค์ ห้อพระโลหิตเท่านั้น
ข ) กระทำสังฆเภท คือ ยุยงให้สงฆ์แตกแยก

ถึงกระนั้นพระบรมศาสดา
ก็ยังไม่รับสั่ง ขับไล่ให้พระเทวทัต ลาสิกขา ( สึก ) เลยนะครับ

ประเด็นนี้ผมมองว่า
นอกจากเป็นเพราะทรงมีมหาเมตตา กรุณาต่อพระเทวทัตแล้ว
พระบรมศาสดา ทรงเห็นแจ้ง อย่างถ่องแท้ว่า

กัมมุนา วตฺตตี โลโก สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

คือ เป็นเพราะ พระเทวทัต เคยผูกเวร จองเวรต่อพระพุทธองค์มาก่อน
จึงเกิดเหตุการณ์ต่างๆขึ้น

และถึงพระบรมศาสดา ไม่ลงโทษพระเทวทัต อย่างหนึ่งอย่างใด
คุรุอกุศลกรรม ที่ทำไว้ ก็ย่อมตามสนองพระเทวทัตอยู่แล้ว
ไม่จำเป็นต้องไปลงโทษซ้ำเติม พระเทวทัตอีก

อีกอย่าง คือ พระเทวทัตนั้น ได้สั่งสมบุญญาบารมีมาไว้มากมาย
หากว่าชาติใดไม่ได้เกิดมาเจอ พระพุทธองค์
ในพระชาติที่ยังทรงเป็นพระบรมโพธิสัตว์แล้ว
พระเทวทัต ในชาตินั้นๆ ก็เป็นคนดีมากท่านหนึ่ง
ถึงกับทรงพุทธพยากรณ์ไว้ว่า

พระเทวทัต จักได้ตรัสรู้ธรรมเองโดยชอบ
เป็นพระปัจจเจกพุทธะพระองค์หนึ่งในอนาคต

หรือ แม้ภิกษุรูปอื่นๆ ที่ประพฤติผิดธรรมวินัย ไปบ้าง
ผมก็ไม่เคยทราบว่า พระพุทธองค์ รับสั่งให้พระรูปนั้นลาสิกขา ( สึก )

มีแต่ ทรงให้ ศึกษา คือ สิกขา เรียนรู้ความเป็นจริงของชีวิต
ทรงให้ศึกษา พิจารณาถึง โทษของสังสารวัฎฎ์
โทษของกาม และคุณของการประพฤติพรหมจรรย์
ทรงให้โอกาสภิกษุ ในการฝึกฝนพัฒนาตน จนบรรลุ มรรค ผล นิพพาน


2 ) ปัจจุบันการบวชพระ หรือการอุปสมบท ยกตนเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนานั้น
ต้องมีขั้นตอน การตรวจสอบมากมาย เช่น
ต้องเป็นมนุษย์ เป็นบุรุษ สุขภาพร่างกายไม่พิกลพิการ
ได้รับการอนุญาตจากมารดา บิดา
ต้องมีเครื่องบวช คือ ไตรจีวรและบาตร เป็นต้น
ต้องมีศรัทธา เลื่อมใสในพระรัตนตรัย
ต้องมีพระอุปัชฌาย์จารย์ ต้องมีพระคู่สวด
ต้องมีสงฆ์เป็นสักขีพยานในการบวช ที่เรียกว่า พระอันดับ อย่างน้อย 20 รูป


ที่สำคัญต้องมีการบังเกิดขึ้นของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า
จึงจะมีภิกษุได้

แล้วการบังเกิดขึ้นของพระสัพพัญญูพุทธเจ้า ก็มิใช่ง่ายเลยนะครับ
พระบรมโพธิสัตว์ ต้องสั่งสมบุญบารมีอย่างมากๆ อย่างบ่อยๆ อย่างอุกฤษ

อย่างน้อยเป็นเวลา 20 อสงไขย กำไรแสนกัป สำหรับพระปัญญาธิกพุทธเจ้า
ไปจนถึง 40 อสงไขย กำไรแสนกัป สำหรับพระวิริยาธิกพุทธเจ้า
ไปจนถึง 80 อสงไขย กำไรแสนกัป สำหรับพระศรัทธาธิกพุทธเจ้า

ดังนั้น การบวชพระ อุปสมบทเป็นภิกษุ จึงยากเย็นแสนเข็ญขนาดนี้

***

ตัวท่านเองก็ไม่ได้เป็นพระอุปัชฌาย์ ดุจบิดาให้บุรูษกำเนิดในสมณะเพศ
ตัวท่านเองก็ไม่ได้เป็นพระคู่สวด
ตัวท่านเองก็ไม่ได้เป็นพระอันดับที่เป็นสักขีพยานในการบวชของพระรูปนั้นๆ

ทำไมจึง ชอบย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ เพ่งโทษ ให้ภิกษุ ลาสิกขา กันนักล่ะครับผม ???

ทำไมเอากระดานสนทนาธรรมมาตั้งเป็นศาลเตี้ย
ทำไมทำตัวดุจเป็นผู้พิจารณา ตัดสินคดีความภิกษุ กันนักล่ะครับผม ???

ขนาดพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงหมดอาสวะกิเลส
ยังไม่ทรงรับสั่งให้ภิกษุ ลาสิกขา ( สึก ) เลยครับ

ฉะนั้น เราเป็นพุทธศาสนิกชน เป็นอุบาสก อุบาสิกา
จึงควรพิจารณาให้มาก

การที่จะโจทย์ กล่าวหา
แล้วมาแสดงความคิดเห็นเชิงพิพากษาว่า
ภิกษุรูปนั้น รูปนี้ อาบัติ ปาราชิก หรือ อาบัติอย่างนั้นอย่างนี้

มันสมควรแล้วหรือครับ ???

#39 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 09 June 2007 - 06:03 PM

ถ้าใครมีอัธยาศัย ย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ เพ่งโทษ จ้องจับผิด แสวงหาโทษของภิกษุ
ด้วย การแสดงความคิดเห็น โดยเลือกใช้ถ้อยคำที่ยั่วยุ ดุเดือด
ขาดการเคารพภิกษุ ที่เป็นพระมหาเถระ(37 พรรษา) เท่าที่ควร

และการไม่ตระหนักถึงสถานะของตนว่า
ท่านเองเป็นพระวินัยธร ผู้มีหน้าที่โดยตรง หรือเปล่า ???
ท่านเองเป็นผู้พิพากษา ผู้มีหน้าที่โดยตรง หรือเปล่า ???

โดยอ้างเพียงว่า เป็นการแสดงความคิดเห็นในระบอบประชาธิปไตย
และหน้าที่ของพุทธศาสนิกชนที่ดี

ถ้าขนาดพระภิกษุ ยังแสดงความคิดเห็น ในทางติเตียนเชิงทำลาย
ให้เป็นที่จงเกลียดจงชัง แก่สาธารณชนได้

อีกหน่อยคงลามไปถึงโดยแสดงความคิดเห็น การวิพากษ์ วิจารณ์
เพ่งโทษ จ้องจับผิดในสถาบันชาติ และสถาบันพระมหากษัตริย์

และอีกหน่อยคงลามไปถึงโดยแสดงความคิดเห็น การวิพากษ์ วิจารณ์
เพ่งโทษ จ้องจับผิด สงสัยในบุคคลรอบตัว เช่น

คู่รัก คู่ครอง คงไม่ซื่อสัตย์ มีกิ๊ก มีชู้หรือเปล่า ???
ลูกรักของท่าน ติดยา มั่วสุมทางเพศกับเพื่อนหรือเปล่า ???
เพื่อนร่วมงาน เจ้านาย ลูกน้อง ผิดพลาดอย่างนั้นอย่างนี้
บุพการี และหมู่ญาติ มีนิสัยและพฤติกรรม ไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ฯลฯ

แล้วถ้ามนุษย์ทุกคน ย้ำคิด ย้ำพูด ย้ำทำ เพ่งโทษ จ้องจับผิดกันเอง

คนชาตินั้น จ้องจับผิดเผ่าพันธุ์นี้

ศาสนิกชนนั้น จ้องจับผิดคำสอน และพฤติกรรมของศาสนิกชนนี้

สามี จ้องจับผิดภรรยา หมู่ญาติจับผิดกันเอง
เพื่อนจับผิดเพื่อน

โลกนี้จะสงบสุข มีสันติภาพ มีสันติสุข อย่างนั้นหรือครับ พี่น้อง ???


#40 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 09 June 2007 - 06:09 PM

??? คำถามสำหรับมนุษย์ที่ยังมีลมหายใจอยู่ ควรตระหนักให้มาก คือ

Q1 ตัวท่านเอง ยังมีทุกข์กาย ทุกข์ใจ ยังมีทุกข์เก่า ใช่หรือไม่
ตัวท่านเอง ยังมีทุกข์ใหม่รออยู่ ใช่หรือไม่

ท่านยังต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย ใช่หรือไม่ ครับผม
ถ้าใช่ ก็ควรใช้เวลาและลมหายใจที่ยังมีอยู่ ไปบำบัดทุกข์เก่า ของท่าน

ถ้าใช่ก็ควรใช้เวลาและลมหายใจที่ยังมีอยู่ ป้องกันทุกข์ใหม่ที่รอท่านเถิดครับ

อย่าเอาเวลาและลมหายใจที่ท่านยังมีอยู่ มาเพ่งโทษ จับผิดเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเลยครับ

Q2 ตัวท่านเอง ทำความดีกับบุพการี และบุคคลรอบตัวท่านได้ดีพอแล้วหรือ ??

ความตายไม่มีนิมิตหมาย สถานที่ตาย อาการตาย
ของท่านเป็นอย่างไร ท่านก็ไม่รู้

ท่านต้องแข่งกับความตายของท่านเอง

ท่านต้องแข่งกับความตายของบุพการี และบุคคลรอบตัวท่าน


เอาเวลาและลมหายใจของท่านยังมีอยู่
ไปดูแลบุคคลเหล่านั้นเถิดครับผม

พวกเขารอท่านอยู่ นะครับ !!!


ถึง เตือน ก็เตือนเพียง
กลเยี่ยง วิธีสหาย
บ่ มีมุ่งประสงค์ร้าย
บ่ มีหมายประจานใคร

ด้วยความปรารถนาดี และขอความรัก ความสามัคคี สมานฉันท์
จงบังเกิดมีแก่มวลมนุษยชาติทุกคนเทอญ.

บุญรักษา พระคุ้มครองทุกๆท่านครับ

[ 9 มิ.ย. 50 00:34:18 ]

#41 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 19 June 2007 - 10:47 AM

ขอเพิ่มเติมข้อมูลสักนิดครับ
เพราะมีคำถามและข้อกล่าวหามากมาย กรณีวัดพระธรรมกาย
ซึ่งก็มีกัลยาณมิตร ไปตอบคำถามได้ดีมาก
เพียงแต่ ยังมีคำถามลูกโซ่ ไม่สิ้นสุด จากกลุ่มคนที่ว่าร้าย

ผมจึงขอเสนอว่า พุทธศาสนิกชน ศิษย์วัดพระธรรมกาย
ไม่จำเป็นต้องตอบทุกกระทู้และทุกคำถาม
กับผู้ที่ถามเพื่อระบายอารมณ์ ระบายอัตตานุทิฎฐิ
มุ่งเพ่งโทษผู้อื่น หรอกนะครับ

เพราะท่านไม่ใช่ลูกน้องเขา
ไำม่ใช่ขี้ข้า ที่ต้องคอยแสวงหาข้อมูลมาให้เขา

ที่สำคัญถ้าเขามุ่งติเพื่อก่อ เพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนาจริงๆ

เขาควรเป็นโจทย์ ไปแจ้งความกับหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรง
เช่น มหาเถรสมาคม , เจ้าคณะพระสังฆาธิการในพื้นที่
, สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ , สถานีตำรวจ

ไม่ใช่มาเย้วๆ ในโต๊ะศาสนา ที่ควรสงวนไว้เพื่อ
แลกเปลี่ยนความรู้ ธรรมะ และทัศนคติที่สร้างสรรค์
ช่วยพัฒนาสัมมาทิฎฐิ และช่วยพัฒนาจิตใจซึ่งกันและกัน

เขาควรพึ่งพาตนเอง แบบ
อัตตา หิ อัตตโน นาโถ

แต่ไม่ใช่มาอาศัยพึ่งพา เวปพันทิพย์

เขาควรร่วมกันตั้งเวปเป็นของตนเอง แล้วเผยแผ่พระธรรม
เผยแผ่ธรรมะของครูบาอาจารย์และวัดที่เขาเคารพนับถือ
หรือจะตั้งเวปเพื่อมุ่งทำลายล้างวัดพระธรรมกาย ก็แล้วอัธยาศัย

ที่กล่าวอย่างนี้ไม่ได้ท้าทาย หรือด้วยความเกลียดท่านเหล่านั้นนะครับ
เพียงแต่ชี้ให้ ทราบว่าการจรรโลงพระพุทธศาสนา
ต้องทำอย่าง
1 ) ถูกวิธี คือ อนูปวาโท ไม่ว่าร้ายให้โทษใคร และควรบริจาคธรรมะควบคู่ปิยะวาจา
2 ) ถูกสถานที่ คือ ไปแจ้งที่มหาเถรสมาคม ,
สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ , สถานีตำรวจ
3 ) ถูกบุคคลที่มีอำนาจหน้าที่โดยตรง คือ เจ้าคณะพระสังฆาธิการในพื้นที่ , ตำรวจ

ถ้ามาอาศัยกระดานสนทนา
มันมีแต่สร้างกระแสความแตกแยกให้ชุมชน สังคม และพุทธาจักร

อีกอย่างท่านเหล่านี้ ผมก็นับถือและชื่นชม
เพราะในหลายกระทู้ ท่านก็ตั้งและตอบกระทู้ แบ่งปันธรรมะ ทัศนคติดีๆไว้มาก

แม้มีศาสนิกชนอื่น มาว่าร้ายคำสอนในพระพุทธศาสนา
หรือ ว่าร้าย ติเตียนพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า

ท่านเหล่านี้ก็ ออกมาชี้แจง ปกป้องพระพุทธศาสนาอย่างดี

เราเป็นมนุษย์ร่วมสังสารวัฎฎ์เดียวกัน เป็นคนไทยด้วยกัน
เป็นพุทธศาสนิกชนเหมือนกัน
ถ้าระนาบความรู้ ความเข้าใจใน พระธรรมวินัย
จะยังแตกต่างกันบ้าง
ก็อย่าให้ถึงแตกแยก โกรธ พยาบาท กันเลยครับ

ด้วยความปรารถนาดี

#42 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 29 July 2007 - 03:26 AM

เรื่องการปรารถนาพุทธภูมิของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ
ที่ผมเคยกล่าวไว้บ้างนั้น มีแง่มุมให้คิดได้หลากหลายนะครับ
ท่านใดจะคิดอย่างไรก็ตามสะดวกครับ

โดยส่วนตัวผมมีความคิดเห็นเกี่ยวกับ ความปรารถนาพุทธภูมิ อย่างนี้ครับ

เช่น
มีหลายท่านปรารถนาปัจเจกพุทธภูมิ
เพราะมีอัธยาศัยไม่พึ่งพาใคร แต่ชอบพึ่งพาตนเองเป็นหลัก
และไม่ชอบคลุกคลีด้วยหมู่คณะ
ผมก็ขอนุโมทนา สาธุด้วยครับ

เพราะเส้นทางในสังสารวัฎฎ์ ของบุคคลแบบนี้
ย่อมต้องขยันสั่งสมกุศล บุญบารมี ทำความดีให้มาก
และหลีกเว้นการทำอกุศลทั้งปวง
ส่วนว่าระหว่างเส้นทางการสร้างบารมีของท่าน
จะละอกุศล และเพิ่มพูนกุศล ได้มาก ได้น้อยอย่างไร ก็ว่ากันไปครับ

แต่อย่างน้อย บุคคลที่มีความปรารถนา ปัจเจกพุทธภูมินั้น
ภาพโดยรวมของท่านย่อม ทำดี มากกว่าทำชั่ว
นี่คือ สิ่งที่ผม อนุโมทนา สาธุ ครับ

เช่นกัน มีหลายท่านปรารถนาพุทธภูมิแบบ สัพพัญญพุทธะ
เพราะมีอัธยาศัยมากด้วยกรุณา อยากช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ภัยในวัฎฎะสงสาร

เพราะไม่ต้องการเพียงเอาตนเองรอดจากทุกข์ภัยในวัฎฎะสงสาร เพียงลำพัง
แต่มีกรุณา เมตตาจิต อยากช่วยให้ผู้อื่นพ้นทุกข์ภัยในวัฎฎะสงสารไปด้วยกัน
จึงยอมอดทน มานะ บากบั่น พากเพียรมากยิ่งกว่าท่านที่ปรารถนาปัจเจกพุทธภูมิ

ซึ่งเส้นทางในสังสารวัฎฎ์ ของบุคคลแบบนี้
ย่อมต้องขยันสั่งสมกุศล บุญบารมี ทำความดีให้มาก
และหลีกเว้นการทำอกุศลทั้งปวง

ส่วนว่าระหว่างเส้นทางการสร้างบารมีของท่าน
จะละอกุศล และเพิ่มพูนกุศล ได้มาก ได้น้อยอย่างไร ก็ว่ากันไปครับ

แต่อย่างน้อย บุคคลที่มีความปรารถนา พุทธภูมิแบบ สัพพัญญพุทธะนั้น

ภาพโดยรวมของท่านย่อม ทำดี มากกว่าทำชั่ว

นี่คือ สิ่งที่ผม อนุโมทนา สาธุ ครับ


อีกอย่าง ความปรารถนา นั้นเป็นเรื่องของ ความปรารถนา
ส่วนเรื่องการประพฤติปฏิบัติก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ครับ

เหล่าพระโพธิสัตว์ในกาลก่อน สามารถอดทน มานะ บากบั่น พากเพียร
จนกระทั่งสมความปรารถนา ได้ตรัสรู้เองโดยชอบเป็นพระสัพพัญญูพุทธเจ้า
และดับขันธปริพนิพพานไปแล้ว
มีจำนวนมากกว่าเมล็ดทรายในมหาสมุทรทั้งสี่ ( คำอุปมา )

และเหล่าพระโพธิสัตว์ในกาลก่อน ที่ลาพุทธภูมิ ไปก็มากมาย

คือ บ้างก็ลดระดับเป้าหมายชีวิต หรือ ระดับความปรารถนา ลงมาที่
ขอเป็นพระปัจเจกพุทธะ ก็พอ

หรือ เป็นพุทธสาวก สาวิกาแบบเอตัคทัคคะ ก็พอ

หรือ เป็นพุทธสาวก สาวิกา ที่กำจัดกิเลสอาสวะ บรรลุนิพพานก็พอ

เมื่อผมมองภาพรวมอย่างนี้
ผมจึงมีแต่อนุโมทนา สาธุการของบัณฑิตทั้งหลายนี้ด้วยความชื่นชม

#43 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 29 July 2007 - 03:36 AM

กลับมาที่ความปรารถนา พุทธภูมิของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ( ธมฺมชโย ภิกขุ )
ซึ่งผมเคยได้ยินได้ฟัง คำบอกเล่าของพุทธศาสนิกชน รุ่นพี่

ว่า ( โดยความหมาย นะครับ )

หลวงพ่อ ธมฺมชโย ก็เป็นบุคคลหนึ่งที่ปรารถนาพุทธภูมิ

และสิ่งที่ผมไม่เคยมีความรู้มาก่อนเลยก็คือ

ท่านปรารถนา รื้อขนสรรพสัตว์ ยกตนและสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นภัยวัฎฎะทุกข์
จะย่ำธรรมเถรีช่วยสรรพสัตว์ ( คำอุปมา ) และปรารถนา เข้านิพพานเป็นคนสุดท้าย

เมื่อผมทราบถึง มโนปณิธาน หรือ ความปรารถนา แบบนี้
อย่างแรกที่ผมคิด คือ

พระหรือภิกษุ รูปนี้ มีน้ำใจกว้างขวางมากนะ
ที่อาจหาญ ตั้งมโนปณิธาน หรือ ความปรารถนา

ยกตนและสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นภัยวัฎฎะทุกข์
จะย่ำธรรมเถรีช่วยสรรพสัตว์ และจอเข้านิพพานเป็นคนสุดท้าย

ถามว่า ในขณะนั้น หรือ แม้แต่ในขณะนี้

ผมก็ไม่คิดว่า ท่านอวดเก่งกว่าพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่จะขอสั่งสมกุศล บ่มบุญญาบารมี เพื่อช่วยรื้อขนสรรพสัตว์ทั้งหมด

ซึ่งพระสัพพัญูพุทธเจ้าทั้งหลายในกาลก่อน นับพระองค์ไม่ถ้วนยัง ทำไม่สำเร็จเลย

ทั้งนี้เพราะ ผมมองว่า

1 ) การตั้งมโนปณิธาน หรือ ความปรารถนาพุทธภูมิ ของท่านนั้น
เป็นกุศลจิต ที่คิดเมตตา กรุณา แก่เพื่อนร่วมสังสารวัฎฎ์

2 ) ท่านจะทำได้สำเร็จ สมความปรารถนาหรือเปล่า ผมก็ไม่รู้
ชาตินี้ วันนี้ ท่านมีมโนปณิธานแบบนี้
ในวันหน้า ชาติหน้า ท่านจะลดระดับชีวิต หรือ มโนปณิธาน
แบบนี้ หรือเปล่า ผมก็ไม่รู้

ที่บอกอย่างนี้ หมายความว่า
เรื่องอนาคต ของผม หรือ ของใคร ผมไม่รู้
จึงไม่ขอตัดสิน ฟันธง อะไร

เพราะ อนาคต คือ กาลหรือเหตุการณ์ที่ยังมาไม่ถึง
แต่ไม่ใช่จะไม่มานะครับ

เพราะผมยังไม่มี อนาคตังคสญาณ
และผมไม่ใช่พระสัพัญญูพุทธเจ้า ครับ

จึงต้องบอกอย่างนั้น


3 ) แต่สิ่งที่แน่นอน คือ
การตั้งมโนปณิธาน หรือ ความปรารถนาพุทธภูมิ แบบนี้ของท่าน

เส้นทางชีวิตของท่าน ต้องดำเนินตามรอยพระบรมนิยตโพธิสัตว์ในกาลก่อน

คือ
ท่านต้องขยันหมั่น ละอกุศลทั้งปวง

ท่านต้องขยัน หมั่น สั่งสมกุศล บ่มบุญญาบารมี 30 ทัส , ธรรมสโมธาน ๘ ฯลฯ

ท่านต้องขยันหมั่น เจริญสมาธิ ภาวนา อย่างยิ่งยวด

ท่านต้องขยันเป็นกัลยาณมิตร เผยแผ่ธรรมะให้กว้างขวาง กว้างไกลมากที่สุด

สรุปง่ายๆ ว่า ท่านต้องทำความดีถี่ๆ อย่างแน่นอน
เพราะ
ท่านต้องแข่งกับ มัจจุภัย ของตัวท่านเอง

ท่านต้องแข่งกับ มัจจุภัย ของบุคคลในทิศ ๖ ที่อยู่รอบตัวท่าน

ตามความเข้าใจของผม คือ
บุคคลอย่างท่าน ยิ่งท่านอายุขัยมากขึ้น
ท่านยิ่งต้องมี merits projects มากมาย อย่างที่ใครในยุคสมัยนี้ก็เข้าใจตามได้ยาก
ท่านยิ่งต้อง เร่งชวนคนทั่วโลกทำความดี

บุคคลอย่างท่าน ยิ่งมีคนโจมตี ยิ่งมีคนต่อต้าน คัดค้าน ชิงชัง
ท่านยิ่งต้อง เร่งทำความดีทุกชนิด
ท่านยิ่งต้อง เร่งชวนคนทั่วโลกทำความดี

โดยเฉพาะการเจริญสมาธิภาวนา

เพราะเป้าหมายชีวิต หรือ มโปณิธาน ภาระของท่าน ต่อเพื่อนร่วมสังสารวัฎฎ์
ช่างหนักหนายิ่งนัก

ดังนั้น ผมไม่มีเหตุผลเลยว่า

??? ทำไมผมต้องชิงชัง บุคคลที่ปรารถนาพุทธภูมิ

??? ทำไมผมต้องชิงชัง บุคคลที่ขยันสั่งสมกุศลทั้งตนเองและชวนผู้อื่น
เพื่อช่วยรื้อขนสรรพสัตว์ ให้ข้ามโอฆะอันกันดาร คือ สังสารวัฎฎ์

??? ทำไมผมต้องชิงชัง บุคคลที่ไม่เคยประทุษร้าย ว่าร้าย ทำร้ายผมเลย


และหากมองด้วยใจที่เที่ยงธรรม

เราต้องเข้าใจว่า
ทุกชีวิตในสังสารวัฎฎ์ ล้วนมีการวิวัฒนาการ มีการพัฒนาตนเองไปตามลำดับ ๆ
ชาตินั้น อาจทำชั่วมากกว่า ทำดี
อีกชาติหนึ่งขยันละชั่ว ทำแต่ความดี
กระทั่งได้เกิดพบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้สั่งสมกุศล ฟังธรรม ปฏิบัติธรรม
และได้บรรลุ มรรค ผล นิพพาน ในที่สุด

ชีวิตของพระโพธิสัตว์ ก็เช่นกันครับ

ชาตินั้น อาจยังเป็นเพียง พระโพธิสัตว์ใหม่ ยังทำชั่วบ้าง ดีบ้าง

อีกพระชาติหนึ่ง เริ่มเปล่างวาจา ว่าตนเอง ปรารถนาพุทธภูมิ

อีกพระชาติหนึ่ง พัฒนาตนเองถึงระดับ เป็น นิยตโพธิสัตว์
คือ ได้รับพุทธพยากรณ์ จากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า

ตนเอง จะได้ตรัสรู้อนุตตระสัมมาสัมโพธิญาณ
เป็นพระพัญญูพุทธเจ้า พระองค์หนึ่งในอนาคตกาลเบื้องหน้า


#44 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 29 July 2007 - 03:44 AM

ลองถามตัวท่านเอง เถิดครับ
สมมุติว่า

หากในชาติหนึ่งในอดีต ตัวท่านเองได้เกิดสมัยพระกัสสปะสัมมสัมพุทธเจ้า
ในพระชาติที่พระบรมโพธิสัตว์ของเรานี้เป็น โชติปาละพราหมณ์
แล้วคุณเอง เจอพระองค์สมัยที่ยัง พราหมณ์หนุ่ม ยังไม่มีศรัทธาในพระกัสสปะสัมมสัมพุทธเจ้า

และคุณเองกเป็นพุทธศาสนิกชนผู้หนึ่งที่ได้ยิน
โชติปาละพราหมณ์ ติเตียนพระกัสสปะสัมมสัมพุทธเจ้า ว่า
สมณะโล้นมีดีอย่างไร การบรรลุธรรมเป็นของยาก
คือ โชติปาละพราหมณ์ ไม่เชื่อในการตรัสรู้พระกัสสปะสัมมสัมพุทธเจ้า

ผมเข้าใจว่า ตอนนั้นคุณก็คง ติเตียนโชติปาละพราหมณ์ ว่าก่อ
คุรุอกุศล ต่อพระกัสสปะสัมมสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ
ชีวิตนี้โชติปาละพราหมณ์คงเอาดีไม่ได้ หรือตายไป ต้อง ตกนรกหมกไหม้แน่นอน

ถามว่า
Q1 ในตอนนั้น มีใครรู้บ้างว่า โชติปาละพราหมณ์
เป็นพระบรมโพธิสัตว์ เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร

Q2 ในชาตินั้น โชติปาละพราหมณ์ เอาดีได้ไหม พัฒนาชีวิตตนเองได้ไหม

Q3 ในชาตินั้น โชติปาละพราหมณ์ ตายแล้วไปไหน นรก หรือ สวรรค์

แน่นอนถ้า คุณรีบตายไปก่อนโชติปาละพราหมณ์
ที่ได้ฟังธรรม และบรรพชา อุปสมบท เป็นภิกษุ พุทธสาวกรูปหนึ่ง
ของพระกัสสปะสัมมสัมพุทธเจ้า

ก่อนคุณตายในชาตินั้น คุณอาจยังคิดว่า

โชติปาละพราหมณ์คงเอาดีไม่ได้ หรือตายไป ต้อง ตกนรกหมกไหม้แน่นอน

ในทางตรงข้าม คุณมีอายุขัยยาวนาน ได้เห็นพัฒนาการชีวิตของพระบรมโพธิสัตว์
คุณต้องล้มเลิกความคิดเก่า และชื่นชมกับโชติปาละ ภิกษุ แน่นอนครับ

เพราะฉะนั้น คุณควรดูหนัง ดูละครให้จบเรื่อง ซะก่อน
ถ้าดูครึ่งๆ กลางๆ ก็อาจทำให้เข้าใจนิสัยหรือเป้าหมายของตัวละคร คลาดเคลื่อน

มีอีกตัวอย่างที่ชัดเจน คือ การพัฒนาชีวิตของ พระองคุลีมาล อรหันตเถระ
ที่ปฐมวัย ภาพชีวิตท่าน ดีงาม ไม่เบียดเบียนใคร คือ อหิงสกะกุมาร อหิงสกะมานพ
พอช่วงประมาณมัชฌิมวัย ภาพชีวิตของท่าน คือ มหาโจร องคุลีมาล
แต่ท้ายที่สุดท่านก็พัฒนาชีวิตของท่าน สู่ความเป็นพระ อรหันต์

ลองตรองด้วยใจที่เที่ยงธรรมเถิดว่า

หากท่าน ทันเกิดในสมัยพุทธกาล
และได้รู้จัก อหิงสกะกุมาร , อหิงสกะมานพ ในภาพชีวิตที่ดีงาม
แต่ท่านตายก่อนเห็นอหิงสกะมานพ เปลี่ยนเป็น มหาโจร องคุลีมาล
ก่อนตาย ท่านย่อมคิดว่า อหิงสกะกุมาร , อหิงสกะมานพ มีสุคติภพเป็นที่ไป

และเพื่อนของท่านคนหนึ่ง มีชีวิตอยู่จนถึงเห็นสภาพชีวิตของ
อหิงสกะมานพ เปลี่ยนเป็น มหาโจร องคุลีมาล
และถูกองคุลีมาล ฆ่าตาย
เพื่อนของท่านคนนี้ ย่อมโกรธแค้น ชิงชัง สาปแช่งท่านองคุลีมาล ให้มีทุกข์คติเป็นที่ไป

ส่วนเพื่อนของท่านอีกคน มีชีวิตอยู่จนถึงเห็นการพัฒนาชีวิตของ
มหาโจร องคุลีมาล เปลี่ยนเป็น ภิกษุ องคุลีมาล ผู้ปราศจากภัยอันตรายกับใคร
เพื่อนของท่านคนนี้ ย่อมเห็นครบวงจรชีวิต ของ อหิงสกะ หรือ พระ องคุลีมาล
จากที่เคย ชิงชัง ย่อมเปลี่ยนมาเป็นชื่นชม ในที่สุด

สรุปว่า
ตัวท่านเอง ได้ดูละครชีวิตของอหิงสกะกุมาร อหิงสกะมานพ
จึงมีความคิด ความเข้าใจต่อ อหิงสกะกุมาร อหิงสกะมานพ อีกแบบ ๑

และเพื่อนของท่านคนคนที่ ๑ ได้ดูละครชีวิตของ อหิงสกะมานพ ,มหาโจร องคุลีมาล
จึงมีความคิด ความเข้าใจต่อ อหิงสกะมานพ มหาโจร องคุลีมาล เป็นแบบที่ ๒

ส่วนเพื่อนของท่านอีกคน มีชีวิตอยู่จนถึงเห็นการพัฒนาชีวิตของ
มหาโจร องคุลีมาล เปลี่ยนเป็น ภิกษุ องคุลีมาล ผู้ปราศจากภัยอันตรายกับใคร
เพื่อนของท่านคนนี้ ย่อมเห็นครบวงจรชีวิต ของ อหิงสกะ หรือ พระ องคุลีมาล
จึงมีความคิด ความเข้าใจต่อ อหิงสกะมานพ มหาโจร องคุลีมาล พระ องคุลีมาล
เป็นแบบที่ ๓

นี่ละครชีวิตของบุคคลหนึ่ง ที่เคยติดคุก คือ กามภพ เช่นกันเดียวกับเรา
แต่บัดนี้ ท่านพ้นคุกทั้ง 3 ชั้น แล้ว คือ พ้นกามภพ รูปภพ อรูปภพ
ท่านพ้นภัยในสังสารวัฎฎ์ เข้าสู่มหาอมตนฤพานแล้ว สาธุ


#45 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 29 July 2007 - 04:18 AM

จากตัวอย่างดังกล่าวนี้ ผมจึงขอฝากข้อคิดว่า
การที่เราจะวิพากษ์ วิจารณ์ หรือ ตัดสิน ใครคนใดคนหนึ่ง
ว่า เป็นคนดี คนชั่ว

หากเราดูละครแค่บางตอน เหมือนดูภาพรวมชีวิตของตัวละคร ไม่ครบวงจร
หากเราดู เห็น รู้จักชีวิตใคร เพียงในชาติใดชาติหนึ่ง

เราก็อาจมีความคิด ความเข้าใจต่อบุคคลนั้นๆ ไปต่างๆนานา
ตามแต่จังหวะของเหตุการณ์ในแต่ละชาติ
ตามแต่ละช่วงชีวิต คือ ปฐมวัย มัชฌิมวัย ปัจฉิมวัย

ผมว่า เป็นการดีที่สุด หากเราจะมั่นใจตัดสินใครได้ คือ
ไปดูกันที่ ปัจฌิมชาติ ของท่านผู้นั้นดีกว่าครับ

เพราะเส้นทางชีวิตของสรรพสัตว์ในขณะเดินทางวัฎฎะสงสาร
ก็มีทั้งทำดี ทำชั่ว ปะปนกันไปในและชาติ ในแต่ช่วงชีวิตในชาตินั้นๆ

หากเรามองภาพรวมชีวิตในวัฎฎะสงสาร ครบวงจร ดูละครครบตอนแล้ว
เราจะเห็นความจริงที่ว่า

สรรพสัตว์ทั้งหลายก็มีการวิวัฒนาการ หรือ พัฒนาการชีวิต
ไปสู่ พระนิพพานด้วยกันทั้งนั้น

พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ

ปัจฉิมชาติ หรือ ภาพสุดท้ายแห่งชีวิตของมวลสรรพสัตว์
ทั้งตัวคุณ มารดา บิดาของคุณ หมู่ญาติสนิท มิตรสหายของคุณ
ไม่ว่าบุคคลนั้น คุณจะชื่นชอบ หรือ ชิงชังรังเกียจมากแค่ไหน

สุดท้ายท่านเหล่านี้ ก็จะพัฒนาชีวิตไปสู่ พระนิพพานด้วยกันทั้งนั้น

หลายท่าน มีปัจฉิมชาติ หรือ ภาพสุดท้ายแห่งชีวิต เป็นถึงพระสัพพัญญูพุทธเจ้า

หลายท่าน มีปัจฉิมชาติ หรือ ภาพสุดท้ายแห่งชีวิต เป็นถึงพระปัจเจกพุทธเจ้า

หลายท่าน มีปัจฉิมชาติ หรือ ภาพสุดท้ายแห่งชีวิต เป็นถึงพระอรหันตเถระ

หลายท่าน มีปัจฉิมชาติ หรือ ภาพสุดท้ายแห่งชีวิต เป็นถึงพระอรหันตเถรี

นี่ คือ การมองบุคคลแบบครบวงจร แล้วเราจะไม่อยากโกรธ ชิงชัง รังเกียจใครเลย

เพราะมนุษย์ทั้งหลาย คือ
ว่าที่ พระอริยเจ้า
ว่าที่พระอรหันตเจ้า
ว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า
หรือ ว่าที่พระสัพพัญญูพุทธเจ้า

ตามแต่ว่า ท่านใด มีมโนปณิธาน มีความปรารถนาสูงสุด แห่งชีวิตในสังสารวัฎฎ์อย่างไร

ในชาตินี้ตัวคุณเอง
รู้จักภาพชีวิตเพียงนิดเดียวของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ( หลวงพ่อ ธมฺมชโย )
บางท่านในที่นี้รู้จักเพียง 1 ปี บ้างก็ 10 ปี 20 ปี 30 ปี ถึง 63 ปี

เมื่อเทียบกับเส้นทางการสั่งสมบารมี 30 ทัสของเหล่าพระโพธิสัตว์ทั้งหลายในกาลก่อน

สำหรับ พระปัญญาธิกพุทธเจ้า
ต้องสั่งสมบุญบารมี 30 ทัสยาวนานถึง 20 อสงไขย กำไรแสนมหากัป

สำหรับ พระวิริยาธิกพุทธเจ้า
ต้องสั่งสมบุญบารมี 30 ทัสยาวนานถึง 40 อสงไขย กำไรแสนมหากัป

สำหรับ พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า
ต้องสั่งสมบุญบารมี 30 ทัสยาวนานถึง 80 อสงไขย กำไรแสนมหากัป


เมื่อเทียบภาพรวมของชีวิตของพระโพธิสัตว์ อย่างที่ยกตัวอย่างมานี้
คุณรู้จัก หลวงพ่อ ธมฺมชโย เพียงไม่ถึง 100 ปี มันนิดเดียว จริงๆนะครับ
เหมือนดูละคร เพียงบางฉาก บางตอน เท่านั้น


ดังนั้นหากคุณยังมีใจที่เที่ยงธรรม
ก็อย่าเพิ่งรังเกียจเดียดฉันท์ มโนปณิธาน หรือ ความปรารถนาพุทธภูมิของท่านเลยครับ

อย่าเพิ่งพิพากษา ว่า ท่านเป็นคนเลว คนชั่ว ในกรณีต่างๆอย่างที่บางท่านกล่าวเลยครับ

หากคุณยังมีใจที่เที่ยงธรรม
ก็ควรดูภาพรวมชีวิตของท่าน มิใช่ดูเพียงบางฉาก บางตอน
แล้วมาเพ่งโทษในอนุพยัญชนะ ดะไปเรื่อย

โดยไม่มองคุณความดี คุณประโยชน์ที่ท่านบำเพ็ญไว้ต่อพระพุทธศาสนาและสังฆมณฑล

สรุปว่า
ดูหนัง ดูละคร อย่าดูเพียงบางฉาก บางตอน ควรดูเรื่อง จบตอน
Harry Potter ยังมี 7 ภาค
King of Jumong ยังมีกว่า 80 ตอน
ชีวิตของตัวคุณเอง ก็เช่นกัน
ตอนปฐมวัย ก็มีภาพชีวิตแบบหนึ่ง
มัชฌิมวัย ก็มีภาพชีวิตแบบหนึ่ง
ปัจฌิมวัย ก็มีภาพชีวิตแบบหนึ่ง


ชีวิตการสร้างบารมีของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ( หลวงพ่อ ธมฺมชโย )
ก็เช่นกันครับ ยังไม่ใช่ปัจฉิมชาติ ของท่านเลย

อุปมาเหมือน ละครแห่งชีวิตการสร้างบารมี ของท่านยังไม่จบ
คุณต้องดูตอนจบ และควรพิจารณาให้ครบวงจร ด้วยสิครับ

#46 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 29 July 2007 - 04:26 AM

ส่วนการสนทนาเกี่ยวกับ กรณีนิพพาน มีสภาวะธรรมแท้จริงเป็นอย่างไรนั้น

ผมคงได้แต่อ่านและทำความเข้าใจ
ตามที่ทุกท่านนำเสนอเท่านั้น ครับ

เพราะผมยังไม่ได้บรรลุ นิพพาน ซึ่งเป็นธรรมอันประณีตยิ่ง
ยังไม่ได้เห็นเอง รู้เอง

เกรงว่าลำพังความรู้ที่ผมได้จากสุตมยปัญญา
และความเข้าใจ จากจินตมยปัญญาของมนุษย์ที่ยังมีกิเลสอย่างผม
จะอธิบาย สภาวะจริงของนิพพาน ผิดเพี้ยนไป

อีกอย่าง เรื่อง นิพพาน มีอยู่หรือไม่ อะไรสูญ อะไรเที่ยง
นิพพานเป็นอนัตตา หรือ อัตตา

สำหรับผมไม่ใช่ปัญหา ครับ

ปัญหาของผมอยู่ที่ว่า ทำไมเรายังไม่บรรลุนิพพาน ??? มากกว่าครับ

พูดให้เข้าใจง่ายๆ คือ
การบรรลุนิพพาน สำคัญกว่า ความรู้ ความเข้าใจในเรื่องนิพพาน ครับ

ที่บอกอย่างนี้ ไม่ได้คัดค้านการสนทนาธรรมว่าด้วย นิพพาน นะครับ

เพียงแต่หลายครั้ง เห็นว่า
การสนทนาธรรมว่าด้วย นิพพาน ของมนุษย์ส่วนมาก
มักนำไปสู่ความขัดแย้งทางความคิด

จนบางครั้งบางคนก็เลยเถิดเหมือนกำลังทำสงครามแห่งความรู้ ความเข้าใจที่ตนเคยศึกษามา

จนบางครั้งบางคนก็เลยเถิดเหมือนกำลังทำสงครามแห่งแห่งอัตตานุทิฎฐิ

นี่เป็นความเห็นส่วนตัวจากการเข้ามาอ่านกระทู้นะครับ ไม่ได้ต่อว่าท่านใด

และมีความเห็นว่า หากเรายังไม่ได้บรรลุนิพพาน จริงๆ

ก็น่าจะสนทนาธรรม แลกเปลี่ยนความรู้และทรรศนะ กันพอหอมปากหอมคอ

เพื่อนำไปสู่การปฏิบัติ พัฒนาตนให้ บรรลุสภาวะ อายตนะนิพพาน จริงๆ

ดีกว่าสนทนาธรรมแล้ว เกิด วิวาทะกรรม อันเนื่องจาก
ระดับ ระนาบของ สุตมยปัญญา จินตมยปัญญา ภาวนามยปัญญา
ที่แต่ละท่านยังมีไม่เท่ากันเลยครับ


วันนี้ผมได้คิดว่า
หากเมื่อใดที่แต่ละท่านได้ บรรลุสภาวะธรรมของนิพพาน
เป็นปัจจัตตัง ทั้งเห็นด้วยตนเอง รู้ด้วยตนเองแล้ว

หากท่านลองมองย้อนกลับมาในชาตินี้ ดูวันวานและวันนี้ ที่เคยปาฐกถา
เรื่อง นิพพาน อย่างเอาจริงเอาจัง ท่านอาจจะขำตัวเองก็ได้นะครับ ว่า

เออนะ สมัยที่เรายังไม่บรรลุ สภาวะ อายตนะนิพพาน
เราก็เข้าใจ นิพพานว่าเป็นอย่างนั้น ตีความ นิพพานว่าเป็นอย่างนี้

บัดนี้เราเห็นแจ้งด้วยตนเอง แล้วว่า

สภาวะธรรมของนิพพาน ของจริงเป็นอย่างไร

ตอนนั้นเราไปวิวาทะกรรมกับท่านนั้น ท่านนี้ให้วุ่นวายไปทำไมกัน

ผมอุปโลกน์เหมือน
มีถนนสายหนึ่งมุ่งไปนิพพาน ถนนสายนี้เป็นถนนสายเดียวก็จริง
แต่มีหลายเลน หรือมีหลายช่องทางเดินรถ

ซึ่งขออุปมาว่า ช่องทางเดินรถนั้น เป็นความเชื่อ ความเข้าใจ ในเรื่องพระนิพพาน
ก่อนที่จะบรรลุพระนิพพาน นะครับ

สมมุติว่า
ช่องทางเดินรถที่ ๑ คือ บุคคลที่มีความเชื่อความเข้าใจว่า นิพพาน มีสภาวะเป็น อนัตตา

ช่องทางเดินรถที่ ๒ คือ บุคคลที่มีความเชื่อความเข้าใจว่า นิพพาน มีสภาวะเป็น อัตตา

ช่องทางเดินรถที่ ๓ คือ บุคคลที่มีความเชื่อความเข้าใจว่า นิพพาน มีสภาวะเป็น ........

ช่องทางเดินรถที่ ๔ คือ บุคคลที่มีความเชื่อความเข้าใจว่า นิพพาน มีสภาวะเป็น ........

นี้คือ ความเชื่อ ความเข้าใจ การยอมรับว่า นิพพาน มีสภาวะเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้

แต่ความจริง คือ เพียงความรู้ในปริยัติธรรม หรือความเชื่อ ความเข้าใจว่า
นิพพาน มีสภาวะแท้จริงอย่างไรนั้น

ยังไม่สามารถ ทำให้บุคคล บรรลุ นิพพานได้หรอกครับ

ถึงแม้ท่านจะมีความรู้ ความเชื่อ ความคิดเห็น ความเข้าใจเกี่ยวกับ
สภาวะอันแท้จริง ของพระนิพพาน ว่าเป็นอย่างไร แตกต่างกันอย่างไร
เหมือนกับ จะเลือกช่องทางเดินรถ ช่องทางที่ ๑ , ๒ , ๓ , ๔ , .... ก็ตามสะดวกเถิดครับ

เพราะสิ่งสำคัญ คือ
การเดินทาง ( คำอุปมา : เดิน ขี่เกวียน ขี่ช้าง ขี่ม้า นั่งรถไฟ ขับรถยนต์ ขึ้นเครื่องบิน )
ไปสู่ พระนิพพาน ต่างหากครับ

หากท่านยัง ขยันสั่งสมบ่มกุศล บุญบารมีอยู่เนืองนิตย์
หมั่นประพฤติ ปฏิบัติธรรม อยู่ในหลักไตรสิกขา
และปฏิบัติมรรค มีองค์ ๘ ให้บริบูรณ์
ตามปฐมเทศนา ของพระบรมศาสดา ใน ธมฺมจกฺกปฺปวตฺตนสุตตํ

วันใดวันหนึ่ง ชาติใดชาติหนึ่ง ท่านก็จะบรรลุนิพพาน ได้

เมื่อท่านเห็นนิพาานด้วยตนเอง รู้จักสภาวะนิพพานด้วยตนเองแล้ว

และเมื่อท่านใช้อตีตังคสญาณ ระลึกชาติในระหว่างเดินทางสู่พระนิพพาน ดู

ท่านอาจขำตนเอง( แค่อุปมานะครับ ) ว่า
สมัยนั้น เราเดินทางสู่นิพพานด้วยช่องทางที่ ๑ ก็คิดว่า
คนที่เดินช่องทางที่ ๒ นั้น เดินทางผิด เราจึงคิดขับรถกระแทกให้เขาตกถนนไป
หรือ
สมัยนั้น เราเดินทางสู่นิพพานด้วยช่องทางที่ ๒ ก็คิดว่า
คนที่เดินช่องทางที่ ๑ นั้น เดินทางผิด เราจึงคิดขับรถกระแทกให้เขาตกถนนไป

จึงเกิดความขัดแย้งบ้าง ทะเลาะเบาะแว้งกับเพื่อนร่วมทางสู่พระนิพพาน
ตอนนั้นเราไปวิวาทะกรรมกับท่านนั้น ท่านนี้ให้วุ่นวายไปทำไมกันเนอะ

ก็ขอส่งความปรารถนาดี ไมตรีจิตให้ทุกท่าน บรรลุนิพพาน
ถูกต้องร่องรอยตามความเป็นจริง
ที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า

และเหล่าพระอรหันตเจ้า ทรงดำเนินไปแล้ว โดยเร็วพลัน ด้วยเทอญ.

ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  187_L.jpg   355.12K   48 ดาวน์โหลด

ใจหยุดที่สุดแห่งบุญ มุ่งสู่ที่สุดแห่งธรรม

#47 เด็กอ้วน

เด็กอ้วน
  • Members
  • 40 โพสต์

โพสต์เมื่อ 06 January 2008 - 03:43 PM

สาธุจ้า ยาวจริงๆ ยังอ่านได้ไม่หมดเลย ได้เเต่อ่านผ่านๆ red_smile.gif

#48 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 03 May 2010 - 09:01 PM

ขอขยายความเรื่องที่ท่านเจ้าของกระทู้กล่าวถึง
การเจริญพุทธานุสสติ โดยระลึกถึงพระบรมศาสดา อนุตระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ก่อนทานอาหารและขณะทานอาหาร ของศิษย์วัดพระธรรมกาย สักนิดนะครับ

1) แท้จริงแล้วการเจริญพุทธานุสสติ สามารถทำได้ทุกขณะเวลา และสถานที่
โดยไม่จำกัดกาละ เทศะ อยู่แล้ว

ซึ่งคุณยายอาจารย์และหลวงพ่อ ธมฺมชโย แนะนำสอนศิษยานุศิษย์ให้เจริญพุทธานุสสติกันเนือง ๆ ในทุกวัน
เพราะดำเนินรอยตามคำสอนของพระเดชพระคุณหลวงปู่ สด จนฺทสโร
เรื่อยไปตลอดจากสมมุติสงฆ์และอริยสงฆ์ ที่มีมาในอดีต

ทั้งนี้เพื่อ ให้กาย วาจา ใจของเราผูกพันกับพระพุทธวิสุทธิ์คุณ พระพุทธปัญญาธิคุณ พระพุทธมหากรุณาธิคุณ
และเพื่อตรวจสอบตนเองว่า

อกุศลธรรมใด ที่เกิดมีอยู่ในกาย วาจา ใจของเราในปัจจุบันธรรมนี้
เราต้องเพียร พยายามละ เว้นในอกุศลธรรมนั้น ๆ
ว่าโดยย่อ คือ อกุศลมูล ๓ โลภ โกรธ หลง / ราคะ โทสะ โมหะ

อกุศลธรรมใด ที่ยังไม่เกิดในกาย วาจา ใจของเรา ก็ป้องกัน ไม่ให้เกิด
และการเจริญพุทธานุสติก็เป็นวิธีหนึ่งในหลาย ๆ วิธีที่สามารถป้องกันอกุศลธรรมได้
ส่วนว่าจะป้องกันได้กี่มากกี่น้อย ก็ขึ้นอยู่กับความเพียร และการฝึกตนของแต่ละคน


ส่วนกุศลธรรมใด คุณธรรมใดที่ยังไม่เกิดในกาย วาจา ใจ ของเราปัจจุบันธรรมนี้
เราต้องปลูก สร้าง หมั่นเพียรสั่งสมกุศลธรรม คุณธรรม ให้เกิดในตน
ว่าโดยย่อคือ บุญกิริยาวัตถุ ๑๐ กุศลกรรมบถ ๑๐ และ ๑๐ นิสัยดี บารมีสิบทัส

กุศลธรรมใด คุณธรรมใดที่เรามีอยู่แล้ว ก็เพียรที่จะรักษาไว้ อุปมาเหมือนเกลือรักษาความเค็ม ฉันนั้น

กุศลธรรมใด คุณธรรมใดที่เรามีอยู่แล้ว ก็เพียรที่จะพัฒนาให้บริสุทธิ์และวิมุติ ยิ่ง ๆ ขึ้นไป


2) การเจริญพุทธานุสสติ ด้วยกุศโลบาย การบูชาข้าวพระ โดยนึกน้อมด้วยจิต ถวายเป็นพุทธบูชา
นี้มิใช่เกิดจากอกุศลจิต หรือผิดในกุศลธรรมแต่อย่างใด

อ้อ การบูชาข้าวพระ เป็นพุทธบูชานั้น ไม่ใช่ว่า เพื่อเอาธาตุหยาบไปถวายเพื่อให้พุทธองค์ เสวยนะครับ
เราถวายเป็นพุทธบูชา เหมือน ถวายโคมประทีป มาลัย เป็นพุทธบูชา ฉันนั้น

หากการบูชาข้าวพระ ถวายเป็นพุทธบูชา ผิดในกุศลธรรม
หรือหากการบูชาข้าวพระ ถวายเป็นพุทธบูชา ไร้อานิสงส์ใด ๆ

ไฉนต้องมี

การจุดโคมประทีป จุดเทียน เป็นพุทธบูชา / การถวายดอกไม้ มาลัย เป็นพุทธบูชา ฯล
การบรรพชา อุปสมบทเป็นพุทธบูชา รวมถึงการทำความดีต่าง ๆ เป็นพุทธบูชา ด้วยครับ

เพราะพระบรมศาสดา ก็ทรงปรินิพพานไปแล้ว ไม่ได้ต้องการโคมประทีป หรือมาลัยอะไรอีกแล้ว


3) การเจริญพุทธานุสสติ ระลึกถึงพระบรมศาสดา อนุตระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ในขณะทานอาหาร
ของศิษย์วัดพระธรรมกายนั้น
ช่วยให้การฉันภัตตาหารหรือทานอาหาร เป็นไปด้วยด้วยความสำรวม ไม่ทานแบบตะกระตะกราม มูมมาม

ซึ่งก็นำแบบแผนมาจาก เสขิวัตรของภิกษุในพระพุทธศาสนา นั่นเองครับ

และทั้งภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ มีพระบรมศาสดา เป็นอดีตรัชทายาทในกรุงกบิลพัสดุ์

ที่มีมารยาท งามตามแบบชาววัง เป็นต้นแบบมารยาทที่ดีงามในการทานอาหาร ให้หมู่สงฆ์อยู่แล้ว

เช่น
สำรวมตา มองเพียงอาหารในบาตรหรือภาชนะ(จาน ชาม ) ของตน
เพราะถ้าชอบมองอาหารของผู้อื่น หากผู้อื่นมีอาหารที่ประณีต หรือที่น่าทาน ดูดีกว่าเรา
ก็อาจทำให้ใจ ฟุ้ง อยากได้แบบนั้นบ้าง

หรือ การตัก การตะล่อมอาหารในบาตรหรือภาชนะ ให้กลมกล่อม ไม่ควรตักแต่ยอด ตักแบบกระจาย เรี่ยราด
ไม่ทานแบบแก้มตุ่ย เพราะตักอาหาร คำข้าวใหญ่เกินไป ไม่พูดขณะมีข้าว อาหารในปาก ฯล

คุณยายอาจารย์เคยเล่าให้ศิษย์ฟังว่า
QUOTE
เวลาหลวงพ่อ วัดปากน้ำ ฉันภัตตาหาร
ท่านจะจัดข้าว อาหาร ในบาตร หรือภาชนะให้กลมกล่อม ดูเรียบร้อยเสมอ

คือ
เมื่อตักข้าว/อาหารไปช้อนหนึ่ง อาหารในภาชนะก็ดูแหว่ง ขณะเคี้ยวคำข้าว
ท่านก็ใช้ช้อนตะล่อม จัดข้าวในภาชนะ ที่ขอบแหว่งให้กลมอยู่กลางภาชนะ ดูเรียบร้อยเหมือนเดิม

สำหรับภิกษุ ก็มักพิจารณาอาหาเรปฏิกูลสัญญา กันอยู่แล้ว ว่า

อาหารเป็นของปฏิกูล พิจารณาให้เห็นว่าเป็นของน่าเกลียด โดยอาการต่างๆ เช่น ปฏิกูล โดยบริโภค
คือ
อาหารก่อนที่นำเข้าปาก ก็ยังดูดี แต่เมื่อนำเข้าปาก เคี้ยวให้แหลกแล้ว
อาหารคำนั้นก็ดูเป็นของน่าเกลียด

และอาหารที่สะอาด ในทางพระพุทธศาสนานั้น
ไม่ใช่หมายว่า อาหารปราศจากเชื้อโรค

แต่หมายความว่า อาหารนั้น เราได้มาโดยอาการอย่างไร

ถ้าเราได้มาโดยสุจริต ไม่ได้ลัก ขโมย
อาหารนั้นแม้จะดูเศร้าหมอง ไม่น่าทาน เหมือนอาหารชั้นเลิศ

แต่อาหารนั้นก็ถือได้ว่า สะอาด ในเชิงการพิจารณาของพุทธบริษัท ครับ

หรือพิจารณาว่า เรากินธาตุตาย เพื่อรักษาธาตุเป็น คือ
อาหารนั้น คือ ธาตุตาย
ส่วนมนุษย์ คือ ธาตุที่ยังเป็น

หรือพิจารณาว่า เราเพียงสักแต่ว่ากินธาตุ ๔ เท่านั้น
ในแง่ของโภชนาการ คือ เรากินคาร์โบโฮเดรต โปรตีน ไขมัน วิตามิน เกลือแร่
เพื่อยังชีพเท่านั้น คือ กินเพื่ออยู่ ไม่ใช่อยู่เพื่อกิน

หรือพิจารณาว่า เราจะฉัน / ทาน อาหารนี้เพื่อพอประทัง ร่างกายให้เป็นอยู่ได้ พอบำบัดทุกข์ คือ ความหิว

เพื่อให้มีเรี่ยวแรงในการทำความดี เพื่อใช้ร่างกาย รูปขันธ์นี้ ให้เป็นไปเพื่อมรรค ผล นิพพาน

มิใช่ ฉัน / ทานอาหารเพื่อความสวยงามของร่างกาย หรือเพื่อให้ผิวพรรณดูงาม เป็นต้น

ภัตตาหารของทายก ทายิกา ที่น้อมนำมาถวาย จะได้มีอานิสงส์มาก มีอานิสงส์ไพบูลย์


4) กุศโลบาย การเจริญพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ ขณะทานอาหาร
ของศิษย์วัดพระธรรมกายนั้น

ก็เป็นการฝึกสติ ฝึกสมาธิ และเป็นการประคองใจให้อยู่สภาวธรรมในกุศลอย่างหนึ่ง

ทั้งนี้เพราะ ธรรมชาติของมนุษย์ที่ยังมีกิเลส สังโยชน์ร้อยรัดอยู่นั้น
เวลากิน โดยเฉพาะอาหารที่ดูดี น่าอร่อย ใจมนุษย์ส่วนมากมักเพลินเพลิน ในการกิน ( enjoy eating )

แต่สำหรับภิกษุ และนักปฏิบัติธรรม ผู้มุ่งกำจักกิเลส และนักปฏิบัติธรรม
การ enjoy eating จะทำให้ติดรสอาหาร เดี๋ยวก็อยากกินนั่น กินนี่
เวลานั่งสมาธิ สมถะกรรมฐานก็ฟุ้งซ่านไปเรื่อย ใจสงบยาก


ดังนั้นจึงมีกุศโลบาย ไม่ให้ติดรสอาหาร เพลินเพลิน ในการกิน ด้วยการ การเจริญพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ

เช่น ทานอหารไปก็นึกถึง พุทธปฏิมากรแก้วขาวใสไปด้วย นึกถึงดวงธรรมไปด้วย เป็นต้น

นอกจากนี้ศิษย์วัดพระธรรมกาย ยังได้รับการสอนจากครูบาอาจารย์ว่า
เมื่อทานอาหารเรียบร้อยร้อย ยังมีกุศโลบายขัดเกลาใจตนเองได้อีก คือ

การแยกเศษอาหาร แยกขยะเปียก ขยะแห้ง และเช็ดทำความสะอาดภาชนะ ก่อนนำไปล้าง
อีกทั้งเป็นการบรรเทาภาระในการล้างภาชนะและบรรเทาภาระของระบบบำบัดน้ำเสีย ได้มากนะครับ

เรื่องการเช็ดภาชนะนี้ มีผลต่อนักปฏิบัติธรรมพอสมควรนะครับ
เพราะในขณะที่เราค่อยบรรจงเช็ดภาชนะ นั้น ก็ต้องประคองสติ สมาธิของเราไปด้วย
เมื่อมองเห็นภาชนะที่เคยเปื้อนเศษอาหาร ดูสะอาดเกลี้ยง ก็อุปการะใจเราให้เกลี้ยงได้นะครับ

อุปมาเหมือน
บ้านไหน ห้องใคร โต๊ะทำงานใคร รก วางของไม่เป็นระเบียบ และสกปรก
กับบ้านไหน ห้องใคร โต๊ะทำงานใคร วางของเป็นระเบียบ และดูสะอาดน่าใช้

มองเห็นด้วยตา แต่มีผลถึงใจเรา ได้นะครับ คือ
เห็นอะไรที่รกตา ไม่เป็นระเบียบ ดูสกปรก อาจทำให้อารมณ์คนในบ้าน ในที่ทำงานนั้นบูดบึ้งได้

ถ้าเห็นอะไรที่เป็นระเบียบ สะอาด โล่งตา บรรยากาศในสถานที่นั้น ๆ ก็พาสบายใจ
สกปรก กับสะอาด ยังมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานได้นะครับ
ทั้งงานทางโลก และงานทางใจ

หวังว่าผู้ใฝ่ธรรม มีความเที่ยงธรรม คงพอเข้าใจ

กุศโลบายและอานิสงส์ของการเจริญพุทธานุสติ
โดยระลึกถึงพระบรมศาสดา อนุตระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ผ่านการบูชาข้าวพระ ก่อนทานอาหารและขณะทานอาหาร

ของศิษย์วัดพระธรรมกาย กันแล้วนะครับ

สุปฺปพุทธ ปพุชฺฌนฺติ สทา โคตมสาวกา
เยส ทิวา จ รตฺโต จ นิจฺจ พุทฺธคตา สตีติ

แปลความว่า

สติที่ไปในพระพุทธเจ้ามีแต่สาวกของพระโคดมเหล่าใด ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน
พระสาวกของพระโคดมเหล่านั้น จะหลับก็ตาม จะตื่นก็ตาม
ชื่อว่า ตื่น ๆ แล้วด้วยดีดังนี้
ref. : Pre Report วัดพระธรรมกาย, ในทรรศนะที่เป็น วัดยุคใหม่ ในพุทธศตวรรษที่ ๒๕
http://dmc.tv/forum/index.php?showtopic=15379

ใจหยุดที่สุดแห่งบุญ มุ่งสู่ที่สุดแห่งธรรม

#49 ธาตุล้วนธรรมล้วน

ธาตุล้วนธรรมล้วน
  • Members
  • 255 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 May 2010 - 09:44 PM

สาธุครับ

บทความนี้เป็นการชี้แจงแต่ในส่วนที่ดีๆของคณะเรา

ซึ่งผมเห็นด้วยที่เราจะนำบทความขาว ไปสู้กับบทความดำ โดยไม่เน้นการถกเถียงนะครับ

เพราะการถกเถียงไม่มีที่สิ้นสุด ยิ่งผู้ที่ตั้งตนเป็นผู้คัดค้าน มีทั้งชาวพุทธ ชาวศาสนาอื่นๆ และผู้ไม่มีศาสนา นั้นมีมากมาย

และถ้ากระทู้ในสิบร้อยทิปไม่สามารถล็อกได้ อาจจะทำให้กระทู้ของบทความนี้มีปัญหาก็ได้นะครับ


แต่ก็ขอสนับสนุนบทความสีขาวนี้ครับ สาธุ สาธุ สาธุ


ในช่วงสิบปีที่แล้ว วัดเราได้ออกหนังสือเล่มสีแดงเป็นการตอบปัญหาการไม่เข้าใจวัด โดยเนื้อหาของ รมต.ศึกษา นายอาคม เอ่งฉ้วน ที่เข้ามาพิสูจน์ปัญหา โดยมีหลวงพ่อทัตตะมาต้อนรับชี้แจง ผมอยากให้ทำหนังสือแบบนั้นเยอะๆครับ โดยเราชี้แจงสิ่งดีๆ โดยไม่เน้นถกเถียงอันใดครับ เป็นการชี้แจงสีขาวโดยแท้ แล้วสีดำก็จะลดความเลวร้ายลงได้บ้าง


ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ

ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ

เราตถาคต คือธรรมกาย

#50 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 26 May 2010 - 12:36 PM

จากกระทู้ ที่เพื่อนสมาชิก … ตั้งไว้ คือ
* ต้องการให้แยกห้องย่อย ธรรมกาย หรือ ไม่ต้องการ *
ในช่วงแรกมีให้เลือกเพียง 2 ข้อ คือ

1 ) ต้องการให้แยกห้องย่อย ธรรมกาย
2 ) ไม่ต้องการให้แยกห้องย่อย ธรรมกาย

ซึ่งผมก็เลือกข้อ 2 ) ด้วยเหตุผลที่ว่า

ก ) เพราะเป็นโต๊ะศาสนา
เป็นกระดานสนทนาเกี่ยวกับศาสนาต่างๆ
เป็นที่ศึกษารวมความรู้ ความเชื่อ ความเข้าใจ ในศาสนาต่างๆ
สำหรับเพื่อนมนุษย์ทุกคน

ข ) ยิ่งแยกห้อง ยิ่งสร้างความแตกแยก
คงมีแต่กระทู้ชื่นชม กับ ชิงชัง ตามอัธยาศัยของแต่ละท่าน
มากกว่าแยกห้องเพื่อเข้าไปศึกษาความรู้ เพื่อพัฒนาจิตใจซึ่งกันและกันนะครับ
เพราะ เวปเกี่ยวกับวิชชาธรรมกาย ก็มีมากมายหลายแห่งอยู่แล้ว
เวปวัดพระธรรมกาย ก็มีหลายแห่งเช่นกัน
ท่านใดต้องการศึกษาจริง ก็ควรเข้าไปที่ original source ดีกว่าครับ
แต่ดีกว่า การแยกห้องยังมีอีกครับ

แบบที่เวป ลานธรรมเสวนา ไงครับ คือ
แบนกระทู้เกี่ยวกับธรรมกาย คือ ทั้งวิชชาธรรมกาย และวัดพระธรรมกาย
ผมเคยเข้าไปศึกษาหาความรู้แล้ว เห็นว่า เป็นชุมชนที่สงบดี
เพราะคัดพุทธศาสนิกชน ที่มีพื้นฐานการปฏิบัติธรรม แบบเดียวกัน
การต่อยอดความรู้จึง สะดวกง่ายดี

แต่ต่อมามีการเพิ่มทางเลือกในข้อ 3 ) คือ
ต้องการให้ "แบน" เรื่องธรรมกาย ไปจากพันทิป
ซึ่งผมก็เห็นดีด้วย แต่ไม่ได้ขอเปลี่ยนโหวต จาก
ไม่ต้องการให้แยกห้องย่อย ธรรมกาย
ให้เป็นต้องการให้ "แบน" เรื่องธรรมกาย
เมื่อเพื่อนสมาชิก มาตั้งกระทู้ใหม่ คือ กระทู้นี้
ผมจึงเลือกโหวต

ข้อ 3 ) ต้องการให้ "แบน" เรื่องธรรมกาย ไปจากพันทิป

ด้วยเหตุผลที่ว่า
1 ) การแยกห้องย่อย หรือ การรวมไว้เหมือนเดิม ไม่ช่วยให้เกิดความสงบหรอกครับ
เพราะกระทู้เกี่ยวกับ วิชชาธรรมกาย และวัดพระธรรมกาย ในโต๊ะศาสนาพันทิปนี้

ส่วนมากเป็นกระทู้ที่ ชิงชัง และกระทู้ชื่นชม ที่ออกแนว แสดงอัตตานุทิฎฐิค่อนข้างแรง
มีแนวโน้มนำความแตกต่างทางความคิดและข้อมูลต่างๆที่ตนได้รับและเสพไว้
ไปสู่ความแตกแยกของชุมชนนี้ สังคมไทย และพุทธาจักร
และมีเพื่อนสมาชิกส่วนน้อยที่ตั้งและตอบกระทู้ แบบสนทนาธรรม แลกเปลี่ยนความรู้ แบบบัณฑิต
คือ
มากด้วยเมตตา กรุณาจิต
อนูปวาโท ไม่ว่าร้ายให้โทษใคร
บริจาคธรรมะควบคู่ปิยะวาจา

และเมื่อมีแนวโน้มว่า การสนทนาจะกลายเป็นการทะเลาะกัน
ก็ควรปล่อยวาง ต้องปล่อยให้มันเป็นตาม หลักธรรม
กัมมุนา วัตตตี โลโก

เพราะตัวเรา ไม่ใช่พระสัพพัญญูพุทธะ
กายมหาบุรุษเราก็ไม่มี กิเลส อาวสวะก็ยังมีอยู่
ฉัพรรณรังสี รัศมีสักอย่างเราก็ไม่มี

อีกทั้งความรู้ด้านปริยัติ ในพระธรรมวินัย เราก็ยังรู้ไม่ครบถ้วน
ธรรมปฏิบัติ ของเราก็ยังไปไม่ถึงที่สุด วิชชา ๓ วิชชา ๘ เราก็ไม่มี
คือ ยังไม่บรรลุมรรค ผล นิพพาน
ฉะนั้น ไม่แปลกหรอกครับ หากว่า

เราไม่สามารถเปลี่ยน ทิฎฐิ หรือ เปลี่ยน attitude ของใครให้เหมือนเราได้

2 ) ในอีกมุมมองหนึ่ง ธุรกิจจะอยู่ได้ หรือ เจริญได้

ก็เพราะความขัดแย้งในหมู่มนุษย์ เช่น
ท่ามกลางสงครามในทุกสนามรบ พ่อค้าอาวุธสงครามก็ยิ่งร่ำรวย
สงครามตามแนวชายแดน พ่อค้า แม่ขาย สินค้าอุปโภคและบริโภคก็ยิ่งร่ำรวย

ยิ่งมีความขัดแย้งทางความคิด ของคนในชาติใด
ก็ยิ่งเป็นประโยชน์แก่ ประเทศชาติใกล้เคียง

สังคมยิ่งมีปัญหา นักข่าวก็มีงานทำ และนายทุนเจ้าของสื่อก็ยิ่งขายข่าวได้และยิ่งร่ำรวย
เช่นเดียวกัน
ยิ่งมีสงครามความขัดแย้งทางความคิด ดุจสงครามแห่งอัตตานุทิฎฐิของกระดานสนทนาใด

ก็ยิ่งเป็นประโยชน์ ในการดึงดูดเพิ่มสมาชิกและสปอนเซอร์ ให้เวปนั้นๆ

พูดตรงไปตรงมา คือ ถ้าพันทิป อาศัยความขัดแย้ง เป็นแม่เหล็กตัวหนึ่ง
ในการดึงดูดสมาชิกหรือ sponser หรือ เพื่อสร้างบรรยากาศคึกคักให้เวป

ผมว่า พันทิป อยู่ในสถานะที่เลยจุดนี้ไปแล้ว ไม่ต้องพึ่งพากลยุทธนี้แล้วครับ

เพราะ พันทิพย์มีความหลากหลาย และเป็นความหลากหลายที่มีศักยภาพ
มากพอที่จะดึงดูดสมาชิกหรือ sponser หรือ เพื่อสร้างบรรยากาศคึกคักให้เวป อยู่แล้ว

ตามความเห็นส่วนตัวของผม กลับมองพันทิปว่า
โต๊ะราชดำเนิน และโต๊ะศาสนา เป็นจุดอ่อนของพันทิป ด้วยซ้ำ
เพราะทั้งสองโต๊ะนี้ ให้เสรีในการแสดงความคิดเห็นของสมาชิก มากเกินไป
และขาดการควบคุมที่เข้มงวด

จนสมาชิกขาดการให้เกียรติในการสนทนากับผู้อื่น
และขาดการเคารพสิทธิความเชื่อของผู้อื่น

โดยส่วนตัว ผมคิดว่า สถาบันชาติ และศาสนา คือ
เหยื่อของสงครามทางความคิดใน 2 โต๊ะนี้อย่างแท้จริง

3 ) เมื่อถอยออกมาดูห่าง ๆระหว่าง กระทู้ที่ชิงชังและ ชื่นชม กรณีธรรมกาย
ในโต๊ะศาสนานี้
ผมมองว่า ผู้ที่ชิงชัง ธรรมกาย เป็นฝ่ายได้เปรียบ ผู้ที่ชื่นชม ธรรมกาย
คือ

ก ) ผู้ที่ชื่นชม ธรรมกาย มาตั้งและตอบกระทู้โดย การเปิดเผย
ว่าเป็นใคร หมั่นบำเพ็ญกุศลที่วัดไหน และศรัทธาครูบาอาจารย์ท่านใด

ส่วนผู้ที่ชิงชัง ธรรมกายมาตั้งและตอบกระทู้โดย ไม่ยอมเปิดเผย
ว่าเป็นใคร บำเพ็ญกุศลที่วัดไหน และศรัทธาครูบาอาจารย์ท่านใด

นี่คือ ความได้เปรียบอย่างแรกของ ผู้ที่ชิงชัง ธรรมกาย

เพราะไม่ต้องกังวลว่า การแสดงความคิดเห็นของตน
จะไปสะเทือนถึง ศาสนา ครูบาอาจารย์ วัดและเวป ที่ตนศรัทธา
เพราะไม่ต้องกังวลว่า ใครจะตามไปจับผิด เพ่งโทษ
ในศาสนา ครูบาอาจารย์ วัดและเวป ที่ตนศรัทธา

จึงสามารถ แสดงความคิดเห็น และใช้ภาษายั่วยุ ดุเดือดได้เต็มที่

ข ) ผู้ที่ชิงชัง ธรรมกายส่วนมาก เลือกที่จะตั้งและตอบกระทู้ ในรูปแบบคำถาม
เสมือนตนเอง อยู่ในฐานะ โจทย์ ทนาย อัยการ ผู้พิพากษา


ดังนั้นจึง บีบบังคับผู้ที่ชื่นชม ธรรมกาย ไปในตัวว่า
ต้องคอยแสวงหาข้อมูล มาตอบกระทู้
เสมือนผู้ที่ชื่นชม ธรรมกายเป็น จำเลยที่ต้องขวนขวาย
หลักฐานมาแก้ข้อกล่าวหาต่างๆ ซึ่งมีข้อกล่าวหา มีคำถามลูกโซ่ ไม่สิ้นสุด

กล่าวอีกนัยยะหนึ่ง คือ ผู้ที่ชื่นชม ธรรมกาย ส่วนมาก
เป็นเหยื่อในเกมส์ผู้ล่า ในโต๊ะศาสนานี้
ด้วยเหตุผล 3 ข้อหลัก เท่าที่นึกได้ในตอนนี้ ผมจึงเลือกโหวต

ข้อ 3 )ต้องการให้ "แบน" เรื่องธรรมกายในโต๊ะศาสนา พันทิป ครับ

ใจหยุดที่สุดแห่งบุญ มุ่งสู่ที่สุดแห่งธรรม

#51 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 26 May 2010 - 12:46 PM

QUOTE
ทำไมวัดธรรมกายถึงกว้านซื้อที่แถวจังหวัดปทุมเยอะมากๆ
เค้าจะเอาที่ไปทำอะไรคะ


เห็นคนเค้าบอกเอาไว้ทำที่จอดรถบ้าง ซื้อให้ชาวต่างชาติบ้าง
ไม่เข้าใจเจตนาของทางวัดจริงๆค่ะมีใครพอจะทราบบ้างมั้ยคะ

ตังเองก็มีที่นาอยู่ที่นี่เหมือนกันแปลงที่อยู่ติดกันก็ถูกซื้อไปบ้างแล้ว
ทีละ 100 ไร่ 200 ไร่ เป็นอย่านี้มาหลายปีแล้ว นี่ก็มีโครงการว่าจะซื้ออีก 800 ไร่จะ
ซื้อทำไมเยอะขนาดนั้น


เท่าที่ทราบและเห็นพื้นที่ ส่วนขยาย นั้น
ไว้ใช้จอดรถบัส ครับ
ใช้มาหลายครั้งแล้วครับ
งานต้อนรับเด็กดี โครงการ V-Star ๕๐๐,๐๐๐ และโครงการอบรมอุบาสิกา ๕๐๐,๐๐๐

การที่มีคนมาวัดหลายแสนคน
จึงมีรถบัส รถตู้ รถยนตร์ส่วนบุคคลอื่น ๆ หลายพันคัน
(จำนวนรถในระบบเข้า ออก น่าจะร่วมหมื่นคัน ด้วยซ้ำ)
ต้องใช้พื้นที่จอดรถหลายร้อยไร่ เหมือนกันครับ

แม้ระบบขนส่งมวลชนจะใช้หลายแบบ
ทั้งเหมารถไฟ จากภาคเหนือ ภาคใต้ มาลงที่สถานีรถไฟ เชียงราก

หรือมีระบบรถบัสวนรับส่ง ตามพื้นที่จอดรถบัส นอกเขตวัด
หรือรถบัสมาส่ง แล้วกลับ ค่อยมารับอีกที หลังงานเลิก

ก็ยังต้องใช้พื้นที่จอดรถบัส มากพอสมควร
ผมคิดว่า
ที่จริง วัดก็ไม่ได้อยากซื้อพื้นที่เพิ่ม หรอกครับ
เพราะราคาที่ดินสมัยนี้แพงนักขนาด

แต่เพื่อให้การต้อนรับ ส่งกลับคนหลายแสน มีความสะดวก
หรือตอนลงรถ ขึ้นรถ เดินใกล้ที่สุด

และเพื่อการบริหารเส้นทางเดินรถ ระบายรถจำนวนร่วมหมื่นคัน

ที่ต้องเชื่อมต่อกับระบบทางหลวง ให้บรรเทารถติด น้อยที่สุด
ก็ต้องมีพื้นที่ไว้จอดรถ ตามสมควรดังกล่าวครับ

ส่วนที่เจ้าของกระทู้ ฟังมาว่า
ซื้อที่ดินให้ชาวต่างชาติ
ผมยังไม่เคยทราบ
มีข้อมูล ที่ชัดเจน มากกว่า ฟังคนอื่นพูดต่อ ๆ กันมาไหมครับ
ผมก็อยากทราบเหมือนกัน

QUOTE
คือที่ดินที่เค้าซื้อไม่ได้อยู่ติดกับบริเวณวัดก็มีค่ะคือลงจากรถแล้วเดินไปไม่ได้แน่นอน
ที่มันกระจัดกระจายอยู่คลอง 3 บ้างคลอง 4 บ้าง
แล้วทีดินส่วนใหญ่มันจะเป็นที่นาค่ะ มันก็เลยมีแว๊บเข้ามาในหัวว่าซื้อไว้ให้ชาวต่างชาติหาผลประโยชน์
รึเปล่า
แต่โดยส่วนตัวแล้วก็ไม่ได้รู้สึกไม่ดีกับวัดนี้นะคะ


ขอบคุณ เจ้าของกระทู้ ที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติม นะครับ
พื้นที่ จอดรถบัส ที่ผมเห็น ก็ไม่ได้อยู่ติดวัด ครับ
อยู่บริเวณ ที่เจ้าของกระทู้บอกไว้

สันนิษฐานส่วนตัว ว่า
วัดคงสนใจพื้นที่ใกล้วัด มากที่สุด
เพื่อความสะดวกในการจัดระบบจราจร , กำลังจนท.ดูแล
แต่พื้นที่ใกล้วัด ส่วนมาก คือ ชุมชน มีหลายเจ้าของ และราคาย่อมสูง

ส่วนพื้นที่ขนาดใหญ่ คือ นาข้าว
จำนวนเจ้าของคงไม่มาก เหมือน พื้นที่ชุมชน และราคา น่าจะถูกกว่าพื้นที่ชุมชน
รวมถึงการเจรจา การรวบรวมเนื้อที่ น่าจะสะดวกกว่า

ดังนั้นพื้นที่จอดรถบัส(ที่ผมเห็น) จึงกระจายหลายแปลง ในรัศมีไม่ไกลจากวัดนัก
แต่พอที่จัดรถบัส เวียนรับส่ง หรือการจัดการระบบจราจร สะดวก

ผมไม่ถนัดเรื่องคำนวน
แต่พอเข้าใจว่า พื้นที่จอดรถบัส ใช้พื้นที่ เยอะจริงครับ
ท่านใดเก่งคำนวน ก็คงพอเข้าใจตามได้ นะครับว่า

คน ๑๐๐,๐๐๐ คน

ถ้าใช้รถบัส รับ ส่ง ต้องใช้รถบัส กี่คัน
รถบัส ๑ คัน จุได้กี่คน ( คงราว ๕๐ - ๖๐ คน)

รถบัส ๑ คัน กว้างกี่เมตร ยาวกี่เมตร ต้องใช้พื้นที่ กี่ตารางเมตร สำหรับการจอด การเดินรถ วงเลี้ยว
พื้นที่ ๑ ไร่ มี ๑,๖๐๐ ตารางเมตร จะจอดรถบัสได้ สักกี่คัน
ตัวเลขจริง ๆ ผมก็ไม่ทราบ

แต่พอเข้าใจได้ว่า
คนหลายแสนคน ย่อมใช้รถบัส รับ ส่ง หลายพันคัน และ
ใช้พื้นที่เดินรถ เลี้ยว กลับรถ จอดรถ หลาย ๆไร่ ดังกล่าวครับ

ที่จริง เท่าที่ผมมอง
ณ วันนี้ ทางวัดพระธรรมกาย ไม่ได้อยากแสวงหาที่ดินขนาดใหญ่หรือแม้เล็ก ๆ
เพราะมีภาระตามมาเยอะ

ตั้งแต่ ความระแวงของคนในชุมชนใกล้เคียง ,
กองทุนซื้อที่ดิน กำลังคนดูแล จนท.ในการจัดระบบจราจร
ค่าใช้จ่าย ปรับปรุงพื้นที่ ถมที่ ทำถนนและลานจอดรถ ระบบสาธารณูปโภค ระบบไฟฟ้าแสงสว่าง ห้องน้ำ ฯล

ส่วนที่ดินติดวัดนั้น ขยาย ยากครับ
เพราะมีชุมชนหนาแน่นขึ้นเรื่อย ๆ และราคาคงแพงมาก

ดังนั้นการอบรมศีลธรรม ให้เพื่อนมนุษย์ ของวัดพระธรรมกาย
ไม่ได้เน้นมากระจุกที่วัดพระธรรมกาย แล้วครับ
(จะมีวันงานบุญ ที่รวมคนหลักหลายแสนคน ส่วนมาก มาเช้า ค่ำกลับ ๑ ปี ก็มีแค่ไม่กี่วัน)

กว่าสิบปี ที่ผ่านมา
จึงมีศูนย์กัลยาณมิตร ศูนย์ปฏิบัติธรรมทั่วไทย และขยายในหลายทวีป
ที่เห็นชัดเจน มากขึ้น ก็คือ
เน้นการอบรมศีลธรรม ในท้องถิ่น ทั่วไทย
เช่น
ศึกษาธรรมะผ่าน www.dmc.tv และดาวเทียม DMC Channel ,
โครงการตักบาตรพระทั่วไทย ,เด็กดี V-Star , บวชพระ ๗,๐๐๐ ตำบล ,
โครงการบวชพระ ๑ แสนรูป , อบรมอุบาสิกา ๕๐๐,๐๐๐ , สอบทางก้าวหน้าทั่วไทย ฯล

เน้นสร้าง คนในท้องถิ่น(Local people) ทั้งคนไทย คนต่างชาติ
ให้เป็นผู้นำการทำความดี ทาน ศีล ภาวนา

ดังนั้น สังคมไทย ยังต้องเจอโครงการชวนคนทำความดี จากวัดพระธรรมกายอีกเยอะ ครับ
และวัดพระธรรมกาย ยังต้องเจอกระแสคัดค้าน อีกเยอะ


เพราะ คนที่คัดค้านก็มี คนที่เห็นด้วยก็มี คนที่เฉย ๆ ก็มี
ซึ่งแต่ละคนก็มีเหตุผล ที่ดีแก่ตนเองทั้งนั้น

สุดท้าย แต่ละคน คงต้องพิสูจน์กันในชีวิตหลังความตาย กระมังครับ

ถ้า
โครงการชวนคนทำความดีของวัดพระธรรมกาย หมู่สงฆ์และพุทธศานิกชน ของวัดพระธรรมกาย
ทำเพราะอกุศลจิต ก่ออกุศลกรรมบท หรือเพื่อทำลายพุทธศาสนา อย่างที่ใครหลายคนเข้าใจ
วิบากแห่งกรรม คงวนในอบาย

แต่ถ้าตรงกันข้าม สำหรับผมแล้ว ยินดีอนุโมทนาในกุศลกรรม ของท่านเหล่านั้นครับ

๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑/

เจอคำชี้แจง
เรื่อง การถือครองที่ดินของพระราชภาวนาวิสุทธิ์
ในกระทู้ของพี่ สาคร
นำเสนอโดย คุณ PV1
http://www.dmc.tv/fo...?showtopic=5885

คำชี้แจง
เรื่อง การถือครองที่ดินของพระราชภาวนาวิสุทธิ์

กรณีการถือครองที่ดินของพระเดชพระคุณพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) เจ้าอาวาสวัด พระธรรมกาย
ที่กำลังเป็นข่าวครึกโครมอยู่ในปัจจุบัน คณะทำงานจัดการที่ดินขอเรียนชี้แจงถึงที่มาและความเป็นไปของเรื่องราวกรณีที่ดินดังกล่าว
ดังนี้

๑. ที่ดินที่อยู่ในความถือครองของพระราชภาวนาวิสุทธิ์ (ไชยบูลย์ ธมฺมชโย) มีทั้งสิ้น ๑๖ จังหวัด ๑๗ แห่ง
เนื้อที่ประมาณ ๑,๗๔๙ ไร่

๒. ที่ดินดังกล่าวทั้งหมดญาติโยมผู้บริจาคได้โอนถวาย หรือซื้อถวายแด่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ เป็นการส่วนตัว
เพราะมีความเคารพเลื่อมใสในปฏิปทาของท่าน มิใช่เป็นการเอาที่ดินของวัดมาเป็นของ ส่วนตัว
หรือนำเงินบริจาคของวัดมาซื้อที่ดินดังที่เป็นข่าว หรือมีการกล่าวหาพยายามให้เป็นแต่อย่างใด

๓. แม้ญาติโยมจะถวายที่ดินดังกล่าวแก่พระราชภาวนาวิสุทธิ์เป็นการส่วนตัว
แต่ท่านเองก็ มิได้มีวัตถุประสงค์จะนำที่ดินดังกล่าวไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนตัวแต่อย่างใด
หากตั้งใจจะนำมาทำ ประโยชน์แก่พระพุทธศาสนา
เมื่อมีทุนและบุคลากรพร้อมก็จะได้พัฒนาจัดสร้างเป็นวัด ธุดงคสถาน สถานที่ ปฏิบัติธรรม สถาบันการศึกษาของสงฆ์
ตามความเหมาะสมของพื้นที่แต่ละแห่ง และโอนกรรมสิทธิ์ให้วัด มูลนิธิ
หรือนิติบุคคลทางการศึกษาที่จะได้จัดตั้งขึ้นมาใหม่ต่อไป

ที่ดินส่วนใหญ่ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ท่านยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำไปว่าเป็นอย่างไร
และขณะนี้ท่านก็ มอบอำนาจสิทธิ์ขาดในการจัดการกับที่ดินดังกล่าวทั้งหมด ให้กับคณะทำงานจัดการที่ดินเพื่อดำเนินการ

๔. จากการที่มีการนำเสนอทางสื่อมวลชนบางฉบับ มีเนื้อความในทำนองทำให้ประชาชนเข้าใจผิด
คิดว่าพระราชภาวนาวิสุทธิ์ได้ยักยอกเอาที่ดินของวัดไป หรือนำเงินบริจาคของวัดไปซื้อที่ดินเหล่านี้
คณะกรรมการวัดพระธรรมกายขอเรียนชี้แจงว่า คำกล่าวหานั้นร้ายแรงและไม่เป็นความจริง

๕. เมื่อเรื่องลุกลามบานปลายมากขึ้น ได้มีผู้ใหญ่ประสานมาขอให้พระราชภาวนาวิสุทธิ์เสียสละ
โดยบริจาคที่ดินดังกล่าวให้แก่วัดพระธรรมกายเสียเพื่อตัดปัญหา
พระราชภาวนาวิสุทธิ์ก็ได้ตอบตกลง และ ทำหนังสือแสดงเจตนารมณ์ในการยกที่ดินให้วัด
แต่ขอให้ปรึกษาญาติโยมผู้ถวายที่ดินด้วย และได้ มอบหนังสือแก่อธิบดีกรมศาสนา
นำกราบเรียนเสนอมหาเถรสมาคมเพื่อทราบ เมื่อวันที่ ๙ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๒

๖. ในวันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ ก็ได้มอบฉันทะให้กรมการศาสนา
ช่วยดำเนินการโอนที่ดินชุดแรกจำนวน ๑๓๙ ไร่ บริจาคให้แก่วัดพระธรรมกาย
และขณะนี้กำลังอยู่ระหว่าง ดำเนินการ
แต่ขณะนี้ ผู้บริจาคบางท่านยังไม่ประสงค์จะให้พระราชภาวนาวิสุทธิ์บริจาคที่ดินดัง กล่าว ให้วัดพระธรรมกาย
เพราะจะทำให้ไม่บรรลุตามเจตนาเดิม

๗. เหตุที่ไม่สามารถโอนที่ดินบริจาคแก่วัดพระธรรมกายทีเดียวหมดทุกแปลงได้ เป็นเพราะ เหตุ ๓ ประการ คือ

ก. ต้องปรึกษาขอความเห็นชอบจากเจ้าภาพที่บริจาคก่อน และที่บางแปลงมีเจ้าภาพหลายราย ร่วมบุญกันซื้อถวายจึงต้องใช้เวลา
เจ้าภาพหลายรายก็ยืนยันในเจตจำนงเดิมของตน ที่ต้องการถวายที่ดิน แก่พระราชภาวนาวิสุทธิ์
มิได้ต้องการถวายที่ดินแก่วัดพระธรรมกาย เพราะเหตุหลายประการ เช่น
หาก ถวายที่ดินเป็นธรณีสงฆ์แก่วัดพระธรรมกายแล้ว หากต้องการนำที่ดินนั้นไปสร้างวัดใหม่ ก็ไม่สามารถทำได้
เพราะจะกลายเป็นวัดซ้อนวัด ซึ่งพระธรรมวินัยห้ามกระทำ
หรือหากจะนำที่นั้นไปจดทะเบียนเป็นนิติบุคคล ด้านสถาบันการศึกษาก็ไม่สามารถทำได้

ข. มีบางท่านบอกว่า เมื่อที่ดินขณะนี้มีชื่อ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ ก็สามารถโอน ได้เลย
ไม่จำเป็นต้องไปถามเจ้าของเดิมผู้บริจาคแต่อย่างใด แต่จริงๆ แล้วเรื่องทางศาสนา เป็นเรื่องของศรัทธา
พระภิกษุมีหน้าที่ประคองรักษาศรัทธาประชาชนด้วย จะอ้างสิทธิ์ตามกฎหมายดำเนินการไปตาม อำเถอใจ
โดยไม่สนใจความคิดเห็นของญาติโยมผู้บริจาคที่ดินมานั้นไม่ได้ เพราะไม่เพียงเป็นการทำลาย ศรัทธา
ยังเป็นการไม่รักษาน้ำใจผู้บริจาค ซึ่งล้วนมีเจตนารมณ์สอดคล้องกัน

ค. นักกฎหมายและญาติโยมหลายท่านได้ท้วงติงมาด้วยความปรารถนาดีว่า
ในการโอนกรรมสิทธิ์ ที่ดินนั้น ขอให้ใช้ความรอบคอบระมัดระวัง และควรทำความเข้าใจข้อกฎหมายให้ดีด้วย
จะมุ่งแต่ ตัดสินปัญหาลดความกดดันกระแสสังคม กระแสสื่อ เพียงประการเดียวไม่ได้
เพราะมีผู้ที่คอยจ้อง จะหาความผิดขุดหลุมพรางไว้ล่อแล้ว เช่น
หากโอนที่ให้วัดโดยประหยัดค่าโอนเพียงแปลงละ ๗๕ บาท อย่างที่มีการออกข่าวตอนแรก
ก็จะตกเข้าในหลุมพรางทันที เพราะการโอนแบบนั้น จะทำได้ในกรณีที่ที่ดิน นั้นเป็นของวัดอยู่แล้ว
เจ้าอาวาสเพียงแต่เป็นผู้ถือครองแทน แล้วต้องการโอนที่ดินคืนให้วัดซึ่งเป็นเจ้าของเดิม
ดังนั้นถ้าพระราชภาวนาวิสุทธิ์โอนแบบนี้ ก็จะถูกกล่าวหาว่ายักยอกที่วัด จึงสมเหตุสมผลกับข้อกล่าวหา ปาราชิก
ที่คนบางกลุ่มพยายามให้เป็น

แต่ถ้าจะโอนโดยวิธีการปกติ ก็ต้องเสียค่าโอนประมาณ ๘ ล้านบาท
ซึ่งเป็นภาระการเงินอันหนัก และก็มีผู้จ้องโจมตีอยู่เช่นเดียวกัน
ดังที่ นายเสฐียรพงษ์ วรรณปก ได้กล่าวโจมตีไว้ชัดเจนในรายการของ #####
เมื่อคืนวันพุธที่ ๑๙ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๒ ว่า
ถ้าไม่ใช่ที่ดินของวัด แล้วพระราชภาวนาวิสุทธิ์ จะไปโอนให้วัดทำไม
การโอนที่ดินให้วัดก็เท่ากับยอมรับโดยปริยายว่า ที่ดินนั้นเป็นของวัดแต่ เดิม
จึงถือว่าพระราชภาวนาวิสุทธิ์ ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
การกล่าวเช่นนี้ ไม่เป็นธรรมแก่พระราชภาวนาวิสุทธิ์ เป็นอย่างยิ่ง

๘. ในสายตาของชาววัดพระธรรมกายต่อเรื่องการถือครองที่ดินของพระราชภาวนาวิสุทธิ์นั้น เห็นว่า
ต่อให้โอนที่ดินทั้งหมดบริจาคแก่วัดพระธรรมกาย เรื่องก็ยังคงไม่จบ จะมีการหาเรื่องอื่นประเด็นอื่นขึ้นมา โจมตีกันต่อไป
ซึ่งหากมีผู้ใดสามารถให้คำรับรองได้ว่า
ถ้าโอนที่ถวายแก่วัดทั้งหมดแล้ว เรื่องจะจบแน่นอน
คณะทำงานจัดการที่ดินก็เชื่อมั่นว่า จะสามารถดำเนินการประสานงานกับญาติโยมผู้บริจาคที่ดินให้ยินยอม
อนุญาตให้โอนกรรมสิทธิ์มอบแก่วัดพระธรรมกายได้โดยเร็ว
เพราะจากที่ได้พูดคุยกับเจ้าภาพหลายท่าน ล้วน มีความเห็นครงกันว่า
แม้การถวายที่ให้วัดจะผิดเจตนาเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งทำให้ยากลำบาก แก่การนำมาใช้ประโยชน์ตามความตั้งใจ
แต่ถ้าทำให้เรื่องวุ่นวายร้ายแรงต่างๆ จบลงได้เสียที ทุก คนก็ยินดี
แต่ถ้าโอนให้วัดแล้วเรื่องก็ยังไม่จบ มีการหาเรื่องอื่นๆ มาเล่นงานอีกต่อไปเรื่อยๆ ก็ ไม่รู้จะโอนให้วัดไปทำไม
ในฐานะเจ้าของที่ดั้งเดิม จึ
งขอยืนยันเจตนารมณ์เดิมที่ต้องการถวายแก่ พระราชภาวนาวิสุทธิ์เท่านั้น

คณะกรรมการวัดพระธรรมกายเชื่อมั่นว่า
ข้อกล่าวหาที่มีต่อพระราชภาวนาวิสุทธิ์ทั้งหมด
เมื่อได้ ดำเนินการสอบสวนและพิจารณาไปตามกระบวนการทางกฎหมายศาลสงฆ์
แม้จะใช้เวลาบ้าง แต่สุดท้าย ความจริงทั้งหมดก็จะปรากฎ
ขอเพียงให้มีการไต่สวนพิจารณาอธิกรณ์ที่มีผู้กล่าวหา
ให้เป็นไปตาม กระบวนการทางกฎหมาย พระราชบัญญัติสงฆ์ กฎมหาเถรสมาคม อย่างโปร่งใส
โดยมีให้มี การใช้อำนาจเถื่อนหรือกระแสใดๆ คุกคาม กดดันกระบวนการยุติธรรม


จึงเจริญพรมาเพื่อทราบโดยทั่วกัน
คณะทำงานจัดการที่ดิน
๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๒

------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

แถลงการณ์ถึงชาวพุทธ
เพื่อความอยู่รอดของพระพุทธศาสนา

กราบเรียน พระเถรานุเถระ
เจริญพร ท่านพุทธศาสนิกชนชาวไทยทุกท่าน

ในช่วง 1 เดือนเศษที่ผ่านมาได้มีเอกสารที่อ้างว่าเป็นพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชออก มาหลายฉบับ
เกี่ยวกับเรื่องวัดพระธรรมกาย เรื่องพระได้รับสมบัติมาในขณะเป็นพระแล้วไม่โอนให้วัด ต้องปาราชิก เป็นต้น
กระผมเฝ้าดูเรื่องทั้งหมดด้วยความอึกอัดและเป็นห่วงผลกระทบที่ จะมีต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง
จะออกมาแสดงความเห็นอะไรก่อนมหาเถรสมาคมจะตัดสินใจ ก็ดูจะเป็นการไม่เหมาะสม

ฉะนั้น เมื่อมหาเถระสมาคมได้พิจารณาตัดสินไปแล้ว เรื่องราวเกี่ยวกับวัดพระธรรมกาย ก็ถือว่าได้ข้อยุติไปในระดับหนึ่ง
กระผมจึงเห็น ว่าถึงเวลาที่ควรแสดงความเห็นเพื่อประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทยโดย รวม

ทั้งนี้เพราะเอกสารที่อ้างว่าเป็นพระลิขิตนั้น
ขอกราบเรียนตามตรงด้วยความเคารพศรัทธาในสมเด็จพระสังฆราช
ว่ากระผมไม่เชื่อเลยว่าสมเด็จพระสังฆราชเป็นผู้เขียนขึ้นเอง
สาเหตุเป็นเพราะว่า เนื้อหาของเอกสารที่อ้างว่าเป็นลิขิตนั้น ขัดต่อทั้งกฎหมาย ขัด ต่อพระธรรมวินัย
และประเด็นสำคัญที่ยังไม่มีใครฉุกคิดคือ
ถ้าถือตามพระลิขิตนั้นแล้วก็จะเป็นการทำลายคณะสงฆ์ไทยลงอย่าง เกือบจะสิ้นเชิงไปพร้อมๆ กันเลย
จึงเป็นไปไม่ได้ที่สมเด็จพระสังฆราชจะเป็นผู้เขียนขึ้น

ประเด็นที่ว่า ขัดต่อกฎหมาย

มีผู้ที่ได้ทำเอกสารวิเคราะห์พระลิขิตไว้อย่างน่าสนใจขออนุญาตนำมาอ้างถึงในที่นี้ ดังนี้

พระราชบัญญัติคณะสงค์ พ.ศ. 2535 มาตรา 8 ได้ระบุถึงอำนาจพระสังฆราชไว้ว่า
สมเด็จพระสังฆราชทรงดำรงตำแหน่ง สกลมหา สังฆปริณายก ทรงบัญชาการคณะสงฆ์
และทรงตราพระราชบัญชาสมเด็จพระสังฆราช โดยไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎหมายมหาเถรสมาคม”

แต่ในเอกสารอันบังอาจอ้างว่าเป็น “พระลิขิต” ในบรรทัดที่ 5 มีข้อความว่า
ต้องมอบสมบัติที่เกิดขึ้นในขณะที่เป็นพระ ให้แก่วัด ทันที”

ในทางกฎหมายข้อความนี้ ขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2540 ซึ่งระบุว่า

มาตรา 48 “สิทธิของบุคคลในทรัพย์สินย่อมได้รับความคุ้มครอง ขอบเขตแห่งสิทธิ และการกำจัดสิทธิเช่นว่านี้
ย่อมเป็นไปตาม กฎหมายบัญญัติ”

นอกจากนี้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพานิชย์ ยังได้รับรองสิทธิในทรัพย์สินของพระภิกษุไว้ตามมาตรา 1632 มีใจความว่า

*ทรัพย์สินของพระภิกษุ ที่ได้มาในระหว่างเวลาอยู่ในสมณเพศนั้น
เมื่อพระภิกษุนั้นถึงแก่มรณภาพให้ตกเป็นสมบัติของวัดที่เป็น
ภูมิลำเนาของพระภิกษุนั้นเว้นแต่จะได้จำหน่ายไประหว่างมีชีวิต หรือโดยพินัยกรรม”
และไม่มีกฎหมายใดในประเทศไทยทั้งในอดีตถึงปัจจุบัน
กำหนดโทษว่าพระภิกษุระหว่างอยู่ในสมณเพศ มีทรัพย์สินส่วนตัวไม่ได้ ถือเป็นความผิด ต้องโอนให้วัดหมด
มีแต่รับรองสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น
ฉะนั้น เมื่อมีข้อความอันเป็นการบังคับให้มอบทรัพย์สินปรากฎในเอกสารจึงระบุได้ชัด ว่า
ข้อความในเอกสารอันบังอาจอ้างว่าเป็น “พระลิขิต” ขัดต่อรัฐธรรมนูญและกฎหมาย โดยชัดแจ้ง
หากเป็นพระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชจริง
เหตุใดเจ้าหน้าที่สำนักเลขานุการ ฝ่ายกฎหมาย
ซึ่งมีหน้าที่ตรวจตราโดยตรงจึงปล่อยให้ผ่านออกสู่สาธารณชนทั้งที่ผิดพลาด

ประเด็นที่ว่า ขัดต่อพระธรรมวินัย

เนื้อความในเอกสารที่อ้างว่าเป็นพระลิขิตที่ว่า
ไม่ยอมคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้งว่า ต้องอาบัติ ปาราชิก
ต้องพ้นจากการเป็นสมณะโดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด นั้นขัดต่อพระธรรมวินัย
ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่เคยบัญญัติไว้เลยว่า
พระภิกษุต้องยกสมบัติที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัด ใครไม่ทำต้องปาราชิก
เรื่องนี้มีเขียนอยู่ในหลักสูตรนักธรรมชั้นตรีที่พระบวชใหม่ พรรษา 1 ก็ต้องเรียนและรู้แล้ว
จึงเป็นไปไม่ได้ที่สมเด็จพระสังฆราชซึ่งทรงภูมิความรู้อย่างยิ่งจะเขียนออก มาเช่นนี้
มั่นใจว่าผู้เขียนจะต้อง ไม่ใช่พระ
น่าจะเป็นเพียงผู้รู้พระธรรมวินัยแบบงูๆปลาๆจับแพะชนแกะเขียนขึ้นมาปลอมเป็น ของสมเด็จพระสังฆราชแน่นอน

พระสังฆราชจะไปบิดเบือนพระไตรปิฎก เป็นกบฎต่อพระพุทธเจ้าได้อย่างไร

ประเด็นที่ว่า เป็นการทำลายคณะสงฆ์ไทย

ข้อความในเอกสารที่อ้างว่าเป็น พระลิขิต นั้น กล่าวไว้ว่า

*ต้องมอบสมบัติที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัดทันที..
เมื่อถึงอย่างไรก็ ไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมดที่เกิดขึ้นในขณะ เป็นพระให้แก่วัด
ก็แสดงชัดแจ้งว่าต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะโดยอัตโนมัติต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด.

มีบางคน พระบางรูป ออกมาสนับสนุนบอกว่าถูกต้องเพราะถ้าไม่ได้เป็นพระญาติโยมเขาจะมาถวายปัจจัย ข้าวของหรือ
เพราะฉะนั้น สมบัติที่ได้รับมาในขณะเป็นพระจึงต้องยกให้วัดหมด ใครไม่ทำต้องปาราชิก

เจตนาของผู้ร่างข้อความนี้ขึ้นมา ก็คงเพราะต้องการให้พระธัมมชโย ต้องอาบัติปาราชิกให้ได้
โดยไม่คำนึงถึงว่า เป็นการบิดเบือน พระธรรมวินัย

ผลตรงจุดนี้กระผมก็คิดว่ามันไม่เป็นธรรมแต่ก็ยังเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลกระผมจึงไม่ค่อยสนใจนัก

แต่ประเด็นสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ถ้าเรายอมรับข้อความในเอกสารที่อ้างว่าเป็นพระลิขิตนี้ว่าถูกต้องแล้ว
ผลที่ตามมาจะเกิด ความเสียหายอย่างใหญ่หลวง คือ

1) พระภิกษุสงฆ์ในประเทศไทยเกือบทั้งหมด หรืออาจทั้งหมดเลยต้องปาราชิกกันหมด
รวมทั้งพระสังฆราชด้วย เพราะพระ ทุกรูปที่มีญาติโยมเอาปัจจัยไทยธรรมมาถวาย มีค่าตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไป
แล้วเอาไปใช้ส่วนตัว ไม่ถวายวัด ต้องปาราชิกหมด

2) ญาติโยมชาวพุทธที่เคยทำบุญถวายปัจจัยข้าวของต่างๆ ให้พระ มีมูลค่าตั้งแต่ 300 บาทขึ้นไป
ไม่ว่าจะในงานทำบุญขึ้นบ้าน ใหม่ งานสวดศพ ทำบุญวัด ติดกัณฑ์เทศน์ ฯลฯ
แล้วพระที่นำไปใช้ส่วนตัวขอให้ทราบด้วยว่า ถ้าหากยอมรับว่าพระลิขิตนี้ถูกต้อง เท่ากับว่า
ท่านได้ทำให้พระทุกรูปเหล่านั้นปาราชิกหมดแล้ว ท่านเองต้องตกนรกอย่างแน่นอน เพราะทำให้พระปาราชิกมากมาย

3) ญาติโยมคนไทยที่เคยบวชลูกชาย บวชพี่ บวชน้อง บวชญาติ แล้วถวายปัจจัยข้าวของต่างๆ ให้พระใหม่ใช้
ถ้ารวมมูลค่าเกิน 300 บาท โดยพระลิขิตนี้เท่ากับว่า
ท่านได้ทำให้ญาติของท่านที่บวชปาราชิกไปเรียบร้อยแล้ว ทั้งญาติที่บวช ทั้งท่านเองทุกคน ต้องตกนรก หมด

4) ชาวไทยที่เป็นผู้ชายแล้วเคยบวช ขอให้ย้อนระลึกดูว่า
ระหว่างบวชเราได้รับการถวายปัจจัยข้าวของเครื่องใช้จากญาติโยม แล้ว นำไปใช้ส่วนตัว มีมูลค่าถึง 300 บาท หรือไม่
ถ้าถึง แสดงว่าท่านได้ปาราชิกไปเรียบร้อยตั้งแต่ครั้งนั้นแล้ว
ที่บวชไปนอกจากจะไม่ได้ บุญ ยังต้องตกนรกอีกด้วย
และจากนี้ไปตลอดชาติท่านห้ามบวชอีกเด็ดขาดเพราะปาราชิกไปแล้ว
ยิ่งเศรษฐีเจ้าสัวมาบวชโอกาสตก นรกยิ่งเยอะเพราะโยมถวายของมาก อย่างนี้อีกหน่อยจะไม่มีใครบวช

5) พระเถระผู้ใหญ่ทุกรูป ที่เป็นเจ้าอาวาส เจ้าคณะตำบล เจ้าคณะอำเภอ เจ้าคณะจังหวัด ฯลฯ
พระเปรียญธรรม 9 ประโยค พระ ราชาคณะตั้งแต่ชั้นสามัญจนถึงสมเด็จพระสังฆราช
ซึ่งมีนิตยภัต (คล้ายเงินเดือนประจำตำแหน่งของพระ) แต่ละเดือน ก็ต้องปาราชิกกันไป หมดแล้ว
พระพยอมและพระมหาบุญถึงที่ออกมาสนับสนุนพระลิขิตนี้
ก็ต้องปาราชิกกันไปเรียบร้อยแล้ว เพราะรับนิตยภัตนี้ไปใช้ ด้วยเหมือนกัน

โดยสรุปก็คือ ถ้าว่าตามพระลิขิต ต้องถือว่าขณะนี้ประเทศไทยไม่มีพระเหลืออยู่ แม้แต่รูปเดียว
เพราะพระสงฆ์ทุกรูปก็คงรับ ปัจจัยข้าวของจากญาติโยมเกิน 300 บาททั้งนั้น
จึงปาราชิกไปหมดแล้ว ที่เห็นนุ่งห่มผ้าเหลืองอยู่ล้วนแต่เป็นพระปลอมทั้งสิ้น
เท่ากับว่า คณะสงฆ์ไทยได้สูญสิ้นไปหมดแล้วชาวพุทธไทยเลิกทำบุญใส่บาตรให้พระปลอมทั้ง ประเทศ
เลิกถกเถียงโจมตีมหาเถรสมาคมอะไรกันวุ่นวายได้
เพราะตั้งแต่พระสังฆราช ตลอดจนมหาเถรสมาคมทุกรูปก็ล้วนปาราชิกหมด

ฉะนั้นจึงเท่ากับว่า
พระลิขิตที่อ้างว่าเป็นของสมเด็จพระสังฆราชนี้ เพียงฉบับเดียว ก็ได้ทำลายสังฆมณฑลของประเทศไทยโดยสิ้นเชิง
ทำให้ชาวพุทธไทยทั้งหมดตกนรกกันถ้วนหน้า เพราะมีแต่คนที่เคยปาราชิก (ผู้ที่เคยบวชเป็นพระ)
และผู้ที่ทำให้ ปาราชิก (ผู้ที่เคยถวายปัจจัยไทยธรรมแก่พระภิกษุรวมแล้วมีมูลค่าเกิน 300 บาท)
ตามพระลิขิตนี้ จะต้องจับพระสึกทั้งประเทศ เพราะ เป็นพระปลอมทั้งนั้น

กระผมได้ติดตามข่าวที่มีผู้ออกมากดดันให้มหาเถรสมาคมทำตามพระลิขิตพระ สังฆราชด้วยความอึดอัด
และเห็นใจมหาเถรสมาคม เป็นอย่างยิ่ง ไม่ทำตามก็ถูกโจมตี ว่าไม่เคารพพระสังฆราช
ถ้ายอมรับทำตามก็เป็นกบฎต่อพระสังฆราช
ถ้ายอมรับทำตามก็เท่ากับ ว่าทำผิดธรรมวินัย เป็นกบฎต่อพระพุทธเจ้า
และส่งผลเป็นการทำลายต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทยทั้งหมด
นึกไม่ออกเลยว่า มหาเถร สมาคมจะทำอย่างไร ภายใต้กระแสสังคมของผู้ไม่รู้ความจริง
หรือรู้แต่แกล้งไม่รู้ ที่รุมด่าประณามกดดันท่าน

ที่สุด มหาเถรสมาคมก็ประชุมและมีมติ เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2542 มีใจความเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า

*ส่วนเรื่องพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ประทานมาทั้งหมด
มหาเถรสมาคม มีมติสนองพระดำริโดย ลำดับ ให้ชอบด้วยกฎหมาย พระธรรมวินัย และกฎมหาเถรสมาคม

กระผมเห็นมติที่ประชุมนี้แล้ว ถึงกับน้ำตาคลอ ซาบซึ้งในคุณธรรมและปัญญาของพระมหาเถระแห่งมหาเถรสมาคม
ที่ท่านสามารถหา ทางออกอย่างบัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น ไม่เปิดโปงความไม่ชอบมาพากลของเอกสารอันอ้างว่าเป็นพระลิขิต
เพื่อถนอมพระเกียรติของสมเด็จพระสังฆราช
และป้องกันไม่ให้คนชั่วที่จัดทำพระลิขิตขึ้นทำลายพระสงฆ์ไทยได้
เพราะการสนองพระดำรินั้นระบุชัดเจนว่า ต้องให้ชอบด้วยกฎ หมาย พระธรรมวินัย
และกฎมหาเถรสมาคมก็ทำไม่ได้

ท่านเลือกที่จะยอมเจ็บ ยอมถูกโจมตี ยอมถูกเข้าใจผิด ยอมถูกกล่าวหาว่า รับส่วย อะไรต่างๆ สารพัด
เพื่อป้องกันพระเกียรติพระสังฆราชและป้องกันพระพุทธศาสนาในประเทศไทย
เราชาวพุทธตระหนัก บ้างไหมว่า เราโชคดีเพียงใดที่มีผู้บริหารการคณะสงฆ์แห่งมหาเถรสมาคม ที่มีคุณธรรมสูงยิ่ง
กระแสสังคมกำลังโจมตีพระมหาเถระผู้มี คุณธรรมผู้เสียสละอย่างไม่มีเหตุผล มันเป็นบาปมหันต์ รีบหยุดเถิดครับ

ในฐานะพระนิสิตแห่งมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย อันทรงเกียรติ
กระผมรู้สึกอับอาย และสลดใจเป็นอย่างยิ่ง ที่มีบุคลากรของสถาบัน คือ
พระมหาบุญถึง ออกมาโจมตีพระมหาเถระผู้ใหญ่อย่างเกรี้ยวกราด ปราศจากสมณสารูป
และไร้ซึ่งความเคารพ ความกตัญญู ต่อพระมหาเถระผู้มีพระคุณต่อมหาจุฬาฯ

ขอเรียนความจริงให้ทุกท่านทราบว่าพระมหาบุญถึงปกติอยู่ในมหาจุฬาฯก็มีนิสัย อย่างนี้อยู่แล้ว
จึงได้ฉายาว่า “เหลิมน้อย” แต่แทนที่เจ้าตัวจะละอายกลับมีความรู้สึกภูมิใจกับฉายานี้ยิ่งนัก
และพระมหาบุญถึงแม้จะมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วย อธิการบดีฝ่ายกิจการนิสิต
แต่จริงๆ แล้วไม่เคยมีบทบาทอะไรในมหาวิทยาลัย ที่ได้เป็นผู้ช่วยอธิการบดี
ก็เพราะอาจารย์รองอธิการบดีท่าน หนึ่งสนับสนุนชักนำมาเท่านั้น

ความเห็นที่พระมหาบุญถึงแสดงออกมา เราชาวมหาจุฬาฯ ส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย
พวกเราเคารพในพระมหาเถระแห่งมหาเถระ สมาคมเสมอ
เจ้าพระคุณสมเด็จพระพุฒาจารย์แห่งวัดสระเกศก็เคยเป็นเลขาธิการของมหาจุฬาฯ มาตั้งแต่เมื่อ 30 ปีก่อน
และสนับสนุนมหา จุฬาฯ มาตลอด ท่านเจ้าคุณอธิการบดีพระราชวรมุนี (ประยูร มีฤกษ์ ปธ 9)
ก็เคยออกมาห้ามปรามเสมอว่า ห้ามนำสถาบันไปอ้าง
แต่เขาก็ดื้อไม่ ฟังเพลิดเพลินไปกับสิ่งที่สื่อมวลชนแกล้งยกยอปอปั้นว่าเป็นพระชื่อดัง
เพื่อจะเอาเป็นตัวให้ข่าว เห็นแล้วสะท้อนใจ นึกถึงคำที่ว่า “ขุยไผ่ฆ่าต้นไผ่ ลูกม้าอัสดรฆ่าแม่” จริงๆ

ใคร่ขอเรียนถามท่านมหาบุญถึงว่า ขอให้ลาออกไปจากมหาจุฬาฯ เสียเถิด อย่าทำความเสื่อมเสียให้กับ สถาบันมากไปกว่านี้เลย

ระวัง! แผนลับ ฆราวาสปกครองพระ

ขณะที่กระแสสังคมกำลังโจมตีมหาเถรสมาคมองค์กรสูงสุดในการปกครองพระสงฆ์ไทย อย่างดุเดือด
โดยอาศัยความไม่รู้ของประชา ชนเป็นเครื่องมือ สร้างภาพว่า
มหาเถรสมาคมไม่เป็นกลาง ไม่น่าไว้วางใจ ทำงานช้าอืดอาด ฯลฯ
ก็พยายามสวมรอย ผลักดันให้มีการ เปลี่ยนระบบการปกครองสงฆ์ใหม่
จะให้มีการเลือกตั้งมหาเถรสมาคมจากพระหนุ่มๆ แทนบ้าง
ลองนึกดูว่า ถ้าองค์กรสงฆ์ใช้วิธีการเลือก ตั้ง ก็ต้องมีการหาเสียง มีการโจมตีคู่ต่อสู้
อาจมีการซื้อเสียง มีการเล่นเกมสกปรกเหมือนในวงการเมือง อะไรจะเกิดขึ้น
ต่อไปความ เคารพ ระบบอาวุโสในวงการสงฆ์จะหมดไป จะมีความแตกแยกขนาดใหญ่เกิดขึ้น
ขอให้ดูการเลือกอธิการบดีโดยการเลือกตั้งที่ม.รามคำแหง หรือ ม.ขอนแก่น เป็นตัวอย่าง

นอกจากนี้ยังมีความพยายามผลักดันให้มีการเอาฆราวาสมาปกครองควบคุมพระ
โดยร่างพระราชบัญญัติภายใต้ชื่อสวยหรูว่า พ.ร.บ.อุปถัมภ์พระพุทธศาสนา
แต่แท้ที่จริงก็คือการเอาฆราวาสมาควบคุมพระนั่นเอง สามารถจับพระสึกได้ ควบคุมการเงินของวัดแทน เจ้าอาวาส
จะส่งผลสั่นคลอนพระสงฆ์ไทยอย่างใหญ่หลวง
ขอพระคุณเจ้าทุกรูปอย่าได้นิ่งเฉยตายใจ ต้องรีบยับยั้งแต่ต้นไม่อย่างนั้นจะแก้ไขไม่ ทัน

ส.ส.คนไหนผลักดันสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.นี้
ขอให้ช่วยกันรณรงค์บอกญาติโยม ลูกศิษย์วัดให้รู้อย่าไปเลือกส.ส.คนนั้น
ตอนนี้ผู้ที่เป็น หัวหอกในการผลักดันคือ นายอำนวย สุวรรณคีรี ส.ส.จังหวัดสงขลา
ผู้ที่มีเบื้องหลังคือหวังจะโค่นนายอาคม เอ่งฉ้วน แล้วขึ้นมาเป็น รมช.ศึกษาฯคุมกรมการศาสนาแทน
พระภิกษุทั่วประเทศจะต้องร่วมมือกันต่อต้าน มิให้ พ.ร.บ. นี้ออกมาบังคับใช้ได้
มิฉะนั้นฆราวาสผู้ไม่มี ศีลก็จะมาข่มขู่เรียกร้องผลประโยชน์จากพระ
เอาอำนาจการควบคุมบังคับ ชั้นเชิงทางโลกที่เหนือกว่าวางกับดักเรื่องการเงินและอื่นๆ
พอพระรู้ไม่ทันพลาดเข้าก็จะขู่เรียกเงินฯลฯ ระบบการปกครองคณะสงฆ์ไทยจะสั่นคลอนอย่างรุนแรงถึงราก

ขอพระคุณเจ้าทุกรูปและญาติโยมชาวพุทธทุกคนช่วยกันกรอกใบแสดงความเห็นที่แนบ มาพร้อมกันนี้
เป็นสังฆมติ และเป็นประชา มติ ส่งไปที่หนังสือพิมพ์ พิมพ์ไทย
จะช่วยเป็นสื่อกลางรวบรวมเสนอรัฐบาลและมหาเถรสมาคมต่อไปด้วย

กราบเรียนมาด้วยความเคารพอย่างสูง/ขอเจริญพร

พระนิสิตมหาจุฬา
11 พฤษภาคม 2542

เชิญพิจารณาครับ
ใจหยุดที่สุดแห่งบุญ มุ่งสู่ที่สุดแห่งธรรม

#52 *Diva*

*Diva*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 30 April 2011 - 08:46 AM

ขอชื่นชมที่เข้าใจคนปัจจุบันได้อย่างถ่องแท้ และไม่ใช้คำติเตียน รุนแรงและขออนุโมทนาบุญค่ะ