ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ทึ่งพระยอดกตัญญูเลี้ยงแม่อัมพฤกษ์


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 16 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 yaofeng

yaofeng
  • Members
  • 15 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 February 2006 - 11:54 AM

ทึ่งพระยอดกตัญญูเลี้ยงแม่อัมพฤกษ์


พระกตัญญู - พระอภิรักษ์ อภิญญาโณ อายุ 41 ปี สละทิ้งตำแหน่งเจ้าอาวาส เดินเท้าจากวัดในอ.ไพรบึง จ.ศรีสะเกษ ไปบ้านที่อยู่ห่างไปราว 5 ก.ม. เพื่อดูแลโยมแม่ที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์มานานกว่า 3 ปี



ทึ่งพระศรีสะเกษ ยอดกตัญญูเดินจากวัดมาบ้านไป-กลับหลายกิโลฯ เอาข้าวที่บิณฑบาตมาได้ป้อนโยมแม่ที่พิการ ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ แถมถ่ายเรี่ยราด ต้องคอยเช็ดเนื้อเช็ดตัว เผยเคยเป็นถึงเจ้าอาวาส จู่ๆ แม่หกล้ม ป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์ ตัดสินใจสละตำแหน่ง จะได้มีเวลาดูแล ไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน เหลือกัน 2 คนแม่ลูก ไม่สนทำผิดวินัยสงฆ์ถูกเนื้อตัวผู้หญิง คิดว่าแม่เป็นพระอรหันต์ของลูก เพื่อนบ้านชื่นชมกตัญญูรู้คุณ วอนทางการช่วยเหลือ

เมื่อวันที่ 3 ก.พ. ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.ศรีสะเกษ ว่าขณะนี้มีประชาชนพากันร่ำลือเกี่ยวกับพระสงฆ์รูปหนึ่งอยู่ที่วัดบ้านสังกัน ต.สำโรงพลัน อ.ไพรบึง ยอมสละตำแหน่งเจ้าอาวาสที่เป็นมานานถึง 9 ปี ลดฐานะลงมาเป็นแค่พระลูกวัดธรรมดา เพื่อจะได้มีเวลาไปดูแลโยมแม่ที่ป่วยและพิการมานานหลายปี จากนั้นจึงเดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่วัดบ้านสังกัน ทราบชื่อพระรูปดังกล่าวคือ พระอภิรักษ์ อภิญญาโณ อายุ 41 ปี ซึ่งออกไปบิณฑบาตกับพระปลัดสุวิทย์ ฐานวโร เจ้าอาวาสวัดบ้านสังกัน

ต่อมาพระปลัดสุวิทย์ และพระอภิรักษ์ กลับจากบิณฑบาต โดยเฉพาะพระอภิรักษ์เมื่อมาถึงก็จัดแจงแบ่งข้าวและอาหารที่บิณฑบาตมาได้ ใส่ถุงเตรียมนำไปให้โยมแม่ ก่อนจะเดินด้วยเท้าเปล่าจากวัดไปยังบ้านโยมแม่ที่บ้านสำโรงพลัน ต.สำโรงพลัน ห่างจากวัดบ้านสังกันระยะทางไปกลับประมาณกว่า 5 กิโลเมตร เมื่อไปถึงพบนางตู๊จ ศรีสัจจา อายุ 74 ปี อยู่บ้านเลขที่ 72 หมู่ 1 บ้านสำโรงพลัน ซึ่งป่วยเป็นโรคอัมพฤกษ์ช่วยเหลือตนเองไม่ได้มานานกว่า 3 ปี โดยจะถ่ายอุจจาระและปัสสาวะบนที่นอนจนเปรอะเปื้อน

ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า เมื่อพระอภิรักษ์มาถึงบ้านก็จะนำเอาผ้าชุบน้ำเช็ดเนื้อตัวให้นางตู๊จ ก่อนจะป้อนข้าวป้อนน้ำให้แม่ อีกทั้งยังเข้าครัวทำกับข้าว และซักผ้าถุงเสื้อผ้าให้โยมแม่ โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าจะเป็นการทำผิดพระธรรมวินัยของสงฆ์แต่อย่างใด โดยพระอภิรักษ์ปฏิบัติเช่นนี้มานานกว่า 3 ปีแล้ว เนื่องจากว่านางตู๊จไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน มีเพียงลูกชายคนเดียวคือพระอภิรักษ์

พระอภิรักษ์ กล่าวว่า บวชเป็นเณรมาตั้งแต่อายุเพียง 12 ปี ที่วัดบ้านสำโรงพลัน กระทั่งอายุครบบวชจึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์นานกว่า 20 พรรษาแล้ว กระทั่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าอาวาสวัดบ้านหัวช้าง ต.สำโรงพลัน เป็นเจ้าอาวาสนาน 9 ปี ช่วงนั้นโยมแม่จะนำข้าวปลาอาหารมาถวายที่วัดเป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่งโยมแม่หกล้ม ก่อนจะเป็นโรคอัมพฤกษ์ ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ อาตมาจึงตัดสินใจสละตำแหน่งเจ้าอาวาส แล้วย้ายมาจำพรรษาที่วัดบ้านสังกัน ซึ่งอยู่ใกล้บ้าน เพื่อจะได้ดูแลโยมแม่สะดวกขึ้น

อดีตเจ้าอาวาสวัดกล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้เคยขอจะมาจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านสำโรงพลัน ซึ่งใกล้บ้านกว่า แต่ไม่รับอนุญาตเจ้าอาวาสวัดบ้านสำโรงพลัน เนื่องจากเกรงว่าการที่อาตมาดูแลแม่ แล้วแตะต้องตัวแม่จะเป็นการทำผิดพระธรรมวินัย อาตมาจึงขอมาจำพรรษาอยู่ที่วัดบ้านสังกันแทน ด้วยความเมตตาของพระปลัดสุวิทย์ เจ้าอาวาสวัด ช่วงที่ดูแลโยมแม่เคยมีหลายคนเคยถามว่า เพราะอะไรจึงไม่ลาสิกขาบทออกมาเพื่อมาดูแลโยมแม่ เพราะจะต้องแตะต้องเนื้อตัวแม่ แต่อาตมาคิดว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า คนเราเกิดมาจะต้องกตัญญูรู้คุณ และแม่คือพระอรหันต์ของลูก จึงคิดว่าเป็นพุทธบุตร ได้ปฏิบัติต่อแม่ซึ่งเปรียบเสมือนพระอรหันต์

พระอภิรักษ์กล่าวอีกว่า ส่วนที่ไม่ลาสึก เพราะต้องการให้โยมแม่เห็นชายผ้าเหลือง จนกระทั่งวาระสุดท้ายของชีวิต แทนที่จะเป็นเพียงการบวชหน้าไฟ การที่ทำเช่นนี้พระผู้ใหญ่หลายท่านก็เห็นดีด้วย และสนับสนุน เนื่องจากทำเพื่อโยมแม่ อีกทั้งด้วยความยากจน ทำให้ไม่มีเงินรักษาโยมแม่ เพราะอยู่วัดตามบ้านนอก มีเพียงเจ้าอาวาสที่ให้ปัจจัยไปรักษาแม่ อาตมาเคยเครียดขนาดว่าซื้อยาพิษมา จะกินฆ่าตัวตายพร้อมกับโยมแม่มาแล้ว แต่เกรงว่าเป็นบาป จึงล้มเลิกความคิดนี้ ก่อนนำเอาที่ดินที่มีอยู่เพียงน้อยนิดไปจำนองกับร้านค้าใน อ.ไพรบึง จำนวน 30,000 บาท เพื่อมารักษาโยมแม่ และได้รับความเมตตาจากนายทุนเงินกู้ ที่ยังไม่ไล่ออกจากบ้าน เพราะไม่มีเงินไปใช้มานานร่วม 3 ปีแล้ว ส่วนอาการของโยมแม่ก็ยังไม่ดีขึ้น

ด้านนายกะมอน สุพรรณ์ อายุ 42 ปี ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 1 บ้านสำโรงพลัน ซึ่งบ้านอยู่ติดกับบ้านนางตู๊จ กล่าวว่า เฝ้าดูพระอภิรักษ์ดูแลแม่มานานแล้ว มีความชื่นชมมากที่พระอภิรักษ์ปฏิบัติตัวเป็นลูกที่ดี ไม่มีความรังเกียจ แม้แม่จะถ่ายเรี่ยราด เพราะช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ส่วนจะเหมาะสมหรือไม่นั้น คิดว่าหากปล่อยให้นางตู๊จตายโดยไม่มีใครเหลียวแล แล้วใครจะเป็นคนรับผิดชอบ จึงอยากขอฝากไปยังส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ขอให้มาช่วยเหลือนางตู๊จด้วย หรือผู้มีจิตศรัทธาท่านใดจะให้ความช่วยเหลือ ขอให้ติดต่อพระอภิรักษ์ที่วัดบ้านสังกัน ต.สำโรงพลัน [u]โทร.0-6870-6879
http://www.matichon....&day=2006/02/04

อยากให้ช่วยท่านกันเยอะๆค่ะ ท่านจะได้ไม่ต้องลาสิขา ซึ้งกับคำท่านที่ว่าแม่คือพระอรหันต์ของบ้าน ตรงกับคำสังสอนของพระเดชพระคุณหลวงพ่อ ท่านเปนพระแท้ไม่อยากให้ท่านต้องสึกเลย



#2 Omena

Omena
  • Members
  • 1409 โพสต์
  • Location:44/5 หมู่ 10 ตำบลหนองอ้อ ถนนเพชรเกษม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี 70110

โพสต์เมื่อ 04 February 2006 - 02:23 PM

สาธุ
คนดีๆ ที่จะยอมเลี้ยงบุพการีอย่างนี้หายากมาก
ยังไงก็จะพยายามช่วยเหลือนะคะ
เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที

สุนทรพ่อ




muralath2@hotmail

#3 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 04 February 2006 - 02:41 PM

เคยได้ยินข่าว ลูกทิ้งมารดา บิดาที่เฒ่าชรา เป็นโรคร้าย บางรายยังทิ้งลูกเล็กๆของตนด้วย

แต่นี่เป็นข่าวมงคล กับความกตัญญูของลูกที่มีต่อบุพพการี

โมทนาสาธุ กับพระคุณเจ้า พระอภิรักษ์ อภิญญาโณ ท่านทำกุศลในสิ่งที่มีน้อยคนจะทำได้

บุญรักษาท่านแน่นอน สาธุ


#4 ฟ้ายังฟ้าอยู่

ฟ้ายังฟ้าอยู่
  • Members
  • 2511 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 February 2006 - 02:59 PM

ซาบซึ้งใจกับความกตัญญูของท่าน จนต้องหันมามองตัวเองเข้าแล้วสิ
คงมีข้อยกเว้น สำหรับลูกกตัญญูอยู่บ้างนะคะ
"เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำจะเกิดมาทำไม
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)


#5 aoi

aoi
  • Members
  • 356 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 February 2006 - 04:22 PM

อ้อยได้โทรไปสอบถามท่านแล้วค่ะเพื่อขอเลขที่บัญชีในการโอนเงิน ถ้าใครสนใจก็โอนเงินตามรายละเอียดด้านล่างนะค่ะ

ธ.กรุงไทย ประเภทออมทรัพย์ สาขาขุนหาญ
เลขที่บัญชี 326-1-02699-5
ชื่อบัญชี พระอภิรักษ์ ศรีสัจจา

(มีค่าธรรมเนียมในการโอนด้วยนะค่ะถ้าจำไม่ผิดประมาณ 30 บาท เพราะอยู่จ.ศรีสะเกษ และถ้าโอนเงินทำบุญแล้วโทรแจ้งท่านด้วยนะค่ะที่เบอร์ 06-8706879)

ขออนุโมทนาบุญด้วยค่ะ
เราเกิดมาสร้างบารมี




#6 Trai072

Trai072
  • Members
  • 225 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 February 2006 - 11:18 PM

ขออนุโมทนาบุญด้วย ครับ

สาธุ .... ครับ


เ มื่ อ เ ร า ส ว่ า ง * * * โ ล ก * * * ก็ ส ว่ า ง ด้ ว ย ^^~*

ส า ธุ . . . ค รั บ ^^~*





#7 LiL' Faery

LiL' Faery
  • Members
  • 1160 โพสต์
  • Location:@ Time : Europe
  • Interests:Basic and Advance Meditation;วิชชา ธรรมกาย<br />Birth Day : 19 January

โพสต์เมื่อ 07 February 2006 - 03:23 AM

ขออนุโมทนาบุญกับความกตัญญูของพระคุณเจ้า ที่มีต่อบุพพการี ด้วยนะค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ happy.gif
คุณครูไม่ใหญ่ บอกว่า :
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ^_^ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง

#8 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 07 February 2006 - 02:43 PM

กรณีอื่นที่ใกล้เคียง

อ้างอิง พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ภาค ๑

http://www.84000.org...A=13624&Z=13713

เรื่องมารดา

[๓๘๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งจับต้องมารดาด้วยความรักฉันมารดา เธอได้มี
ความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส แต่ต้องอาบัติทุกกฏ

คือ กรอบของพระวินัยนั้น เขาเอาไว้ป้องกันไม่ให้เกิดความไม่ดีไม่งามขึ้นกับผู้ที่ดำรงตนในภิกษุภาวะ. ..... ก็มีลักษณะเป็นข้อกำหนดที่ชัดเจน สามารถตัดสินกรณีนี้ ว่าถูก-ผิด พระวินัยได้หรือไม่แน่ๆ โดยการตีความตามพุทธบัญญัติ...... แต่เท่าที่ทราบมา ก็ไม่ใช่ขนาดว่าอาบัติจะรุนแรงจนขาดจากความเป็นพระน่ะครับ ก็คงสามารถจะปลงอาบัติได้

ทางออกที่ดีคือว่า น่าจะมีคนมาดูแลโยมแม่ของท่านแทนท่าน เพื่อหลีกเลี่ยงการหมิ่นเหม่ต่อพระวินัย..... แต่มันคงยากครับ เพราะถ้าทำได้จริงท่านคงทำไปแล้ว..... ผมเข้าใจและเห็นใจท่านครับ




#9 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 07 February 2006 - 02:45 PM

พระวินัยที่พระพุทธเจ้าท่านกำหนดไว้ เพื่อเป็นกรอบสำหรับการปฏิบัติของเหล่าพระภิกษุและมีผลบังคับต่อพระภิกษุทุก รูปโดยเสมอกันไม่ได้ยกเว้นแก่รูปใด รูปหนึ่ง แต่พระวินัยทุกข้อก็มีรายละเอียดในการพิจารณาซึ่งขึ้นอยู่กับเจตนา อย่างเช่น การจับต้องกายมาตุคาม ถ้าจับต้องด้วยกามกิเลส ก็ผิดฐานสังฆาทิเสส แต่ถ้าจับต้องมาตุคาม อย่างเช่นมารดาในลักษณะการดูแลรักษา ด้วยความรักและห่วงใย ก็เป็นเพียงอาบัติทุกกฏ ดังนั้น กรณีท่านพระภิกษุรูปนี้ ถ้าปฏิบัติทุกวัน ก็ย่อมผิดพระวินัยทุกวัน แต่ก็แก้ด้วยการปลงอาบัติ ก็ถือว่า จบในเรื่องของพระวินัยสำหรับกรณีนี้

ส่วนการกระทำเช่นนี้ควรหลีกเลี่ยงหรือไม่ ถ้าหลีกเลี่ยงได้ ท่านก็คงหลีกเลี่ยง แต่เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่มีใครทำ ท่านก็ต้องทำและสมควรทำเพราะนี่ คือ คุณธรรมความกตัญญูต่อบุพการีที่ยิ่งใหญ่ และ ณ วันนี้ด้วยคุณความดีของท่าน อาจจะทำให้มีผู้เข้ามาช่วยเหลือ ทำให้ท่านไม่ต้องทำผิดพระวินัยในข้อนี้อีกต่อไป และไม่เสียคุณธรรมในเรื่องความกตัญญูอีกด้วย

#10 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 07 February 2006 - 02:51 PM

เรื่องภิกษุเลี้ยงมารดา

ดังได้สดับมา บุตรเศรษฐีคนหนึ่ง ในกรุงสาวัตถี ฟังเทศนาของพระศาสดาแล้ว ได้บรรพชาอุปสมบท เล่าเรียนธรรมวินัยครบ ๕ ปีแล้ว จึงเรียนเอากัมมัฎฐานในสำนักเรียนของพระอุปัชฌาชย์นั้นต่อ ออกจากพระเชตวันไปยังปัจจันตคาม อาศัยบ้านนั้นอยู่ในป่า. ส่วนมารดาบิดาของเธอ จำเดิมแต่เวลาที่เธอบวชแล้ว ทรัพย์สมบัติก็ร่อยหรอลงโดยลำดับ ถึงความเป็นผู้น่าสงสารอย่างยิ่ง มีมือถือภาชนะเที่ยวไปขอทาน อาศัยฝาเรือนของชนอื่นอยู่.
ก็ในกาลต่อมา ภิกษุนั้น ได้สดับว่า มารดาบิดาของตนประสพทุกข์ จึงคิดว่า "เราแม้พยายามอยู่ในป่าสิ้น ๑๒ ปี ก็ไม่อาจบรรลุมรรคและผลได้, เราเป็นคนอาภัพ, เราจะต้องการอะไรด้วยการบรรพชา, เราเป็นคฤหัสถ์ เลี้ยงมารดาบิดาให้ทาน ก็จักเป็นผู้มีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้าได้" ดังนี้แล้ว ออกจากป่า ถึงกรุงสาวัตถีโดยลำดับ คิดว่า "วันนี้ เราเฝ้าพระศาสดาฟังธรรมแล้วพรุ่งนี้จึงจักเยี่ยมมารดาบิดาแต่เช้าตรู่" ดังนี้แล้ว เข้าไปยังพระเชตวัน
ก็ในวันนั้น พระศาสดา ทรงตรวจดูสัตว์โลกในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเห็นอุปนิสัยแห่งปฐมมรรคของภิกษุนั้นแล้ว, เมื่อเธอมานั่งแล้ว ทรงพรรณนาคุณของมารดาบิดาด้วยมาตุโปสกสูตร . เธอฟังพระสูตรนั้นแล้ว คิดว่า "เรามาด้วยตั้งใจว่า จักเป็นคฤหัสถ์เลี้ยงมารดาบิดา, แต่พระศาสดาตรัสว่า "บุคคลเป็นบรรพชิต ก็ชื่อว่าอุปการะมารดาบิดาได้;" ถ้าเราไม่เฝ้าพระศาสดาแล้วไปเสีย พึงเสื่อมจากการบรรพชาเห็นปานนี้ ก็บัดนี้ เราจักเลี้ยงมารดาบิดานั้นทั้งบรรพชิต. "

ในวันรุ่งขึ้น เธอถือสลากยาคูและสลากภัตอันถึงแล้วแก่ตนเข้าไปบ้าน ถือเอายาคูและภัตให้แก่มารดาบิดาแล้ว ส่วนตนเที่ยวบิณฑบาต ทำคัตกิจแล้ว ทำที่อยู่สำหรับมารดาบิดานั้น จำเดิมแต่นั้น ก็ปรนนิบัติมารดาบิดาเนืองนิตย์. ก็เธอให้ปักขิกภัตเป็นต้น อันตนได้แล้วแก่มารดาบิดานั้นแล้ว ส่วนตนเที่ยวบิณฑบาตเมื่อได้บิณฑบาตก็บริโภค, เมื่อไม่ได้ ก็ไม่บริโภค. ก็วันที่ได้ภิกษาของท่าน มีน้อย, วันที่ไม่ได้ มีมากกว่า. เธอได้ผ้าวัสสาวาสิก(ผ้าจำนำพรรษา) หรือผ้าชนิดใดชนิดหนึ่งแม้อื่น ก็ให้แก่มารดาบิดานั้นนั่นแล ทำการปะผ้าท่อนเก่าที่มารดาบิดานั้นใช้สอยแล้ว ย้อมใช้สอยเอง.
ทานถูกความกังวลในการบำรุงมารดาบิดาบีบคั้นอย่างนั้น ได้เป็นผู้ซูบผอม มีผิวพรรณหม่นหมองแล้ว.
ภิกษุทั้งหลายพบเธอ จึงถาม สดับความนั้นแล้ว ติเตียนเธอแล้วทูลแด่พระศาสดา. พระศาสดา รับสั่งให้เรียกเธอมาแล้ว ทั้งทรงทราบอยู่ ก็รับสั่งให้ทูลความนั้น ประทานสาธุการ พระประสงค์จะทรงประกาศบุพพจริยาของพระองค์ จึงตรัสถามว่า "ภิกษุ คนทั้งหลายที่เธอเลี้ยงเป็นอะไรแก่เธอ? " ภิกษุ ทูลว่า "เป็นมารดาบิดาของข้าพระองค์ พระเจ้าข้า. "
ทีนั้น พระศาสดา ประทานสาธุการ ๓ ครั้งแก่เธอว่า "สาธุ สาธุ สาธุ" แล้วตรัสว่า "เธอตั้งอยู่ในมรรคาที่เราดำเนินแล้ว, แม้เราเมื่อประพฤติบุพพจริยา ก็เลี้ยงดูมารดาบิดาแล้ว" ตรัสสุวรรณสามชาดก ในมหานิบาตแล้ว ตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่า การเลี้ยงดูมารดาบิดา เป็นวงศ์ของบัณฑิตทั้งหลาย" ดังนี้แล้ว ทรงประกาศสัจจะทั้งหลาย
ในเวลาจบสัจจะ ภิกษุนั้น ได้เป็นพระโสดาบันแล้ว.

........................................................................ .....

"นรชนใด เลี้ยงมารดาหรือบิดาโดยธรรม,
แม้เทพยดาทั้งหลายก็ย่อมแก้ไขนรชนผู้เลี้ยงมารดาบิดานั้น.
นรชนใดเลี้ยงมารดาหรือบิดาโดยธรรม,
นักปราชญ์ทั้งหลายย่อมสรรเสริญนรชนนั้นในโลกนี้นี่เอง,
เขาละไปแล้วย่อมบันเทิงในสวรรค์."




อ้างอิง
คัมภีร์ มังคลัตถทีปนี(พ.ศ. 2067) ผลงานรจนาของ พระสิริมังคลาจารย์ ปราชญ์แห่งล้านนา ผู้รจนา


#11 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 07 February 2006 - 11:17 PM

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า บุคคลที่หาได้ยากในโลกมี ๒ ประเภท คือ

๑. บุพพการี
๒. ผู้มีความกตัญญูกตเวที


ขอกราบอนุโมทนา และขอกราบแทบเท้าพระอภิรักษ์ อภิญญาโณ ด้วยความเคารพอย่างยิ่ง สาธุ... สาธุ... สาธุ...


#12 saowanee15

saowanee15
  • Members
  • 207 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 February 2006 - 11:20 AM

อนูโมทนาสาธุการค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ ^/\^

#13 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 08 February 2006 - 12:20 PM

เคยได้ยินอีกรูปหนึ่งคือ เจ้าคุณพระมงคลเทพมุนี(หลวงพ่อวัดปากน้ำภาษีเจริญ) โยมมารดาท่านชรามากแล้ว ชวนแล้วยังไม่ยอมมาปฏิบัติธรรมที่วัดปากน้ำ ต่อมาโยมมารดาท่านถูกโกงจนล้มละลาย มากราบเรียนท่าน ท่านแสดงอาการดีใจ ความจริงคือท่านปีติที่จะได้รับมาอุปการะปฏิบัติ ดูแลโยมมารดาจนวาระสุดท้ายของชีวิต

เมื่อโยมแม่ท่านสิ้นโยมพี่สาวท่านต่อมาประสบความเดือดร้อน ล้มละลาย ไม่มีใครเลี้ยงดู ท่านจึงหาอาชีพให้ ให้มาอยู่ใกล้วัด ท่านจึงแจ้งในที่ประชุมสงฆ์วัดปากน้ำ ว่าข้าพเจ้าเป็นสงฆ์ ไม่มีทรัพย์สมบัติใด บัดนี้โยมพี่สาว ซึ่งเคยเลี้ยงดูข้าพเจ้าเหมือนมารดา มารดาสิ้นไปแล้ว จึงมีแต่โยมพี่ซึ่งมีพระคุณ ซึ่งประสบความเดือดร้อน จึงขออนุญาติสงฆ์ เพื่อขอถ่ายรูปของข้าพเจ้า เพื่อนำรูปใส่กรอบให้โยมพี่สาวนำไปให้ผู้คนบูชา เพื่อจะไดเลี้ยงตัวเองได้ ถ้าสงฆ์รูปใดเห็นไม่สมควรก็ให้คัดค้าน ถ้าเห็นสมควรก็ให้อนุโมทนา สงฆ์ได้อนุโมทนาสาธุการ ในความกตัญญูของท่าน

มีแม่ค้าขายข้าวแกงอีกคนหนึ่ง ตอนพระเดชพระคุณฯท่านเป็นภิกษุหนุ่ม ศึกษาปริยัติธรรม ต้องแบกคัมภีร์ใบลานจำนวนมากข้ามไปมาระหว่างท่าน้ำวัดแจ้ง กับ วัดโพธิ์ แม่ค้าชื่อนวมเห็นความ วิริยะอุตสาหะของท่าน จึงปวารณาถวายภัตตาหารแก่ท่าน ต่อมาภายหลังทราบว่าแม่ค้าท่านนี้ชราทุพพลภาพตามองไม่เห็น ไม่มีผู้อุปการะ ท่านจึงรับมาอุปการะที่วัดปากน้ำภาษีเจริญตราบสิ้นอายุ

#14 หยุดอะตอมใจ

หยุดอะตอมใจ
  • Members
  • 729 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 08 February 2006 - 01:51 PM

ต่อไปคงจะมีกองทุนอุปการะบุพการีของพระ เณร ที่บวชตลอดชีวิตนะครับ smile.gif

จะได้ปลดกังวลให้ท่านด้วย

แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง


#15 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 08 February 2006 - 02:08 PM

ถ้าไม่สะดวกจะโอนผ่านธ.กรุงไทยก็มีอีกบัญชีนะค่ะ

ธ.กรุงเทพ สาขากันทรารมย์ ประเภทออมทรัพย์
เลขที่บัญชี 487-0-30708-1
ชื่อบัญชี พระอภิรักษ์ ศรีสัจจา
(ค่าธรรมเนียมต่างหากค่ะ)

อนุโมทนาบุญค่ะ
Aoi



#16 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 08 February 2006 - 04:32 PM

เห็นจากรูปแล้วโยมมารดาท่านแก่หง่อมขนาดนั้น เห็นแล้วต้องกราบอนุโมทนาบุญกับท่านด้วยครับ


#17 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 11 February 2006 - 02:32 PM

thank you, k-Aoi kah

A-nu-mo-dha-naa-boon
yaofeng