ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

คิดอย่างไรกับการที่พ่อแม่นำลูกไปเปรียบเทียบกับลูกคนอื่น


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 16 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 MiraclE...DrEaM

MiraclE...DrEaM
  • Members
  • 1368 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 July 2006 - 10:26 PM

ตามหัวข้อเลยครับ ยกตัวอย่างเช่น เวลาผู้ใหญ่สนทนากัน มักจะนำลูกของตัวเองไปเปรียบเทียบกับลูกคนอื่น แล้วมักพูดทำนองว่า ลูกตนเองสู้ลูกคนอื่นไม่ได้ ทั้งๆ ที่คนแต่ละคนมีดี ต่างกันไป เช่น ข้อดีของลูกตนเองคือไม่กินเหล้า สูบบุหรี่ ไม่เที่ยวกลางคืน พ่อแม่กลับไม่พูดถึง แต่กลับไปพูดว่า ลูกตนเองเรียนเก่งสู้ลูกคนอื่นไม่ได้ (ลูกคนอื่นที่เรียนเก่ง กินเหล้า เที่ยวกลางคืน) ที่สำคัญกลับพูดให้ ลูกตนเองได้ยินเสียอีก

อยากทราบว่า เพื่อนๆ มีความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไร
ถ้าลูกได้ยินพ่อแม่พูดแบบนี้จะรู้สึกอย่างไร
ผู้ใหญ่พูดเปรียบเทียบกันแบบนี้ถูกต้องหรือไม่ อย่างไร

ที่ตั้งกระทู้นี้ แบบว่า เห็นสมัยนี้ ผู้ใหญ่พูดกันแบบนี้เยอะ บางครั้ง ผู้ใหญ่ไม่มองข้อดีของลูกตนเองหรือป่าว ประมาณว่าเช่น เห็นลูกตนเอง ไม่กินเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยวกลางคืน จนชิน จนเห็นเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ความดี หรือป่าว mad.gif
สิ่งอัศจรรย์ ปรากฏ บนผืนหล้า
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา

*********************

รักษ์ร่างพอสร่างร้าย ..... รอดตน
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว

เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล


คำสอนของเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย

#2 light mint

light mint

    ขออนุโมทนาบุญค่ะ

  • Members
  • 1423 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:THAILAND
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 04 July 2006 - 10:59 PM

QUOTE
อยากทราบว่า เพื่อนๆ มีความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไร ถ้าลูกได้ยินพ่อแม่พูดแบบนี้จะรู้สึกอย่างไร

เคยเห็นพ่อแม่ของหลายครอบครัว มักพูดเปรียบเทียบลูกคนอื่นกับลูกตนเอง บ่อยๆ
ชอบพูดย้ำๆ ว่าคนโน้นดีกว่าลูกอย่างงั้นอย่างงี้
ซึ่งพูดบ่อยเข้า ๆ ๆ อาจจะทำให้ลูกสะสมนิสัยน้อยใจ ลูกบางคนถึงขึ้นอิจฉา ริษยา ยกตนข่มท่าน ก็มี
ต่อไป ลูกก็มักจะเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นไปเสียทุกเรื่อง เอาตัวเองเทียบกับเพื่อน เทียบกับคนโน้นคนนี้
จนกระทั่งไปทำงาน ทำงานเป็นทีมกับคนอื่นก็ลำบาก เพราะจะแข่งกันแม้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆ ไม่อยากด้อยกว่าใคร หรือไม่อยากให้ใครเก่งกว่า อดทนใครมาวิจารณ์ตัวเองไม่ค่อยได้

QUOTE
ผู้ใหญ่พูดเปรียบเทียบกันแบบนี้ถูกต้องหรือไม่ อย่างไร

เจตนาของผู้ใหญ่อยากให้ลูกได้ดี ดีเลิศในทุกเรื่องได้ยิ่งดี ใจลึกๆจึงคาดหวังกับลูกมาก
แต่ลูกจะรู้สึกกดดันมากกว่าจะมีกำลังใจ น่าเห็นใจเพราะเป็นเรื่องทุกข์ใจของผู้เป็นลูก
แต่ลูกควรเห็นใจบุพการี อย่าไปเคืองโกรธท่านเลย ใจของพ่อแม่จะเห็นลูกของท่านดีที่สุดเสมอ ใจรักลูกแต่ไม่ค่อยบอกว่ารักลูก
ลองให้พ่อแม่ไปพูดเรื่องลูกกับหมู่เพื่อนของพ่อแม่สิ ท่านจะบอกว่าลูกฉันดี-เก่งด้านนั้นด้านนี้ ใครมาชมลูกตัวเองก็จะยิ้มแก้มแทบปริ
แต่เวลามาพูดกับลูกตัวเอง กลับมักดุว่าลูก ไม่ค่อยชมให้ลูกได้ยิน กลัวลูกจะเหลิง แล้วไม่พัฒนาตัวเอง

ถ้าหากคุณพ่อคุณแม่จะว่ากล่าวตักเตือนลูก คิดว่า ก็ควรพูดเจาะจงในสิ่งที่ต้องการให้แก้ไขดีกว่า บอกลูกตรงๆ เลยว่าอยากให้ลูกทำยังไง ลูกจะได้รู้ว่าพ่อแม่ต้องการอะไร
ขออนุโมทนาบุญนะคะ สาธุ


#3 MiraclE...DrEaM

MiraclE...DrEaM
  • Members
  • 1368 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 July 2006 - 12:50 AM

QUOTE
เจตนาของผู้ใหญ่อยากให้ลูกได้ดี ดีเลิศในทุกเรื่องได้ยิ่งดี ใจลึกๆจึงคาดหวังกับลูกมาก

อันนี้สงสัยน่าจะเข้าข่าย ความรู้สึกที่เป็นเจ้าเข้าเจ้าของนะครับ แบบว่า อยากให้ลูกเป็นโน่น เป็นนี่ แต่พอไม่ได้ดังหวังก็มานั่งเสียใจ ทุกข์ใจ
ซึ่งอันนี้ก็เป็นทุกข์อีกอันหนึ่งของการครองเรือนแน่ๆ เลย จะว่าไปก็เหมือนความยึดมั่นถือมั่นซึ่งเกิดเพราะความรักอย่างหนึ่งหรือป่าว เหมือนพุทธพจน์ที่ว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ รักหนึ่งก็ทุกข์หนึ่ง รักร้อยก็ทุกข์ร้อย เมื่อใดหมดรัก เมื่อนั้นก็หมดทุกข์
สิ่งอัศจรรย์ ปรากฏ บนผืนหล้า
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา

*********************

รักษ์ร่างพอสร่างร้าย ..... รอดตน
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว

เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล


คำสอนของเดชพระคุณหลวงพ่อ
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย

#4 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 05 July 2006 - 01:52 AM

QUOTE
ซึ่งอันนี้ก็เป็นทุกข์อีกอันหนึ่งของการครองเรือนแน่ๆ เลย จะว่าไปก็เหมือนความยึดมั่นถือมั่นซึ่งเกิดเพราะความรักอย่างหนึ่งหรือป่าว เหมือนพุทธพจน์ที่ว่า ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ รักหนึ่งก็ทุกข์หนึ่ง รักร้อยก็ทุกข์ร้อย เมื่อใดหมดรัก เมื่อนั้นก็หมดทุกข์

nerd_smile.gif ถูกต้องครับ
"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#5 อ้วน บ่อโยก

อ้วน บ่อโยก
  • Members
  • 646 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:rayong

โพสต์เมื่อ 05 July 2006 - 08:28 AM

ภาษาพูด เขาเรีบยกว่า หัวอกพ่อแม่ครับผม

พ่อแม่ท่านเองอาจมีการศึกษาน้อย ( ดังเช่น พ่อแม่ของผม)
ท่านจึงให้โอกาสลูกทุกคนเรียนเต็มที่ตามความสามารถของตน

อีกอย่าง เรื่องการศึกษาเป็นเรื่องใกล้ตัวที่พ่อแม่มีอิทธิพลต่อบุตรได้นะครับ

ในขณะเดียวกัน ตัวบุตรเองควรประพฤติตนให้เป็นคนดีตามตัวอย่างที่พ่อแม่ได้ทำไว้
รวมถึงยกย่องถึงการเป็นต้นแบบคนดีให้คนอื่น ๆ ฟังอย่างสม่ำเสมอ

ผมมักยกตัวอย่าง ยามยาก คุณพ่อถึงแก่กรรมใหม่ ปี 2525 คุณแม่ต้องเลี้ยงลูก 6 คน
ใช้หนี้การค้าอีกหลายล้านในขณะนั้น คุณแม่เองยังลุกขึ้นมาแต่เช้าตักบาตรตั้งแต่ หกโมงเช้า จนถึง เกือบแปดโมงเช้า
หรือ เรียกว่า จนกระทั่งพระกลับวัดจนหมดแล้ว เป็นต้น
นึกถึงทีไร ปลื้มปิติทุกครั้งไปครับผม

#6 SmilingCat

SmilingCat
  • Members
  • 1209 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 July 2006 - 08:35 AM

QUOTE
อยากทราบว่า เพื่อนๆ มีความคิดเห็นในเรื่องนี้อย่างไร
ถ้าลูกได้ยินพ่อแม่พูดแบบนี้จะรู้สึกอย่างไร
ผู้ใหญ่พูดเปรียบเทียบกันแบบนี้ถูกต้องหรือไม่ อย่างไร


ผมคิดว่า ท่านคงอยากให้ลูกเรามีความพยายามทำให้ได้เหมือนกันอื่น
มีหนึ่งสมองสองมือเท่ากัน ก็น่าจะทำได้เท่ากัน ( ถ้ามีความพยายาม )

ถ้าท่านถามเช่นนี้ ความรู้สึกคือว่า ท่านยังไม่เข้าใจว่ามนุษย์แต่ละคนไม่เท่ากัน
อย่างไร เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผังชีวิตเราได้ง่าย ๆ ยกตัวอย่างให้ท่านเห็นชัด ๆ
ลูกที่พ่อแม่เขามีพร้อมทำไม ? เรียนก็ไม่จบ บางคนเป็นคนเลวทั้งกินเหล้าสูบบุหรี่พร้อม
( เพราะอะไรมันน่าจะได้เหมือนกันถ้าเขาสามารถควบคุมได้ )

ผมคิดว่าความรู้ทางธรรมะของพี่มิราเคิลดรีมคงสามารถอธิบายให้พ่อแม่เข้าใจได้สบาย ๆ

QUOTE
ที่ตั้งกระทู้นี้ แบบว่า เห็นสมัยนี้ ผู้ใหญ่พูดกันแบบนี้เยอะ บางครั้ง
ผู้ใหญ่ไม่มองข้อดีของลูกตนเองหรือป่าว ประมาณว่าเช่น เห็นลูกตนเอง
ไม่กินเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยวกลางคืน จนชิน จนเห็นเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่ความดี หรือป่าว


เรื่องไม่กินเหล้าสูบบุหรี่ก็เป็นความดีอย่างหนึ่ง แต่ท่านก็คงให้ความสำคัญกับการเป็นคนเก่งมากไปหน่อย
ต้องอธิบายให้ท่านเข้าใจ ว่าคนจะเอาตัวรอดได้ เก่งอย่างเดียวไม่พอต้องดีด้วย
เพราะคนเก่งนำความรู้มาใช้ไม่เกิดประโยชน์ก็เอาตัวรอดไม่ได้


หยุดคือตัวสำเร็จ

#7 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 05 July 2006 - 09:11 AM

มงคลชีวิตที่ 12 เลี้ยงดูบุตร

"ต้นไม้ถ้าลูกมันรสไม่ดี ก็มีแต่คนจะโค่นต้ทิ้ง ไม่มีใครคิดจะบำรุงรักษาไว้ ตรงข้ามถ้าลูกมันรสดี ทั้งหวานทั้งมัน เจ้าของก็อยากใส่ปุ๋ย พรวนดินรดน้ำทะนุถนอมให้คงต้นอยู่นาน ๆ ต้นไม้ผลจะคงต้นอายุยืนได้รับการบำรุงรักษาดีเพียงไร จึงขึ้นอยู่กับลูกของมัน" คนเราก็เช่นกัน ถ้าลูกทำดี คนทั้งหลายก็ชมมาถึงพ่อแม่ว่าเลี้ยงลูกดีความสุขกายสบายใจก็ติดตามเพราะลูก ความดีบุญกุศลก็ไหลมาเพราะลูกแต่ถ้าลูกทำชั่วช้าเลวทราม คนทั้งหลายก็แช่งด่ามาถึงพ่อแม่ด้วยเหมือนกันสร้างความลำบากให้พ่อแม่ ทั้งทรัพย์สินเงินทองชื่อเสียงเสียหายไปเพราะลูกพระสัมมาสัมพุทธจ้าทรงชี้ว่า สิริมงคลของคนที่เป็นพ่อเป็นแม่อยู่ที่ลูกและในทางตรงข้าม ถ้าไม่ป้องกันแก้ไขให้ดีแล้ว อัปรีย์จัญไรก็จะมาจากลูกนั่นเหมือนกัน

ทำไมจึงต้องเลี้ยงดูบุตร
วันหนึ่งเราต้องแก่และตาย สิ่ที่ยากได้กับทุกคน คือ ความปีติ ความปลื้มใจ ไว้หล่อเลี้ยงใจให้สดชื่น ความปลื้มปีติจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้เห็น ผลแห่งความดี หรือผลงานดี ๆ ที่เราทำไว้ ยิ่งผลงานดีมากเท่าไร ยิ่งชื่นใจมากเท่านั้นแล้วอายุจะยืนยง สุขภาพจะแข็งแรง
สุดอดผลงานของนักปฏิบัติธรรม คือ การกำจัดกิเลสในตัวให้หมด
สุดยอดผลงานของโลก คือ การมีลูกหลานเป็นคนดี
ถ้าลูกหลานเป็นคนเลว มันช้ำใจยิ่งกว่าถูกใครจับใส่ครกโขลกเสียอีก
เลี้ยงสุนัขแล้วกัดสู้สุนัขคนอื่นไม่ได้ยังเจ็บใจ
เลี้ยงลูกแล้วดีสู้ลูกคนอื่นไม่ได้มันจะช้ำใจสักแค่ไหน

ความหวังสุดยอดของชาวโลก
๑.บุตรที่เราเลี้ยงมาแล้ว จักเลี้ยงตอบแทน
๒.บุตรที่เราเลี้ยงมาแล้ว จักทำกิจแทนเรา
๓.วงศ์สกุลของเราจัดดำรงอยู่ได้นาน
๔.บุตรจักปกครองทรัพย์มรดกแทนเรา
๕.เมื่อเราละโลกไปแล้ว บุตรจักบำเพ็ญทักษิณาทานให้
เพราะเล็งเห็นฐานนะ ๕ ประการนี้ บิดามารดาจึงอยากได้บุตร

บุตรแปลว่าอะไร ?
บุตร มาจากคำว่า ปุตฺต แปลว่า ลูก มีความหมาย ๒ ประการ คือ
-ผู้ทำสกุลให้บริสุทธิ์
-ผู้ยังหทัยของพ่อแม่ให้เต็มอิ่ม

ประเภทของบุตร
ประเภทของบุตแบ่งโดยความดีในตัว ได้เป็น ๓ ชั้น ดังนี้
๑.อภิชาตบุตร คือ บุตรที่ดีมีคุณธรรมสูงกว่าบิดามารดา เป็นบุตรชั้นสูง สร้างความเจริญแก่วงศ์ตระกูล
๒.อนุชาตบุตร คือ บุตรที่มีคุณธรรเสมอบิดามารดา เป็นบุตรชั้นกลาง ไม่สร้างความเจริญแก่วงศ์ตระกูล แต่ก็ไม่ทำให้เสื่อมลง
๓.อวชาตบุตร คือ บุตรที่เลว มีคุณธรรมต่ำกว่าพ่อแม่ เป็นบุตรชั้นต่ำนำความเสื่อมเสียมาสู่วงศ์ตระกูล

องค์ประกอบให้ได้ลูกดี
๑.ตนเองต้องเป็นคนดี ทำบุญมาดีจึงได้ลูกดี เหมือนต้นไม้พันธุ์ดีก็ย่อมมีลูกพันธุ์ดี เด็กที่เกิดในท้องแม่จะมีคุณธรรมในใจที่ติดตัวมาในระดับใกล้เคียงกับของพ่อแม่ ดังนั้นพ่อแม่ที่ต้องการได้ลูกดี ก็ต้องขวนขวายสร้างความดีไว้มาก ๆ ยิ่งพ่อแม่สร้างบุญมากเท่าไร โอกาสที่จะได้ลูกดีก็มากเท่านั้น
๒.การเลี้ยงดูอบรมดี ซึ่งจะกล่าวรายละเอียดต่อไป

วิธีเลี้ยงดูลูก
การเลี้ยงดูลูกมีอยู่ ๒ ทาง คือ การเลี้ยงดูลูกทางโลกและการเลี้ยงดูลูกทางธรรม ซึ่งพ่อแม่ควรจะเลี้ยงดูลูกให้พร้อมบริบูรณ์ทั้ง ๒ ทาง

วิธีเลี้ยงดูลูกทางโลก
๑.กันลูกออกจากความชั่ว กัน หมายถึง ป้องกันกีดกัน คือ ไม่เพียงแต่ห้าม หากต้องดำเนินการทุกวิถีทางที่จะไม่ให้ลูกตกไปสู่ความชั่ว ซึ่งบางครั้งพ่อแม่กับลูกก็พูดกันไม่เข้าใจ สาเหตุของความไม่เข้าใจกันนั้นมักจะเกิดจากการขัดกันอยู่ ๓ ประการ คือ
-ความเห็นขัดกัน
-ความต้องการขัดกัน
-กิเลส
ความเห็นขัดกัน คือ ของสิ่งเดียวกันแต่เห็นกันคนละทาง มองกันคนละแง่ เช่น การเที่ยวเตร่ เด็กวัยรุ่นมักจะเห็นว่าดี เป็นการเข้าสังคม ทำให้กว้างขวางทันสมัย แต่ผู้เป็นพ่อแม่กลับเห็นว่า การเที่ยวเตร่หามรุ่งหามค่ำนั้น มีผลเสียหายหลายประการ เช่น อาจเสียการเรียน อาจประสบภัย อาจใจแตก เพราะถูกเพื่อนชักจูงไปให้เสีย ครั้งห้ามเข้าลูกก็ไม่พอใจ ดูถูกว่าพ่อแม่หัวเก่าล้าสมัย
เรื่องนี้ ถ้าจะพูด้วยความเป็นธรรมแล้ว ลูกควรจะรับฟังความเห็นของพ่อแม่ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ๒ ประการ คือ พ่อแม่ทุกคนหวังดีต่อลูก ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ และพ่อแม่ย่อมมีประสบการณ์ รู้ทีได้ที่เสียมามากกว่า เราแน่ใจหรือว่าความรักของเพื่อนตั้งร้อยที่ล้อมหน้าล้อมหลังอยู่นั้น รวมกันเข้าทั้งหมดแล้วจะมากและบริสุทธิ์ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เหมือนความรักในดวงใจของพ่อแม่ คนเราทุกคนเคยเห็นผิดเป็นชอบมาก่อน เมื่อยังเป็นเด็กอมมืออยู่นั้น เราเคยเห็นว่าลูกโป่งอัดลมใบเดียวมีค่ามากกว่าธนบัตใบละร้อยใช่ไหม ? จิตใจที่อยู่ในวัยเยาว์ก็ย่อมเยาว์ตามไปด้วยดังนั้นเชื่อฟังคำกล่าวตักเตือนของพ่อแม่ไว้เถิดไม่เสียหลาย พ่อแม่เองเมื่อจะห้ามหรือบอกให้ลูกทำอะไร ก็ควรบอกเหตุผลด้วย อย่าใช้แต่อารมณ์

ความต้องการขัดกัน คือ คนต่างวัยก็มีรสนิยมต่างกัน ความสุขของคนแก่คือ ชอบสงบ หาเวลาพักผ่อนอยู่กับบ้าน แต่ความสุขของเด็กหนุ่มสาวมักอยู่ที่ได้แต่งตัวสวย ๆ ไปเที่ยวเตร่นอกบ้าน ข้อนี้ขัดแย้งกันแน่ ลูกกับพ่อแม่จึงต้องเอาใจมาพบกันที่ความรัก ตกลงกันที่มุมรักระหว่างพ่อแม่กับลูก รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาวตามสมควร การเลี้ยงลูกที่กำลังโตเป็นหนุ่มเป็นสาวนั้น เหมือนการเล่นว่าวโต้ลม ผ่อนไปนิด ดึงกลับมาหน่อย จึงจะเป็นผลดี

กิเลส ถ้าทั้ง ๒ ฝ่าย มีความโกรธ มีทิฐิ ดื้อดึง ดื้อด้าน หลงตัวเอง หรือมีกิเลสอื่น ๆ ครองงำอยู่แล้ว ก็ยากที่จะพูดกันให้เข้าใจ ต้องทำใจให้สงบและพูดกันด้วยใจที่เป็นธรรม ด้วยเหตุด้วยผล พ่อแม่ต้องฝึกตนให้เป็นคนมีคุณธรรมและสอนลูกให้เป็นคนดีมีเหตุผลเสียแต่ยังเล็ก ปัญหาข้อนี้ก็จะเบาบางลง

๒.ปลูกฝังลูกในทางดี หมายถึง ให้ลูกประพฤติดี มีศีละรรมพ่อแม่ต้องพยายามเล็งเข้าหาใจของลูก เพราะใจเป็นตัวควบคุมการกระทำของคน ที่ว่าเลี้ยงลูกให้ดี คือ ทำใจของลูกให้ดีนั่นเอง
สิ่งของนั้นมีอยู่ ๒ ประเภท คือ ของกินกับของใช้ สำหรับของกินทุกคนต้องกิน ทุกคนต้องกินเหมือนกันหมด เพื่อให้ร่างกายเติบโตคงชีวิตอยู่ได้ ส่วนของใช้นั้นต่างคนต่างมีตามความจำเป็น เช่น ชาวนาก็ต้องมีจอบ มีไถ เสมียนก็ต้องมีปากกา
สมบัติทางใจก็มี ๒ ประการเหมือนกัน
ธรรมะ เป็นอาหารใจ
วิชาความรู้ เป็นเครื่องมือของใจ
ตามธรรมดาร่างกายคนถ้าขาดอาหารแล้วก็จะเสียกำลัง ใจคนก็เหมือนกัน ต้องมีธรรมะให้พอเพียง อาหารทางกายกินแทนกันไม่ได้ ไม่เหมือนของใช้ มีดเล่มเดียวใช้กันได้ทั้งบ้าน เรื่องของใจก็เหมือนกัน ใจทุกดวงต้องกินอาหารเอง คือ ทุกคนต้องมีธรรมะไว้ในใจตนเอง จะถือว่าใจพ่อแม่มีธรรมะแล้วใจลูกไม่ต้องมีไม่ได้ ส่วนวิชาความรู้เปรียบเหมือนของใช้ใครจะใช้ความรู้ทางไหนก็หาความรู้เฉพาะทางนั้น ขาดเหลือไปบ้างพออาศัยผู้อื่นได้ ใจที่ขาดธรรมะเหมือนร่างกายที่ขาดอาหาร ใจที่ขาดวิชาความรู้เหมือนคนที่ขาดเครื่องมือทำงาน
พ่อแม่ต้องปลูกใจลูกให้มีทั้ง ๒ อย่าง จึงจะเป็นการปลูกฝังลูกในทางดีซึ่งทำได้โดย
๑.กระทำตนเป็นตัวอย่างที่ดีแก่ลูก
๒.เลือกคนดีให้ลูกคบ
๓.หาหนังสือดีให้ลูกอ่าน
๔.พาลูกไปหาบัณฑิต เช่น พระภิกษุ ครูบาอาจารย์ที่ดี

๓.ให้ลูกได้รับการศึกษา ภารกิจข้อนี้ความชัดอยูแล้ว คือให้ลูกได้เล่าเรียน เพื่อให้มีความรู้สามารถช่วยตัวเองต่อไปได้
พ่อแม่สมัยนี้ควรจะติดตามดูแลลูกอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ควรติดต่อกับทางโรงเรียนอยู่เสมอขอทราบเวลาเรียน ผลการเรียน รวมทั้งค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เด็กอ้างว่าทางโรงเรียนเรียกร้องด้วย พ่อแม่ที่มีลูกไปเรียนไกลบ้านต่างจังหวัด และขาดผู้ดูแลที่ไว้วางใจได้ ควรจะเป็นห่วงลูกให้มาก หากไม่จำเป็นจริง ๆ ไม่ควรให้เด็กอยู่หอพัก เว้นแต่ท่านจะเชื่อใจเด็กได้ และต้องหาหอพักที่มีระเบียบข้อบังคับเคร่งครัดด้วย

๔.จัดแจงให้ลูกแต่งงานกับคนดี
ความหมายในทางปฏิบัติมีอยู่ ๒ ขั้นตอน คือ
๑.พ่อแม่ต้องเป็นธุระในการแต่งงานของลูก ช่วยหาสินสอดทองหมั้นให้
๒.พ่อแม่ต้องพยาบาลให้ลูกได้คู่ครองที่ดี

ในข้อที่ ๒ อาจมีความขัดแย้งระหว่างพ่อแม่กับลูกอยู่ไม่น้อย คล้ายกับการกันลูกจากความชั่ว แต่การขัดแย้งกันในเรื่องคู่ครองมักจะแรงกว่าควรจะทำความเข้าใจกันให้ดีปัญหาสำคัญมีอยู่ ๒ ข้อ คือ
๑. พ่อแม่แทรกแซงความรักของลูก มีผลดีหรือเสียอย่างไร ?
๒. ใครควรเป็นผู้ตัดสินการแต่งงานของลูก
ปัญหาข้อแรก ถ้าคิดดูโดยละเอียดถี่ถ้วนแล้ว จะเห็นว่าผลดีมีมากกว่าผลเสีย จะมีผลเสียอยู่เฉพาะในรายที่พ่อแม่ขาดจิดตวิทยา และชอบทำอะไรเกินกว่าเหตุเท่านั้น แต่การร่วมมือกันเป็นของดีแน่ ความจำเป็นอยู่ที่ว่า ลูกยังอยู่ในวัยเยาว์ รู้จักโลกน้อย มองโลกในแง่ดีเกินไป อาจตัดสินใจผิดพลาพได้และความผิดพลาดในเรื่องคู่ครองนั้นมีผลมาก แก้ยาก
ปัญหาข้อที่สอง ใครควรเป็นผู้ที่ตัดสินการแต่งงานของลูก เช่น ควรแต่งงานหรือยัง ? ควรแต่งกับใคร ? ทางที่ประเสริฐที่สุด คือ ปรึกษาหารือและตกลงกัน พ่อแม่ควรเป็นเพียงที่ปรึกษา ไม่เจ้ากี้เจ้าการจนเกินงามต้องให้ลูกได้แต่งงานกับคนที่เขารัก เพราะความรักเป็นมูลฐานของการสมรสฝ่ายลูกจะเลือกใครก็ต้องให้พ่อแม่เห็นชอบด้วย เพราะการทำให้ท่านสุขใจนั้นเป็นความกตัญญูกตเวทีของเรา และจะเป็นศรีสวัสดิมงคลแก่ครอบครัวสืบไป แต่ถ้าหากเป็นไปเช่นนั้นไม่ได้ พ่อแม่ควรจะถือหลักว่า “คนที่เราไม่ชอบแต่ลูกรัก ดีกว่าคนที่เรารักแต่ลูกไม่ชอบ” คิดเสียว่าเขาเป็นเนื้อคู่กัน เว้นแต่คนที่ลูกปลงใจรักเป็นคนเลว หลอกลวงจะชักนำลูกเราไปในทางเสีย อย่านี้ต้องห้าม แม้ว่าลูกจะรักก็ตาม
๕.มอบทรัพย์มรดกให้เมื่อถึงกาลอันสมควร เมื่อถึงเวลาควรให้จึงให้ถ้ายังไม่ถึงเวลาอันควรให้ก็อย่าเพิ่งให้ เช่น ลูกยังเยาว์ยังไม่รู้ค่าของทรัพย์ ก็ควรรอให้เขาเติบโตเสียก่อนจึงให้ ถ้าลูกยังประพฤติชั่ว เช่น หมกมุ่นอยู่ในอบายมุขก็รอให้เขากลับตัวได้เสียก่อนแล้วจึงให้ ดังนี้เป็นต้น
การทำธุระเกี่ยวกับทรัพย์มรดกให้เสร็จสิ้นก่อนตาย เป็นการชอบด้วยพุทธประสงค์วงศืตระกูลก็มีความสงบสุขต่อไป รายใดที่พ่อแม่ไม่ทำพินัยกรรมไว้ให้เรียบร้อย ปล่อยให้ลูก ๆ จัดการกันเอง ก็มักเกิดเรื่องร้าวฉานขึ้นในวงพี่ ๆ น้อง ๆ จนถึงกับฟ้องรอ้งขึ้นศาลกันก็มี พี่น้องแตกความสามัคคี ทรัพย์สินก็เสื่อมหายลงเป็นเรื่องที่น่าสลดใจยิ่งนัก

วิธีเลี้ยงดูลูกในทางธรรม
๑.พาลูกเข้าวัดเพื่อศึกษาหาความรู้ทางศาสนา
๒.ชักนำลูกให้สวดมนต์ก่อนนอนทุกคือ
๓.ชักนำให้ลูกทำบุญ เช่น ตักบาตร รักษาศีล เป็นต้น
๔.ชักนำให้ลูกทำสมาธิภาวนา
๕.ถ้าลูกเป็นชายให้บวชเป็นสามเณรหรือเป็นพระภิกษุ แล้วเข้าปฏิบัติกรรมฐาน

ข้อเตือนใจ
๑.รักลูกแต่อย่าโอ๋ลูก อย่าตามใจลูกเกินไป จะทำให้เด็กเสียนิสัยเหตุที่พ่อแม่ตามใจลูกเกินไป มักเป็นเพราะ
-รักลูกมากเกินไป รักมากจนไปไม่กล้าลงโทษสั่งสอน
-ไม่มีเวลาอบรม รู้สึกเป็นความผิดของตัว ที่ไม่มีเวลาให้ลูกจึงปลอบประโลมตนเองด้วยการตามใจลูกจึงปลอบประโลมตนเองด้วยการตามใจลูก ซึ่งเป็นวิธีแก้ที่ผิด
๒.อย่าเคร่งระเบียบจนเกินไป รู้จักผ่อนสั้นผ่อนยาว
๓.ให้ความอบอุ่นแก่ลูกให้เพียงพอ ไม่ว่างานจะยุ่งมากเพียงไร ก็ต้องหาเวลาให้ลูก มิฉะนั้นจะต้องน้ำตาตกในภายหลัง
๔.เมื่อเห็นลูกทำผิด การตำหนิทันทีจำเป็นมาก จะได้แก้ไขทันท่วงทีแต่ต้องใช้เหตุผล อย่าใช้อารมณ์ และเมื่อเห็นลูกทำดี ก็ชมเพื่อให้เกิดกำลังใจ
๕.ต้องฝึกให้ลูกทำงานตั้งแต่ยังเล็ก การปล่อยให้เด็กอยู่อย่างสบายเกิดไปทุกอย่างมีคนรับใช้ มีเวลาว่างมากเกินไป จะกลับเป็นผลเสียต่อเด็กโตขึ้นจะช่วยตัวเองไม่ได้
๖.การเลี้ยงลูกให้แต่ปัจจัย ๔ ยังไม่พอ จะต้องให้ธรรมะแก่ลูกด้วย

อานิสงส์การเลี้ยงดูบุตร
๑.พ่อแม่จะได้ความปีติภาคภูมิใจเป็นเครื่องตอบแทน
๒.ครอบครัวจะสงบร่มเย็นเป็นสุข
๓.ประเทศชาติจะมีคนดีไว้ใช่
๔.เป็นต้นแบบที่ดีงามของสังคมสืบไปตลอดกาลนาน


ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#8 บุญโต

บุญโต
  • Members
  • 2192 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
  • Interests:ปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 05 July 2006 - 11:58 AM

ขอแสดงความคิดเห็นแบบที่มีลูกในวัยเด็กนะคะในฐานะคุณแม่ลูกสอง เป็นลูกคนละวัยกับที่เจ้าของกระทู้ยกตัวอย่างค่ะ

"อย่าพูดจาเปรียบเทียบให้ลูกได้ยินเป็นอันขาด เพราะนั่นเท่ากับบ่มเพาะนิสัยชอบการแข่งขันขึ้นในใจลูก"

จะดุลูกยังงัยก็ไม่เคยเปรียบเทียบลูกกับลูกคนอื่นเลยค่ะ...เพราะจะทำให้เราเครียด ที่สำคัญลูกเครียดกว่า ...แต่เจ้าคุณลูกนี่ซิเจ้าคะ...เวลาโดนดุชอบเปรียบตนเองกับคนที่แย่กว่า เช่น เวลาว่าเค้าว่าทำไมทำการบ้านช้าขนาดนี้ ไม่ควรเป็นอย่างนี้เลย...วันรุ่งขึ้นเค้าไปโรงเรียน กลับมารายงานทันทีเลยค่ะว่า วันนี้หนูไปถามเพื่อนชื่อ....เค้าบอกว่าเค้าเสร็จดึกกว่าหนูอีก เราก็เลยบอกเค้าว่าเวลาจะเปรียบเทียบการกระทำของตนเองอย่าเปรียบเทียบกับคนที่เค้ากระทำแย่กว่าเรา...

ตนเองก็เคยโดยแม่เปรียบเทียบค่ะ...รู้สึกแย่มาก (ถ้าเล่าก็ต้องเป็นเรื่องที่ทุกคนรับไม่ได้) แต่เดี๋ยวนี้แม่ไม่ทำอย่างนั้นแล้วค่ะ

จริง ๆ แล้วเรื่องนี้...ถ้าพ่อแม่เข้าใจเรื่องกฏแห่งกรรมก็จะเข้าใจดีและไม่มีการเปรียบเทียบลูกนะคะ...ว่ามั๊ย smile.gif

#9 Omena

Omena
  • Members
  • 1409 โพสต์
  • Location:44/5 หมู่ 10 ตำบลหนองอ้อ ถนนเพชรเกษม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี 70110

โพสต์เมื่อ 05 July 2006 - 11:59 AM

เป็นอะไรที่เศร้ามากๆเลย

เวลาหนูถูกเปรียบเทียบกับใคร หนูจะรู้สึกเกลียดคนๆนั้นมากๆ ถึงแม้จะเป็นเพื่อนเรา ก็จะมีอคติกับเขาไปเลย
เข้าวัดแล้วก็ยังไม่หาย เหมือนเป็นอะไรที่ฝังไว้ลึกๆ

หนูไม่ว่าอะไรเรื่องการเปรียบเทียบ"บ้าง"
แต่หนูไม่เห้นด้วยเรื่องการเปรียบเทียบพร่ำเพรื่อ

จะทำให้ลูกเป็นวิตกจริตไปเสียเปล่าๆ

เผลอๆ ลูกอาจเกลียดพ่อแม่ก้ได้
เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที

สุนทรพ่อ




muralath2@hotmail

#10 gioia

gioia
  • Members
  • 593 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 July 2006 - 03:18 PM

ถ้าอยู่ในวัยเรียน หน้าที่หลักก็คือเรียนหลังสือค่ะ
ควรเรียนให้ดี ตั้งใจเรียนให้เต็มที่ค่ะ

ส่วนเรื่องไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ก็ดีอยู่แล้วนะคะ
บอกสอนตัวเองได้ โดยไม่ต้องให้ใครมาเคี่ยวเข็น
เป็นความรับผิดชอบต่อตัวเราเองค่ะ เราทำเราก็ได้ค่ะ
ใครทำก็เสี่ยงไปตกนรก .. เพราะฉนั้น อย่าไปติดยึดอยู่กับคำยกย่องสรรเสริญเลยค่ะ
คุณสมบัติดีอยู่แล้วเปรียบเป็นเพชรน้ำดี
เหลือแต่สร้างประกายให้ตนเองค่ะ

คือตั้งใจเรียนให้เก่ง เอาประกายความดีออกมาเพิ่มความสว่างให้กับตนเอง

พ่อแม่นั้นท่านก็หวังแต่เห็นความเจริญรุ่งเรืองของลูกค่ะ
ไม่ได้มีเจตนาจะมาให้ลูกน้อยอก น้อยใจเลย
การเอามาเปรียบเทียบ ก็เพื่อชี้ข้อบกพร่องของเราค่ะ
ท่านชี้ขุมทรัพย์ให้เรา เราก็ควรเห็นคุณค่านะคะ
ไม่ควรหาข้ออ้างว่าเราดีอยู่แล้ว..เพื่อมาขัดขวางการทำความดียิ่งขึ้น

...ทำความดีให้เพิ่มทับเท่าทวีคูณ อย่างคุณครูท่านสอนค่ะ
อานิสงส์ก็จะเกิดกับเราเอง
อย่าไปน้อยใจ ยึดติดกับคำสรรเสริญนินทาเลยค่ะ

ส่วนคุณพ่อคุณแม่ท่านอื่นๆก็ดูไว้เป็นตัวอย่างนะคะ
พระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตชีโวท่านสอนไว้ในหนังสือการครองเรือนค่ะ
หัวข้อ ๒๔.เลี้ยงลูกอย่างไรให้ได้ดี
ลองไปหาอ่านนะคะ







#11 รักดวงแก้ว

รักดวงแก้ว
  • Members
  • 74 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 July 2006 - 03:48 PM

ดิฉันก็เคยถูกเปรียบเทียบเหมือนกัน ทำให้รู้สึกแย่เหมือนกัน เพราะคนเราเกิดมาไม่เหมือนกัน เช่น การศึกษา ความสามารถ รายได้เป็นต้น ซึ่งดิฉันไม่อยากฟัง
ประโยคที่ถูกเปรียบเทียบกับคนอื่น และรู้สึกน้อยใจมาก ๆ ด้วยค่ะ เราจะมีแนวทางแก้ไขกรณีถูกพ่อแม่ชอบนำลูกคนอื่นมาเปรียบเทียบมั้ยค่ะ?

#12 นิ่งๆ นุ่มๆ

นิ่งๆ นุ่มๆ
  • Members
  • 618 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 July 2006 - 03:59 PM

QUOTE
เวลาหนูถูกเปรียบเทียบกับใคร หนูจะรู้สึกเกลียดคนๆนั้นมากๆ ถึงแม้จะเป็นเพื่อนเรา ก็จะมีอคติกับเขาไปเลย
เข้าวัดแล้วก็ยังไม่หาย เหมือนเป็นอะไรที่ฝังไว้ลึกๆ

นี่คือความรู้สึกของเด็กทุกคนนะค่ะ เวลาถูกเปรียบเทียบ นี้เป็นปัญหาใหญ่ที่พ่อ แม่ มองข้ามและไม่ค่อยเอาใจใส่ แต่กลับมีผลมหาศาลกับตัวเด็ก แล้วความรู้สึกมันจะฝังลึกเหมือนที่น้องOmenaกล่าวมา และจะแก้ยากมาก ผลคือเด็กจะเสียความมั่นใจในตัวเอง ซึ่งเรียกกลับคืนได้ยากมาก เวลาจะทำอะไรก็จะกลัวไปก่อนแล้วจะทำงานใหญ่ได้อย่างไร พอเด็กมีกริยาแบบนี้ คุณพ่อคุณแก็จะพยายามหาสาเหตุจากสิ่งที่ไกลตัว เช่น โรงเรียน หรือเพื่อนๆ สำหรับเด็กแล้วนะค่ะ คุณพ่อ คุณแม่คือฮีโร่ของพวกเขา คือแหล่งกำลังใจอันสูงส่ง คือบุลคลอันดับแรกที่เขาอยากจะเก่งและดีในสายตาของคนผู้นั้น เพราะฉะนั้นการเปรียบเทียบลูกกับคนอื่นนั้น เป็นเหมือนอาวุธร้ายที่จะฆ่าลูกเลยก็ว่าได้ พ่อ แม่ฆ่าลูกโดยไม่รู้ตัว แล้วเด็กทุกคนก็มีความดีในตัวเอง ถ้าคุณพ่อคุณแม่ มองไม่เห็นก็เพราะยังไม่ได้หาความดีในตังลูก และถ้าหาแล้ว ก็ยังไม่เห็นอีกละก็ ต้องพิจรณาตัวเองแล้วละค่ะ เพราะ นั้นคือ กระจกของตัวคุณ อย่างที่หลวงพ่อทัตตะท่านกล่าวไว้ว่า ลูกมันเป็นอย่างไร ต้องดูแม่มัน
แม้กระนั้นก็ตามพ่อ แม่ก็ไม่ควรยกยอ ปอปั่นลูกจนเกินไป จนเขาอาจหลงตัวเองได้ คนที่จะอยู่สูงต้องให้คนอื่นเขาเห็นความดีแล้วยกย่องไม่ใช่เรายกตัวเอง เพราะฉะนั้นดีที่สุด คือ พอดีๆค่ะ ถ้าลูกทำผิดก็ว่ากันไปตามผิด หากทำดีทำถูก ต้องชม นะค่ะ อย่าเขิน คุณพ่อคุณแม่หลายท่านอาจเขิน ไม่กล้าชมลูกตัวเอง อย่างนี้เด็กจะรู้ได้อย่างไรว่าสิ่งที่เขาทำนั้น ดีและถูกต้อง
ดีที่สุดนะค่ะ คือ ฟังพระธรรมเทศนาของพระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตะ เรื่อง การเลี้ยงดูบุตร ดีมากๆเลยค่ะ สนุกมากด้วยเพราะท่านจะเล่าเรื่องตอนท่านเป็นเด็ก laugh.gif
อย่าทำตัวเหมือนเรือ ที่เก็บขยะในมหาสมุทร ใครเขาจะพูดอะไร จะว่าอะไรเราให้ใจขุ่น ก็อย่าไปสนใจ ปากก็ของเขา ความคิดก็ของเขา อย่าเอามาแบกไว้ เพราะสุดท้ายเรือจะล่มอยู่กลางมหาสมุทร ไปไม่รอด
น้าจี้

#13 ฟ้ายังฟ้าอยู่

ฟ้ายังฟ้าอยู่
  • Members
  • 2511 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 July 2006 - 08:58 PM

นิสัยคนไทย พ่อแม่ทำไม่ได้ เลยฝากความหวังไว้กับลูก จนกลายเป็นหวังมากเกินไป เลยทำให้สังคมไทยมีแต่การแข่งขันกันดั่งเช่นปัจจุบัน
"เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำจะเกิดมาทำไม
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)


#14 Laity reborn

Laity reborn
  • Members
  • 68 โพสต์
  • Location:กรุงเทพฯ ประเทศไทย
  • Interests:ได้ดีเพราะเข้าวัดฯ โดยมีหลวงพี่ฐานะเป็นกัลยาณมิตรคนแรก ท่านชวนบวชตั้งแต่ครั้งแรกที่พบ จึงได้ตั้งใจบวชธรรมทายาทรุ่นที่ 22.. จากนั้นก็เข้าวัดโดยตลอด แม้ยามที่วัดฯ พบอุปสรรคใหญ่ เพราะว่าเชื่อในบุญ ผลของบุญก็เลยได้ทุนเรียนจากรัฐบาลญี่ปุ่น จนจบ MBA และได้มาเป็นผู้บริหารบริษัทฯเอกชนแห่งหนึ่ง ณ ปัจจุบัน

โพสต์เมื่อ 06 July 2006 - 05:32 AM

การแข่งขันเป็นเรื่องปกติ และดี สำหรับการพัฒนาชีวิตและการดำรงชีวิต แต่สิ่งที่สังคมไทยขาด คือการให้อภัยและการสร้างกำลังใจให้เกิดความพยายาม เช่นในสังคมญี่ปุ่น อย่างบริษัทฮอนด้า พนักงานสามารถลองผิดลองถูกจากการทำงานได้ ที่ฮอนด้าเขาถือว่าเป็นหน้าที่ด้วยซ้ำ โดยสิ่งที่ฮอนด้าให้ คือการให้อภัย และกำลังใจ โดยชูเรื่องความฝันเป็นเป้าหมาย และความเคารพต่อความคิดของปัจเจกบุคคลเป็นหลัก สิ่งที่ฮอนด้าถามอยู่เสมอ คือคุณคิดว่าอย่างไร

ถ้านำมาปรับถึงการเป็นพ่อแม่ ควรให้อภัยและสร้างกำลังใจ มันเป็นปกติอยู่แล้วเรื่องการแข่งขัน การแข่งขันคือการพัฒนา แต่ยามลูก ๆ ผิดพลาด เรามักตอกย้ำความผิดพลาด และมักไม่ให้โอกาสลูกในการทำใหม่อีกครั้ง และเรามักไม่เคยถามว่า ลูกเราคิดอย่างไร เรามักใช้ความคิดเราตัดสิน หรือใช้กฏหมู่ตัดสินว่า ใครคิดอย่างไร

#15 aph

aph
  • Members
  • 53 โพสต์

โพสต์เมื่อ 06 July 2006 - 10:21 AM

ไม่ดีเลย ลูกเราก็ลูกเรา ลูกเขาก็ลูกเขา มันคนละคนกัน จะไปเปรียบเทียบกันไม่ได้ จะทำให้เด็กเกิดความน้อยใจน่ะครับ

#16 เพียงพอ

เพียงพอ

    I |\|EE|) S()|\/|E |3()DY |_()\/E.

  • Members
  • 724 โพสต์
  • Location:ไม่มีข้อมูล
  • Interests:ไม่มีข้อมูล

โพสต์เมื่อ 06 July 2006 - 08:37 PM

_/\_
เพียง. . .เพื่อดำรงชีวิตอยู่ให้มีคุณค่า
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.

เพียงพอ


#17 light mint

light mint

    ขออนุโมทนาบุญค่ะ

  • Members
  • 1423 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:THAILAND
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 06 July 2006 - 09:18 PM

เลี้ยงลูก ควรให้พอดี ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป

ไว้ใจ แต่ก็ควรระมัดระวัง
ควรติเพื่อสร้างสรรค์ แต่ไม่ควรพิรี้พิไร
ควรชมเพื่อสร้างกำลังใจ แต่ไม่ควรพร่ำเพรื่อ
ให้ความใกล้ชิดสนิทสนม แต่ให้ลูกเคารพพ่อแม่
สอนลูก และรับฟังลูก
พยายามเข้าใจลูก และพยายามเข้าใจตนเอง
. . . . . .
นานมาแล้ว เมื่อครั้งพ่อแม่ยังเป็นเด็ก ... เวลาอยู่กับ ปู่ย่าตายาย ก็มีความขัดแย้ง น้อยใจ ไม่เข้าใจกัน...
สมัยเด็ก (ของพ่อแม่)ต้องการอะไร ... ลูกในปัจจุบันนี้ก็ต้องการสิ่งนั้น
ความรัก ความเข้าใจซึ่งกันและกัน วาจาที่ปลอบใจ อ่อนโยนอบอุ่น
แต่ทว่า เมื่อหลายสิบปีผ่านไป
พ่อแม่กลับลืมไปเสียแล้ว ว่าผู้เป็นลูกต้องการอะไร
รู้สึกแต่ว่า ตนซึ่งเป็นพ่อแม่ ต้องการอะไร

คนสองสถานะในครอบครัวเดียวกัน พ่อแม่-ลูก
ที่มีความรักกันลึกๆ อยู่ในใจ แต่เหมือนมีกำแพงมาขวางกั้น
ทลายกำแพงแห่งใจ เพื่อสายใยที่เข้มแข็งจะกลับมา...
ขออนุโมทนาบุญนะคะ สาธุ