ทำไมเที่ยวโสเภณีไม่ผิดศีล 5
#1 *Q man*
โพสต์เมื่อ 25 August 2005 - 09:01 AM
#2
โพสต์เมื่อ 26 August 2005 - 11:12 AM
กรณีที่ 1 สมมุติ ถ้าไปฆ่าคนโดยเจตนา ผิดศีลเต็มๆ บาปส่งผลเต็มที่
กรณีที่ 2 สมมุติ ถ้าตั้งใจเอาปืนไปยิงเขา แต่ยิงผิด เขารอดไปได้ ไม่ผิดศีลครับ แต่เป็นบาปนะครับ ศีลจะด่างพร้อยแล้ว จิตใจก็เศร้าหมอง ถ้าจิตใจครุ่นคิดแต่เรื่องนี้ ว่าทำไมฆ่ามันไม่ได้ มีสิทธิ์ไปทัวร์ยมโลกขุม 1 ได้
กรณีที่ 3 สมมุติ ถ้าไปทำร้ายร่างกายเขาจนบาดเจ็บ แต่ไม่ตาย ไม่ผิดศีลครับ แต่มีกรรมนะครับ เพราะศีลทะลุแล้ว กรรมนั้น ก็ลงลดไปตามส่วนเมื่อเทียบกับทำให้เขาตาย
การเที่ยวโสเภณี เนื่องจาก(ถ้าไม่ใช่พรากผู้เยาว์มาเป็นโสเภณีนะ) มีเงินเป็นข้อตกลงระหว่างกัน จึงไม่ผิดศีลข้อ 3 แต่ศีลจะด่างพร้อยมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงทะลุ ตามใจที่ไปหมกมุ่นเรื่องกามมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นก็มีสิทธิ์ไปอบายได้ แม้ไม่ผิดศีลก็ตาม ดังกรณีที่ยกมาครับ
#3
โพสต์เมื่อ 26 August 2005 - 06:50 PM
http://www.kalyanami...n48/p59/c59.htm
จริงหรือไม่ การเที่ยวผู้หญิงขายบริการของผู้ชายโสด ไม่ผิดศีลข้อที่ 3
โดย: พระภาวนาวิริยคุณ
ปัจจุบันนี้ ผู้ชายโสดส่วนมากมีความเข้าใจว่า การเที่ยวผู้หญิงขายบริการ ไม่ถือว่าเป็น การผิดศีลข้อที่ ๓ เพราะพวกเขาไม่ได้นอกใจใคร แล้วผู้หญิงเหล่านั้นก็สมัครใจด้วย ความเชื่อเช่นนี้ถูกหรือผิด อย่างไรเจ้าคะ ?
สำหรับเรื่องนี้คงต้องแบ่งออกเป็น ๒ ประเด็นใหญ่ๆ คือ
ประเด็นที่ ๑ เป็นเรื่องของการผิดศีล
ประเด็นที่ ๒ เป็นเรื่องของการเปิดนรก หรือเปิดทางพินาศให้กับตัวเอง
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเรียกสิ่งนี้ว่า อบายมุข ซึ่งแปลว่า ปากทางแห่งความฉิบหาย
การที่ชายโสดชอบเที่ยวกลางคืน หรือชอบเที่ยวหญิงขายบริการ ถ้ามองกันให้ชัดๆ จะพบว่า
๑. เขาเป็นคนที่ไม่รู้จักหักห้ามใจตัวเอง เพราะทั้งคน ทั้งสัตว์ ไม่ว่าจะเป็นหมู หมา กา ไก่ ล้วนอาศัยอยู่ในโลกเดียวกัน มีชีวิตเหมือนกัน แล้วก็มีสิ่งที่คอยบีบคั้นใจเหมือนกัน คือ ความต้องการทางเพศ
เมื่อมีความต้องการทางเพศเกิดขึ้น หมู หมา กา ไก่ ไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะว่ามัน คิดไม่เป็น มันจึงสนองความต้องการนั้นกับใคร ที่ไหน เวลาใด ก็ได้
แต่มนุษย์มีสติปัญญามากกว่าสัตว์ทั้งหลายถ้าหากไม่รู้จักหักห้ามใจตัวเอง ไม่รู้จักว่า ใครไม่เหมาะ ไม่ควรกับตัว ถึงแม้จะเป็นคนโสด แล้วผู้หญิงยินดีจะขายบริการก็ตาม
สิ่งที่จะตามมาก็คือ ได้เริ่มเพาะนิสัยเอาแต่ใจตัวเองเข้าไปแล้ว เมื่อมีนิสัยเอาแต่ใจตัวเอง ไม่รู้จักข่มใจเอาไว้อย่างนี้ วันหลังพอกามกำเริบมากเข้าๆ อะไรจะเกิดขึ้นตามมา เคยคิดกันบ้างไหม
ที่ต้องตกเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์หรือมีเรื่องมีราวคาราคาซังอยู่ในศาลเนื่องจากสิ่งเหล่านี้ ก็มีให้เห็นอยู่มากมาย ยกตัวอย่าง มีผู้ใหญ่ท่านหนึ่งอายุ ๖๐ ปี เป็นที่รู้จัก มีหน้ามีตาในสังคม แต่ยังไปเที่ยวโสเภณีเด็ก อายุรุ่นลูก รุ่นหลาน
พอเรื่องแดงขึ้นมา ศาลชั้นต้นตัดสินจำคุก ๑๖ ปี ศาลอุทธรณ์ตัดสินจำคุก ๓๖ ปียังไม่รู้ว่า ศาลฎีกา จะตัดสินว่าอย่างไร นี่เป็นตัวอย่างที่เห็นกันชัดๆ ในปัจจุบัน
การเอาแต่ใจตัวเองแล้วบอกว่าไม่ผิดศีล ความจริงไม่ใช ่แค่ผิดศีลเท่านั้น แต่ยังฟ้องถึง ความไม่มีธรรมะประจำใจ คือไม่มีสติสัมปชัญญะ ที่จะหักห้ามใจ ว่าตัวเองก็แก่แล้ว จะไปยุ่งอะไรกับเด็ก รุ่นหลาน รุ่นเหลน
อายุขนาดนี้ควรจะเตรียมตัวตายมากกว่า เพราะคนเราตาย แล้วไม่สูญชีวิตหลังความตายยังมี ในชีวิตหลังความตาย ก็ทำมาหา กินไม่ได้ อยู่ได้ด้วยบุญที่เคยทำไว้ในขณะมีชีวิตเท่านั้น
ถ้าขณะมีชีวิตเอาแต่มั่วกามอยู่อย่างนี้ ก็เลยไม่ต้องคิดทำบุญกัน ตายไปแล้วไม่มีบุญสำหรับ หล่อเลี้ยงใจ นั่นแหละจะเดือดร้อน แต่นี่ยังไม่ทันตาย ก็ต้องมาถูกกฎหมายเล่นงาน ทำให้เสียหน้า เสียชื่อเสียง เสียทรัพย์สินเงินทอง ลูกหลานก็มองหน้าใครไม่ได้ เพราะว่ามีพ่อแม่ปู่ย่าตาทวดเป็นอย่างนี้
ยิ่งกว่านั้น พวกเราคงเคยได้ยินข่าวที่ว่า ผู้ใหญ่ไปข่มขืนเด็กเล็กๆ หรือบางทีพ่อข่มขืนลูก ตาข่มขืนหลาน ครูข่มขืนเด็กนักเรียน ซึ่งลูกศิษย์ของตัวเองก็มี สิ่งเหล่านี้ ล้วนถูกเพาะมาจากการไม่รู้จัก หักห้ามใจตัวเอง โดยเริ่มจากการเที่ยวหญิงขายบริการนั่นเอง
เพราะฉะนั้น อยากจะเตือนเอาไว้ สำหรับนักเที่ยวหญิงบริการทั้งหลาย ว่าโทษที่เห็นได้ง่ายๆ คือ นอกจากมีโอกาสที่จะติดโรค โดยเฉพาะโรคเอดส์ซึ่งรักษาไม่หายแล้ว ยังไม่พอ เกิดไปมีเรื่องมีราว ในสถานที่เหล่านั้น จนต้องเสียชื่อเสียเสียงกันไม่รู้เท่าไหร่มาแล้ว หรือถึงกับต้องติดคุกติดตารางก็มี
แต่ที่ต้องระวังให้หนักก็คือ จะติดนิสัยดูถูกคน ดูถูกเพศแม่ เพราะผู้หญิงบริการเหล่านั้น เขาเคยชินกับนิสัยหยาบคาย เหล่านี้ เราก็จะไปติดนิสัยเขามา พอถึงเวลาตัวเองแต่งงาน ก็จะเอานิสัยเลวๆ นี้ไปใช้กับภรรยา ไปเพาะให้กับภรรยา ซึ่งเป็นคนดีต่อไปอีก
ยิ่งกว่านั้น ยังได้เพาะนิสัยไม่จริงใจกับใคร เพราะผู้หญิงที่คุณไปใช้บริการ เขาไม่ได้จริงใจ กับคุณ คุณก็ไม่ได้จริงใจกับเขา นิสัยไม่จริงใจนี้จะถูกนำไปใช้เมื่อถึงคราวคุณมีลูก มีภรรยา เลยไป จนกระทั่งถึงคราว ที่คุณเป็นครูบาอาจารย์ ทำให้มีคนติดนิสัยไม่จริงใจอย่างนี้ต่อไปอีก แล้วคุณจะเสียคน
เพราะว่าคุณค่าของคนอยู่ที่มีความจริงใจต่อกัน ไม่อย่างนั้นสังคมนี้ก็อยู่ไม่ได้ เมื่อคุณขาด ความจริงใจ คุณก็ขาดความรับผิดชอบทั้งต่อตัวเองและต่อสังคมไปโดยปริยาย
ที่ร้ายกว่านั้น อยากจะเตือนเอาไว้ ในฐานะที่หลวงพ่อ เป็นพระภิกษุก็คือ ความที่ติดในรสเพศ ติดในรสกาม จะติดเป็นสันดานไปข้ามภพข้ามชาติ เพราะเวลาใกล้ตาย ความดีเคยทำเอาไว้เท่าไหร่ ก็นึกไม่ออก นึกออกแต่ภาพเสพกามเท่านั้น
ถ้าละโลกไปด้วยใจที่ขุ่นมัว และมีอารมณ์อย่างนี้ ไม่ไปดีหรอกลูก โอกาสไปนรกมีเยอะเลย หรือไม่ไปนรก แต่ความที่ใจติดรสอย่างนั้น มีแต่ภาพผู้หญิงขายบริการอยู่ในใจ คุณก็จะได้ไปเกิดเป็น หญิง ขายบริการในภพหน้า
เพราะว่าผู้หญิงที่คุณ ไปใช้บริการเหล่านั้น แต่เดิมก็เป็น ผู้ชายนักเที่ยว เหมือนอย่างกับคุณ และติดในรสกามเหมือน อย่างกับคุณนั่นแหละ เขาถึงได้มาเป็นหญิงขายบริการ เป็นที่รองรับ สาธารณะ ให้กับผู้ชายที่หักห้ามใจไม่เป็น
ถ้าคุณอยากจะเกิดเป็น ผู้หญิงขายบริการ เสียเองในภพชาติต่อไป หรือว่าอาจจะตกนรก ก่อนแล้ว ค่อยไปเป็นอย่างนั้น ก็ตามใจ ไปคิดกันเอาเอง
#4
โพสต์เมื่อ 26 August 2005 - 11:46 PM
ตรงนี้ ผมได้ฟังเคสจากคุณครูไม่ใหญ่ครับ มีคนเคยถามว่า การเป็นโสเภณีนั้น เป็นการใช้กรรมเก่าหรือสร้างกรรมใหม่
หลวงพ่อท่านตอบไว้ว่า
ถ้าขายบริการกัน คือ มาใช้บริการ จ่ายเงินให้ อย่างนี้ เป็นการใช้กรรมเก่า ความหมายก็คือ โสเภณีไม่ผิดศีลข้อ 3 น่ะครับ
ถ้าโสเภณีเกิดพอใจใครขึ้นมา เลยให้บริการฟรี อย่างนี้ เป็นการสร้างกรรมใหม่ ความหมายก็คือ โสเภณี ผิดศีลข้อ 3 น่ะครับ
หรือถ้าโสเภณี ขายบริการไป แล้วก็เสพยาไป ก็เป็นการใช้กรรมเก่าเรื่องโสเภณี แต่เป็นการสร้างกรรมใหม่เรื่องเสพยาครับ
#5
โพสต์เมื่อ 27 August 2005 - 07:52 AM
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#6
โพสต์เมื่อ 30 August 2005 - 12:00 PM
และท่านก็บอกต่อว่า
ดังนั้น การเที่ยวโสเภณี ถ้า
1. ผู้ชายมีภรรยาแล้ว ผิดศีลข้อ 3
2. ผู้ชายยังโสด ยังไม่ผิด แต่ท่านก็ไม่สนับสนุนนะครับ ท่านบอกว่า ถูกที่สุด คือ สามีภรรยา เพราะเป็นทางผ่านให้มนุษย์มาเกิด
#7
โพสต์เมื่อ 26 November 2005 - 01:27 PM
#8
โพสต์เมื่อ 27 November 2005 - 04:11 AM
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง
#9
โพสต์เมื่อ 14 December 2005 - 02:26 PM
การที่หลวงพ่อทัตตฯ ว่าเรื่องนี้ท่านให้นึกถึงแม่
คำตอบนั้น มีอยู่ในนั้นทั้งกระบิแล้วน่ะครับ หลายกรณีหลวงพ่อจะเทศน์และตอบแบบแยบยลให้ลูกศิษย์ท่านได้ขบคิดเสมอ ๆ ครับ
#10
โพสต์เมื่อ 17 December 2005 - 07:11 PM
#11
โพสต์เมื่อ 03 February 2006 - 07:48 PM
ในกรณีนี้ เขาไม่พิจารณาว่าถูกหรือผิดกันดัวยศีลเท่านั้นหลอกนะ เขาพิจารณากันด้วย " อบายมุข "
อบาย แปลว่า ความพินาศ ความฉิบหาย
มุข แปลว่า หน้า โฉมหน้า หรือ ทาง
เพราะฉะนั้น อบายมุข ก็คือโฉมหน้าแห่งความพินาศความฉิบหาย
ผู้ชายคนไหนไม่ว่าจะเป็นคนโสด หรือเป็นคนมีคู่ครองแล้วหากได้ไปยุ่งเกี่ยวกับโสเภณีจะระดับไหน ก็ตามทีเถิด ขอเตือนว่าโฉมหน้าแห่งความพินาศ โฉมหน้าแห่งความฉิบหายได้ลอยมาประทับหน้าเดิมของเขาเข้าให้แล้ว เขามีตรา "ฉิบหาย" แปะหน้าไว้แล้ว นับแต่นี้ไปไม่ว่าเขาจะไปทำอะไร คนรอบข้างก็อดไม่ได้ที่จะเคลือบแคลงสงสัย ไปในทางไม่ดีเอาไว้ก่อน เรื่องนี้เราไม่ตัดสินกันด้วยศีล แต่ตัดสินด้วยเรื่อง ความพินาศฉิบหายที่จะมาถึงตัวผู้นั้น มีเรื่องอะไรบ้าง
เรื่องที่ 1. ใคร ๆ เขาก็รู้กันทั้งนั้นว่า ถ้าไปยุ่งเกี่ยวกับหญิงโสเภณีเมื่อใด โรคเอดส์ก็ถามหา เมื่อนั้น ขืนไปก็นั่งนอนผวาไปเดิด ว่าติดเอดส์มาหรือเปล่าหนอ
เรื่องที่ 2. ผู้ชายคนนั้นกำลังดูถูกเพศแม่ของเขาเอง
เรื่องที่ 3. ผู้ชายคนนั้นกำลังเพาะนิสัยเสีย ๆ ไว้ในตัว คือ นิสัยดูถูกเหยียบย่ำผู้หญิง พอถึงคราวมีภรรยาก็จะเอานิสัยเสีย ๆ ที่เคย ปฏิบัติกับโสเภณี มาใช้กับภรรยาของเขา นึกดูก็แล้วกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น
เรื่องที่ 4. เป็นการเสียเงินโดยใช่เหตุ พูดอีกอย่างคือ เอาเงินไปซื้อความพินาศฉิบหายมาใส่ตัวแท้ ๆ สู้เอาเงินที่จะต้องไปเสียให้กับหญิงโสเภณี ส่งไปให้คุณแม่ทำบุญเสียยังจะดีกว่า
ต่อไปถ้าจะไปคุยกับพวกผู้ชายในเรื่องนี้อีกละก็ บอกเขาไปเลยว่าเรื่องนี้ เขาไม่ได้พิจารณากันด้วย ศีล ย้ำให้หนักเลยว่า ถ้าจะไปเสียเงินเสียทองด้วยเรื่องอย่างนี้อีกให้นึกถึงแม่ว่า กว่าที่ท่านจะเลี้ยงเราจนเติบโตมาขนาดนี้ ท่านลำบากนักหนา ลูกที่ทำมาหากินได้แล้ว ควรจะส่งเงินให้ท่านทำบุญเป็นเสบียงติดตัวไปภพชาติข้างหน้าบ้าง เพราะคุณแม่บางคนเลี้ยงลูกจนแทบไม่มีเงิน ไม่มีเวลาแบ่งไปทำบุญสำหรับตัวเองเลย
ทำอย่างนี้หลวงพ่อว่าจะได้บุญกันหลายฝ่าย ขอให้พยายามพูดพยายามอธิบายกันมาก ๆ เพื่อว่าในภายภาคหน้า คุณผู้ชายทั้งหลายจะได้เห็นสตรีทั้งแผ่นดินมีคุณค่าเสมือนมารดา ของเขา แล้วเรื่องการปลุกปล้ำทำอนาจารเรื่องข่มฃืนเรื่องฆ่าเพราะเหตุแ ห่งเพศแห่งกามจะได้หมดไปจากโลกนี้เสียที.
คัดมาจากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหา ... พระภาวนาวิริยคุณ
(เส้นทางแห่งความดี มิใช่มีแค่เพียงในฝัน วันนี้... เส้นทางนั้น... มีจริง เป็นเส้นทางที่เราร่วมกันเดิน บนเหตุและผลของความดี )