ไปที่เนื้อหา


usr37337

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 14 Oct 2010
ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด Dec 27 2010 07:57 PM
-----

โพสต์ที่ฉันโพสต์

ในกระทู้: พระนิพพาน

10 November 2010 - 03:39 AM

ขอสันนิษฐานวิทยาด้วยคนนะครับ..^^

อยากขอถามว่าพระนิพพานหรือพระธรรมกายที่อยู่ในอายตนะนิพพานท่านตรวจดูสรรพสัตว์ที่อยู่ในวัฎสงสารหรือไม่?แล้วท่านยังสามารถช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์ภัยในวัฎสงสารได้อีกหรือไม่?


ตอบ..กายธรรมที่อยู่ในอายตนะนิพพานนั้น ไม่ว่าจะเป็นกายธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง ๓ ประเภท กายธรรมของพระปัจเจกพุทธเจ้า
หรือกายธรรมของเหล่าพระอรหันตสาวกทั้งหลาย เมื่อดับขันธ์เข้าสู่นิพพานแล้ว จะสิ้นสุดสิ่งที่ต้องทำ..ก็หาไม่
แต่หน้าที่ของท่านเหล่านั้น ไม่ใช่การตรวจดูหรือช่วยเหลือสรรพสัตว์ แต่เป็นการตรวจดูและช่วยเหลือตัวท่านเอง

กล่าวคือท่านก็ต้องเข้ากลางของกลางไปเรื่อยๆ จนกว่าจะไปสุดกายภายในของตัวท่าน ไม่ใช่เข้านิพพานแล้ว จะไปนั่งอยู่เฉยๆ
แต่ปัญหามันมีอยู่ที่ว่า การจะเข้ากลางของกลางได้เร็วและแรง จะต้องเป็นกายมนุษย์หยาบเท่านั้น ยิ่งเป็นกายมหาบุรุษได้ยิ่งดี

แต่ก็กว่าจะมีบุคคลใดบุคคลหนึ่งสามารถสร้างบารมีได้ครบ ๓๐ ทัศ เต็มเปี่ยมบริบูรณ์ จนได้กายมหาบุรุษนั้น ก็ต้องใช้ระยะเวลายาวนานกันเสียเหลือเกิน
และที่สำคัญ..ในหนึ่งจักรวาล ก็ไม่อาจจะมีกายมหาบุรุษ เกิดขึ้นมาพร้อมกันสองท่านได้
ถึงจะบังเกิดขึ้นมาพร้อมกัน แต่อยู่คนละจักรวาล ก็มิอาจข้ามจักรวาลมาอาราธนากันและกัน ให้อายุยืนจนเป็นกัปได้

เหตุผลก็คือ องค์ดำ(โดยส่วนตัวผมเรียกพญามารว่า องค์ดำ) เขาไม่ยอม และก็ไม่มีวิถีทางจะไปสู้กับเขาได้ด้วย
อย่าว่าแต่ให้โอกาสพระอานนท์ ๑๖ ครั้งเลย ให้โอกาส ล้านครั้ง ก็ไม่มีทางอาราธนาได้ และก็ไม่เคยมียุคไหนทำได้ด้วย

ถึงจะหมั่นไส้อยากบ้องหูองค์ดำสักแค่ไหน แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาเก่งจริง และก็ออกจะเก่งเกินไปเสียด้วยซ้ำ

เเม้แสนโกฏิจักรวาลนิพพานถอดกาย ยังเอาชนะเสนามารของเขาได้ไม่ถึงครึ่่ง ได้แค่ สอง จาก ห้า คือ กิเลสมาร และ เทวบุตรมาร

ขันธมาร อภิสังขารมารและมัจจุมาร ไม่สามารถเอาชนะได้

หลักสำคัญที่จะสามารถออกจากภพ ๓ ได้ก็คือ เอาชนะ กิเลสมาร ได้ ก็พอ เทวบุตรมารเป็นของเเถม เพราะถ้าเอาชนะมารภายในตัวได้ มารภายนอกที่คอยก่อกวน ก็ไม่ใคร่มีความหมาย

๘๔,๐๐๐ พระะธรรมขันธ์ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านิพพานถอดกายทุกพระองค์ ล้วนมีจุดมุ่งหมายในการกำจัดกิเลสมาร ทั้งสิ้น
ทำตามข้อใดข้อนึง จนถึงแก่นแท้ ก็จะสามารถเข้านิพพานได้

แม้มิอาจเข้าถึงตัวองค์ดำได้ แม้มิอาจทำลายภพ ๓ ได้ แม้มิอาจสู้เสนามารทั้งหมดได้
แต่ก็สามารถ หนี ออกไปจากภพ ๓ ได้ ไม่ต้องอยู่ภายใต้ กฏแห่งการกระทำ อีกต่อไป

แต่คนที่สามารถเข้านิพพานได้ แต่ยังไม่อยากเข้านั้น ก็มีมากมายนัก เพราะในเมื่อรู้แก่ใจว่า องค์ดำยังอยู่ ก็ไม่รู้จะรีบเข้าไปทำไม

เพราะ นิพพาน ก็ไม่แน่่ว่าจะเป็นสถานที่ ที่ปลอดภัยที่สุด

คำกล่าวว่า นิพพานเป็นเยี่ยม นั้น ก็จริง หากจะเทียบกับภพ ๓ นี้
แต่เยี่ยมไม่จริง หากว่า พญามาร เขาไปถึง ที่สุด ก่อนเรา

หากมหาปูชนียาจารย์ พาพวกเราไปจนถึงที่สุดแห่งธรรม ได้ก่อน พวกเราก็จะได้เป็นไทกันหมด ไม่ว่าจะไปเกิดอยู่ในซอกหลืบไหนของภพ ๓
จะได้กายดั้งเดิมกลับมาก็คือกายมหาบุรุษนี่แหละ และก็จะจบสิ้นกันเสียที กับ กฎแห่งกรรม เข้าถึงคนทำเครื่องมือได้ เสนาทั้งหลายก็หมดฤทธิ์
จะเข้านิพพานได้ด้วยกายหยาบกันล่ะทีนี้ ไม่ต้องถอดกายกันให้เสียอารมณ์

แต่ทว่า..หากพญามารไปถึงที่สุดของเขาได้ก่อนล่ะ รู้กันบ้างหรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ไม่ต้องรู้ก็ได้ เพราะตอนนี้เรานำเขาอยู่ ๖๐ ต่อ ๔๐ แล้ว
ขอกราบเเทบเท้าขอบพระคุณ มหาปูชนียาจาร์ทุกๆท่าน มา ณ โอกาสนี้ด้วยครับ..สาาาา ธุ

อย่าว่าแต่มนุษย์โลกเลยที่ควรจะขอบคุณ แม้แต่ในอายตนะนิพพานถอดกาย ท่านก็ต้องรอให้ฝ่ายภาคปราบเข้ากลางนำหน้าไปก่อน เพราะภาคปราบรู้วิธีปราบมาร แต่ท่านทั้งหลาย ไม่รู้ จะอย่างไรก็ไม่มีทางไปถึงก่อนได้

แต่ไม่ใช่ใครจะเหนือกว่าใคร ต่างฝ่ายต่างมีหน้าที่ และต้องทำงานเกื้อกูลกัน ถ้าไม่มีภาคโปรด ภาคปราบก็ยากแก่การทำงาน

พลังแห่งพระนิพพาน ไม่ว่าจะอยู่นิพพานไหน ย่อมมีอาณุภาพอันจะนับจะประมาณมิได้
หากมีใคร ที่ภายในจิตใจ ตรงกับผังของนิพพานนั้นๆ พอดี ผังของพระนิพพานนั้น ก็จะคอยส่งผลให้แก่บุคคลนั้นๆ จนกว่าจะสิ้นสุดผังหรือสิ้นสุดความตั้งใจของคนคนนั้น

ดังเช่น พ่อค้าคนนึงเรืออัปปางอยู่กลางทะเล แบกมารดาว่ายฝ่าคลื่นน้ำและสัตว์ร้าย เกิดความคิดแว้บขึ้นมาในใจว่า อยากจะช่วยเหลือทุกคนออกจากกองทุกข์นี้ ความคิดและจิตใจแบบนี้ ก็ไปตรงกับผังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าภาคโปรด และพลังของนิพพานนั้นก็ได้ส่งผังหน่อเนื้อพุทธางกูรมายังศูนย์กลางกายฐานที่ ๗ ของพ่อค้าคนนั้น จนกลายมาเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันของเราในวันนี้

สรุปก็คือ เมื่อท่านเข้าสู่นิพพานกันแล้ว ก็หมดหน้าที่ที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ เป็นหน้าทีขององค์ต่อๆไป แต่กระเเสอาณุภาพแห่งพระนิพพานทั้งหลายเหล่านั้น ก็ล้วนยังมีอยู่
อยู่ที่ว่าใคร จะสามารถรับกระแสนั้นได้หรือไม่ ก็เท่านั้น..

ในกระทู้: กายมหาบุรุษ

05 November 2010 - 03:15 AM

...

ในกระทู้: ช่วยชี้แนะกับเรื่องนี้ด้วนะครับ..ขอบคุณมากครับ

04 November 2010 - 06:58 AM

...

ในกระทู้: ทำบุญให้มารกิน คือ อะไร???

04 November 2010 - 03:49 AM

...

ในกระทู้: ข้าวทิพย์ที่เทวดาถวาย เรากินแล้วทำไมอิ่มได้หละ

04 November 2010 - 01:46 AM

ถามเอามันส์รึครับ..

งั้นตอบเอามันส์นะครับ..



ข้าวทิพย์ที่เทวดาถวาย เรากินแล้วทำไมอิ่มได้หละ..ถ้าอย่างนั้นเราทำบุญทุกวันก็ได้ข้าวทิพย์ทุกวัน ทำไมเราไม่อิ่มละแต่เทวดามาถวายข้าวทิพย์ให้พระสงฆ์ ทำไมพระอิ่มได้แหละ

ตอบ..ข้าวทิพย์ที่เทวดาเอามาถวาย เป็นของกึ่งหยาบกึ่งละเอียดคล้ายๆบั้งไฟพญานาค จึงสามารถพอที่จะจับต้องได้ กินก็ิอิ่มได้เช่นกัน
ส่วนที่เราทำบุญทุกวัน เราไม่ได้ข้าวทิพย์ เราได้บุญ ตั้งแต่ผมทำบุญมายังไม่เคยได้ข้าวทิพย์เลย ไม่ได้เกี่ยวกัน ทำบุญไม่ได้หวังจะเอาข้าวทิพย์นะครับ..
บุญเป็นธาตุสำเร็จที่ละเอียด จับต้องไม่ได้ แต่พอจะรู้สึกได้ สามารถเปลี่ยนเเปลงพลังงานบุญเป็นอะไรก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นข้าวทิพย์..

ข้าวทิพย์มีโปรตีน ไขมัน เกลือแร่ วิตามิน อะไรเหรอ ถึงทำให้ร่างกายอิ่มได้

ตอบ..แม้ไม่เคยกินและไม่เคยเอามาแยกสารอาหาร แต่ก็พอจะนึกออกว่า อะไรที่มันเป็นทิพย์มันก็น่าจะพิเศษ น่าจะไม่ธรรมดา ดังนั้น สิ่งที่ได้จากข้าวทิพย์มันอาจจะได้มากกว่าสารอาหาร หรือแค่ ความอิ่ม อาจจะอร่อยเกินกว่าจะหาอาหารใดๆในโลกนี้เทียบได้ อาจจะกินแค่ปริมาณเพียงเล็กน้อยแต่อิ่มไปหลายวัน หรืออาจมีแรงกำลังเพิ่มมากขึ้น อะไรประมาณนี้..

แล้วเทวดา มีร่างละเอียดขนาดนั้น ทำไมตาหยาบๆของมนุษย์เห็นได้แหละ

ตอบ..ถ้าจะเห็นเทวดาได้ มีอยู่สองกรณี
คือหนึ่ง เทวดาทำให้เห็น เนื่องด้วยเหตุผลใดเหตุผลหนึ่ง
สอง เราเห็นเอง เนื่องจากบังเิอิญอายตนะตรงกันพอดี คล้ายๆกับการเห็นผีนั่นแหละ ซึ่งบางคนก็เห็นบางคนก็ไม่เห็น ไม่ใช่่ว่าจะได้เห็นกันทุกคน


แล้วทำไมเทวดาไม่ลงมาถวายข้าวทิพย์ ให้พระสงฆ์ทุกวันละ วัดใหนไม่มีข้าวฉัน เทวดาชั้นจตุ ซึ้งไกล้โลก น่าจะมาทำบุญทุกวัน แสงสว่างในตัวจะได้สว่างเพิ่มๆขึ้น

ตอบ..เป็นเทวดาก็ใช่ว่าจะทำอะไรในตามอำเภอใจนะครับ ต่างก็ต้องมีหน้าที่ด้วยกันทั้งนั้น และก็ใช่ว่าทุกท่านจะขวนขวายในบุญกันหมดซะเืมื่่อไหร่ บ้างก็อาจจะมัวแต่ชื่นชมทิพยสมบัติของตนเอง บ้างก็อาจจะมัวแต่เีที่ยวเล่นเป็๋นที่เพลิดเพลิน คล้ายๆกับมนุษย์นี่แหละครับ รู้ว่าทำบุญนั้นดี แต่ก็ไม่ค่อยจะทำกัน
เทวดาคือ ภพภูมิแห่งการเสวยผลบุญ ซึ่งมีมากน้อยแตกต่างกันไป อยากจะทำบุญก็ทำได้ยาก ทำแล้วก็ได้ผลบุญน้อย ได้แค่อนุโมทนาบุญ เพราะภพภูมิที่จะทำบุญ ให้ได้ผลบุญเต็มเม็ดเต็มหน่วย ก็คือ มนุษย์ เท่านั้น
ในภพสาม ทั้ง ๓๑ ภูมินี้ ไม่มีกายไหนที่จะสร้างบุญบารมีได้ดี เท่ากับกายมนุษย์อีกแล้ว พวกที่รู้ความเป็นจริงของชีวิต ลงมาเกิดกันก็เพราะการนี้
ถ้าเป็นเทวดาและเอาทิพยสมบัติมาแลกบุญได้ คงไม่ต้องลงมาเกิดเป็นมนุษย์กันให้เมื่อยหรอกครับ อยู่บนสวรรค์สบายกว่่ากันตั้งเยอะ
เพราะข้อเสียของมนุษย์คือต้องทำมาหากิน และส่วนมากก็ทำมาหากินซะจนลืมเป้าหมายที่แท้จริง

ก็มีบ้างนะครับ ที่ ภูมมเทวา รุกขเทวา หรือเทวดาพวกอื่่นๆ จะมาใส่บาตรพระสงฆ์องคเจ้า แต่ก็ไม่ใช่ว่าเขาจะมาใส่กับพระทุกองค์ เขาจะมาใส่กับองค์ที่มีศีลบริสุทธิ์บริบูรณ์เท่า้นั้น
และศีลที่บริสุทธิ์บริบูรณ์นี้เอง ที่เป็นเหตุไปดลอกดลใจเทวดาที่อยู่ในละแวกนั้นให้มาใส่บาตร เนื่องจากอาณุภาพของศีลที่บริสุทธิ์นี้ ไม่ว่าจะไปอยู่ในซอกเขาไหน ก็จะไม่มีวันอดอยาก มันจะมีเหตุให้เป็นไปโดยอัศจรรย์

บ้านมีกฎบ้าน เมื่องมีกฎเมือง ภพสามก็มีกฎแห่งการกระทำ เทวดาก็ย่อมมีกฎของเทวดา ไม่ใช่อยากจะมาทำบุญตักบาตรกับใครก็มาทำได้โดยง่าย
เพราะมันไม่ใช่หน้าที่และวิสัยของเขา
หากมันง่ายเช่นนั้น เทวดาทั้งหลายก็คงจะหอบวิมานของตน มาถวายพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากันหมดตั้งแต่ยุคโน้นแล้ว ไม่ต้องรอให้ท่านอนาถบิณทิกเศรษฐี มาสร้างวัดถวายให้เสียเวลา

หวังว่า การตอบเอามันส์แบบคร่าวๆของผม จะพอทำให้เข้าใจอะไรได้บ้างนะครับ..