ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * - - 1 คะแนน

ร่วมบุญ 25 บาท กับหลวงปู่ สมัยก่อนปี พ.ศ. 2500, เทียบเท่ากับเงินประมาณ 15,000 บาท ในสมัยนี้


  • กระทู้นี้ถูกล็อค กระทู้นี้ถูกล็อค
มี 29 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ณ ๐๗๒

ณ ๐๗๒
  • Members
  • 1340 โพสต์
  • Location:Ladkrabang

โพสต์เมื่อ 07 October 2008 - 12:29 PM

ร่วมบุญ 25 บาท กับหลวงปู่ จะรวยเป็นพันล้าน
แล้ว ถ้าเทียบกับเงินในสมัยนี้ล่ะ ต้องทำบุญหล่อหลวงปู่เท่าไหร่ จึงจะเทียบเท่ากับเงิน 25 บาท ในสมัยนั้น

จากข้อมูลที่ว่า
สมัยคุณยายออกจากบ้านมา คุณยายมีเงินติดตัว 2 บาท
เงินสองบาทในสมัยนั้น สามารถซื้อก๊วยเตี๋ยวได้ 60 ชาม

ถ้าเงิน 25 บาท(ที่ใช้ร่วมบุญสมัยหลวงปู่)
ก็ทานก๊วยเตี๋วย = 25x60/2 = 750 ชาม

แล้วก๊วยเตี๋ยว 750 ชาม สมัยนี้ จะคิดเป็นเงินเท่าไหร่ล่ะ

ถ้าคิดชามละ 20 บาท (ยังมีให้ทาน แต่หาได้ยากเต็มที)
ก็เป็นเงิน 20x750= 15,000 บาท


ถ้าคิดว่าก๊วยเตี๋ยวชามละ 25 บาท 750 ชาม
คิดเป็นเงิน =25x750 = 18,750 บาท

เคยสังเกตุไหม ว่าสร้างองค์พระก็ 15,000
หล่อทองหลวงปู่ครั้งนี้ก็เหมือนกัน หลวงพ่อตั้งไว้ สำหรับกองเล็ก เท่ากับหนึ่งบาททองก็ประมาณ 15,000 บาท

เห็นตัวเลขกันไม๊คะ ว่าทำไมต้อง หมื่นห้า ถึงจะได้พระของขวัญเป็นพระมหาสิริราชธาตุ

(อันนี้ขอเดา)ก็เพราะว่าหลวงพ่อคงได้คำณวนแล้ว ว่า 25 บาทสมัยก่อน เทียบเท่ากับเงินเท่าไหร่ ในสมัยนี้ ก่อนที่จะมาบอกบุญพวกเรา
เห็นไม๊คะ ว่าหลวงพ่อ ละเอียดละออแค่ไหน ใส่ใจกับบุญของลูกๆ พระธัมฯแค่ไหน

ฉะนั้น...เห็นอย่างนี้แล้ว
อย่ารอช้ากันนะคะ บัญชีที่ยังไ่ม่ได้ปิด หนี้ที่ยังไม่ได้ทวง ทองหรือเงินในที่ลับๆ ที่ยังตัดใจไม่ได้ ญาติที่ยังทำไม่ครบหนึ่งบาททอง เอาข้อมุลนี้ไปบอกญาติๆ พวกพ้อง ร่่วมสายบุญ ต้องทำให้ได้หนึ่งบาททอง จึงจะมีค่าเทียบเท่ากับ 25 บาทในสมัยหลวงปู่

ขอให้ทำได้ครบหนึ่งบาททองกันทุกคนนะจ๊ะ แล้วจะได้มีสมบัติพันล้านกัน



ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)

ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี  ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ  ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป


#2 usr21582

usr21582
  • Members
  • 71 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 October 2008 - 12:34 PM

QUOTE
ร่วมบุญ 25 บาท กับหลวงปู่ จะรวยเป็นพันล้าน


ตอนนี้ 15000 เราก็จะรวยเป็น พันล้าน ได้เหมือนกัน

#3 ideal

ideal
  • Members
  • 605 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:TRANG
  • Interests:-

โพสต์เมื่อ 07 October 2008 - 02:11 PM

ว๊าวว สาธุ

DMC The only one

ประกอบเหตุ สังเกตผล ทนเอาเถิด ประเสริฐนัก
ไม่หยุดไม่ถึงพระ ตัวหยุดนี้แหละเป็นตัวสำเร็จ
ผลไม้ดกนกชุม น้ำเย็นปลาชอบอาศัย


คติธรรม พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร)

#4 DJ.

DJ.
  • Members
  • 1212 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 October 2008 - 02:17 PM

สาธุ

#5 เพื่อบุญ

เพื่อบุญ
  • Members
  • 154 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 October 2008 - 02:42 PM

คิดไม่ถึง ๆ จริง ๆ
สาธุ

#6 somchet

somchet
  • Members
  • 900 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 October 2008 - 03:27 PM

ไม่คิดไม่แปลก จริงๆด้วยนะครับ

#7 WB

WB
  • Members
  • 267 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 October 2008 - 03:32 PM

ไม่ใช้ม้างงง น่าจะมาจาก 1 บาททอง = 15000 อะ

ส่วน องค์พระก็จาก 10000 บาท เป้น 15000 น่าจะมาจากค่าเงินเฟ้อหนะ

#8 usr25920

usr25920
  • Members
  • 76 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 October 2008 - 03:58 PM

คิดได้ละเอียดจริงๆ เลยค่ะ ทำไปแล้ว 6 สลึงทอง ก็จะได้รวยเป็นพันล้านด้วยซิคะ

สาธุ สาธุ สาธุ

#9 ณ ๐๗๒

ณ ๐๗๒
  • Members
  • 1340 โพสต์
  • Location:Ladkrabang

โพสต์เมื่อ 07 October 2008 - 05:24 PM

แถวที่ทำงาน กะที่พัก ยังมีให้ทานนะคะ ก๊วยเตี๊ยวชามละ 20 บาท

สมัยปี 2537 ก๊่วยเตี๊ยวอาจจะราคา 15 บาทก็ได้นะคะ
คูณกันแล้ว 750 ชาม ก็หมื่่นกว่านิดๆ

แต่ไม่ว่าอย่างไร ไม่ว่าหลวงพ่อจะคิดไว้หรือไ่ม่ หรือว่าเผอิญมาตรงกัน ...แล้วทำไมต้้องเผอิญตรงกันด้วยล่ะ น่าแปลกไม๊

ที่แน่ๆ เงิน 25 บาทสมัยก่อน ก็เท่ากับประมาณ 15,000 บาทสมัยนี้(พ.ศ. 2551) เป็นอย่างน้อยล่ะค่ะ

ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)

ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี  ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ  ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป


#10 WB

WB
  • Members
  • 267 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 October 2008 - 10:12 AM

ทำไมไม่เปรียบเทียบ 25 บาท กะ ราคาทองสมัยนั้นหละครับ ทำไมถึงเปรียบกัยก๋วยเตี๋ยวกัน

base on ว่า ทองเนื้อ 9 ( 99.99%) 1 บาท = 9 บาท นะครับ ถ้าคิดแบบนี้ 25 บาท = 5400 บาทครับ

ทางที่ดีอย่าคิดมากเรื่องนี้เลยครับ คิดว่า 15000 ก็คือ ราคาทอง 1 บาทในปัจจุบัน แบบปัดเศษให้ลงตัวแล้วกัน อย่าไปสนใจว่า 15000 มาจากไหน ทำไมต้อง 15000 เลยนะครับ เอาเป้นว่าเงินคือตัวเลขสมมติครับ ใจสิ ใหญ่กว่านะ

#11 potaesmart

potaesmart
  • Members
  • 160 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 October 2008 - 02:31 PM

อนุโมทนาบุญ ด้วยนะครับ สาธุ............

#12 samana072

samana072
  • Admin_Article_Only
  • 109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:วัดพระธรรมกาย

โพสต์เมื่อ 08 October 2008 - 05:10 PM

สาธุๆ...กับเจ้าของกระทู้นี้ด้่วยนะครับ


ปลื้มๆๆๆครับผม

<a href="http://www.dmc.tv/im...0-02-14-18.jpg" target="_blank">
</a>

#13 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 11 October 2008 - 04:26 PM

ผมว่า คิดอย่างไรก็ได้ ให้เราปลื้มในบุญ เป็นใช้ได้ครับ
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#14 ณ ๐๗๒

ณ ๐๗๒
  • Members
  • 1340 โพสต์
  • Location:Ladkrabang

โพสต์เมื่อ 07 May 2009 - 02:19 AM

ผ่านไปครี่งปี ได้กลับมาอ่านกระทู้ตัวเองอีกครั้ง

กับคำถามที่ว่า

QUOTE
ทำไมไม่เปรียบเทียบ 25 บาท กะ ราคาทองสมัยนั้นหละครับ ทำไมถึงเปรียบกัยก๋วยเตี๋ยวกัน


ก็เพราะว่าไม่ทราบ ราคาทองสมัย ประมาณปี พ.ศ. 2500 นั้น ทองราคาบาทละเท่าไหร่

แต่เราทราบค่าใช้จ่ายที่จะต้องใช้ในการดำรงชีพ จากประวัติของคุณยาย ผ่านทางเรื่องก๊วยเตี๋ยว เลยต้องเอาราคาก๊วยเตี๊ยวมาเปรียบเทียบกัน คนสมัยใหม่ีที่เรียนมาทางด้านการเงินอาจจะรับไม่ได้ แต่ก็พอจะอนุโลมเอามาคิดได้ ไม่งั้นตอนคุณยายเล่าเรื่องจะบอกทำไม ว่าเงิน 2 บาทสมัยนั้นทานก๋วยเตี๊ยวได้กี่ชาม เหตุผลที่บอกแบบนั้นก็เพื่อต้องการบอกว่าค่าครองชีพสมัยนั้นเป็นยังไง
พอเอามาคิดแล้ว ก็พอจะมองเห็นอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ได้ ไม่มากก็น้อยล่ะค่ะ

ความพร้อมเกิดขึ้น เมื่อเริ่มต้นลงมือทำ (โอวาทหลวงพ่อ 27/4/51)

ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจบุรุษให้หลงใหลได้มากเท่ากับสตรี  ไม่มีสิ่งใดที่จะรัดตรึงใจสตรีให้หลงใหลได้มากเท่ากับบุรุษ
แท้จริงแล้วความรักก็เปรียบดั่งเครื่องพันธนาการ  ที่มัดตรึงเหนียวแน่น ให้ลุ่มหลงอยู่ ย่อมจะต้องเวียนว่ายตายเกิดและจมอยู่ในกองทุกข์ร่ำไป


#15 real_life

real_life
  • Members
  • 11 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 October 2013 - 07:02 PM

สยามรัฐ ราคา 50 สตางค์ พ.ศ.2494

แนบไฟล์  kukrit05.jpg   71.74K   52 ดาวน์โหลด

แนบไฟล์  1_display.jpg   67.68K   51 ดาวน์โหลด

หนังสือเก่า พ.ศ.2495-2503 เล่มละ 2-3 บาท

แนบไฟล์  oldb1.jpg   91.41K   60 ดาวน์โหลด

แนบไฟล์  old2.jpg   74.61K   50 ดาวน์โหลด

 

ภาพปกแมกกาซีน พ.ศ.2496 เล่มละ 4 บาท

แนบไฟล์  M10404346-2.jpg   60.63K   56 ดาวน์โหลด

แนบไฟล์  M10404346-3.jpg   31.55K   57 ดาวน์โหลด

ภาพเนื้อหาด้านในเล่ม

แนบไฟล์  M10404346-5.jpg   69.36K   59 ดาวน์โหลด

 

หนังสือเก่าๆช่วง พ.ศ.2493-2494 เล่มละ 2-5 บาท

แนบไฟล์  reply720891_01.1.jpg   83.83K   56 ดาวน์โหลด

ไฟล์แนบ



#16 stevejobs

stevejobs
  • Members
  • 18 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 October 2013 - 09:47 PM

อืม


sssssss



#17 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 03 October 2013 - 09:49 PM

OK ครับ เนื่องจากเป็นเรื่องราวในอดีต ตัวเลขที่แน่นอน พวกเราอาจทราบได้ยาก ส่วนของคุณ real-life มีหลักฐานค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งที่อ้างอิงได้ ผมขอชื่นชมในความตั้งใจจากใจจริงครับ เพียงแต่หลักฐานที่คุณ real-life หามาได้นั้น เป็นราคาสินค้าในช่วงตั้งแต่ปี 2493 เป็นต้นไป

แต่เมื่อผมดูจากประวัติของคุณยายอาจารย์จาก Wiki (คุณยายขึ้น Wiki ด้วยนะ) พบว่า ช่วงที่คุณยายออกจากบ้าน จะตรงกับปี 2478 ซึ่งห่างจากปี 2493 อยู่ 15 ปี ดังนั้น การที่เจ้าของกระทู้ได้ข้อมูลว่า เงินสองบาทสมัยปี 2478 สามารถซื้อเกี๋ยวเตี๋ยวได้ 60 ชาม แสดงว่า ชามละ = 200/60 = 3-4 สตางค์ 

 

ในขณะที่เวลาของคุณ real-life ผ่านมาจากยุคคุณยายเป็นเวลา 15 ปี น้ำอัดลมขวดละ 1 บาท ผมว่า ก็มีเหตุผลที่จะคิดได้ดังที่เจ้าของกระทู้โพสมานะครับว่า ปี 2478 อาหารชามละแค่ 3-4 สตางค์
 

http://th.wikipedia..../จันทร์_ขนนกยูง


ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#18 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 03 October 2013 - 10:06 PM

ขอแนะนำว่า  การชี้แจงความจริงเป็นสิ่งที่สมควร   แต่ก็ควรใช้ภาษาที่เหมาะสม  สมควรแก่กาละและเทศะด้วยครับ


สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ

#19 stevejobs

stevejobs
  • Members
  • 18 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 October 2013 - 10:12 PM

ผ่านไปครี่งปี ได้กลับมาอ่านกระทู้ตัวเองอีกครั้ง  กับคำถามที่ว่า   QUOTE ทำไมไม่เปรียบเทียบ 25 บาท กะ ราคาทองสมัยนั้นหละครับ ทำไมถึงเปรียบกัยก๋วยเตี๋ยวกัน   ก็เพราะว่าไม่ทราบ ราคาทองสมัย ประมาณปี พ.ศ. 2500 นั้น ทองราคาบาทละเท่าไหร่  แต่ เราทราบค่าใช้จ่ายที่จะต้องใช้ในการดำรงชีพ จากประวัติของคุณยาย ผ่านทางเรื่องก๊วยเตี๋ยว เลยต้องเอาราคาก๊วยเตี๊ยวมาเปรียบเทียบกัน คนสมัยใหม่ีที่เรียนมาทางด้านการเงินอาจจะรับไม่ได้ แต่ก็พอจะอนุโลมเอามาคิดได้ ไม่งั้นตอนคุณยายเล่าเรื่องจะบอกทำไม ว่าเงิน 2 บาทสมัยนั้นทานก๋วยเตี๊ยวได้กี่ชาม เหตุผลที่บอกแบบนั้นก็เพื่อต้องการบอกว่าค่าครองชีพสมัยนั้นเป็นยังไง พอเอามาคิดแล้ว ก็พอจะมองเห็นอะไรบางอย่างที่ซ่อนอยู่ได้ ไม่มากก็น้อยล่ะค่ะ 

 

คิดได้ละเอียดจริงๆ เลยค่ะ ทำไปแล้ว 6 สลึงทอง ก็จะได้รวยเป็นพันล้านด้วยซิคะสาธุ สาธุ สาธุ


แก้ไขโดย ทัพพีในหม้อ 03 October 2013 - 10:30 PM
ขอตัดข้อความที่ซ้ำซ้อนออกนะครับ


#20 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 03 October 2013 - 10:26 PM

ท่าน  ณ ๐๗๒  นั้น  ท่านถือว่าเป็นผู้  "คิดเป็น"  ครับ

 

คือสามารถหาเหตุแม้เพียงเล็กน้อยมายกใจตัวเอง  ให้ปราบปลื้มในบุญที่ได้กระทำไปดีแล้ว  แม้การเปรียบเทียบจะเป็นไปอย่างหยาบๆ  ไม่ถูกต้องตามหลักวิชาการ  หลักความจริงนัก  แต่นั่นก็ไม่ใช่สาระของเนื้อความของกระทู้ที่โพสต์   ไม่ได้ทำให้ความสำคัญของกระทู้หมดไปแต่อย่างใด  เพราะจุดประสงค์หลักของกระทู้นี้ คือ  ปลื้มในบุญ  ครับ


สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ

#21 stevejobs

stevejobs
  • Members
  • 18 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 October 2013 - 10:52 PM

คิดได้ละเอียดจริงๆ เลยค่ะ ทำไปแล้ว 6 สลึงทอง ก็จะได้รวยเป็นพันล้านด้วยซิคะสาธุ สาธุ สาธุ



#22 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 03 October 2013 - 10:52 PM

พอดีนึกขึ้นมาได้อีกเรื่องหนึ่งครับ ว่าระยะเวลา นั่นคือตั้งแต่ตอนที่คุณยายออกจากบ้าน คือ ปี 2478 แล้วปีที่หลวงปู่ท่านเริ่มสร้างโรงเรียนพระปริยัติคือ ปีไหน พอไปค้นดู ก็พบว่า เป็นปี 2493 ซึ่งก็ตรงกับปีที่คุณ Real-life แกโพสมาจริงๆ นั่นคือ ระยะเวลาที่คุณยายออกจากบ้าน ก๋วยเตี๋ยวชามละ 3 สตางค์กว่าๆ กินเวลา 15 ปี กว่าจะสร้างโรงเรียนพระปริยัติค่าเงินก็จะเปลี่ยนไปตามของคุณ Real-life

 

http://www.dhammakay...ากน้ำ-ภาษีเจริญ

 

แต่เจ้าของกระทู้โพสกระทู้นี้ขึ้นมา ก็เป็นการเล่าสู่กันฟังสนุกๆ ข้อมูลในอดีตก็อาจมีส่วนไม่เนี้ยบ เฉียบ เป๊ะ ไปบ้าง แต่ถ้าคิดในแง่ว่า ค่าเงินในปัจจุบันมากกว่าในอดีต คิดแล้วเบิกบานในบุญ ก็ถือว่า OK ครับ ผมว่า 


ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#23 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 October 2013 - 01:46 PM

ยินดีต้อนรับท่านสมาชิกผู้เป็นพหูสูต

 

จุดประสงค์ของ จขกท.น่าจะเป็นไปเพื่อให้ปลื้มปีติในบุญ

 

เรื่องเงินตราในแต่ละยุคเทียบยาก ก่อน WW2 การค้าโพ้นทะเลจะใช้ทองคำกำหนดการแลกเปลี่ยนสินค้า ประกอบกับช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพากองทัพญี่ปุ่นเข้ามาในประเทศไทย ผลิตธนบัตรปลอมมากระทบเศรษฐกิจ ทำให้ค่าเงินเฟ้อ หลัง WW2 สิ่งที่มีค่าคือสตางค์เหรียญ แบ๊งค์นั้นไม่มีค่า

 

ข้อมูลราคาทองย้อนหลัง 200ปีอาจพอช่วยเทียบได้ แต่ตัวแปรทางปัจจัยสี่มีมาก ประกอบค่าทองคำลอยตัวหลังยุคตื่นทอง

http://topicstock.pa...9/I7609219.html


ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#24 real_life

real_life
  • Members
  • 11 โพสต์

โพสต์เมื่อ 04 October 2013 - 07:59 PM

ก่อนอื่น ผมต้องบอกว่า คุณทัพพีในหม้อ  คุณไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะมาาลบโพสต่างๆของผมซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน ครั้งที่สองแล้วนะ ที่ลบอ่ะ
คุณลองไปดูกระทู้ต่างๆ ในพันธ์ทิพย์  ในหัวข้อมากมายที่ตั้งขึ้นเขาเถียงกันด้วยถ้อยคำหยาบมากมาย เถียงกันไปมา โดยไม่มีหลักฐาน  ถ้าสิ่่งที่เขาต่างถกเถียงกันอยู่ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกระทู้ เขายังไม่ลบ โพสต์ต่างๆของแต่ละคนเลย แต่นี่ผมมีทั้งหลักฐานมาอ้างอิงให้  คุณยังว่าผมพูดไม่ตรงประเด็น ผมว่าไม่ใช่ ไม่ตรงประเด็นหลอก แต่ผมพูดไม่ถูกใจคุณมากกว่า
 

พอดีนึกขึ้นมาได้อีกเรื่องหนึ่งครับ ว่าระยะเวลา นั่นคือตั้งแต่ตอนที่คุณยายออกจากบ้าน คือ ปี 2478 แล้วปีที่หลวงปู่ท่านเริ่มสร้างโรงเรียนพระปริยัติคือ ปีไหน พอไปค้นดู ก็พบว่า เป็นปี 2493 ซึ่งก็ตรงกับปีที่คุณ Real-life แกโพสมาจริงๆ นั่นคือ ระยะเวลาที่คุณยายออกจากบ้าน ก๋วยเตี๋ยวชามละ 3 สตางค์กว่าๆ กินเวลา 15 ปี กว่าจะสร้างโรงเรียนพระปริยัติค่าเงินก็จะเปลี่ยนไปตามของคุณ Real-life

 

http://www.dhammakay...ากน้ำ-ภาษีเจริญ

 

แต่เจ้าของกระทู้โพสกระทู้นี้ขึ้นมา ก็เป็นการเล่าสู่กันฟังสนุกๆ ข้อมูลในอดีตก็อาจมีส่วนไม่เนี้ยบ เฉียบ เป๊ะ ไปบ้าง แต่ถ้าคิดในแง่ว่า ค่าเงินในปัจจุบันมากกว่าในอดีต คิดแล้วเบิกบานในบุญ ก็ถือว่า OK ครับ ผมว่า

 

ใช่ครับ คุณหัดฝันเข้าใจถูกแล้ว อย่างที่ผมเคยบอกไว้ ก่อนสงครามโลกสิ้นสุดลงพ.ศ.2488  ค่าเงินยังไม่ลดค่า ยังไม่ลอยตัว ก๋วยเตี๋ยวจึงเป็นไปได้ว่าราคา 3 สตางค์    แต่เจ้าของกระทู้ดันเปรียบเทียบค่าเงินผิดยุคผิดสมัย   ดันเอาค่าเงิน ปีพ.ศ.2478 ไปเปรียบเทียบกับปี พ.ศ.2500(ห่างกัน22ปี) ซึ่งเป็นช่วงหลังสงครามโลก  ซึ่งค่าเงินลดค่าลงไปมากแล้ว ก๋วยเตี๋ยวจึงน่าจะแพงกว่านี้เดาว่า(พ.ศ.2500)น่าจะชามละเกิน 25 สตางค์ เพราะขนาดน้ำอัดลมขวดเล็กๆยังราคา 1.50 บาท และประเด็นคือผมเพียงต้องการจะชี้แจงว่า เจ้าของกระทู้เอาคำของยายมาเปรียบเทียบผิดยุค ผิดสมัย ครับ



#25 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 04 October 2013 - 09:45 PM

ก่อนอื่น ผมต้องบอกว่า คุณทัพพีในหม้อ  คุณไม่สมควรอย่างยิ่งที่จะมาาลบโพสต่างๆของผมซึ่งเป็นการละเมิดสิทธิขั้นพื้นฐาน ครั้งที่สองแล้วนะ ที่ลบอ่ะ
คุณลองไปดูกระทู้ต่างๆ ในพันธ์ทิพย์  ในหัวข้อมากมายที่ตั้งขึ้นเขาเถียงกันด้วยถ้อยคำหยาบมากมาย เถียงกันไปมา โดยไม่มีหลักฐาน  ถ้าสิ่่งที่เขาต่างถกเถียงกันอยู่ในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับกระทู้ เขายังไม่ลบ โพสต์ต่างๆของแต่ละคนเลย แต่นี่ผมมีทั้งหลักฐานมาอ้างอิงให้  คุณยังว่าผมพูดไม่ตรงประเด็น ผมว่าไม่ใช่ ไม่ตรงประเด็นหลอก แต่ผมพูดไม่ถูกใจคุณมากกว่า

 

ขอชี้แจงนะครับ  ที่นี่ DMC ครับ  ไม่ใช่  เว็บไซต์ที่ท่านเอ่ยชื่อมา  ถ้าเข้าใจว่า  จะใช้มารยาทแบบนั้นในที่อื่นได้  คงต้องเรียนให้เข้าใจว่า  ท่านเข้าใจเสรีภาพในการแสดงออกคลาดเคลื่อนไปแล้วหล่ะครับ  แต่ละสถานที่จะมีกฏ  มีระเบียบของตนเอง  ถ้าเราเข้าไปในสถานที่ของใครก็ควรเคารพกฏ ระเบียบของสถานที่นั้นด้วย  นี่ คือ พื้นฐานของมารยาททางสังคมของการอยู่ร่วมกันครับ  และที่สำคัญ  ท่านเป็นผู้เลือกเข้ามาที่นี่เอง  ซึ่งเป็นการที่ท่านยอมรับกฏและระเบียบของที่นี่ด้วยตัวท่านเองแล้ว  เราไม่ได้ทำเกินกว่าเหตุแต่อย่างใดครับ

 

ส่วนเรื่องเนื้อหา  ผมก็ได้ตอบไปตั้งแต่ต้นแล้วว่า  ทุกคนถูก  คิดถูกทั้งคู่  แต่เป็นการถูกกันคนละประเด็น  คนละมุมมอง  แต่ในเมื่อท่านไม่ทำความเข้าใจตรงนี้  และพยายามอย่างยิ่งที่จะถือว่าตนเองถูกต้องที่สุด  ถึงขั้นใช้คำตำหนิผู้อื่น  ผมก็ต้องใช้สิทธิสมาชิก  ในการแจ้งเรื่องการใช้ภาษาไม่เหมาะสมไปตามสิทธิที่สมาชิกพึงมี   

 

ที่นี่  แม้จะเป็นการพูดคุยกัน  แต่ก็ถือเป็นสถานที่ในการฝึกตนเองไปด้วย  การที่ผู้อื่นให้ข้อมูลคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง  เราก็ควรเพียงชี้แจงให้เข้าใจถูกต้องตามกันก็พอ  อย่าถึงขั้นต้องตำหนิติติงกันเลยนะครับ


สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ

#26 เป็นหนึ่ง

เป็นหนึ่ง
  • Members
  • 354 โพสต์

โพสต์เมื่อ 06 October 2013 - 01:08 AM

คนสมัยนี้แปลก อยากทำอะไรตามใจตัวเอง ก็อ้างสิทธิเสรีภาพ หาว่ากฎระเบียบต่างๆ เป็นการริดรอนสิทธิซะอย่างนั้น

กฎระเบียบแต่ล่ะที่ มันก็แตกต่างกันไป แต่ละประเทศยังมีกฎหมายไม่เหมือนกัน

จะมาบอกว่า ฉันทำแบบนี้ที่อื่นได้ ทำไมทำแบบนี้ที่นี่ไม่ได้

ผมว่าความคิดแบบนี้ มันเป็นความคิดของคนที่เอาแต่ใจตัวเอง

 

สังคมไหนมีแต่พวกเอาแต่ใจตัวเอง ไม่เคารพกฎระเบียบของสังคม สังคมนั้นก็จะมีแต่ความวุ่นวาย


I just gotta get out of this prison cell.
Someday I'm gonna be free.

#27 real_life

real_life
  • Members
  • 11 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 October 2013 - 10:39 AM

อะไรกันครับทางวัดเองก็สอนอยู่ไม่ใช่รึ หากมีคนมาทักว่าเป็นเรื่องไม่จริงไม่ถูก มาเตือนอย่าโกรธเขาให้นึกว่าเขามาชี้ขุมทรัพย์ให้  แม้สังคมโลกปัจจุบันเกือบทุกหน่วยงานก็ยังมีกองกลางให้ร้องเรียนได้ เมื่อเห็นสิ่งใดไม่ถูกต้อง ศูนย์ร้องเรียนผู้บริโภค ,ศูนย์ร้องเรียนข้าราชการ,ศูนย์ร้องเรียนแท็กซี่,ฯลฯ  เมื่อวานเพิ่งดูข่าวสดๆร้อนๆ พนักงานเก็บตั๋วรถบัส โดนร้องเรียนถึงกับให้ออกจากงาน   นี่คือทางโลก ส่วนทางธรรม หากชาวบ้านเห็นสิ่งหนึ่ง สิ่งใดไม่จริง ไม่ถูกต้อง เขาตำหนิ เขาติเตียน เขาเรียก โลกวัชชะ อันเป็นบ่อเกิดแห่งศีลหลายๆข้อ

        และที่จริงผมเองก็ไม่อยากจะมายุ่งอะไรด้วยซ้ำ หากคุณไม่กล่าวอ้างข้อมูล ที่เกี่ยวเนื่องกับ บูรพาจารย์ หลวงพ่อวัดปากน้ำ  ยังมีการเทียบค่าพระของขวัญสมัยท่านกับสมัยนี้ ผมเห็นว่าไม่ถูกต้อง จึงมาชี้แจง ถ้าคุณจะเทียบกับอะไรก็ช่าง หม้อ ไห กะลังมัง ชาม อะไร ก็ช่างฯลฯ ผมคงไม่มาพิมพ์ให้เมื่อยมือหรอก แต่นี่เอาของสูงมาเทียบ  ซึ่งถ้าเอาชื่อหลวงปู่มาอ้างอิง ขอร้องว่าควรหาข้อมูลสิ่งนั้นให้ดีซะก่อน ถ้ามีหลักฐานที่น่าเชื่อถือได้ยิ่งดี อันเป็นการเตือนสติผู้ที่จะเอาชื่อหลวงพ่อมาอ้าง ว่าให้คิดก่อนพูด เพราะต่อไปไม่รู้หรอกครับ ใครจะเอาชื่อหลวงพ่อวัดปากน้ำมาอ้างอะไรอีกเยอะแยะก็เป็นได้ ถ้าข้อมูลนั้นจริงก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าไม่จริงละก็...  ลูกศิษย์หลวงพ่อวัดปากน้ำคงไม่ยอม



#28 ทัพพีในหม้อ

ทัพพีในหม้อ
  • Moderators
  • 3279 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 08 October 2013 - 11:28 AM

อะไรกันครับทางวัดเองก็สอนอยู่ไม่ใช่รึ หากมีคนมาทักว่าเป็นเรื่องไม่จริงไม่ถูก มาเตือนอย่าโกรธเขาให้นึกว่าเขามาชี้ขุมทรัพย์ให้ 

 

แต่ก็ต้องดูที่ "วิธีการที่ชี้"  ด้วยครับ  ตามที่ได้อธิบายไปแล้ว

 

 ยังมีการเทียบค่าพระของขวัญสมัยท่านกับสมัยนี้ ผมเห็นว่าไม่ถูกต้อง

 

ลองทบทวนนะครับ  เราเทียบแค่การกำหนดตัวปัจจัยในการทำบุญเท่านั้น  ไม่มีการเทียบกับของสูงสิ่งอื่นใดเลย   ทางเราทราบดีครับว่าสิ่งใดเป็นของสูง  ควรให้การเคารพขนาดไหน  เราไม่นำมาพูดเล่นหรอกครับ

 

ลองค่อยๆ พิจารณาใหม่ช้าๆ  อย่างมีสตินะครับ  คนที่นำ "พระของขวัญ" มาเล่นเปรียบเทียบก็มีแต่ท่านผู้เดียวเท่านั้น  ซึ่งผมก็เห็นเป็นการไม่สมควรถึงได้ลบออกไปไงครับ  หรือจำไม่ได้แล้ว

 

ทางหมู่คณะของพวกเราก็เคารพบูชาพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ท่านอย่างที่สุดเหมือนกับลูกศิษย์ท่านอื่นๆ ไม่ได้น้อยหน้าไปกว่ากันหรอกครับ  ต่างฝ่ายก็ทำหน้าที่ในการเผยแผ่วิชชาธรรมกายกันตามหน้าที่ของตนเองอย่างเต็มที่เพื่อสนองคุณของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ท่าน  

 

แม้แต่พระเดชพระคุณท่านเจ้าประคุณสมเด็จฯ  เจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯ องค์ปัจจุบันและพระคณาจารย์ทั้งหลายทั้งปวงท่าน   ท่านก็มีมหาเมตตาอบรมสั่งสอน  แนะนำพวกเราในการเผยแผ่วิชชาธรรมกายอยู่ตลอดเวลา  สิ่งไหนไม่เหมาะไม่ควร  พระคุณท่านก็เมตตาตำหนิติติงและแนะนำที่ถูกที่ควรมาให้แก้ไข  สิ่งไหนที่เหมาะที่ควร  พระคุณท่านก็เมตตาอนุโมทนาให้เป็นขวัญ  เป็นกำลังใจกับพวกเราอยู่เสมอมิได้ขาด  ซึ่งก็เป็นบุญคุ้มหัวพวกเราอย่างที่สุด  ที่พวกเราชาววัดพระธรรมกายไม่เคยลืมเลือนไปจากหัวใจ

 

หวังว่าลูกศิษย์  หลานศิษย์  และทุกหมู่คณะของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ  ที่ตั้งมั่นในวิชชาธรรมกาย  จะรวมใจกันเพื่อช่วยเกื้อหนุนกันให้วิชชาธรรมกายแผ่ขยายไปทั่วโลก  ยืดอายุพระพุทธศาสนาต่อไปอีกนานเท่านานครับ


สมาชิกเว็บไซต์ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้ สามารถร่สมกิจกรรมสะสมคะแนนเพื่อแลกรับของที่ระลึกจากทางทีมงานได้ฟรีๆ ทำตามนี้เลยครับ ..... ทุกๆ กระทู้ที่สมาชิกตั้งขึ้น เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 3 คะแนน ..... ทุกๆ การตอบกระทู้ที่เป็นการตอบแบบมีสาระทางธรรม จะได้รับคะแนนสะสมทันที่ 1 คะแนน และ 0.1 คะแนนสำหรับการเข้ามาอนุโมทนาบุญ ..... อย่าลืมมาร่วมกิจกรรมกันนะครับ

#29 เป็นหนึ่ง

เป็นหนึ่ง
  • Members
  • 354 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 October 2013 - 01:16 PM

คุณ real_life ครับ การที่ความเห็นของคุณ real_life ถูกลบก็ไม่ควรโกรธนะครับ ควรใช้สติพิจารณาดีๆ ว่าทำไมผู้ดูแลเขาถึงลบ

การนำเสนอข้อมูลไม่ผิดครับ แต่วิธีการนำเสนอน่ะ ควรพิจารณาให้มากๆ ว่าทำอย่างไร ไม่ให้ผู้อื่นใจขุ่นมัว

ไม่ใช่จะเอาแต่อ้างเรื่องสิทธิอะไรนั่น เรื่องที่อื่นโพสต์ได้ ทำไมที่นี่โพสต์ไม่ได้ แบบเอาแต่ใจตัวเองแบบนั้น

 

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อนที่พระองค์จะแสดงธรรม ท่านยังพิจารณาเลย ดังที่พระองค์ทรงแสดงไว้ใน อภัยราชกุมารสูตร ดังนี้
 

ดูกรราชกุมาร ตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน

ย่อมรู้วาจาที่ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น

อนึ่ง ตถาคตย่อมรู้วาจาที่จริง ที่แท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น

อนึ่ง ตถาคตย่อมรู้วาจาที่จริง วาจาที่แท้ และประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ในข้อนั้น ตถาคตย่อมรู้กาลที่จะพยากรณ์วาจานั้น

ตถาคตย่อมรู้วาจาที่ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น

ตถาคตย่อมรู้วาจาที่จริง ที่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
อนึ่ง ตถาคตย่อมรู้วาจาที่จริง ที่แท้ และประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ในข้อนั้น ตถาคตย่อมรู้กาลที่จะพยากรณ์วาจานั้น

ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะตถาคตมีความเอ็นดูในสัตว์ทั้งหลาย

 

ผมคิดว่าคนที่รู้มากอย่างคุณ real_life คงทราบดีอยู่แล้ว แต่ไม่คิดจะนำมาใช้มากกว่า

ผมขอพูดตรงๆ เลยนะ เท่าที่ผมเห็นน่ะ ผมว่าเจตนาของคุณ real_life ไม่ได้ต้องการจะชี้ขุมทรัพย์หรอกกระมัง

กระทู้นี้ถูกตั้งไว้ตั้งแต่ปี 2008 ตอบครั้งสุดท้ายปี 2009 กระทู้เก่ามาก

การขุดกระทู้เก่ามากๆ ขึ้นมาเป็นประเด็นแบบนี้ ผมมองยังไงก็ไม่ใช่การชี้ขุมทรัพย์

แต่เป็นการจงใจ จะทำอะไรบางอย่างด้วยเจตนาไม่บริสุทธิ์มากกว่า และผมมั่นใจว่า ผมไม่ได้เข้าใจผิดซะด้วย


I just gotta get out of this prison cell.
Someday I'm gonna be free.

#30 real_life

real_life
  • Members
  • 11 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 October 2013 - 09:13 AM

ถึงคุณเป็นหนึ่ง ตามที่คุณอ้างพุทธพจน์มา คุณพูดเหมือนจะรู้แต่ก็ไม่รู้แฮะ

 

 

ดูกรราชกุมาร ตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน

ย่อมรู้วาจาที่ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น

อนึ่ง ตถาคตย่อมรู้วาจาที่จริง ที่แท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น

อนึ่ง ตถาคตย่อมรู้วาจาที่จริง วาจาที่แท้ และประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ในข้อนั้น ตถาคตย่อมรู้กาลที่จะพยากรณ์วาจานั้น

ตถาคตย่อมรู้วาจาที่ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น

ตถาคตย่อมรู้วาจาที่จริง ที่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ตถาคตไม่กล่าววาจานั้น
อนึ่ง ตถาคตย่อมรู้วาจาที่จริง ที่แท้ และประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ในข้อนั้น ตถาคตย่อมรู้กาลที่จะพยากรณ์วาจานั้น

 

คุณรู้ความหมายพุทธพจน์ที่คุณยกมากล่าวอ้างหรือเปล่าครับ

ข้อสรุปของสุภาษิตก็คือ ถ้าเรื่องไหนจริง มีประโยชน์ และแม้จะมีใจขุ่นบ้างไรบ้าง แต่สุดท้ายแล้วพระองค์ก็จะหาช่วงเวลาและโอกาสพูดความจริงที่เป็นประโยชน์เหล่านั้น

และส่วนกรณีของผมก็คงอยู่กรณีนี้

อนึ่ง ตถาคตย่อมรู้วาจาที่จริง วาจาที่แท้ และประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจของผู้อื่น ในข้อนั้น ตถาคตย่อมรู้กาลที่จะพยากรณ์วาจานั้น

 เพราะอะไรน่ะหรือ

1.ข้อมูลที่ผมโพสต์เป็นเรื่องจริง หาข้อมูลมามากมาย มีหลักฐาน ไม่คิดเองเออเอง

2.เป็นประโยชน์ เพราะ ข้อมูลนี้กล่าวอ้างโดยมีความไม่ถูกต้องตามหลักวิชา ส่งผลให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์คลาดเคลื่อน เช่น ถ้าต่อไปมีคนรุ่นใหม่อยากทราบค่าเงิน สมัยปี พ.ศ. 2500 เพื่อที่จะนำไปใช้ทำวิจัย,วิทยานิพนธ์ หรืออะไรก็ช่าง แล้วบังเอิญเข้ามาเว็บนี้เข้า ก็จะนำข้อมูลผิดๆไปใช้ นี่คือประโยชน์อย่างน้อย เหมือนเราเจอหนังสือคณิตศาสตร์เล่มหนึ่ง เขียนว่า 1+1=9 คุณว่าเราสมควรแก้ไขหนังสือเล่มนี้ไหมหรือจะปล่อยไว้ให้งงเล่นๆ

3.กาล  ผมคำนึงถึงว่าช่วงเวลานี้ก็เป็นช่วงที่เหมาะทีเดียวที่จะพูดความจริงกัน เพราะ ปี 2008 ช่วงนั้นมีการบอกบุญอยู่สร้างพระอยู่ จะให้ผมไปพูดหักหน้าบอกว่า คุณทำ 500-600 บาทก็พอ ก็เหมือนได้ทำ 25 เท่ายุคหลวงปู่แล้ว แบบนี้จะดีหรือ  แต่กลับกัน ปีนี้ 2013 เจ้าของกระทู้บอกบุญสร้างพระปิดเจดีย์สำเร็จไปแล้ว ถ้าจะพูดแทบไม่มีผลกระทบอะไร

นั่นแหละครับ เป็นที่มาว่า เราจะทำอะไรที่เกี่ยวเนื่องกับบูรพาจารย์  หาข้อมูลให้ดีก่อน แล้วค่อยพูด เพราะไม่ได้มีแค่คุณสองคนที่ได้ข้อมูลนี้ อย่างน้อย ณ ตอนนี้ก็ร่วมสามพันคนแล้วที่ดูกระทู้นี้และได้ข้อมูลผิดๆไป  และยังมีคนอีกมากที่เขาใช้กูเกิ้ลร่วมกับคุณอยู่ พอนึกออกนะครับ