ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

กามทั้งหลายเกิดจากความดำริ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 5 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 02 February 2006 - 10:27 PM

กามทั้งหลายเกิดจากความดำริ

[๑๑๕๕] แผ่นดินร้อนเหมือนถ่านไฟ ดาดาษไปด้วยทรายอันร้อนเหมือนเถ้ารึง
เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ขับเพลงอยู่ได้ แดดไม่เผาเจ้า
ดอกหรือ? เบื้องบนก็ร้อน เบื้องล่างก็ร้อน เมื่อเป็นเช่นนี้ เจ้ายังทำ
เป็นทองไม่รู้ร้อน ขับเพลงอยู่ได้ แดดไม่เผาเจ้าดอกหรือ?

[๑๑๕๖] ข้าแต่พระราชา แดดหาเผาข้าพระองค์ไม่ แต่ว่าวัตถุกาม และกิเลสกาม
ย่อมเผาข้าพระองค์ เพราะว่าความประสงค์หลายๆ อย่าง มีอยู่ ความ
ประสงค์เหล่านั้นย่อมเผาข้าพระองค์ แดดหาได้เผาข้าพระองค์ไม่.

[๑๑๕๗] ดูกรกาม เราได้เห็นมูลรากของเจ้าแล้ว เจ้าเกิดจากความดำริ เราจักไม่
ดำริถึงเจ้าอีกละ เจ้าจักไม่เกิดด้วยอาการอย่างนี้.

[๑๑๕๘] กามแม้น้อยก็ไม่พอแก่มหาชน มหาชนย่อมไม่อิ่มด้วยกามแม้มาก น่า
สลดใจที่พวกคนพาลพากันบ่นว่า รูป เสียง เหล่านี้จงมีแก่เรา กุลบุตร
ผู้ประกอบความเพียร พึงเว้นให้ขาดเถิด.

ที่มา : เล่ม 27 พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก ภาค 1


#2 JOYSA

JOYSA
  • Members
  • 234 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 February 2006 - 09:13 PM

กามและกามารมณ์
กามารมณ์ ผูกพันจับเอาคนมาเป็นทาส กามหรือกามารมณ์ โดยเฉพาะนี้ก็เป็นสิ่งดีที่ผูกพันคน หรือว่าถึงกับจับเอาไปเป็นทาสของมัน หรือว่าบางทีก็มองดูในแง่ที่ว่า มันทรมานเรียกว่าเป็นการถูกกามารมณ์นี้ขบกัดหรือเคี้ยวกิน การหลุดพ้นออกไปได้จากอำนาจของสิ่งที่เรียกว่ากาม มันอยู่ในระดับความหลุดพ้นเดียวกับนิพพาน หรือว่าต้องนิพพาน จึงจะหลุดพ้นจากกามารมณ์ หรือหลุดจากกามารมณ์โดยสิ้นเชิงนั้นก็เรียกนิพพาน ในระดับของบุคคลผู้บรรลุนิพพาน หมายความว่าเรียกว่าหลุดพ้นจากกามารมณ์โดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีทางแย้งว่าหลุดพ้นจากกามารมณ์ แต่อันอื่นยังเหลืออยู่ ยังไม่หลุดพ้นได้เหมือนกัน แต่ข้อเท็จจริงนั้น ถ้าหลุดพ้นจากกามารมณ์ในทุกความหมาย ในทุกชั้นทุกระดับแล้วก็เป็นเรื่องหลุดพ้นจากทุกสิ่ง

นี้เราเรียกว่าปัญหาของคน อย่างที่กล่าวถึงในครั้งที่แล้วๆ มาว่าปัญหาของมนุษย์อยู่ที่นี่ด้วยเรื่องหนึ่งเหมือนกัน เรื่องนี้คงจะเข้าใจไม่ยาก เพราะคนแต่ละคนก็รู้จักพิษสงของกามารมณ์ ตลอดถึงความเผาลนของสิ่งนี้ นี่เราจึงเอามาพูด ในฐานะเป็นเรื่องหนึ่งของการบรรยายชุดนี้

กาม, กามารมณ์ ความหมายต่างกัน
หัวข้อก็มีสั้นๆ ว่า กาม และกามารมณ์ ถ้ายังไม่เคยเรียนบาลี ก็อาจจะสับสนบ้าง เพราะการพูดจากก็มักจะสับสน นี้เรารู้ความหมายที่จำกัดตายตัวไว้เป็นข้อแรก
ถ้าเรียกว่า “กาม” หมายถึงความรู้สึกที่เป็นเช่นนั้น ถ้าเรียกว่า “กามารมณ์” หมายถึง สิ่งที่มาทำให้เกิดความรู้สึกเช่นนั้น เพราะฉะนั้น จึงมิใช่สิ่งเดียวกัน แต่ในการพูดจาก็มักจะเอาไปปนกัน จนบางทีก็ฟังยาก ฉะนั้น เมื่อพูดถึงกามเฉยๆ ก็ให้รู้ ว่าเป็นนามธรรม เป็นความรู้สึกอันหนึ่ง เป็นไปในทางที่จะเข้ามา หรือเข้ายึดถือ เข้ากอดรัด พัวพัน แล้วก็มีการเสวยสุข เพราะการกระทำเช่นนั้น มีชื่อเรียกอย่างอื่นอีกหลายอย่าง แต่ชื่อที่สำคัญที่สุดคือคำนี้ คำว่า “กาม” เฉยๆ
ส่วนคำว่า “กามารมณ์” นั้น แปลว่า อารมณ์แห่งกามคือสิ่งที่จิตมันจะไปเกี่ยวข้องพัวพัน ในฐานะน่ารัก น่าพอใจ แล้วก็เกิดความรู้สึกทางกามขึ้น เป็นขั้นแรก เป็นข้อแรก แล้วก็เหลืออยู่เป็นความเคยชิน เป็นสัญญาเป็นอะไรต่างๆ ที่จะน้อมไปหาอารมณ์อย่างนี้ มีชื่อเรียกแทนอีกหลายชื่อเหมือนกัน เช่น คำว่า กามคุณ เป็นต้น กามคุณก็หมายถึง กามารมณ์ กามคุณ คือสิ่งที่มีคุณค่าทางกาม ให้เกิดความรู้สึกทางกามเรียกว่า “กามคุณ”

การสืบพันธุ์ เป็นเรื่องธรรมชาติ
ทีนี้ ต่อไปที่เราจะต้องดูก็คือการสืบพันธุ์ การสืบพันธุ์นี้ไม่ใช่กามารมณ์ เป็นธรรมชาติ อันหนึ่งซึ่งมันมีมา มีความประสงค์จะสืบพันธุ์ นี้คือปัญหาที่จะเกิดทางเพศที่จะเกิดเป็นเพศหญิง เพศชาย เพื่อประโยชน์แก่การสืบพันธุ์ ผมว่าเอาเองดีกว่า เพราะไม่มีที่อ้างอิงอะไรนัก ว่า ธรรมชาตินี้มันฉลาดเหนือมนุษย์มาก มันก็สร้างความรู้สึกทาง กามารมณ์ขึ้นให้คน แล้วก็จะจ้างหรือบังคับ กดขี่คนนั่นแหละ ให้ทำการสืบพันธุ์ เพราะการสืบพันธุ์ทุกชนิด ไม่ว่าของ สัตว์หรือของคน ของอะไรก็ตาม จะมีความหมายที่เป็นรสสูงสุดทางอารมณ์

ดูง่ายๆ สัตว์เดรัจฉานที่มีการสืบพันธุ์นี้ มันมีรสที่เกิดมาจากการสืบพันธุ์ แม้ว่าเป็นอย่างเครื่องจักร แต่มันก็รสสูงสุดทางจิตใจ มีความหมายไปในทางกามารมณ์ ฉะนั้น ในการสืบพันธุ์ของสัตว์ทุกชนิดจะมีส่วนที่เป็นกามารมณ์เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยในฐานะ ที่เป็นเหมือนกับค่าจ้าง ถ้าไม่อย่างนั้นมันไม่ทำ ธุระอะไรจะไปทำให้มันเหนื่อยมันยุ่ง ให้มันลำบาก ให้มันสกปรก แต่แล้วมันก็ พ่ายแพ้แก่ธรรมชาติ คือกินค่าจ้างเข้าไป รับค่าจ้างคือกามารมณ์แล้วก็ทำการสืบพันธุ์ ที่ไม่น่าจะมีความหมาย เช่น อย่างปลา ปลาตัวเมียออกไข่ที่ก้อนหินเป็นแถว ปลาตัวผู้ก็ตามหลังหยอดเชื้อลงไปในไข่ทุกเม็ดๆๆ นี่เป็นการสืบพันธุ์โดยที่อวัยวะไม่เคยถูกต้องกัน มันก็มีรสสูงสุดทางกามารมณ์ เมื่อมีการระบายน้ำเชื้อลงไปในไข่ สำหรับคนหรือสัตว์ทั่วไป สัตว์สี่ขาทั่วไปก็ไม่ได้ทำอย่างนั้น แต่มันมีความหมายเหมือนกัน คือมีความรู้สึกสูงสุดทางกามารมณ์ เมื่อมีการผสมเชื้อระหว่างผู้เมีย หรือหญิงชาย
การสืบพันธุ์แท้ๆ นั้น คือต้องการให้มีคนใหม่หรือสัตว์ตัวใหม่ ออกมาเป็นวัตถุประสงค์ ส่วนกามารมณ์นั้นเป็นรสอร่อยสูงสุดทาง ความรู้สึก ธรรมชาติมันเอามาจ้างให้สิ่งที่มีความรู้สึกทั้งหลายนี้ ยอมทำการสืบพันธุ์ ฉะนั้น สัตว์ก็มีแต่การสืบพันธุ์กับค่าจ้างนิดเดียว เพื่อทำการสืบพันธุ์ แล้วชั่วครูชั่วขณะแว่บเดียวด้วยซ้ำไป
ส่วนมนุษย์นี้มันเกิดปัญหาใหญ่หลวงเป็นภูเขาเลากา คือมันไปติดในรสของกามารมณ์เกี่ยวกับการสืบพันธุ์ แล้วมันก็แยกออกมาเป็น กามารมณ์ ซึ่งแสวงหาเมื่อไหร่ก็ได้ แต่สัตว์ทำไม่เป็น สุนัข วัว ควาย อะไรก็ตาม ทำไม่เป็น ที่จะแยกกามารมณ์ออกมาจากการสืบพันธุ์ แล้วมาลุ่มหลง มัวเมากับกามารมณ์อย่างคนนี้ ทำไม่เป็น
ให้รู้ความแตกต่างกันใหญ่หลวง ระหว่างสัตว์กับคนในข้อนี้ไว้ก่อน แล้วก็จะเข้าใจเรื่องนี้ คนสร้างความรู้สึกทางเพศ เพศหญิง เพศชาย แล้วก็รูป เสียง กลิ่น รส โผฏทัพพะ ธัมมารมณ์ ที่เป็นความหมายทางเพศหญิง เพศชาย แล้วที่ร้ายกาจที่สุดก็คือทางโผฏทัพพะ สัมผัสทางผิวหนังระหว่างเพศนี้เขาสร้างสรรค์ขึ้นมาได้ โดยไม่เกี่ยวกับการสืบพันธุ์
ฉะนั้น ปัญหามันจึงมากออกไปจากการสืบพันธุ์ ร้อยเท่า พันเท่า หมื่นเท่า แสนเท่า ล้านเท่า จนพูดออกมาไม่ถูก
เดี๋ยวนี้พวกเราก็ระวังให้ดี มันเป็นทาสของกามารมณ์ในความหมายอันนี้ยิ่งกว่าที่จะมีปัญหาทางเรื่องการสืบพันธุ์ นั่นมันเรื่องชั่วครู่ เดี๋ยวเดียว แล้วนานทีปีหนอะไรทำนองนั้น แต่เรื่องกามารมณ์นี้เป็นเรื่องที่ไม่รู้จักอิ่ม ไม่รู้จักพอ แม้ทุกนาที ทุกชั่วโมง นี่คำว่า “กาม” กับคำว่า “การสืบพันธุ์” นั้น ไม่ใช่อันเดียวกัน เมื่อกล่าวตามหลักของธรรมะ
ที่นี้การศึกษาของพวกคุณ ที่ตามก้นฝรั่ง อาจจะเอาไปปนกันก็ได้ ใช้คำ คำที่มันปนกัน ทั้งกามารมณ์และทั้งการสืบพันธุ์ เลยแยกไม่ออก เลยเข้าใจไม่ได้ นี้ตามหลักธรรมะจะต้องเข้าใจในลักษณะที่มันแยกกันได้ กามารมณ์ก็เป็นส่วนกามารมณ์ การสืบพันธุ์ก็เป็นการสืบพันธุ์ ถ้ามีปัญหาแต่เรื่องการสืบพันธุ์ก็เป็นปัญหานิดเดียว แต่ลำบากมาก จะต้องเลี้ยงลูก เลี้ยงอะไรกันไปเท่านั้น ทีนี้กามารมณ์นี้มันจับใจมาก เมื่อเป็นทางของกามารมณ์ แล้วก็ไม่อยากจะสืบพันธุ์ เพราะรู้ว่าการสืบพันธุ์ออกมาเป็นลูกเป็นหลานมันลำบาก ต้องการจะมีแต่ กามารมณ์ล้วนๆ น้อยครั้งที่จะต้องการให้มีการสืบพันธุ์เป็นลูกเป็นหลาน ยิ่งเดี๋ยวนี้ละก็ยิ่งมุ่งหมายแต่เรื่องกามารมณ์ ทั้งโลกก็มีปัญหา ในด้านกามารมณ์นี่มากมาย เป็นภูเขาเลากา ไม่เกี่ยวกับการสืบพันธุ์ แยกออกจากกันไม่กี่ปี
ความรักเพื่อการสืบพันธุ์มันความหมายหนึ่ง ความรักเพื่อกามารมณ์มันอีกความหมายหนึ่ง ทีนี้คนหนุ่มสาวเป็นทาสของความรักในด้าน กามารมณ์แล้วก็เลยมีปัญหามาก ก็ทำผิดคิดร้าย เพราะปัญหาอันนี้ จะไปใช้ในทางถูกนั้นดูเหมือนน้อยมาก เป็นเรื่องเผลอไม่ได้ เป็นเรื่องที่พอควบคุมไม่อยู่แล้วก็เป็นเรื่องวินาศ วินาศทางจิตใจ คือเป็นทาสของกามารมณ์ แล้วก็เป็นทุกข์เป็นร้อนใจไปตามแบบของ กามารมณ์
... นี้เราพูดในฐานะเป็นปัญหาของคน ซึ่งติดอยู่ในบ่วงของกามารมณ์ ถอนตัวไม่ขึ้น ทำอย่างไรจึงจะถอนออกมาได้ เขาก็อาศัยความรู้ อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านรู้ ท่านสอนไว้ ทำให้ออกมาเสียได้ การออกมานี้เรียกว่า “โมกขะ” ธรรมะที่ทำให้โมกขะนี้ เรียกว่า “โมกขธรรม” เราเอาโมกขธรรมมาประยุกต์ตามสมควรแก่ฐานะของเรา เรายังเป็นพระอรหันต์ไม่ได้ แต่เราก็อย่าเป็นทาสของกามารมณ์ให้มันมากนักเลย ก็จะมีความทุกข์น้อย จนกระทั่งว่ามีความทุกข์น้อยลงๆ จนรู้เท่าทันแล้วก็ไม่ต้องเป็นทุกข์อีก
จงแยกกามารมณ์ออกมาเสียจากการสืบพันธุ์ให้ได้ แล้วก็มีการสืบพันธุ์ที่บริสุทธิ์ แล้วก็ไม่เกี่ยวข้องกับกามารมณ์ชนิดที่มันทรมานหรือ เผาลนจิตใจ จนกระทั่งต้องฆ่าตัวตายเพราะกามารมณ์นั่นเอง
มันน่าแปลกไหม ที่เรารักมันหลงมันนัก มันกลายเป็นเครื่องฆ่าเราเอง คือสิ่งที่เรียกว่ากามารมณ์หรือกามเทพหรืออะไรแล้วแต่จะเรียก เรียกภาษาธรรมดาๆ ก็เรียกว่า “กามคุณ”
กามคุณ แปลว่า สิ่งที่มีคุณหรือมีค่าเพื่อความใคร่หรือกาม มีอยู่ทั่วไป เกี่ยวข้องกันอยู่ทั่วไป ไม่มากก็น้อย ระวังให้ดี อย่าให้ทุกข์ภัย มันเกิดขึ้นเพราะสิ่งนี้ ก็จะเรียกว่าสามารถประยุกต์ได้ สำหรับโมกขธรรม ส่วนที่เกี่ยวกับกามหรือกามารมณ์

ตามหลักพระพุทธศาสนาไม่ได้แนะ หรือไม่ได้ขอร้อง หรือบังคับให้ตัดสิ่งเหล่านี้ออกไปโดยสิ้นเชิงโดยประการทั้งปวง เพราะมันทำไม่ได้ ถ้าขืนทำอย่างนั้นก็เป็นเรื่องบ้า พระพุทธศาสนาไม่ใช่เรื่องบ้า
เป็นเรื่องที่ต้องการจะให้สำเร็จประโยชน์ ให้ผ่านโลกไปได้ เพราะฉะนั้น มันจะต้องบริโภคโลกนี้ไปทางที่ถูกต้อง จนกว่าจะผ่านโลกไปได้
ฉะนั้น เราจงเกี่ยวข้องกับโลกในเรื่อง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ในลักษณะที่ถูกวิธี ที่ให้มันเป็นทาสเรา อย่าให้เราเป็นทาสมัน
มีหัวข้อที่จำง่ายๆ ว่า “ให้มันเป็นทาสเรา อย่าให้เราเป็นทาสมัน” หรืออย่างน้อย ก็ให้อยู่ในระดับที่ว่ามันพอฟัดพอเหวี่ยงกัน คือ ให้มันเป็นบทเรียนแก่เราทุกกรณีไป ในการที่ไปข้องแวะกันเข้ากับรูป รส กลิ่นเสียง สัมผัส ที่ไหน? เมื่อใด? อย่างไร? ก็ตาม ให้มันเป็นบทเรียนเสมอไป
เพราะฉะนั้น โลกก็กลายเป็นบทเรียนสำหรับเรา ไม่เท่าไรเราก็จะรู้ เราก็จะชนะเราจะอยู่เหนือโลกได้.
คัดจากบางตอนในหนังสือ "บางแง่มุมของกามในทัศนะพุทธทาสภิกขุ"
สำนักพิมพ์สุขภาพใจ





#3 ทองคำดี

ทองคำดี
  • Members
  • 14 โพสต์
  • Location:กทม.
  • Interests:ถ่ายรูป<br />ธรรมะ<br />พุทธประวัติ

โพสต์เมื่อ 03 February 2006 - 11:39 PM

เข้ามารับความรู้ครับ อ่านแล้วได้คิดครับ
ขอบคุณทั้งสองท่าน

#4 **ChasteGriffin**

**ChasteGriffin**
  • Guests

โพสต์เมื่อ 09 February 2006 - 09:51 PM


QUOTE
เพราะฉะนั้น เราจะต้องบริโภคโลกนี้ไปทางที่ถูกต้อง จนกว่าจะผ่านโลกไปได้
ฉะนั้น เราจงเกี่ยวข้องกับโลกในเรื่อง รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ในลักษณะที่ถูกวิธี ที่ให้มันเป็นทาสเรา อย่าให้เราเป็นทาสมัน


ชอบประโยคนี้มากครับ อนุโมทนาด้วยครับผม


#5 Omena

Omena
  • Members
  • 1409 โพสต์
  • Location:44/5 หมู่ 10 ตำบลหนองอ้อ ถนนเพชรเกษม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี 70110

โพสต์เมื่อ 13 March 2006 - 08:57 PM

ผู้ยินดีในกามก็เหมือนผู้ยินดีในการคลุกอยู่ในกองเพลิง
เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที

สุนทรพ่อ




muralath2@hotmail

#6 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 18 March 2007 - 02:38 PM

กราบอนุโมทนาบุญครับ สาธุ