ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

เปิด"พรหมโลก"สูงกว่าสวรรค์6ชั้น


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 12 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ลูกพระพุทธ

ลูกพระพุทธ
  • Members
  • 136 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 August 2008 - 04:00 PM

พ ร ห ม ภู มิ

-พรหมอุบัติ-


ท่านผู้มีความเพียรกล้า ทรงไว้ซึ่งปัญญาเกินสามัญญชน ปรารถนาจะพ้นจากกิเลสานุสัย เพราะเห็นว่ามีโทษพาให้ ยุ่งนัก ใคร่จักห้ามจิตมิให้ตกอยู่ในอำนาจกิเลส จึงสู้ อุตสาหะพยายามบำเพ็ญสมถภาวนา ตามที่ท่านบุรพา จารย์สั่งสอนกันสืบๆ มา บางพวกเป็นชีป่าดาบส บางพวก ทรงพรตเป็นโยคี ฤาษี ในสมัยที่มีพระพุทธศาสนาเกิดขึ้น ในโลก บางพวกก็เป็นพระภิกษุสามเณร ต่างบำเพ็ญ สมถภาวนา จนได้สำเร็จฌาน ครั้นถึงกาลกิริยาตายจาก มนุษย์โลก ก็ตรงไปอุบัติเกิดในพรหมวิมาน ณ พรหมโลก ตามอำนาจแห่งฌานที่ตนได้บรรลุ เป็นพระพรหมผู้วิเศษ ล้วนแต่บุรุษเพศทั้งสิ้น ไม่ต้องกินไม่ต้องบริโภคอาหาร เหมือนสัตว์ในภูมิอื่น ด้วยว่าแช่มชื่นอิ่มเอิบโดยมีฌาน สมาบัติเป็นอาหาร จึงไม่ต้องมีการถ่ายคูตรมูถคืออุจจาระ ปัสสาวะอันลามกเหม็นร้ายเลย

สรีระร่างกายหน้าตาแห่งบรรดาพระพรหมนั้น มีสัณฐาน กลมเกลี้ยงสวยงามนัก มีรัศมีออกจากกายตัวเลื่อม ประภัสสรรุ่งเรืองกว่ารัศมีพระอาทิตย์และพระจันทร์ หลายพันเท่า เพียงแต่หัตถ์หนึ่งเล่าอันพระพรหมทั้งหลาย เหยียดยื่นออกไปหวังจะให้ส่องรัศมีไปทั่วห้วงจักรวาล ก็ย่อมจักทำได้ อวัยวะร่างกายที่ต่อกัน คือหัวเข่าก็ดี แขนก็ดี มีสัณฐานกลมเกลี้ยงเรียบงามนัก จักได้เห็นที่ ต่อกันนั้นหามิได้ เกศเกล้าแห่งองค์พระพรหมเจ้าทั้งหลาย นั้นงามนัก ปรากฏโดยมากมีศีรษะประดับด้วยชฎา เช่นเดียวกับชีป่าและโยคีฤาษีสิทธิ์ผู้มีฤทธิ์ สถิตย์เสวยสุข พรหมสมบัติอยู่ ณ พรหมโลกที่ตนอุบัติบังเกิดตราบจน กว่าจะสิ้นอายุ ซึ่งเป็นเวลานานแสนนาน

-ประเภทของพระพรหม-

รูปพรหม

๑. พรหมปาริสัชชาภูมิ


พรหมโลกชั้นที่ ๑ พรหมปาริสัชชาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ผู้เป็นบริษัทท้าวมหาพรหมซึ่งสถิตย์อยู่ชั้นมหาพรหมาภูมิ เป็นพรหมโลกชั้นแรกคือชั้นต่ำที่สุด แต่ก็ตั้งอยู่เบื้องบน สูงกว่าปรนิมมิตวสวัตตีสวรรค์ขึ้นไปถึงห้าล้านห้าแสน แปดพันโยชน์ นับว่าไกลจากมนุษยโลกนักหนา ไม่สามารถ นับได้

พระพรหมแต่ละองค์ ณ พรหมพิมานแห่งตนในที่นี้ล้วนแต่ มีคุณวิเศษ โดยเคยเจริญสมถกรรมฐานจนได้บรรลุ ปฐมฌาน อย่างสามัญมาแล้วทั้งสิ้น เสวยปณีตสุขอยู่ มีความเป็นอยู่อย่างแสนจะสุขนักหนา ตราบจนหมด พรหมายุขัย

๒. พรหมปุโรหิตาภูมิ

พรหมโลกชั้นที่ ๒ พรหมปุโรหิตาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้ทรงฐานะประเสริฐ คือเป็นปุโรหิตของท่าน มหาพรหม

ความเป็นอยู่ทุกอย่างล้ำเลิศวิเศษกว่าพรหมโลกชั้นแรก รัศมีก็รุ่งเรืองกว่า รูปทรงร่างกายใหญ่กว่า สวยงามกว่า ทุกท่านล้วนมีคุณวิเศษ ได้เคยเจริญสมถกรรมฐานจนได้ บรรลุ ปฐมฌาน ขั้นมัชฌิมะ คือขั้นปานกลาง มาแล้วทั้งสิ้น

๓. มหาพรหมาภูมิ

พรหมโลกชั้นที่ ๓ มหาพรหมาภูมิ = ที่อยู่แห่งท่านพระพรหม ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย มีความเป็นอยู่และรูปกายประเสริฐยิ่งขึ้น ไปอีก ได้เคยเจริญสมถกรรมฐานจนได้บรรลุปฐมฌานขั้น ปณีตะคือขั้นประณีตสูงสุดมาแล้วทั้งสิ้น

พรหมโลก ๓ ชั้นแรกนี้ ตั้งอยู่ ณ ระดับพื้นที่ระดับเดียวกัน
แต่แยกเป็น ๓ เขต

๔. ปริตตาภาภูมิ

พรหมโลกชั้นที่ ๔ ปริตตาภาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้มีรัศมีน้อยกว่าพระพรหมที่มีศักดิ์สูงกว่าตน ล้วนมีคุณวิเศษ โดยได้เจริญภาวนากรรมบำเพ็ญ สมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ทุติยฌาน ขั้นปริตตะ คือ ขั้นสามัญมาแล้วทั้งสิ้น

๕. อัปปมาณาภาภูมิ

พรหมโลกชั้นที่ ๕ อัปปมาณาภาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้มีรัศมีรุ่งเรืองมากมายหาประมาณมิได้ ล้วนแต่ทรงคุณวิเศษ โดยได้เคยเจริญภาวนาการบำเพ็ญ สมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ทุติยฌาน ขั้นมัชฌิมะ คือขั้นปานกลางมาแล้วทั้งสิ้น

๖. อาภัสราภูมิ

พรหมโลกชั้นที่ ๖ อาภัสสราภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้มีประกายรุ่งโรจน์แห่งรัศมีนานาแสง ล้วนมีคุณวิเศษ โดยได้เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญ สมถกรรมฐานจนได้บรรลุ ทุติยฌาน ขั้นปณีตะ คือ ประณีตสูงสุดมาแล้วทั้งสิ้น

อนึ่งพรหมโลกชั้นที่ ๔ - ๖ นี้ทั้งสามชั้น ความจริงตั้งอยู่
ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่เป็น ๓ เขต

๗. ปริตตสุภาภูมิ

พรหมโลกชั้นที่ ๗ ปริตตสุภาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลาย ผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมีเป็นส่วนน้อย คือน้อยกว่าพระพรหมในพรหมโลกที่สูงกว่าตนนั่นเอง ล้วนแต่เป็นผู้ทรงคุณวิเศษ โดยได้เคยเจริญภาวนากรรม บำเพ็ญสมถกรรมฐานจนได้บรรลุ ตติยฌาน ขั้นปริตตะ คือขั้นสามัญมาแล้วทั้งสิ้น

๘. อัปปมาณสุภาภูมิ

พรหมโลกชั้นที่ ๘ อัปปมาณสุภาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลาย ผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมีมากมายไม่มี ประมาณ สง่าสวยงามแห่งรัศมีซึ่งซ่านออกจากกายตัว มากมายสุดประมาณ ล้วนแต่เป็นผู้ทรงคุณวิเศษ โดยได้เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ตติยฌาน ขั้นมัชฌิมะ คือขั้นปานกลางมาแล้วทั้งสิ้น

๙. สุภกิณหาภูมิ

พรหมโลกชั้นที่ ๙ สุภกิณหาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลาย ผู้มีความสง่าสวยงามแห่งรัศมี ที่ออกสลับ ปะปนกันอยู่เสมอเป็นนิตย์ ทรงรัศมีนานาพรรณ เป็นที่น่าเพ่งพิศทัศนานักหนา ล้วนแต่เป็นผู้ทรงคุณวิเศษ โดยได้เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้บรรลุ ตติยฌาน ขั้นปณีตะ คือขั้นประณีตสูงสุดมาแล้วทั้งสิ้น

พรหมโลกชั้นที่ ๗ ชั้นที่ ๘ และชั้นที่ ๙ นี้ ความจริงตั้งอยู่
ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่เป็น ๓ เขต

๑๐. เวหัปผลาภูมิ

พรหมโลกชั้นที่ ๑๐ เวหัปผลาภูมิ = ที่อยู่ของพระพรหม ทั้งหลายผู้ได้รับผลแห่งฌานกุศลอย่างไพบูลย์

อนึ่ง ผลแห่งฌานกุศล ที่ส่งให้ไปอุบัติเกิดในพรหมโลก ๙ ชั้นแรกนั้น ไม่เรียกว่ามีผลไพบูลย์เต็มที่ ทั้งนี้ก็โดยมี เหตุผลตามสภาพธรรมที่เป็นจริง ดังต่อไปนี้
ก.
เมื่อคราวโลกถูกทำลายด้วยไฟ นั้น ๔ ชั้นแรก ก็ถูกทำลายไปด้วย
ข.
เมื่อคราวโลกถูกทำลายด้วยน้ำ นั้น ๖ ชั้นแรก ก็ถูกทำลายไปด้วย
ค.
เมื่อคราวโลกถูกทำลายด้วยลม นั้น ทั้ง ๙ ชั้นแรก ก็ถูกทำลายไปด้วยไม่มีเหลือเลย

๑๑. อสัญญีสัตตาภูมิ

พรหมโลกชั้นที่ ๑๑ อสัญญีสัตตาภูมิ = ที่อยู่ของ พระพรหมทั้งหลาย ผู้ไม่มีสัญญา พระพรหมไม่มีสัญญาทั้งหลาย ผู้อุบัติเกิดด้วยอำนาจ แห่งสัญญาวิราคภาวนาและสถิตย์อยู่ในพรหมโลกชั้นนี้ ย่อมมีแต่รูป ไม่มีนามคือจิตและเจตสิก เสวยสุขอัน ประณีตนักหนา ล้วนแต่มีคุณวิเศษยิ่งนัก โดย ได้เคยเจริญภาวนากรรมบำเพ็ญสมถกรรมฐาน จนได้สำเร็จ จตุตถฌาน อันเป็นรูปฌานขั้นสูงสุด มาแล้วทั้งสิ้น

ทรงเพศเป็นพระพรหมผู้วิเศษ สถิตย์อยู่ในปราสาท แก้วพรหมวิมานอันมโหฬารกว้างขวางนักหนา มีบุปผชาติ ดอกไม้ประดับประดาเรียบเรียงเป็นระเบียบ ไม่รู้แห้งเหี่ยว โรยรา โดยรอบ ผู้ที่ไปอุบัติเกิดในพรหมภูมิชั้นนี้ มี มากมายนักหนาจนนับไม่ถ้วน ล้วนแต่มีหน้าตาเนื้อตัว สวยสง่ามีอุปมากังรูปพระปฏิมากรพุทธรูปทองคำขัดสี ใหม่ งามซึ้งตรึงใจสุดพรรณนา แต่มีอิริยาบถไม่เหมือนกัน บางองค์นั่ง บางองค์นอน บางองค์ยืน มีอิริยาบถใดก็ เป็นอย่างนั้นตลอดไป ไม่เคลื่อนไม่ไหวติง จักษุทั้งสอง ก็มิได้กะพริบเลย สถิตย์เฉยเสวยสุขเป็นประดุจรูปปั้น อยู่อย่างนั้นชั่วกาลนานนักแล

อนึ่ง เวหัปผลาภูมิและอสัญญีสัตตาภูมินี้ ความจริงตั้งอยู่ ณ พื้นที่ระดับเดียวกัน แต่แยกสถานที่กันอยู่ และมีระยะ ห่างไกลกันมาก

สุทธาวาสภูมิ [พรหมชี้นนี้เป็นที่อยู่ของพระอนาคามี ต้องสดับรับฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้นจึงจะมาที่นี่ได้ ดูคำอธิบายไว้ท้ายเรื่อง **]

เป็นพรหมโลกอีกชนิดหนึ่ง ต่างจากทั้ง ๑๑ ชั้นแรก ภูมินี้ เป็นที่อยู่แห่งพระพรหมอริยบุคคลในบวรพุทธศาสนา ชั้นพระพรหมอนาคามีอริยบุคคล ผู้มีความบริสุทธิ์ เท่านั้น ส่วนท่านที่ทรงคุณวิเศษอื่นๆ แม้จะได้สำเร็จฌาน วิเศษเพียงใด ก็ไปอุบัติเกิดในสุทธาวาสภูมินี้ไม่ได้ อย่างเด็ดขาด สุทธาวาสภูมินี้มีอยู่ ๕ ชั้น ตั้งอยู่ท่ามกลางอากาศ และตั้งอยู่เป็นชั้นๆ ขึ้นไป ตามลำดับภูมิ หาได้ตั้งอยู่ในระดับเดียวกันไม่

๑๒. อวิหาสุทธาวาสภูมิ

สูงขึ้นไปจากอสัญญีสัตตาภูมิประมาณ ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ อวิหาสุทธาวาสภูมิ = ภูมิอันเป็นที่อยู่อัน บริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามีอริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ไม่เสื่อมคลายในสมบัติของตน

พระพรหมในพรหมโลกชั้นนี้ ย่อมไม่ละทิ้งสมบัติ กล่าวคือ สถานที่ของตนโดยเวลาเพียงเล็กน้อย เพราะว่าพระพรหม ที่อุบัติเกิดและสถิตย์อยู่ ณ ที่นี้ ท่านย่อมไม่จักจุติเสียก่อน จนกว่าจะสถิตย์อยู่นานถึงมีอายุครบกำหนด ซึ่งแปลก ออกไปจากพระพรหมในสุทธาวาสภูมิที่เหลืออยู่อีก ๔ ภูมิ คือพระพรหมในอีก ๔ สุทธาวาสภูมินั้นอาจไม่ได้อยู่ ครบกำหนดอายุก็มีการจุติหรือนิพพานเสียก่อน พระพรหมในอวิหาสุทธาวาสภูมินี้ แต่ละองค์นั้น ล้วนแต่ เป็นผู้มีวาสนาบารมี กิเลสธุลีเหลือติดอยู่ในจิตสันดาน น้อยนักหนา โดยได้เคยเป็นสาวกแห่งพระพุทธองค์ พบพระบวรพุทธศาสนาแล้วมีปกติเห็นภัยในวัฏสงสาร อุตสาหะจำเริญ วิปัสสนากรรมฐาน จนยังตติยมรรคให้ เกิดในขันธสันดานได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคล มาแล้ว

๑๓. อตัปปาสุทธาวาสภูมิ

สูงขึ้นไปต่อจากอวิหาสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ อตัปปาสุทธาวาสภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามี อริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ไม่มีความเดือดร้อน หมายความว่า ท่านเหล่านี้ย่อมไม่มีความเดือดร้อน ทั้งทางกาย วาจาและใจเลย ย่อมเข้าฌานสมาบัติ หรือผลสมาบัติอยู่เสมอ นิวรณธรรมซึ่งเป็นกิเลสอันทำให้ จิตเดือดร้อนไม่มีโอกาสที่จะเกิดขึ้นได้ ฉะนั้นจิตใจของ ท่านเหล่านั้นจึงมีแต่สงบเยือกเย็น ท่านเหล่านี้เคยเป็น พระสาวกแห่งพระพุทธองค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสนา กรรมฐานจนสามารถยังตติยมรรคให้บังเกิดในขันธสันดาน ได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลและในขณะที่เจริญ วิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มีวิริยินทรีย์ คือมี วิริยะแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น

๑๔. สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ

สูงขึ้นไปต่อจากอตัปปาสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ สุทัสสาสุทธาวาสภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามี อริยบุคคลทั้งหลาย ผู้มีความแจ่มใส คือท่านเหล่านี้ ย่อมมีความเห็นอย่างชัดแจ้งแจ่มใส สามารถเห็น สภาวธรรมได้โดยแจ้งชัดเพราะเป็นพระพรหมที่บริบูรณ์ ด้วยประสาทจักษุ ทิพพจักษุ ธัมมจักษุและปัญญาจักษุ จึงเห็นสภาวธรรมได้แจ่มใส ชัดเจน จิตใจสงบเยือกเย็น ท่านเหล่านี้เคยเป็นพระสาวกแห่งพระพุทธองค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสนากรรมฐานจนสามารถยัง ตติยมรรคให้บังเกิดในขันธสันดาน ได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลและในขณะที่เจริญ วิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มีสตินทรีย์ คือมี สติแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น

๑๕. สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ

สูงขึ้นไปต่อจากสุทัสสาสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ สุทัสสีสุทธาวาสภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามี อริยบุคคลทั้งหลาย ผู้มีความเห็นอย่างแจ่มใสมากกว่า คือนอกจากธัมมจักษุที่มีกำลังเท่ากับพระพรหมในขั้น สุทัสสาสุทธาวาสภูมิแล้ว พระพรหมในสุทัสสีพรหมโลกนี้ ประสาทจักษุ ทิพพจักษุ ปัญญาจักษุ ทั้ง ๓ นี้มีกำลังแก่ กล้ากว่าพระพรหมในสุทัสสาสุทธาวาสภูมิ ทำให้ท่านมีความเห็นในสภาวธรรมได้ชัดเจนแจ่มใสยิ่ง ท่านเหล่านี้เคยเป็นพระสาวกแห่งพระพุทธองค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสนากรรมฐานจนสามารถยังตติยมรรค ให้บังเกิดในขันธสันดานได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคล และในขณะที่เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มี สมาธินทรีย์ คือมีสมาธิแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น

๑๖. อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ

สูงขึ้นไปต่อจากสุทัสสีสุทธาวาสภูมิขึ้นไปอีกประมาณ ได้ ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ อกนิฏฐสุทธาวาสภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่อันบริสุทธิ์แห่งพระพรหมอนาคามี อริยบุคคลทั้งหลาย ผู้ทรงคุณวิเศษโดยไม่มีความ เป็นรองกัน

เบื้องอกนิฏฐสุทธาวาสพรหมโลกนี้ มีพระเจดีย์เจ้าองค์ สำคัญ ซึ่งเป็นสัญญลักษณ์แสดงว่าเป็นพรหมโลกที่ เคารพนับถือพระบวรพุทธศาสนาประดิษฐานอยู่ องค์หนึ่งมีนามว่า ทุสสะเจดีย์

เหล่าพรหมทั้งปวงในที่นี้ ย่อมเป็นผู้ทรงคุณวิเศษโดย ไม่มีการเป็นรองกัน คือไม่ต่ำกว่ากันทั้งในด้านความ สุขและความรู้ ทั้งนี้เพราะทรงล้วนแต่เป็นผู้มีวาสนาบารมี ในจิตสันดานมีกิเลสธุลีเหลือติดอยู่น้อยนักหนา โดยท่านเหล่านี้เคยเป็นพระสาวกแห่งพระพุทธองค์ อุตสาหะจำเริญวิปัสสนากรรมฐานจนสามารถยัง ตติยมรรคให้บังเกิดในขันธสันดาน

ได้สำเร็จเป็นพระอนาคามีอริยบุคคลและในขณะที่เจริญ วิปัสสนากรรมฐาน ปรากฏว่าเป็นผู้มีปัญญินทรีย์ คือมี ปัญญาแก่กล้ากว่าอินทรีย์อย่างอื่น

ฉะนั้น ท่านพระพรหมอนาคามีบุคคลที่อุบัติเกิดใน อกนิฏฐพรหมโลกนี้ จึงมีคุณสมบัติวิเศษยิ่งกว่า บรรดาพระพรหมทั้งสิ้นในพรหมโลกทั้งหลายรวมทั้ง สุทธาวาสพรหมทั้งสี่ที่กล่าวมาแล้วด้วยก็เทียบไม่ได้

พระพรหมอนาคามีทั้งหลายในสุทธาวาสพรหมแรกทั้ง ๔ หากยังมิได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์เข้าสู่ พระปรินิพพานแล้ว ครั้นสิ้นพรหมายุขัย ก็จำต้องจุติจาก สุทธาวาสพรหมโลกที่ตนสถิตอยู่มาอุบัติเกิดใน อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมโลกนี้ เมื่อมาอุบัติเกิดในที่นี้แล้วย่อมจะ ไม่ไปอุบัติเกิดเป็นอะไรและในที่ใดภูมิใดอีกเลย เพราะ จะต้องได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์และดับขันธ์เข้าสู่ พระปรินิพพานอยู่ในพรหมโลกชั้นอกนิฏฐพรหมโลก นี่เอง

จึงอาจกล่าวได้ว่า อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมโลกนี้ เป็นพรหมโลกที่มีศีลคุณ สมาธิคุณ ปัญญาคุณ อยางประเสริฐล้ำเลิศยิ่งกว่าพรหมโลกชั้นอื่นๆ ทั้งหมด ด้วยประการฉะนี้

พรหมโลกตั้งแต่ชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๑๖
เป็น รูปพรหม คือพรหมที่มีรูปแต่เป็นรูปทิพย์ มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถ มองเห็นได้ จักเห็นได้ก็โดยทิพยวิสัยเท่านั้น

อรูปพรหม

อรูปพรหม แปลว่า พระพรหมที่ไม่มีรูปร่าง เพราะเหตุที่จะ อรูปพรหม = พรหมไม่มีรูป เป็นพระพรหมผู้วิเศษ เพราะเหตุอุบัติขึ้นด้วยอำนาจ แห่งรูปวิราคภาวนา

๑๗. อากาสานัญจายตนภูมิ

สมัยที่โลกยังว่างจากพระพุทธศาสนานั้น บรรดาโยคีฤาษีสิทธิ์ตลอดจนชีไพรดาบส ที่ประพฤติพรหมจรรย์บำเพ็ญตบะเดชะภาวนา ครั้นเขาผู้มีอำนาจฌานสูงรำพึงอยู่ดังนี้ ว่าอันว่าตัวตน กล่าวคืออัตภาพร่างกายนี้ไม่ดีเป็นนักหนา กอปรไปด้วย ทุกข์โทษหาประมาณมิได้ ควรที่ตูจะปรารถนากระทำตัว ให้หายไปเสียเถิด แล้วก็เกิดความพอใจเป็นนักหนา ในภาวะที่ไม่มีตัวตนไม่มีรูปกาย มิได้อาลัยในสรีระร่าง พลางออกจากจตุตถฌานแล้วก็มีใจผ่องแผ้ว ปรารถนา อยู่แต่ในความไม่มีรูป อุตส่าห์เจริญสมถกรรมฐาน ต่อไปจนได้สำเร็จ อรูปฌาน ครั้นถึงกาลกิริยา ตายแล้วก็ตรงแน่วมาอุบัติเกิดเป็นพระพรหมวิเศษ นาม อรูปพรหม จิตใจนั้นยังมีอยู่ แต่ว่าหัวหูตาตีนมือ แม้แต่นิดหนึ่งก็ไม่มีเลย เสวยสุขอยู่ด้วยภาวะไม่มีรูป ตามจิตปรารถนา อากาสานัญจายตนภูมิ = ภูมิเป็นที่ตั้งอยู่แห่งพระพรหม ผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัยอากาสบัญญัติซึ่ง ไม่มีที่สุดเป็นอารมณ์ ตั้งอยู่พ้นจากอกนิฏฐสุทธาวาสพรหมโลกไปอีก ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์

๑๘. วิญญาณัญจายตนภูมิ

พ้นจากอากาสัญจายตนภูมิขึ้นไปอีก ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ วิญญาณัญจายตนภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย วิญญาณบัญญัติ อันไม่มีที่สิ้นสุดเป็นอารมณ์ พระพรหมผู้วิเศษไม่มีรูป ซึ่งอุบัติเกิด ณ อรูปพรหมโลก แห่งนี้ เพราะเหตุที่ตนปฏิสนธิด้วยวิญญาณัญจายตน วิบากจิต

๑๙. อากิญจัญญายตนภูมิ

พ้นจากวิญญานัญจายตนภูมิขึ้นไปอีก ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ อากิญจัญญายตนภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย นัตถิภาวบัญญัติเป็นอารมณ์ พระพรหมผู้วิเศษไม่มีรูป อุบัติเกิด ณ อรูปพรหมโลก แห่งนี้ เพราะเหตุที่ตนปฏิสนธิด้วยอากิญจัญญายตน วิบากจิต

๒๐. เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ

พ้นจากอากิญจัญญายตนภูมิขึ้นไปอีก ๕ ล้าน ๕ แสน ๘ พันโยชน์ เนวสัญญานาสัญญายตนภูมิ = ภูมิเป็นที่อยู่ แห่งพระพรหมผู้วิเศษ ผู้เกิดจากฌานที่อาศัย ความประณีตเป็นอย่างยิ่ง มีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่

พระพรหมผู้วิเศษไม่มีรูป อุบัติเกิด ณ อรูปพรหมโลก แห่งนี้ เพราะเหตุที่ตนปฏิสนธิด้วยเนวสัญญานาสัญญา ยตนวิบากจิต มีอายุยืนนานเป็นที่สุดด้วยอำนาจแห่ง อรูปฌานกุศลอันสูงสุดที่ตนได้บำเพ็ญมา พระพรหมวิเศษแต่ละองค์ในชั้นสูงสุดนี้ ล้วนแต่เป็นผู้ที่ได้สำเร็จยอดแห่งอรูปฌาน คืออรูปฌานที่ ๔ มาแล้วทั้งสิ้น

**ในพระไตรปิฎกมีกล่าวไว้อย่างชัดเจน ถึงพระพรหมอนาคามีบนชั้นสุทาวาส ที่รวมกลุ่มมาเฝ้าพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน อย่างชัดเจนว่า ดังนี้

-กลุ่มพระอนาคามีที่บรรลุสมัยของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน
-กลุ่มพระอนาคามีที่บรรลุสมัยของพระ กัสสปะพุทธเจ้า
-กลุ่มพระอนาคามีที่บรรลุสมัยของพระ โกนาคมพุทธเจ้า
-กลุ่มพระอนาคามีที่บรรลุสมัยของพระกกุสันธะพุทธเจ้า
---
---
จนถึงกลุ่มพระอานาคามีที่บรรลุสมัยของพระสีขีพุทธเจ้า ซึ่งย้อนไปหลายกัปจากปัจจุบัน

แต่ละกลุ่มต่างเข้ามารายงานบอกให้พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันทราบเป็นลำดับ.

-------------------------------------

ในชั้นสุทาวาสพรหมนั้น เป็นที่เกิดที่อยู่ของพระอนาคามี ซึ่งมีชั้นย่อยๆ ถึง 5 ชั้น

พระอนาคามีบางองค์เมื่อมาเกิดไม่ว่าชั้นใดชั้นหนึ่งแล้วมีความเพียรในการปฏิบัติยังไม่ลดถอย บางท่านปฏิบัติต่ออีกไม่นานก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ บางท่านก็ไม่เกินกึ่งหนึ่งของอายุขัยของชั้นนั้นก็บรรลุเป็นพระอรหันต์ บางท่านก็เต็มอายุขัยก็บรรลุพระอรหันต์
บางท่านหมดอายุขัยของชั้นนั้นก็ไปเกิดบนชั้นที่สูงขึ้นจึงบรรลุเป็นพระอรหันต์

มีบางท่านที่พิเศษ คือเป็นพระอนาคามี แล้วไปเกิดบนชั้นสุทาวาส ชั้นล่างสุด แล้วอยู่จนหมดอายุแล้วไปเกิดบนชั้นต่อไปตามลำดับ จนถึงชั้นสูงสุด แล้วบรรลุเป็นพระอรหันต์บนสุทาวาสชั้นสุดท้ายนั้น
ซึ่งทุกอย่างก็เป็นไปตามความเพียรและวาสนาบารมีของแต่ละท่านครับ

เมื่อรวมอายุขัยของพระพรหมอนาคามีทั้งแต่ชั้นที่ 1 ถึงชั้นที่ 5 แล้ว ก็จะยาวนานถึง สามหมื่นกว่ากัปที่เดียว
ดังนั้นช่วงไหนที่ปรากฏมีพระพุทธเจ้าห่างกันเกินกว่า สามหมืนกว่ากัปขึ้นไป จนถึงอสงไขย ช่วงนั้นชั้นสุทาวาสพรหมก็ว่างเปล่า ไม่มีพระพรหมอนาคามีอยู่เลยครับ รอจนมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้น ชั้นสุทาวาสพรหมจึงค่อยมีพระพรหมอนาคามีมาเกิดครับ.


-ปฏิปทาให้ถึงพรหมโลกและอายุแห่งพรหม-

ปฏิปทาให้เกิดในพรหมโลก มิใช่เพราะอานิสงส์ แห่งบุญกุศลอย่างสามัญธรรมดา คืออานิสงส์แห่งทาน และศีล...แต่เป็นอานิสงส์แห่งภาวนา

อายุแห่งพรหม

๑. พรหมปาริสัชชาพรหมภูมิ อายุประมาณส่วนที่ ๓ แห่งมหากัป (๑ ใน ๓ แห่งมหากัป)

๒. พรหมปุโรหิตาพรหมภูมิ อายุประมาณครึ่งมหากัป

๓. มหาพรหมาพรหมภูมิ อายุประมาณ ๑ มหากัป

๔. ปริตตาภาพรหมภูมิ อายุประมาณ ๒ มหากัป

๕. อัปปมาณาภาพรหมภูมิ อายุประมาณ ๔ มหากัป

๖.อาภัสราพรหมภูมิ อายุประมาณ ๘ มหากัป

๗. ปริตตสุภาพรหมภูมิ อายุประมาณ ๑๖ มหากัป

๘. อัปปมาณสุภาพรหมภูมิ อายุประมาณ ๓๒ มหากัป

๙. สุภกิณหาพรหมภูมิ อายุประมาณ ๖๔ มหากัป

๑๐. เวหัปผลาพรหมภูมิ อายุประมาณ ๕๐๐ มหากัป

๑๑. อสัญญีสัตตาภูมิ อายุประมาณ ๕๐๐ มหากัป

๑๒. อวิหาสุทธาวาสพรหมภูมิอายุประมาณ ๑๐๐๐ มหากัป

๑๓. อตัปปาสุทธาวาสพรหมภูมิ อายุประมาณ ๒๐๐๐ มหากัป

๑๔. สุทัสสาสุทธาวาสพรหมภูมิ อายุประมาณ ๔๐๐๐ มหากัป

๑๕. สุทัสสีสุทธาวาสพรหมภูมิ อายุประมาณ ๘๐๐๐ มหากัป

๑๖. อกนิฏฐสุทธาวาสพรหมภูมิ อายุประมาณ ๑๖๐๐๐ มหากัป

๑๗. อากาสานัญจายตนพรหมภูมิ อายุประมาณ ๒๐๐๐๐ มหากัป

๑๘. วิญญาณัญจายตนพรหมภูมิ อายุประมาณ ๔๐๐๐๐ มหากัป

๑๙. อากิญจัญญายตนพรหมภูมิ อายุประมาณ ๖๐๐๐๐ มหากัป

๒๐. เนวสัญญานาสัญญายตนพรหมภูมิ อายุประมาณ ๘๔๐๐๐ มหากัป

#2 Soldier Class One

Soldier Class One
  • Members
  • 130 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 August 2008 - 04:42 PM

ขอบคุณครับ

เป้าหมายชีวิต คือ ที่สุดแห่งธรรม


#3 สาธุธรรม

สาธุธรรม
  • Members
  • 1124 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 August 2008 - 05:31 PM

บอกกล่าวแก่ผู้ยังไม่รู้นะคะ


เห็นว่าสูงกว่าสวรรค์ อย่าได้อธิษฐานไปอยู่เชียวนะคะ..... (ถ้าอธิษฐานว่าอยากแค่ไปดูล่ะก็....ได้)
แม้ว่าจะมีบุญถึงก็ตาม เพราะอายุที่นานนั้น ทำให้ไม่อาจได้สดับธรรมจากพระผู้มีพระภาคเจ้า
อันทำให้หลุดจากภพ 3 ไปได้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นแล้วหลายพระองค์ ตนก็ยังอยู่ชั้นพรหม


พรหมโลกจัดเป็นอาภัพภพ..... เพราะมีอายุยาวนานมากกกกกกกก จนทำให้เข้าใจผิดไปว่า เป็นนิพพาน
ดังที่ได้เคยมีชาดก

(ยกเว้น พรหมโลกชั้น สุทธาวาสภูมิ ซึ่งเป็นที่อยู่ของพระอนาคามี ที่จะไม่ต้องกลับมาเกิดอีกแต่บรรลุอรหันต์ที่นี่)





ขอกราบอนุโมทนาบุญกับธรรมทาน กับเจ้าของกระทู้ด้วยนะคะ สาธู๊


หยุดนิ่งนั้นแหละไซร้ พรหมจรรย์
พระผุดผ่านทุกวัน สะอาดเกลี้ยง
นิวรณ์หมดสุขสันต์ สดชื่น
ชีพรื่นธรรมหล่อเลี้ยง ผ่องทั้งกายใจ

สุนทรพ่อ

#4 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 August 2008 - 06:32 PM

ผมขออยู่ดุสิตบุรีวงบุญพิเศษดีกว่าครับ Sa Thu Krub

#5 ลูกพระพุทธ

ลูกพระพุทธ
  • Members
  • 136 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 August 2008 - 07:29 PM

พรหมโลก ไม่ได้ไปได้ด้วยแรงบุญ ทาน และอธิฐาน นะครับ

แต่ไปด้วยการเข้าฌาน ระดับต่างๆกัน แล้วแต่ใครจะเข้าถึงณานระดับใหน

กิเลสที่ลึกซึ้งที่สุด ถ้าไม่มีฌาน มองไม่เห็นนะครับ เพราะบางทีความสุข และความหลงในบุญ

ก็คือกิเลสอย่างละเอียดนะครับ

ตามนั้น



#6 Dhamma Bot

Dhamma Bot
  • Members
  • 477 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 11 August 2008 - 09:32 PM

เคยมีผู้เข้าใจคลาดเคลื่อนกล่าวว่านั่งเพ่งดวงแก้วอย่างดีก็ไปพรหมโลก ซึ่งก็เป็นคำกล่าวที่ถูกต้องครับ ที่บอกว่าถูกต้องเพราะแท้จริงแล้วผู้เข้าถึงวิชชาธรรมกายสามารถเลือกภพภูมิได้ พรหมโลกก็อาจเป็นภพภูมิหนึ่งที่มีสิทธิ์เลือก แต่สายบุญของหลวงปู่วัดปากน้ำเราเลือกที่จะไปอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต เพราะเป็นสายพระโพธิสัตว์ที่มุ่งสั่งสมบารมีไปถึงที่สุดแห่งธรรม

ส่วนคำว่า "หลงบุญ" ที่คุณเจ้าของกระทู้กล่าวถึงก็เป็นประเด็นที่น่าสนใจครับ เพราะสมาชิกในครอบครัวผมก็กล่าวคำนี้กับผมเหมือนกัน ทั้งๆที่ผู้กล่าวเองก็ถือศีลไม่ครบ แต่ผมก็เข้าใจตนเองว่า เราทำบุญอย่างมีสติ เหมือนนายช่างเครื่องยนต์ ที่หมั่นเติมน้ำมันลงเครื่อง เพราะรู้กลไกการทำงานของเครื่อง ไม่ได้เติมเพราะว่าทำตามๆกันไปเท่านั้น แม้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเองก็ทรงสรรเสริญการบำเพ็ญบุญ และได้ทรงอธิบายไว้ชัดเจนว่าทำบุญด้วยเจตนาต่างกันย่อมมีผลต่างกัน ซึ่งการที่หมู่คณะเราทำบุญทุกครั้งแล้วนั่งเจริญสมาธิภาวนากันก่อน พร้อมกับอธิษฐานจิตมากมายหลายประการ แต่ปิดท้ายคำอธิษฐานทุกครั้งก็คือขอให้ถึงที่สุดแห่งธรรม และ นิพพานะ ปัจจะโย โหตุ ก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องดีงามแล้วครับ แปลว่าไม่ได้ทำไปด้วยความหลงแต่อย่างใด ตรงกันข้าม เรามีวิสัยทัศน์ (vision) มโนทัศน์ (concept) และพันธกิจ (mission) ครบถ้วนบริบูรณ์

ถ้าหากสมาชิกครอบครัวของผมมาอ่านเข้า ผมก็อยากจะตอบว่า ผมไม่ได้หลงบุญเลยครับ แต่ผมสร้างบารมี เพราะเห็นภัยในสังสารวัฏ และเหตุที่ต้องสร้างบารมีก็เพราะว่าผมอยู่ในวงบุญของพระโพธิสัตว์ ซึ่งถ้าผมบอกกับทางบ้านตรงๆว่าผมเป็นพระโพธิสัตว์ ทางบ้านก็คงไม่เข้าใจ ลองคิดดูเถิดครับ ถ้าหากโลกนี้ไม่มีคนสร้างบุญอย่างเอาเป็นเอาตายแบบพระโพธิสัตว์แล้ว จะมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบังเกิดขึ้นได้อย่างไร

ป.ล. แนบภาพพรหมมาฝากครับ

ไฟล์แนบ



#7 เคียงข้างไปดุสิตเขตใน

เคียงข้างไปดุสิตเขตใน
  • Members
  • 51 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 August 2008 - 10:24 PM

สาธุครับ

#8 usr21238

usr21238
  • Members
  • 233 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 August 2008 - 10:54 PM

สาธุ๊ ดิฉันได้เคยอ่านผ่านมาบ้าง

เมื่อครั้งที่พระบรมศาสดาท่านทรงระลึกถึงท่านอาฬารดาบส กาลามโคตร ซึ่งเป็นอาจารย์ของท่านเพราะพระองค์ทรงเล็งเห็นด้วยพระโพธิญาณว่าจะเป็นผู้ที่เข้าใจพระธรรมที่พระองค์ได้ตรัสรู้ได้อย่างง่ายๆ เนื่องด้วยเป็นผู้มีกิเลสที่เบาบาง แต่ก็ได้ทรงทราบด้วยพระญาณว่าอาจารย์ได้ละสังขารไปอยู่พรหมโลกเสียแล้ว ทรงรำพึงว่าท่านอาฬารดาบสนี่อาภัพนัก เพราะการไปเสวยสุขอย่างยาวนานในพรหมโลกนั้น โอกาสที่จะได้พบกับพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ยังอีกยาวไกล

จึงขอสนับสนุนความคิดเห็นของคุณสาธุธรรมนะคะ ถ้าเราจะไปสายด่วนให้ถึงฝั่งพระนิพพานนั้น ต้องอยู่ในที่สัปปายะที่เราสามารถขึ้นลงสร้างบารมีอย่างต่อเนื่องได้อย่างสะดวก

สาธุ สาธุ กับธรรมเสวนานี้ค่ะ

#9 usr23724

usr23724
  • Members
  • 120 โพสต์

โพสต์เมื่อ 15 August 2008 - 07:14 PM

สาธุครับบ

#10 KAMOLPORN

KAMOLPORN
  • Members
  • 51 โพสต์

โพสต์เมื่อ 16 August 2008 - 11:35 PM

ข้าพเจ้าชอบวลีนี้มากคะ อ่านแล้วซึ้งคะ
QUOTE
กิเลสที่ลึกซึ้งที่สุด ถ้าไม่มีฌาน มองไม่เห็นนะครับ เพราะบางทีความสุข และความหลงในบุญ

ก็คือกิเลสอย่างละเอียดนะครับ

ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว
ทำดีได้กับตัว ทำชั่วไม่ได้ดี

#11 Wiboon Joong (wbj)

Wiboon Joong (wbj)
  • Members
  • 43 โพสต์

โพสต์เมื่อ 22 August 2008 - 01:48 AM

สาธุ

#12 ถวายชีวิตแด่พระรัตนตรัย

ถวายชีวิตแด่พระรัตนตรัย
  • Members
  • 3 โพสต์

โพสต์เมื่อ 26 July 2009 - 03:53 PM

QUOTE
ทราบด้วยพระญาณว่าอาจารย์ได้ละสังขารไปอยู่พรหมโลกเสียแล้ว ทรงรำพึงว่าท่านอาฬารดาบสนี่อาภัพนัก เพราะการไปเสวยสุขอย่างยาวนานในพรหมโลกนั้น โอกาสที่จะได้พบกับพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ยังอีกยาวไกล
จึงขอสนับสนุนความคิดเห็นของคุณสาธุธรรมนะคะ ถ้าเราจะไปสายด่วนให้ถึงฝั่งพระนิพพานนั้น ต้องอยู่ในที่สัปปายะที่เราสามารถขึ้นลงสร้างบารมีอย่างต่อเนื่องได้อย่างสะดวก

ขอเสริมนิดครับ ท่าน"อาจารย์ทั้งสอง"นั้นอยู่ใน "อรูปพรหม" จึงไม่มีอายตนะที่จะฟังธรรม แต่ "รูปพรหม "ยังมีอายตนะ ฟังธรรมครับ ไม่งั้น พระพรหมอนาคามีบนชั้นสุทาวาส จะมาเฝ้าพระพุทธเจ้าได้อย่างไร และในทศชาติชาดก ก็มีชาตินึงที่ พระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบันสมัยท่านเป็นพระโพธสัตว์ ท่านก็เป็นพระพรหม มาแก้มิจฉาทิฐิแก้กษัติผู้หลงผิด คือ"มหาพรหมนารทะ โพธิสัตว์" ไงครับ แล้วผมก็ตั้งใจจะไปพักจากกามภพที่ พรหมภพ เพราะนึกรังเกียจใจกาม ทั้งที่ผมก็ปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน ครับ จึงคิดว่าท่านผู้ปรารถนาพุทธภุมิ ก็ต้องท่องไปในภพน้อยใหญ่ครับ ตามกำลังบุญและบาปที่ทำไว้จนกว่าจะบรรลุ พระโพธิญานครับ
ส่วนท่านที่ไม่ใช่พระโพธิสัตว์จะอยู่ในชันดุสิตนั้น เคยได้ยินว่าไม่ได้ เว้นแต่พระอริยะเจ้า และพระโพธิสัตว์ จึงเรียกว่าสวรรค์ชั้นพิเศษครับ.... ท่านผู้บำเพ็ญบารมี ล้วนต้องรู้ว่าตนปรารถนาอย่างไรในการบำเพ็ญกุศลธรรม ไม่งั้นจะไม่เอาชีวิตเข้าแลกกับการบำเพ็ญธรรมหรอกครับ....
..........ปล. สุดท้าย ขอขอบพระคุณยิ่งแด่ท่านผู้ แสดงข้อมูลที่ผมชอบใจ คือเรื่องพรหมโลก ด้วยนะครับ ผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัยให้ท่านได้ พบในธรรมที่อยากพบ ให้ได้เห็นในธรรมที่อยากเห็น และให้ใด้เข้าถึงในธรรม ที่อยากเข้าถึง ทุกภพทุกชาติ จนกว่าจะถึงที่สุดแห่งธรรม ด้วยผลที่ท่านแสดงสิ่งที่ผมอยากรู้ อยากเห็นนี้ เทอญ.. สาธุ ครับ..

*** อีกนิดครับ*** ธรรมดาของพระโพธิสัตว์ ย่อมสามารถตั้งจิตอธิฐานให้จุติก่อนอายุขัยได้ครับ ดังนั้นเมื่อพระโพธิสัตว์เห็นว่าเป็นเวลาอันควรที่จะจุติ ท่านก็จะอธิฐานให้จุติ เพื่อบำเพ็ญบารมีต่อไปได้ครับ .......

#13 หยุด นิ่ง ใส

หยุด นิ่ง ใส
  • Members
  • 167 โพสต์

โพสต์เมื่อ 12 March 2010 - 08:53 PM

กระทู้นี้มาเห็นก็ตกไปเสียแล้ว
ขอออกความเห็นนิดหนึ่งนะครับ

การที่เราตั้งความปรารถนาไปดุสิต เพราะเป็นภูมิที่เราสามารถไปกันได้เองได้ทีละมาก ๆ
ต่างจากพรหมที่ไปเกิดได้น้อยต้องเข้าญาณแก่กล้าจริง ๆ
ประมาณว่าไปคนเดียว มาเกิดคนเดียว

แต่ดุสิต เราไปเป็นหมู่คณะ ลงมาแบบยกกองทัพ

การสร้างบารมีและมาโปรด สรรพสัตว์ จึงทำได้เร็วและลื้อขนสัตว์ได้ทีละมาก

ส่วนภูมิของพรหมเอาไว้ตอนโลกใกล้แตกนะครับ

เพราะภูมิยาวนานมาก ตามวิธีแตกของโลก 3 วิธี

โดยการแตกจากลม ที่ต้องมาจุติในชั้น ที่ 10 ขึ้นไป

เพราะอีก 9 ชั้น ถูกพัดเรียบ แม้แต่ชั้นดุสิตก็ไม่เหลือ

ดังนั้นชั้นพรหมน่าจะยังเก็บไว้ก่อน ยังไม่ถึงที่พักระหว่างทางที่ต้องใช้

ยกเว้นเราจะเข้านิพนาพคนเดียว มาคนเดียวไปคนเดียว

คุณยายเคยกล่าวว่า "ใครจะไปนิพพานก็ไปกันเถอะ ยายจะยังไม่ไป ยายจะลื้อค้นขนสัตว์ไปด้วยกันก่อน"