ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

สร้างเกราะป้องกันกิเลส


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 1 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ตาล

ตาล
  • Members
  • 69 โพสต์
  • Location:ดุสิตบุรีวงบุญพิเศษ เขตของบรมโพธิสัตว์

โพสต์เมื่อ 16 May 2006 - 10:43 AM

สร้างเกราะป้องกันกิเลส

ในโลกของการเรียนรู้ มีวิชาความรู้มากมายหลายแขนงให้ผู้คนได้เลือกเรียนรู้กันตามอัธยาศัย บางคนอาจจะเลือกเรียนตีกอล์ฟเริ่มจากพื้นฐานไต่ระดับจนเป็นเทิร์นโปร แล้วติดแรงค์กิ้งอันดับใดอันดับหนึ่ง สำหรับบางคนก็สมัครใจที่จะเรียนรู้เรื่องธรรมะ ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน และตั้งใจจะไปให้สุดเส้นทางสายนี้ให้ได้ตามกำลังของตัวเอง

ชัชชา อัชณาตระกูล เจ้าของบริษัท Hattrick Multimedia จำกัด ทำสื่อโฆษณา ป้ายโฆษณาบิลบอร์ด และถ่ายทอดสดการชกมวยฯลฯ เขาลงทะเบียนเรียนวิชาวิปัสสนากรรมฐานเมื่อ 12 ปีที่แล้ว เป้าหมายในชีวิตที่วางไว้ ไม่ใช่การขยับขยายบริษัทให้ยิ่งใหญ่ หากแต่เขาตั้งใจจะปฏิบัติธรรมอย่างน้อยต้องให้ได้ระดับโสดาบัน พระพุทธเจ้าตรัสไว้ การันตีเรื่องการเวียนว่ายตายเกิด พระโสดาบันเกิดอย่างมากไม่เกิน 7 ชาติ และไม่มีวันลงอบายภูมิ ถ้าดีก็อาจบรรลุนิพพานในชาติถัดไป

ชัชชา บอกว่า ที่พูดถึงเรื่องพระโสดาบันนั้น ไม่ได้ยากหรือพิสดารหรือเป็นวิชาที่เกินเอื้อม วิปัสสนาเป็นวิชาหนึ่งที่ใครๆ ก็เรียนได้ เรียนแล้วเก่งแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคล เหมือนเรียนตีกอล์ฟในหลักสูตรเดียวกัน แต่ก็มีบางคนเท่านั้นที่จะได้อย่างไทเกอร์วู้ด

"เรียนวิปัสสนากรรมฐาน ก็เหมือนเรียนวิชาๆ หนึ่ง เหมือนไปเรียนมหาวิทยาลัย เรียนกฎหมายหรือวิศวะ ที่ใครก็เรียนได้ เหมือนเรียนตีกอล์ฟ เรียนตอนแรกเราก็จะตีได้ห่วยมาก แต่พอหัดไป หัดไป ก็ชำนาญ เราก็จะตีกอล์ฟเป็น พอมีความสามารถมากขึ้น ก็เทิร์นโปร ติดแรงค์กิ้งอะไรไป เรียนวิปัสสนาก็เหมือนกัน ก็มีกำหนดว่าทำอย่างนี้ เพื่อจะเป็นอย่างนี้ วิธีการที่จะทำตรงนี้ให้เป็นอย่างนี้ อย่างเดินจงกรม นั่งสมาธิ กำหนดสติ กำหนดอิริยาบถ ให้มีมรรคมีองค์ 8 ทำอย่างนี้จะเป็นอย่างไร ทำต่อจะเป็นอย่างไร"

นอกจากการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานสม่ำเสมอแล้ว ชัชชายังเป็นรองประธานกรรมการมูลนิธิพุทธวิหาร ที่นครนายก ซึ่งเป็นศูนย์กลางการศึกษาวิปัสสนาธุระพุทธวิหาร เป็นแหล่งสร้างครูสอนกรรมฐาน เขาดูแลงานด้านการหาทุนมาสนับสนุน โดยมีพระปลัดชัชวาล ชินสโกและพระมหาเหล็ก จันทสีโล ดูแลเรื่องการสอน เป็นหลักสูตรที่เรียนจาก ดร.พระภัททันตะ อาสภมหาเถระ เป็นหลักสูตรเดียวกันที่คุณแม่สิริ กรินชัยใช้สอน มีต้นธารเดียวกันคือจากพระไตรปิฎกของพระพุทธเจ้า

ชัชชา เล่าย้อนถึงโอกาสแรกที่ได้เรียนรู้เรื่องธรรมะ เรื่องวิปัสสนากรรมฐานว่า เมื่อประมาณปี 2537 ได้รู้จักลูกค้าคือ จิตรา อัศวินอุฬารกุล เจ้าของยาฉีดกันยุงอัศวิน เขาเป็นคนปฏิบัติธรรมมาก่อนกับคุณแม่สิริ กรินชัย นอกจากเรื่องธุรกิจแล้วก็คุยเรื่องธรรมะกัน เขาเป็นคนอ่านหนังสือธรรมะและก็รู้สึกได้ว่าธรรมะไม่ใช่เรื่องของการอ่าน เป็นเรื่องของการปฏิบัติ คุณจิตราก็แนะนำ ถ้าอยากปฏิบัติธรรมที่เป็นของพระพุทธเจ้าแท้ๆ ก็ให้ไปปฏิบัติหลักสูตรคุณแม่สิริ มีคอร์สอยู่ที่วัดอินทรวิหาร (วัดอินทร์) บนถนนวิสุทธิกษัตริย์ ใกล้สี่แยกบางขุนพรหม


"ผมก็เลยตัดสินใจไปเลย โดยตั้งใจไว้ว่า ไม่ว่าเขาจะให้ทำอะไร จะทำตามที่เขาบอกทั้งหมด จนกว่าจะครบกำหนด เพื่อพิสูจน์ว่าธรรมะนี้มีผลจริงหรือเปล่า เนื่องมาจากเคยไปปฏิบัติกับทางคริสต์อยู่ช่วงหนึ่ง ให้อดอาหาร 7 วัน ทานได้เฉพาะน้ำผลไม้ในมื้อกลางวันเท่านั้น ซึ่งผมก็ทำได้จนครบ แต่ก็ไม่ได้เกิดความศรัทธาในพระเจ้า ผมเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร ผมทำทุกอย่างยกเว้นการสวดมนต์ภาวนา ซึ่งผมก็คิดว่าการภาวนาคงจะเป็นหลักใหญ่ ถ้าไม่ได้ทำ ก็จะทำให้เราสื่อไม่ถึงพระเจ้า"

ชัชชา ขยายความถึงตอนที่ไปปฏิบัติทางคริสต์ ก็ได้เห็นข้อดีคือ เขาจะให้ความยอมรับนับถือซึ่งกันและกัน ให้เกียรติซึ่งกันและกัน การรวมกลุ่มจะมีความอบอุ่นมาก จากคนที่ถูกดูถูกดูแคลนจากคนอื่นๆ รอบข้าง ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมรอบข้าง เมื่อมาเข้ากลุ่มเขาจะได้รับการยอมรับ ได้แสดงออกในสิ่งที่เขาคิด ได้มีโอกาสพูด ทุกอย่างล้วนให้กำลังใจกันและกัน ทำให้สามารถดำรงชีวิตได้อย่างมีความสุข ทั้งหมดเป็นสิ่งที่เขาได้รับและได้เห็นจากการไปปฏิบัติกับทางคริสต์

ส่วนการไปปฏิบัติธรรมในคอร์สของคุณแม่สิริ เป็นหลักสูตร 7 คืน 8 วัน เขาเล่าว่า ตอนนั้นมีคุณแม่สิริมาสอน ช่วง 3 วันแรกก็มีทั้งเบื่อ ง่วงนอน แย่มากๆ รู้สึกว่ามาทำบ้าอะไรที่นี่ มาเดินๆ ยืนๆ นั่งๆ นอนๆ มีความคิดที่ไม่ยอมรับ ทุกข์ทรมานมากกับการปฏิบัติอยู่ตลอดเวลา แต่เขาก็ทำด้วยความตั้งใจ เคร่งครัด ไม่ให้พูด เขาก็ไม่พูด แม้ว่าจะขี้เกียจ แต่ก็ตั้งใจทำตามจนกระทั่งวันที่ 4 ตอนบ่ายๆ สมาธิของเขาเริ่มดีขึ้นนั่งได้นาน และฟังธรรมะอย่างตั้งใจมากขึ้น
"กระทั่งวันสุดท้ายได้ฟังอาจารย์ท่านหนึ่งพูดเรื่องสติ ก็ทำให้เราปิ๊งขึ้นมา มันเหมือนกับการปิ๊งว่า อ๋อเป็นอย่างนี้เอง ตั้งแต่นั้นก็เกิดการกำหนดขึ้นโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าจะขยับอะไรก็กำหนดเองได้ทั้งหมด แต่เสียดายที่เป็นวันสุดท้าย เรากำหนดได้เองหมดเลย ทั้งที่เคยคิดว่าไม่มีทางทำได้ แต่รู้สึกเหมือนว่า สติมันเด่นจึงทำได้ ทันทุกอย่างไม่ว่าจะมีอะไรมากระทบ มาพร้อมๆ กันก็เลือกกำหนดได้ ชัดเจนมาก เราก็รู้สึกว่าโอ้โห...เป็นสิ่งที่เหมือนกับปาฏิหาริย์"
ชัชชา เล่าถึงช่วงเวลานั้นว่า เขาก็อยู่กับสติได้สักครึ่งชั่วโมง พอคนดูแลคอร์สเริ่มปล่อยให้คุยกัน เขาก็เริ่มคุย พอคุยๆ ไป สิ่งที่เคยกำหนดได้ ก็หลุดไป สมาธิญาณก็ตกไป หายไป แต่อย่างไรก็ตามหลังจากนั้นก็เกิดศรัทธา จากที่ปิ๊งแล้วก็ปฏิบัติไปเรื่อยๆ ยิ่งปฏิบัติก็ยิ่งเห็น ก็ศรัทธามาเรื่อยๆ เพราะมองเห็นสภาพที่กิเลสต่างๆ ยอมศิโรราบให้เขาปฏิบัติได้ และก็เป็นครั้งแรกที่ก้มกราบพระได้ กราบเท้าคุณแม่ได้ จิตใจเริ่มอ่อนโยน เห็นชัดว่ากิเลสลดลง

เขา อธิบายถึงสภาพของจิตใจของตัวเอง โดยยกคำพูดของคุณจิตรา ที่เคยพูดกับเขาไว้ว่า จิตเหมือนก้อนหินก้อนหนึ่ง แรกเกิดมาก็ดูใสๆ เราเกิดในโลกในสังคม ก็เหมือนหินที่จมอยู่ในน้ำ น้ำก็พัดพาตะไคร่ตะกอนต่างๆ มาติดอยู่ที่หินก้อนนี้ตลอดเวลา ซึ่งเราก็ไม่รู้ตัวว่ามันมากหรือน้อยอย่างไร

การได้มาปฏิบัติธรรม ก็เหมือนได้ยกก้อนหินนั้นขึ้นมาดู ได้เห็นว่าหินก้อนนี้เต็มไปด้วยกิเลส มีตะไคร่หนาเตอะ ทุกวันที่ขัดเกลาหินก้อนนี้ ความสกปรกก็ไม่ได้หมดไป แต่ก็บางไป พอจะเห็นว่าสีเดิมซึ่งเป็นสีขาว พอเรากลับมาอยู่ในชีวิตประจำวัน ก็เหมือนเรานำมันกลับไปแช่น้ำใหม่ อยู่ในวังวนของกิเลสอีก บางวันก็มีสติรับได้ บางวันก็ไม่มีสติ

"สติก็อยู่กับผมได้ประมาณปีครึ่ง ความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจของเราไปในทางที่ดี เห็นได้ชัดเลย เหมือนมีเกราะป้องกันกิเลส หลังจากปีครึ่งนั้น เราก็เริ่มรู้แล้วว่า กิเลสเริ่มกลับมาชนะเราแล้วนะ เหมือนมีกิเลสอีกโดยไม่รู้ตัว ตราบใดที่เราไม่ใช่พระอรหันต์หรือโสดาบัน ก็มีโอกาสที่จะหลงไปในกิเลสอยู่ตลอดเวลา"
ชัชชา เล่าว่าตอนเด็กๆ เขาก็เป็นเด็กที่สนใจคุยเรื่องปรัชญาหรือเรื่องพระพุทธเจ้ากับเพื่อนๆ ชีวิตก่อนหน้าที่จะเข้าไปปฏิบัติธรรมนั้นเป็นคนค่อนข้างใช้ตัวเองเป็นศูนย์กลาง ตามใจตัวเอง ไม่ค่อยคิดถึงความรู้สึกของคนอื่น เที่ยวกินดื่มเหล้า สูบบุหรี่ มีผู้หญิงเยอะ แต่พอไปเรียนกับคุณแม่สิริ บุหรี่เลิกก่อนจะเข้าไปปฏิบัติ ส่วนเรื่องผู้หญิงก็เลิกไปเลย เห็นก็เห็นหนอ จิตใจก็ดีขึ้น มีสงสารและเมตตามากขึ้น

"ผมไม่ได้นำหลักธรรมข้อโน้นข้อนี้มาใช้ แต่ด้วยความที่ได้ฝึกวิปัสสนากรรมฐาน จิตใจมันก็นุ่มนวล อ่อนโยน การใช้ชีวิตและการทำงานก็เป็นไปตามนั้นด้วย อย่างถ้าเราเป็นคนที่จิตใจแข็งกระด้าง อาฆาตมาดร้าย ชอบเอาชนะ มันก็จะฟ้องมาที่งาน ทุกกระบวนการทำงาน การคิดก็มุ่งจะเอาชนะคนอื่นได้อย่างไร แต่ผมจะคิดว่าจะทำงานของตัวเองให้ดีขึ้นอย่างไร ใครทำอะไรก็รับกรรมของตัวเองไป เราไม่ต้องไปจัดการ ตัวเรามีหน้าที่ปกป้องตัวเอง ไม่ให้เขามากระทบกระเทือนเรา"
โลกของการเรียนรู้มีเรื่องราวหลากหลายให้แสวงหา เพื่อนำมาปรับใช้กับชีวิต เลือกหาแบบอย่างที่เหมาะสมปฏิบัติได้อย่างกลมกลืน

ที่มา กรุงเทพธุรกิจ




#2 ขุนรบพระนิพพาน

ขุนรบพระนิพพาน
  • Members
  • 39 โพสต์

โพสต์เมื่อ 25 March 2011 - 11:19 AM

ขออนุโมทนาบุญด้วยครับดีมากๆเลย