![รูปภาพ](http://www.gravatar.com/avatar/00c3c2446c702e7704755ab9fd8c18dc?s=100&d=https%3A%2F%2Fwww.dmc.tv%2Fforum%2Fpublic%2Fstyle_images%2Fmaster%2Fprofile%2Fdefault_large.png)
จากทีมงาน :: เรื่องการแบ่ง forum เป็นหมวดหมู่
#1
โพสต์เมื่อ 21 October 2006 - 04:24 PM
1. ชื่อฟอรั่ม :: รวมทุกกระทู้
จะแสดงกระทู้รวมทุกฟอรั่ม ที่นี่ เผื่อหากระทู้ไม่เจอ
2. ชื่อฟอรั่ม :: น้องใหม่ใฝ่ธรรม
สำหรับคนใหม่ๆ เข้ามาถามปัญหาทุกอย่าง
3. ชื่อฟอรั่ม :: สนามเด็กเล่นโรงเรียนอนุบาล
สำหรับสนทนาธรรม เกี่ยวกับธรรมะที่ได้จากโรงเรียนอนุบาลฝันในฝัน และกฎแห่งกรรมอื่นๆ
4. ชื่อฟอรั่ม :: เลิศล้ำธรรมสภา
เชิญธรรมกถึกแสดงอรรถแสดงธรรมได้เต็มที่
5. ชื่อฟอรั่ม :: สนทนาพาที/บอกเล่าเก้าสิบ
ก็เป็นประเภทสนทนาปกิณณกธรรมบ้าง ข้อคิดบ้าง พอให้ได้ความรู้ติดขาติดแข้ง รวมทั้งบอกบุญ/ร่วมอนุโมทนาบุญในโอกาสต่างๆ
ทั้งนั้นเพื่อให้เป็นไอเดีย ให้ทางทีมงานนำไปปรับปรุงต่อไปในเวลาอันใกล้นี้ โดย forum ที่เหลือ จะถูกยุบรวมออกมาเป็น forum ย่อยๆ ดังกล่าวทั้งหมด
แต่จำนวน forum ก็ไม่ควรจะมาก หรือน้อยเกินไป ทั้งนี้ *อาจจะ* มีระบบให้สมาชิกแจ้งย้ายกระทู้กันเองได้ด้วย (เช่นในเว็บบอร์ดชื่อดัง) แต่จะพิจารณากันอีกทีครับ
#2
โพสต์เมื่อ 21 October 2006 - 04:37 PM
#3
โพสต์เมื่อ 21 October 2006 - 04:50 PM
ข่าวบุญประชาสัมพันธ์
วิทยาศาสตร์ทางใจ
บทความดี๊ดี (จากสมาชิก)
---------------------------------> ขอเพิ่ม
เอาบุญมาฝาก
กระทู้ที่น่าสนใจ
กระทู้ติดดาว ***** (อยากให้มีการโหวตกระทู้ด้วยค่ะ)
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#4
โพสต์เมื่อ 21 October 2006 - 05:12 PM
![happy.gif](style_emoticons/default/happy.gif)
#5
โพสต์เมื่อ 21 October 2006 - 05:14 PM
#6
โพสต์เมื่อ 21 October 2006 - 05:25 PM
#7
โพสต์เมื่อ 21 October 2006 - 07:49 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#8
โพสต์เมื่อ 21 October 2006 - 08:07 PM
สนามเด็กเล่นโรงเรียนอนุบาล -> อันนี้ผมเสนอว่า ชื่อ โรงเรียนอนุบาลของฉัน ก็แล้วกัน
แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง
#9
โพสต์เมื่อ 21 October 2006 - 08:16 PM
จริงๆ แล้วปัจจุบันก็มีการแบ่งห้องกันอยู่แล้ว ดังนั้น ปัญหาที่ไม่ควรมองข้ามอีกอันหนึ่งคือ จะทำยังไงให้เกิดการตั้งกระทู้กันถูกห้อง ถูกที่ ถูกทาง ดังนั้นถ้าจัดห้องกระทู้แบ่งเป็นหลายห้อง แนะนำว่า ควรจัดองค์ประกอบ ความดึงดูดของหน้าแรกแต่ละห้องให้บาลานซ์ด้วยนะครับ
เพราะจากที่สังเกตการใช้บอร์ดที่ผ่านมา ยังมีการตั้งกระทู้ผิดห้องกันอยู่เป็นประจำ ถึงแม้จะมีการจัดแบ่งห้องแล้วก็ตาม สาเหตุอาจจะเพราะ ที่หน้าแรกนั้น ห้องบอร์ดกลางค่อนข้างจะมีสีสันและขนาดของบล็อคใหญ่และโดดเด่นกว่าห้องอื่น ทำให้สมาชิกมักจะเข้าไปตั้งกระทู้กันที่ห้องนั้นก่อนเป็นอันดับแรก ทำให้ยังเกิดการตั้งกระทู้ผิดห้องผิดห้องในบางครั้ง
นอกจากนี้การตั้งชื่อห้อง ควรตั้งให้เรียบง่าย อ่านแล้วเข้าใจ วัตถุประสงค์ของห้องนั้นทันที ถ้าตั้งชื่อหรูเริดเกินไป อาจจะเกิดการโพสผิดห้องอีกอยู่ดี เพราะอย่าลืมว่า คนที่มาใช้บอร์ดนั้นมีทุกเพศทุกวัย ดังนั้นชื่อห้องควรจะเป็นชื่อที่เข้าใจกันทุกเพศ ทุกวัย ครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#10
โพสต์เมื่อ 21 October 2006 - 08:55 PM
เวปโตขึ้นก็ต้อง เจอปัญหา เมื่อกระแสมันแรงจริง ๆ แล้วก็ถึงเวลาที่จะต้อง
เปลี่ยนรูปแบบ
เรื่องการแยกห้องนั้น บอกไม่ถูกเหมือนกันเพราะต้องแยกตามกระแสผู้ที่เข้า
มาด้วยว่ามีประเภทไหนบ้าง อาจจะมี ธรรมเสวนา เทคนิคการปฏิบัติสำหรับนักปฏิบัติ
กระทู้เกี่ยวกับวัดและศาสนสถาน บุญใสใส ปรับทุกข์ ธรรมทาน เพลง หนังสือ CD ต่าง ๆ
ความเชื่อสิ่งศักสิทธิ์ ปาฏิหาร์ย ....
เมื่อแบ่งแยกห้องแล้วแรก ๆ ก็คงไปหลาย ๆ ห้องแล้วนาน ๆ ไป ก็จะเป็นขาประจำ
ประจำห้องใดห้องหนึ่ง
เพิ่มเติมหน่อยครับ
แต่อย่าลืมสิ่งที่น่าประทับใจสำหรับเวปนี้ เช่น
๑. ตอบได้รวดเร็วมาก บางกระทู้ตั้งแผลบเดียวก็มีคนมาตอบแล้ว
๒. ตอบได้ ละเอียดทุกแง่มุม อ้างพระไตรปิฏก และ จาก รร.อนุบาลฝันในฝันวิทยา
๓. ตอบได้ หมดถ้ากระทู้ไม่ถูกลบเสียก่อน ไม่ว่าผู้ตั้งกระทู้จะเข้าใจผิดอย่างไร
๔. โพสภาพสวย ๆ ได้สวยงามมาก เห็นแล้วปิติใจ
๕. ตอบได้ ตรงประเด็น
๖. มีผู้ดูแลระบบอย่างดีระวังตัวป่วน ( ดีอยู่แล้ว)
๗. เมื่อมีการแสดงความคิดเห็นให้หลากหลาย แต่ยังไม่ได้คำตอบแน่ชัด จะมีผู้รู้จริง
มาเฉลย
๘. ช่วยกันตอบด้วยจิตเมตตาจริง ๆ บางคนมีเรื่องมาปรึกษาก็ช่วยกันตอบ
เมื่ออ่านดูแล้วชอบมากเพราะผู้ตอบเป็นบัณฑิตทั้งนั้น
คิดไม่ออกแล้ว ...
ตอนนี้ก็คิดได้เท่านี้ครับ รอท่านอื่นมาตอบต่อไป
#11
โพสต์เมื่อ 21 October 2006 - 11:12 PM
เชิญธรรมกถึกแสดงอรรถแสดงธรรมได้เต็มที่
![nerd_smile.gif](style_emoticons/default/nerd_smile.gif)
![laugh.gif](style_emoticons/default/laugh.gif)
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#12
โพสต์เมื่อ 22 October 2006 - 08:57 AM
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ
เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก
Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain
#13
โพสต์เมื่อ 22 October 2006 - 09:24 AM
ที่จริง koonpatt มีความรู้สึกว่า เวลามีการแยกหมวดนี่ ไม่ทราบสิคะว่าเป็นยังไง
แต่เท่าที่เห็นนี้ วิทยาศาสตร์ทางใจ ธรรมกถึก ข่าวบุญใส...ใส หรือ แม้แต่ บทความ ดี๊...ดี ที่มีอยู่แล้ว ดูจากจำนวนผู้เข้าชม น้อยน่ะค่ะ
เพราะผู้คนจะเข้ามา สนใจที่ webboard มากที่สุด ก็เข้าใจค่ะ ว่า ทุกๆท่านไม่ได้มีอาชีพ เล่น net อ่ะนะคะ เวลาว่าง มีโอกาสเปิดเข้ามา ก็จะ มุ่งตรงมาที่ บอร์ด เป็นส่วนใหญ่ เพื่อ พบปะพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิด ถาม-ตอบ กัน (ตัว koonpatt นั่งเฝ้าค่ะ เปิดทั้งวัน ถึงบางทีไม่ได้หันมาดูก็ตาม เพราะทำงานนั่งโต๊ะน่ะค่ะ ใช้ PC ทำงาน ใช้ note book ตั้งไว้โต๊ะเล็กๆ ข้างตัวเปิด net โดนลุงค้อนหลายทีแล้วค่ะ)
ส่วนตัว koonpatt นิยมใช้บริการ แสดงโพสต์ใหม่ ซึ่งต้อง เข้าระบบ ถึงจะเข้าไปได้ ก็จะได้อ่าน ทุกกระทู้ที่มีผู้โพสต์กันล่าสุด น่ะค่ะ
ขอสารภาพ ว่า ในหมวดของ ธรรมกถึก ข่าวบุญใส...ใส วิทยาศาสตร์ทางใจนี่ เข้าไม่บ่อยค่ะ แต่จะไปเข้าที่แสดงโพสต์ใหม่แทน ซึ่งก็จะได้อ่านทุกหมวดค่ะ คือ หมายถึง ไม่ได้เข้าจากหน้าแรกน่ะค่ะ
ขอตรงนี้ไว้เหมือนเดิมนะคะ (แสดงโพสต์ใหม่) เพราะ รวมทุกหมวดจริงๆ แต่อยากให้ open น่ะค่ะ คือ ไม่ต้องเข้าระบบก็ใช้ได้ เพราะ ทุกท่านที่ผ่านเข้ามา จะได้ชมทุกกระทู้อย่างทั่วถึงทุกหมวดน่ะค่ะ
ขอบพระคุณมากค่ะ อนุโมทนากับการทำงานที่ เยี่ยมยอด และ ยอดเยี่ยม ของทีมงานทุกๆท่านนะคะ สา...ธุค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#14
โพสต์เมื่อ 22 October 2006 - 02:11 PM
ก็จะทำให้กระทู้ไม่วิ่งเร็วเกินไป บางทีผู้ที่ตั้งกระทู้อาจจะรอคำตอบอยู่ แต่วิสัยของผู้ตอบกระทู้
มักจะไม่อ่านหรือ ไม่ตอบ กระทู้ที่ ลงไปข้างล่างมาก ๆ แล้ว หรือเมื่อกระทู้เลยไปอยู่อีกหน้าหนึ่ง
แล้วก็จะไม่อ่านเลย เมื่อมีการแยกหมวดหมู่กระทู้ จะมีผุ้ตอบได้ดีกว่า เพราะคนอ่านสามารถเลือก
อ่านได้ว่ากำลังสนใจเรื่องใด และสามารถตอบกระทู้ได้ดีกว่าเพราะ ไม่ไหลเร็วเกินไป บางทีคนอ่าน
เห้นว่ามีกระทู้เรื่องใดมากเกินอาจจะสรุปไปเลยว่าบอร์ดเป็นลักษณะอย่างนั้นไปเลย เป็นความเข้า
ใจผิดเพราะขึ้นอยู่กับกระแสผู้มาใช้ช่วงเวลาใด เวลาหนึ่ง
ดูจากจำนวนผู้เข้าชม น้อยน่ะค่ะ
เท่าที่ดูครับ มันเป็นบทความนะครับ เช่น มีผู้เขียนบทความขึ้นมาให้อ่าน แล้วมีผู้มาอนุโมทนา หรือแสดงความเห็น
เช่น ธรรมกถึก ข่าวบุญใส...ใส หรือ บทความดี๊...ดี
แต่ลักษณะการแบ่งห้องกระทู้นี้คือ กระทู้ ถามและตอบ ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนั้น ๆ เช่น วิทยาศาสตร์ทางใจ
ก็อาจจะมีผู้มา ถาม - ตอบ เรื่องเกี่ยวกับสิ่งมหัศจรรย์ มายากล ต่าง ๆ หรือเรื่องเกี่ยวกับสิ่งลี้ลับต่าง ๆ
#15
โพสต์เมื่อ 22 October 2006 - 03:01 PM
ใช่ครับ ปัญหานี้ไม่ควรมองข้ามนะครับ มันจะได้เป็นระเบียบตรงตามเจตนารมณ์จริงๆ ชื่อหัวข้อขอให้ตั้งเป็นแบบเห็นปุ๊บก็เข้าใจปั๊บ เอาแบบตรงๆเลยครับ ไม่ต้องเพราะหรือเริดหรู สมมตินะครับ สำหรับผู้มาใหม่ยังไม่เคยเข้าวัดหรือเพิ่งเข้าวัดได้ไม่นาน ถ้าเป็น " น้องใหม่ใฝ่ธรรม " อาจจะยังไม่ชัดเจนเท่าไหร่ อาจจะตั้งเป็นว่า " สำหรับผู้มาใหม่ " อย่างนี้พอเค้าเห็นปุ๊บ แทนที่เค้าจะคลิกเข้าไปที่หมวดกระทู้หลัก ตรงนี้ก็จะดึงดูดให้เค้าเข้ามาที่กระทู้หมวดนี้ก่อน เป็นต้น คนที่เข้าวัดนานแล้ว ก็จะได้เข้ามาตอบและชี้แจงข้อข้องใจทั้งหลายด้วย และการแบ่งเป็นหมวดๆนี้ ก็จะได้ไม่เกิดปัญหาอีกว่า บอร์ดช่วงหลังไม่ค่อยมีสาระเหมือนเมื่อก่อน เพราะมีความหลากหลายของหมวดหมู่นั่นเอง
#16
โพสต์เมื่อ 22 October 2006 - 08:42 PM
----------------
พอ. . .แล้วกับความรู้สึกที่ว่าอยากมีอยากเป็น
One word will suffice.
#17
โพสต์เมื่อ 22 October 2006 - 09:00 PM
- เอาบุญมาฝาก by คุณฟ้าร้าง
- น้องใหม่ใฝ่ธรรมะ by ท่านสาคร
- เลิศล้ำธรรมสภา by ท่านไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี
- แก้ข้อกล่าวหา by ท่านคนรักวัด
- ปลดทุกข์ by ท่านเพียงพอ
#18
โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 01:49 AM
การแบ่งหมวดหมู่เนื้อหา รวมถึงการแยกประเภทของคำถาม
ใน Forum ต่างๆที่เพื่อนสมาชิกเสนอมา แม้มีมุมมองต่างกันบ้าง
ก็ต้องให้เกียรติและเคารพการตัดสินใจ ของทีมผู้ดูแลระบบ กันด้วยนะครับ
แม้ไม่ได้อย่างใจของทุกๆท่าน ในบางเรื่อง
แต่ก็ถือได้ว่าวิวัฒนาีขึ้นมาอีกระดับแล้ว
ผมพร้อมใช้ในรูปแบบที่ผ่านการมีส่วนร่วมของสมาชิก ครับ
ขออนุโมทนาบุึญ กับทีมผู้ดูแลระบบด้วยครับ สาธุ ๆ ๆ
ไฟล์แนบ
#19
โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 06:36 PM
แต่ว่าความหมายมันทะแม่งๆ ชอบกลนะ
#20
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 06:56 AM
![happy.gif](style_emoticons/default/happy.gif)
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ
![^_^](https://www.dmc.tv/forum/public/style_emoticons/default/happy.png)
#21
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 10:01 AM
อนุโมทนากับทุกท่าน
#22
โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 01:11 PM
เพราะว่าถ้าแยกกันแล้วเกรงว่าหมวดน้องใหม่จะมีเนื้อหาธรรมะน้อยไปหน่อย
เพราะเกรงว่าหมวดนี้นี้จะกลายเป็นหมวดที่จับเนื้อหาธรรมได้น้อยเกิดแล้วก็จะกลายเป็นว่ามีเนื้อหาข่าวสารต่างๆทางโลกมากเกินไปจนออกนอกลู่นอกทาง
อีกอย่างคนที่เข้ามาใหม่ก็จะได้เรียนรู้ธรรมะที่ง่ายๆจากการสนทนาธรรมและปกิณกะธรรมบ้าง
#23
โพสต์เมื่อ 04 November 2006 - 12:44 AM
หลวงเมือง
ฝันร้าย
ศรัทธาเกลียดกลัวชายแก่คนหนึ่งจับใจไม่รู้จักหาย ปีหนึ่งพี่ชายอายุครบบวชไปบวช เขาเป็นลูกศิษย์หิ้วปิ่นโตสะพายย่ามติดหลังพระพี่ชายที่บิณฑบาตโปรดสัตว์ถึงบ้านโยมพ่อแม่ที่ตลาดพลู โดยข้ามประตูน้ำภาษีเจริญผ่านวัดปากน้ำขณะนั้นหลวงพ่อวัดปากน้ำยังมีชีวิตอยู่ และกำลังแจกพระวัดปากน้ำรุ่นแรกด้วยมือของท่านเองแก่ชาวบ้านธรรมดาที่ถวายปัจจัยตามมีตามเกิด
แต่วัดนี้ผู้ใหญ่เล่าว่าตั้งแต่หลวงพ่อเป็นเจ้าอาวาสท่านตั้งโรงครัวเลี้ยงพระเณรชีเด็กวัดและผู้ที่ไปปฏิบัติธรรมตลอดมา คนนั่งเรือไอเรือแท็กซี่เรือจ้างผ่านวัดย่ำรุ่งจะเห็นโรงครัวมีไฟสว่าง
และเมื่อหลวงพ่อสร้างศาลาการเปรียญหลังแรก ฯพณฯ จอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรีมาเป็นประธานในพิธีเปิดโดยนั่งรถยนต์มาจอดที่ถนนเทอดไทหน้าวัดขุนจันทน์แล้วเดินบนสะพานไม้โย้เย้ข้ามคลองด่านผ่านวัดอัปษรสวรรค์หรือวัดหมูไปวัดปากน้ำ หลังจากนั้นไม่นาน สะพานข้ามคลองหน้าวัดขุนจันทน์กับวัดหมูก็สร้างใหม่ยังอยู่จนทุกวันนี้ โดยอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุขึ้นจากเรือไม่ให้ลอดสะพาน คนบนสะพานเบียดกันมากแต่ไม่มีใครเป็นอันตรายทั้งที่สะพานนั้นสูง
ลือกันว่าท่านจอมพลได้บอกบุญให้ท่านขุนนิรันดรชัย สร้าง จึงมีชื่อว่า "สะพานนิรันดรอุทิศ" จึงแจ้งมายังท่านทั้งปวงที่ได้เดินข้ามสะพานนี้ด้วยความสุขได้อนุโมทนาในกุศลแด่ท่านจอมพล ป. ด้วย
พระพี่ชายของศรัทธาแบ่งภัตตาหารที่มีผู้ถวายส่วนหนึ่งให้เขานำไปให้ลุงโห้ ชายแก่ที่ศาลาท่าน้ำ
เย็นวันหนึ่งขณะที่พระสงฆ์ลงโบสถ์ทำวัตร ศรัทธาไปยืนดูเรือแล่นผ่านศาลา นึกอยู่ว่าถ้าเรือจ้างผ่านมาแล้วเขาเรียกให้แวะรับก็จะได้กลับบ้านไปหาพ่อแม่ กำลังคิดถึงบ้านเพลินๆ ฝนตกหนัก มองไปแทบไม่เห็นเรือและบ้านฝั่งตรงข้าม ต้นพิกุลที่ลานวัดถูกลมพัดแรงจนกิ่งไกวสะบัดราวกับจะหัก
ทันใดนั้นมีชายหนุ่ม 3 คนเดินเข้ามาประชิดข้างหลัง เขารู้สึกตัวหันไป ชายคนหนึ่งถามว่ามึงเป็นลูกศิษย์พระกิมอุ่นใช่ไหม แล้วรุมชกต่อยเขาตะโกนว่า ผมไม่ใช่ลูกศิษย์หลวงพี่กิมอุ่น ผมเป็นลูกศิษย์พระสุพล พวกนั้นไม่ฟังยังชกต่อยต่อไป ศรัทธาเห็นลุงโห้นั่งที่มุมศาลาจึงวิ่งไปหา ร้องว่าลุงโห้ช่วยด้วย แล้วเขาก็ผงะเพราะลุงโห้ยกเท้าถีบเขากระเด็นกลับไปหาชายหนุ่มพาลเกเรพวกนั้น พร้อมทั้งหัวเราะลั่น
เขาถูกมือเท้าของพวกมันจนสลบ
ศรัทธารู้สึกตัวในกุฏิของหลวงพ่อฮั้วซึ่งเป็นหมอ ซึ่งทายาและให้กินยาแก้ปวด พระพี่ชายไม่รู้เรื่องที่แท้จริง แต่ท่านก็ขู่ว่า ถ้ารู้ว่าเขาเป็นผู้ก่อเหตุจะเฆี่ยนและไล่กลับบ้านก่อนท่านสึก ส่วนศรัทธาคิดว่าเขาพูดอะไรไม่ได้เพราะไม่รู้ว่าคนพวกนั้นเป็นใคร ส่วนลุงโห้ขู่เขาว่าบอกพระพี่ชายจะฆ่าให้ตาย
ศรัทธารู้สึกว่าเกิดมาเขาไม่เคยเกลียดกลัวใครเท่าลุงโห้
ต่อมาลุงโห้ไปมีเรื่องกับโยมของพระภิกษุรูปหนึ่ง โดยไปก้าวก่ายสั่งสอนเรื่องอาหารที่นำมาทำบุญจนโยมโกรธให้คนแบกถาดอาหารที่จะถวายเพลกลับบ้าน ตกลงวันนั้นพระรูปนั้นอดเพล พระผู้ใหญ่เห็นว่าลุงโห้จุ้นจ้านจึงให้ออกจากวัด แต่หัวใจของศรัทธายังเป็นแผลเพราะแกตลอดมา ต่อมาศรัทธามีลูกเข้าโรงเรียนได้แล้ว เขาคิดว่าควรมีรถยนต์รับส่งลูก ภริยาก็เห็นด้วย
วันหนึ่งขณะที่เขาขับรถกลับจากรับลูกที่โรงเรียน กลางทางมีรถตามหลังมาอย่างเร็วและส่ายไปมาหาทางแซงเขาคิดว่าคนขับเมาแน่ รถคันนั้นแซงขวาขึ้นหน้าแล้วหักเข้าเลนซ้ายทันที เขาเห็นรถคันนั้นชนจักรยาน 2 ล้อกระเด็นเข้าไปในดงหญ้าริมถนน ส่วนรถของเขาตกคูและพลิกคว่ำ
เขารู้สึกตัวที่โรงพยาบาล ลูกบาดเจ็บสาหัสทั้งคู่ คนถีบจักรยานบาดเจ็บสาหัส หาว่าเขาขับรถตามหลังด้วยความเร็วและพุ่งเข้าชนจักรยานที่หักหลบโดยยอมตกคูข้างทางแต่ไม่ทัน เมื่อศรัทธามีสตินึกถึงเหตุการณ์ได้จึงถามว่ารถคันที่ชนจักรยานไปไหน ก็ไม่มีใครรู้เรื่อง
ศรัทธาคิดว่าคนขี่รถจักรยานคงไม่ได้ใส่ร้ายเขา เพราะแกถูกชนข้างหลังตกถนนสลบ แต่ศรัทธาก็แย่เพราะรถซึ่งซื้อผ่อนส่งมาไม่นานพังยับเยิน ค่ารักษาก็มาก คนถีบจักรยานเรียกค่าเสียหายนับแสน
เขายอมเป็นความสุดแท้แต่ศาลจะตัดสิน แต่ได้จำนองบ้านกับคำรณเพื่อนเก่าที่รักกันมาตั้งแต่เด็กๆ คำรณบอกเมียของศรัทธาว่ารับจำนองไม่คิดดอกเบี้ย เพราะเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่เด็กๆ เวลาที่ป่วยไข้เป็นซางเป็นโรคตาแดง พ่อของศรัทธาก็กวาดยาพ่นตาให้ เป็นฝีก็สูนฝีให้ทุกครั้ง ศรัทธาภูมิใจที่มีเพื่อนที่ร่ำรวยและไม่ลืมเพื่อนเก่า คุยอวดเมียทุกวัน ด้วยศรัทธาไม่รู้ว่าคำรณคิดจะยึดบ้านเขา
ต่อมา มีหญิงกลางคนชื่อคุณนายลินจงเป็นผู้ถือสัญญาเงินกู้ของคำรณ บอกว่าคำรณย้ายไปต่างจังหวัดได้ขายสัญญาเงินกู้ให้แก ศรัทธาขาดส่งดอกพ้นกำหนดมาหลายปี จะต้องยึดบ้านและที่ดินให้ย้ายออกไปภายใน 1 เดือน ไม่เช่นนั้นจะเผา
ศรัทธาไปหาคำรณที่บ้านบางพูน ซึ่งเป็นบ้านเก่านั้นเองมิได้ย้ายไปไหน คำรณไม่เต็มใจให้ศรัทธาพบ เมื่อจำเป็นก็ออกมายืนพูดด้วยที่หน้าบ้าน ทีแรกศรัทธาจำไม่ได้เพราะเห็นเป็นคนแก่ๆ ที่คุ้นหน้าอย่างมาก แล้วก็เห็นเป็นลุงโห้ก้าวช้าๆ ออกมา ท่าทางหยิ่งผยองและ####มโหด แต่เห็นเพียงพริบตาเดียว
แล้วกลับเป็นคำรณเพื่อนเก่าตามเดิม
คํารณพูดว่าตนยากจนลงมากเพราะภริยาเสียพนันหลายล้าน ถ้าไม่มีใช้หนี้จะถูกฆ่า จึงต้องขายใบกู้ทั้งหมดให้คนที่ร่ำรวยเพื่อนำใช้หนี้
"คุณคงเห็นใจผม เพราะผมไม่เคยคิดดอกเลยสักสลึงเดียวตั้งหลายปี จริงละพ่อคุณเคยกวาดยาพ่นตาแดงให้ผม แต่ก็คิดเงินครั้งละสลึง ไม่ได้มีพระเดชพระคุณแก่กัน พ่อผมเสียอีกยังมีบุญคุณต่อพวกคุณ"
"พ่อเราน่ะรึคิดค่าพ่นตากวาดยาเด็กครั้งละสลึง" ศรัทธาเสียงสั่น "ถ้าพ่อผมคิดค่ารักษาโรคอะไรแก่ใครก็ตามแม้แต่สตางค์เดียว เวลาที่ผมจะตายขอให้จงตายด้วยความทรมานที่สุด แต่ถ้าไม่คิดเงินใครเลยก็ขอให้เวลาผมตายขอให้ตายอย่างมีสติ"
ชายทั้ง 2 มองหน้ากัน แต่ศรัทธาไม่รู้จนนิดเดียวว่าเพื่อนเก่าของเขาเป็นอะไร แต่มองทีไรก็เห็นหน้าเหมือนลุงโห้ทุกที
#24
โพสต์เมื่อ 09 November 2006 - 01:24 PM
#25
โพสต์เมื่อ 15 November 2006 - 09:43 PM
"สนามเด็กเล่นโรงเรียนอนุบาล" อ่านแล้วรู้สึกน่าเล่นมากเลยค่ะ แต่ถ้าคลิกเข้าไปเป็นกฏแห่งกรรม จะรู้สึกว่าเป็นคนละเรื่อง รึเปล่า?
คิดว่าการตั้งชื่อให้อ่านแล้ว ใครๆก็เข้าใจความหมายได้ในทันที(อย่างตรงๆ)ก็น่าจะดีนะคะ จะได้ไม่เข้าใจไขว้เขว
#26
โพสต์เมื่อ 14 December 2006 - 09:17 PM
#27
โพสต์เมื่อ 16 December 2006 - 07:30 PM
#28
โพสต์เมื่อ 07 December 2007 - 01:27 PM