ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

กฏแห่งกรรม : ตอน...กรรมแซบหลาย


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 9 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 JOYSA

JOYSA
  • Members
  • 234 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 February 2006 - 09:12 PM

โดย ผู้จัดการออนไลน์ 28 พฤศจิกายน 2548 16:59 น.


ที่จังหวัดนครราชสีมา บริเวณหน้านิคมอุตสาหกรรม มีแม่ค้าขายอาหารพื้นเมือง จำพวกลาบ ไก่ย่าง ส้มตำ คนหนึ่งอายุประมาณ ๒๐ ปีเศษ ชื่อ บุศรินทร์ หมายกลาง ปลูกร้านขายอาหาร ที่ริมถนนด้วยบรรยากาศอย่างธรรมชาติแท้จริง นั่นก็คือเป็นเพิงหมาแหงนหลังคามุงจาก มีโต๊ะเก้าอี้เก่าๆ เพียงสองสามตัว ตั้งอยู่บนไหล่ทางให้นั่งรับประทาน เธอจะขายแต่เฉพาะเวลากลางวันตั้งแต่สองโมงเช้า จนถึงห้าโมงเย็นเท่านั้น รสชาติอาหารพื้นเมืองของเธอได้รับคำชมว่าเอร็ดอร่อยมาก โดยเฉพาะปลาช่อน ต้มยำ และไก่ย่าง ซึ่งมีรสแซบจัดจ้านและหอมอร่อย มาก บางคนบ้านอยู่ไกลก็ยังอุตส่าห์ขับรถมาซื้อ เรียกว่าเธอขายดิบขายดี จนถึงขั้นคนซื้อมายืนเข้าแถวรอ ดิฉันเองก็เคยได้อุดหนุนเธออยู่บ่อยๆ
นอกจากนั้นรูปร่างหน้าตาของเธอยังสวยงาม น่ารัก พูดอ่อนหวาน และฉลาดทันคน โต้ตอบได้ทุกเรื่อง ไม่มีอับจน จึงเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งให้คนซื้อหลั่งไหลกันมาอย่างเนืองแน่น เมื่อมีคนซื้อมาก กำไรก็มากไป ตามตัว เธอจึงขยับขยายย้ายร้านจากหลังคามุงจากข้างถนน มาเช่าร้านเป็นตึกแถวอยู่ด้านหลังร้านเก่านั่นเอง แม้กระนั้นก็มีคนตามมาซื้อ คือบรรดาแฟนเจ้าเก่าเจ้าประจำ ลูกค้าเดิมๆนั่นเอง ร้านของเธอตก แต่งสวยงามตามยุคสมัย นอกจากนั้นเธอยังเพิ่มอาหารพื้นเมืองและอาหารไทยเด็ดๆอีกหลายเมนู รวมทั้งเพิ่มเบียร์สุราเข้าไปดึงดูดลูกค้าอีกด้วย
เพราะอาหารอร่อย เจ้าของร้านสวย ยอมให้คนซื้อพูดแทะโลมได้ และบริการดี ว่องไวทันใจ ลูกค้าจึงหลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสาย ถึงกับต้องมีการจองโต๊ะกันล่วงหน้าทีเดียว กิจการของเธอเจริญก้าวหน้า มาก แต่ว่าอยู่ได้ไม่ถึงปี ก็มีเหตุการณ์ทำให้ลูกค้าหนุ่มๆที่หมายปองเกิดอาการอกหักไปตามๆกัน เพราะเธอประกาศแต่งงานกับอาเสี่ยหนุ่มใหญ่ เจ้า ของร้านขายเครื่องก่อสร้างที่มาเป็นลูกค้าประจำนั่นเอง
หลังจากแต่งงานแล้วชีวิตของเธอก็พลิกผันจมดิ่ง ลงสู่เบื้องล่างด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน ด้วยโลภะ เพราะมีผู้พบเจ้าเสี่ยจอมปลอมผู้เป็นสามี จูงมือเธอเข้าบ่อนการพนัน ร้านค้าก็ปล่อยให้ลูกจ้างภายในร้าน จัดการบริหารทุกอย่างกันเอง เด็กๆพากันบริหารจัดการร้านขายกันเองตามมีตามเกิด เพื่อรักษาลูกค้า เก่าเอาไว้ แต่ความที่ขาดประสบการณ์และรสมือยัง ไม่ถึง พวกลูกค้าจึงพากันหนีหน้าไปอุดหนุนร้านข้างๆ ซึ่งปรับปรุงใหม่กันหมด หนักเข้าร้านของเธอก็เต็มไปด้วยหนี้สินรุงรัง เธอต้องหลบลี้หนีหน้าเจ้าหนี้ ถูกยึดตึกอุปกรณ์การค้าต่างๆนานา จนไม่มีอะไรเหลือ กลายเป็นคนที่มีแต่ตัว แต่ไม่มีอิสระทั้งร่างกาย และจิตใจ
เรื่องของเธอเงียบหายไปนาน จนผู้คนแถวนั้นพา กันลืมเสียสนิท แต่จู่ๆดิฉันก็ได้พบเธอที่บ้านกรินชัย ขณะที่มีการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน เธอไปเข้าปฏิบัติที่นั่น พอดิฉันพบเธอก็ตกตะลึงพึงเพริด เพราะไม่แน่ใจว่าจะเป็นเธอ ดิฉันลังเลไม่กล้าเข้าไปทัก กระทั่งเมื่อเธอเข้ามายกมือไหว้จึงจำได้ แต่ว่ารูปร่างที่เคยสดสวยเอวบางร่างน้อยน่ารักน่าเอ็นดู เปลี่ยนเป็นอ้วนลงพุง ตัวดำผิวคล้ำเหมือนคนตรากตรำงานหนัก และที่สำคัญเส้นผมที่เคยยาวสลวยหยิกงาม ย้อมสีต่างๆตามสมัยนิยมนั้น ไม่มีปรากฏให้เห็น เลยแม้แต่เพียงเส้นเดียว ศีรษะโล้นเลี่ยนจนเห็นผิว หนังบางใส เธอพูดจาค่อนข้างเลอะเลือน เหมือนไม่ ค่อยมีสติอยู่กับเนื้อตัว และแม้ดิฉันจะรู้อยู่เต็มอกว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง ก็ยังอดใจหายไม่ได้ ที่เห็นเธอในสภาพนั้น จนเกิดเวทนาสงสารจับใจ
ดิฉันได้มีโอกาสพูดคุยกับเธอตามลำพัง เธอร้อง ไห้และเล่าให้ฟังว่า เมื่อแต่งงานกับอาเสี่ยจอมปลอม ไปแล้ว ก็พบว่าเธอถูกหลอกถูกรีดไถเงิน ทั้งถูกพาไป เล่นการพนันจนหมดเนื้อหมดตัว เป็นหนี้เป็นสินมาก มาย จนต้องหลบไปอาศัยญาติๆอยู่และเกิดตั้งท้อง สามีก็ทอดทิ้งไม่เหลียวแล ให้เธอรับผิดชอบปัญหาต่างๆตามลำพัง จนกระทั่งเธอล้มป่วยลงด้วยสารพัดโรค และแท้งลูกในที่สุด ในขณะที่เส้นผมบนศีรษะเริ่มร่วง เหมือนถูกถอนออกไปทีละเส้นๆ จนกระทั่งหนังศีรษะเป็นแผล เลือดไหลปวดแสบปวดร้อน ทุกข์ทรมานแทบจะขาดใจตาย
เหตุที่เธอประสบความล้มเหลวในชีวิตก็เพราะความดื้อรั้น มีทิฐิมานะอย่างผิดๆ ความหลงตัวเอง ความประมาท ความโลภอยากได้อยากมีเหมือนคนอื่นๆ โดยไม่เดินสายกลาง มัชฌิมาปฏิปทา เธอจึง ต้องพลาดพลั้งอย่างถึงที่สุดในชีวิต ได้รับความทุกข์ ทรมานเจ็บปวด ช้ำชอก ทั้งทางร่างกาย และจิตใจ หมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตไม่มีอะไรเหลือเลยเช่นนี้ ก็น่าจะเป็นผลสืบเนื่องมาจากกฎแห่งกรรม ที่เธอเคย กระทำมา เมื่อครั้งประกอบอาหารขาย
ซึ่งเธอเล่าถึงเคล็ดลับในการปรุงอาหารที่ค้นพบด้วยตัวเองแบบไม่มีใครเหมือน จนกระทั่งลูกค้าพากันติดใจในรสชาติของอาหารที่เธอทำ เพราะอาหาร จำพวกเนื้อสัตว์นั้น เมื่อสดๆเลือดยังไหลหมุนเวียนอยู่ในตัว เมื่อนำมาประกอบอาหารทันทีทันใดย่อมทำ ให้รสชาติของอาหารหวานหอมอร่อยตามธรรมชาติ ดังนั้น ปลาดุกเมื่อจะนำมาทำเป็นปลาดุกย่าง ก็จะไม่ ฆ่าเสียก่อนแล้วย่างทิ้งเอาไว้ให้น้ำหวานในตัวเหือด แห้งหายไป แต่จะเอาไม้แหลมๆแทงตั้งแต่ปากลงไป จนถึงหาง ปิ้งหรือย่างไฟทันที ปลาก็จะดิ้นเร่าๆ จนแน่นิ่งตายไปเอง ด้วยวิธีนี้จึงมีเลือดเกาะอยู่บนเนื้อ ปลาที่สุกๆดิบๆ ทำให้หวานหอมตามธรรมชาติ ส่วนปลานึ่งหรือปลาเผาเธอก็จะทำเช่นเดียวกัน คือล้างปลาให้สะอาด แล้วจับปากปลาเป็นๆง้างขึ้น เอาสมุน ไพร ข่า ตะไคร้ ใบโหระพา มะกรูด พริก ยัดเข้าไป แล้วเอาปลาเป็นๆที่กำลังดิ้นรนหนีความตายเร่าๆอยู่นั้น ใส่ลงในลังถึง หรือเอาไม้ปลายแหลมเสียบตั้งแต่ปากจนถึงปลายหางแล้วเอาไปเผา ปลาก็จะดิ้น รนช่วยตัวเองเต็มที่เพื่อให้รอดพ้นจากความตาย จนกระทั่งขาดใจตาย
อีกเมนูหนึ่งที่ยอดฮิตคือไก่ย่าง ซึ่งเธอก็มีเคล็ดลับในการทำเช่นเดียวกัน โดยนำไก่เป็นๆมาถอนขน ออกทีละเส้นๆ เพราะขนจะหลุดร่วงได้เร็ว ง่ายกว่า เมื่อเอาไปทำให้ตาย เมื่อถอนขนออกหมดไก่ก็จะค่อยๆตายไปเองโดยไม่ต้องฆ่าซ้ำ จากนั้นก็จะนำไป ผ่าอกแผ่ออกมา เอาไม้มาประกบกัน และปิ้งกับไฟถ่านขนาดกลาง
ด้วยวิธีเหล่านี้ทำให้อาหารของเธอมีรสชาติที่อร่อยแปลกใหม่ เป็นที่ติดอกติดใจลูกค้า จนกระทั่งทำให้เด็กสาวจนๆคนหนึ่งร่ำรวย เป็นเจ้าของตึกแถว 3 ชั้นได้ด้วยตัวเองเหมือนนวนิยาย
แต่ชีวิตของเธอไม่ใช่นวนิยาย ที่เจ้ากรรมนายเวร จะมองข้ามความผิด แล้วไม่เอาโทษ สมัยนี้เป็นยุคกรรมติดจรวด โคจรได้รวดเร็วด้วยระบบดิจิตอล ผลแห่งกรรมจึงเกิดขึ้นทันตา ลงโทษให้เห็นทันทีทันควัน ไม่ต้องรอไปถึงชาติภพไหนๆ




#2 PS-Junior

PS-Junior
  • Members
  • 247 โพสต์
  • Location:Bangkok
  • Interests:Meditation

โพสต์เมื่อ 07 February 2006 - 09:19 PM

คนที่รับประทานถ้ารู้วิธีทำ จะทานลงมั้ยเนี่ย

#3 เถลิงเกียรติ

เถลิงเกียรติ
  • Members
  • 760 โพสต์
  • Interests:N/A

โพสต์เมื่อ 07 February 2006 - 09:25 PM

ผมเคยมีความรู้สึกช่วงหนึ่งว่า....กินพวก หมู เป็ด ไก่ และสิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว
เหมือนกับกำลังแทะกินซากบรรพบรุษ ผมจึงกินแต่ผักช่วงหนึ่งครับ
.......................................
แต่ตอนนี้ไม่เป็นแล้วครับ ก็กินๆไปใช้สติปัญญาพิจารณา อย่าไปปรุงแต่งกับรสชาติมันให้มาก ...
...........คุณครูไม่ใหญ่ท่านสอนเราว่า..........
...คนที่ทำไปเพราะเขาไม่รู้..ถ้าเขารู้ว่าทำไปผลจะเป็นอย่างไ เขาคงไม่ทำครับ...

ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
อาจเป็นเรื่องที่แตกต่างหรือเกี่ยวข้องกับ วิทยาศาสตร์ หรือ วิศวกรรมศาสตร์
ดังนั้นเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนถ้าไม่ตรงกับความคิดเห็นของท่านใด ขออย่าได้มีอคติก่อน
แต่ถ้าตรงกับความคิดเห็นของท่านผู้ใด ขออย่าได้เชื่อไปก่อน
ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าเรื่องที่แสดงความเห็นเป็นแนวคิดของข้าพเจ้า
และข้อมูลที่ค้นคว้าเพื่อเสริมสร้างศรัทธาในพระพุทธศาสนาให้มั่นคง
ซึ่งอาจจะถูกบ้างผิดบ้างเป็นธรรมดา แต่ก็จะเป็นประโยชน์ เป็นข้อมูลหนึ่ง กับท่านที่ศึกษาทางพุทธศาสตร์
ข้าพเจ้ามีความเชื่อว่า แต่ละคนก็มีกรรมเป็นของตนเอง เราเป็นทายาทแห่งกรรม
ทำดีตามครูไม่ใหญ่ ต้องได้ดีแน่นอน
และสรุปได้ว่า การเอาธรรมในพุทธศาสนามาใช้ในการดำรงชีวิตไม่เคยล้าสมัย สามารถใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย

ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม



#4 JOYSA

JOYSA
  • Members
  • 234 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 February 2006 - 07:51 AM

บริโภคตามแนวพุทธ
การบริโภคเนื้อสัตว์ ถ้าหากว่าเราะถือว่าเป็นการส่งเสริมให้คนทำบาป เราก็เลิกเสีย ไม่เสียหายอะไรนี่
ถ้าหากว่าเราไม่ถือว่าเป็นการส่งเสริม เราก็ทานก็ได้ แต่อย่าไปฆ่าเองก็แล้วกัน หรืออย่าไปส่งเสริม อย่าไปสนับสนุนให้เขาฆ่า
ตามแนวพระพุทธศาสนาก็ถืออย่างนี้ล่ะ
ถือว่าการกินเนื้อสัตว์แล้วเป็นการส่งเสริม ก็อย่าไปกิน ถ้าหากว่าถือว่าการกินเนื้อสัตว์แล้วไม่เป็นการส่งเสริม ก็กินได้ คนไหนเห็นว่าเป็นการส่งเสริม คนนั้นก็อย่าไปกิน ถ้าหากว่าคนไหนเห็นว่าไม่เป็นการส่งเสริมคนนั้นก็กินไป
ถ้าเรายังลังเลสงสัยอยู่ เราไม่ควร พระพุทธเจ้าท่านก็วางหลักไว้อยู่ ถ้าหากว่าสงสัยแล้ว อย่าไปกิน ถ้าไม่สงสัยแล้ว ไม่เป็นไร
“พระเทวทัตได้ทูลขอพระพุทธเจ้า ให้ทรงบัญญัติข้อปฏิบัติที่เคร่งครัดมากสำหรับพระภิกษุสงฆ์ จำนวน 5 ข้อ หนึ่งในจำนวนนั้นคือ ตลอดทั้งชีวิต ต้องไม่ฉันปลาและเนื้อ ใครไม่ปฏิบัติให้พึงต้องโทษ
พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้บัญญัติเช่นนั้น แต่ทรงอนุญาตให้ปฏิบัติอย่างมัชฌิมา ทรงให้ฉันปลาและเนื้อได้หากมีความบริสุทธิ์โดยส่วนสามคือ หากไม่ได้เห็น หากไม่ได้ยิน และหากไม่ได้รังเกียจ”
เทศน์เมื่อ 15 พฤษภาคม 2529




#5 Minnie

Minnie
  • Members
  • 57 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 February 2006 - 08:36 AM

เห็นด้วยค่ะ ควรกินอย่างมีสติ และ เลือกเดินตามทางสายกลางค่ะ ถ้ารู้ว่าเขาประกอบอาหารโดยวิธีการทำสดๆเพื่อรสชาติขนาดนั้น ยอมทานแบบอร่อยน้อยลงดีกว่า แบบที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านบอกว่า เรารับรู้รสชาติก็แค่ที่ลิ้น พอกลืนลงไปก็เหมือนกันหมดค่ะ ถือว่าเอาคุณค่าจากอาหารไปบำรุงร่างกายเรา เพื่อนำร่างกายนี้ไปใช้สร้างบารมีกันอย่างสมบูรณ์ เต็มที่ดีกว่าค่ะ

#6 pp_072

pp_072
  • Members
  • 209 โพสต์
  • Interests:ดีครับ

โพสต์เมื่อ 08 February 2006 - 10:43 AM

cry_smile.gif cry_smile.gif cry_smile.gif
พุทธบุตรต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนดวงตะวันที่มีดวงเดียว

พุทธบริษัท 4 ต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เหมือนตะวันที่มีดวงเดียว

#7 นิ่งๆ นุ่มๆ

นิ่งๆ นุ่มๆ
  • Members
  • 618 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 February 2006 - 07:45 PM

น่าสงสารจังคะ ความไม่รู้นี่เป็นอันตรายอย่างยิ่ง ถ้าอ่านข้อความก่อนถึงอร่อยยังไงก็ไปกินไม่ลง
อย่าทำตัวเหมือนเรือ ที่เก็บขยะในมหาสมุทร ใครเขาจะพูดอะไร จะว่าอะไรเราให้ใจขุ่น ก็อย่าไปสนใจ ปากก็ของเขา ความคิดก็ของเขา อย่าเอามาแบกไว้ เพราะสุดท้ายเรือจะล่มอยู่กลางมหาสมุทร ไปไม่รอด
น้าจี้

#8 LiL' Faery

LiL' Faery
  • Members
  • 1160 โพสต์
  • Location:@ Time : Europe
  • Interests:Basic and Advance Meditation;วิชชา ธรรมกาย<br />Birth Day : 19 January

โพสต์เมื่อ 09 February 2006 - 11:40 PM

Cause and effect....what's goes around comes around.... poor animals and poor human...
คุณครูไม่ใหญ่ บอกว่า :
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ^_^ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง

#9 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 19 February 2006 - 12:31 PM

โอ่วรู้ยังงี้กินมังสาวิรัชดีก่า

#10 usr21748

usr21748
  • Members
  • 17 โพสต์

โพสต์เมื่อ 25 January 2008 - 08:49 PM

ปัญหาของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ คือ ความไม่รู้จริง เมื่อไม่รู้แน่ชัดจึงเชื่อตามความเข้าใจของตน จึงมีความเชื่อต่างๆนาๆกันไป แล้วความเชื่อที่หลากหลายแบบนี้ ส่วนความเป็นจริงนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเชื่อ หรือไม่เชื่อในสิ่งใดๆ หากแต่ ขึ้นตรงตามกฎแห่งกรรม ซึ่งกฎตรงนี้ ไม่ใช่ว่าพึ่งเกิดขึ้นตอนที่พระพุทธเจ้า ทรงค้นจากการตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ หากแต่ เป็นอยู่ แบบนี้มาก่อนแล้ว ไม่ว่าโลกนี้ หรือโลกไหนจะเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป กี่ครั้งกี่คราวแล้วก้อตาม มันมีกฎตรงนี้อยู่ตลอดเวลา และไม่ได้สนใจว่า มนุษย์ คนไหนจะรู้หรือไม่รู้ก้อตาม ก้อไม่มีใครๆสามารถไปขอยกเลิกได้ ใครก้อตามที่ไม่เชื่อ ว่า ทำกรรมชั่วแล้วไม่ได้รับผลชั่ว ใครทำกรรมดีแล้ว ไม่ได้รับผลกรรมดี เลือกที่จะทำตามความคิดของตน ก้อไม่สามารถไปยกเลิก กฎของการส่งผลได้ จะเร็วหรือช้า การส่งผลก้อยังทำตามหน้าที่ ของกฎอยู่ ไม่หดหายไปไหน เหมือนจิตของเรา แม้ไม่มีตัวตนให้ จับต้องได้ แต่ใช่ว่าจะมีใครทำลายได้ ทำลายได้เฉพาะกายเนื้อเท่านั้น แม้แต่ไฟนรกที่มีความร้อน มากกว่า การนำเอาดวงอาทิตย์มาหนึ่งพันดวงมารวมกัน ความร้อนมากมายขนาดนี้ก้อยังไม่สามารถ เผาจิตของเราให้มะลายหายสูญไปได้ จะมีก้อเพียงแต่ กายที่เป็น สรรพสัตย์ที่ถูกทำลายไป แต่จิต ของแต่ละดวงจะสามารถ ทำลายกฎแห่งกรรมลงได้เฉพาะ จิตที่บรรลุเป็น พระอรหันต์เท่านั้น จิตใดบริสุทธิจากกิเลสแล้ว จิตนั้นไม่ต้องกลับมาอยู่ภายใต้กฎแห่งกรรมอีกต่อไป มนุษย์ หรือ เทวดาก้อเป็นชาติสุดท้ายไปทันที เมื่อเปลี่ยนกายจากมนุษย์ หรือ เทวดาแล้ว กายที่ได้ใหม่สุด ก้อจะเป็นกาย พระอรหันต์ หรือ จะเรียกว่า เป็นกายพระพุทธเจ้าก้อ เรียกได้ แต่ ไม่สะดวก ในการอธิบาย ในส่วนของ การแยกความต่างกัน เพราะเมื่อนิพพานแล้วจิตทุกดวงจะคล้ายกันหมด คือ ความสุขที่ไม่มี คำว่าสิ้นสุด
ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ท่านทั้งหลายเถิด สาธุ