ไปที่เนื้อหา


kuna

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 07 Dec 2005
ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด Oct 14 2009 08:07 PM
-----

กระทู้ที่ฉันเริ่ม

" ​พุทธศาสนา​ใน​สายตา​แม่ชีฝรั่ง​ "

17 September 2008 - 05:46 PM

ศาสนาพุทธ​ใน​สายตาของฉัน​นั้น​ไม่​ใช่​เป็น​เพียงแค่ศาสนา​ ​แต่​ยัง​เป็น​ปรัชญาชีวิต​ ​เรา​ไม่​จำ​เป็น​ที่​จะ​ต้อง​เชื่อทุกสิ่ง​ ​ทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัส​ไว้​ ​ชีวิตของเรา​ไม่​ได้​ขึ้น​อยู่​กับ​พระผู้เป็น​เจ้าดลบันดาล​ให้​เป็น​ไป​ ​แต่ชีวิต​เป็น​ของเรา​ ​เรา​สามารถ​ที่​จะ​มีชีวิตที่ดี​ได้​ ​หรือ​ไม่​ดีก็​ได้​
อยู่​ที่การทำ​ตัวของเรา​เอง เรา​เท่า​นั้น​ที่​เป็น​ที่พึ่งของตัวเรา​ ​พระพุทธเจ้า​ ​ไม่​เคยทรงตรัสว่า​ให้​เชื่อ​ ​แต่ท่านสอน​ให้​เราหา​ความ​จริง​ด้วย​การปฎิบัติ​เอง​ ​พิสูจน์ทดสอบธรรมะที่ท่านตรัส​ไว้​ ​ด้วย​การปฎิบัติ​ให้​รู้จริง​ ​ด้วย​ตัวเอง
​ ​คำ​นี้​เองที่ทำ​ให้​ฉันสนใจพุทธศาสนา​ ​ที่ฉัน​ไม่​ต้อง​ทำ​ตัวเหมือน​เป็น​ลูกแกะ​ ​ที่​เอา​แต่​เดินตามคนเลี้ยง​
​ด้วย​คำ​สอนของครูบาอาจารย์​เราก็​สามารถ​นำ​มา​เป็น​วิถีทางแห่งการปฎิบัติ​ ​แต่ทุกคนก็​ยัง​คง​ต้อง​ปฎิบัติ​ ​ด้วย​ตนเอง​ ​ไม่​มี​ใครมาทำ​แทน​ให้​ได้​ ​เราควรดี​ใจที่วันนี้​ยัง​มีครูบาอาจารย์ที่พอ​จะ​มี​ความ​รู้​จาก​ประสบการณ์มา​ถ่ายทอด​ให้​ด้วย​ตัวเอง​ ​สอน​ใน​วิถีทางที่ถูก​ต้อง​ซึ่ง​สำ​คัญมาก​ ​เรา​ไม่​สามารถ​เข้า​ใจ​ได้​ ​ถ้า​เราฟังธรรมะ​แต่​เพียง​อย่างเดียว​ ​เรา​จะ​ได้​ความ​รู้​จาก​การอ่าน​ ​แต่​ถ้า​เรา​ต้อง​การ​จะ​รู้จริง​ให้​ลึกซึ้ง​ ​ต้อง​ปฎิบัติ​ด้วย​ตนเอง​ ​เป็น​ทาง​ ​เดียวที่​จะ​รู้​ได้​ ​บางครั้งมีคนมาถามฉันเกี่ยว​กับ​พระ​เจ้าว่า​ ​พระ​เจ้ามีจริง​หรือ​ไม่​ ​ฉันก็ตอบว่า​"พระ​เจ้ามีจริง​ ​แต่​ ​ฉันเชื่อ​ใน​แนวทางที่พระพุทธเจ้าสอน​ ​พระพุทธเจ้ารู้ทุกอย่าง​ใน​โลกนี้​ ​รู้​ทั้ง​จักรวาล​ ​พระองค์​ยัง​คงรู้​เรื่อง​ ​พระ​เจ้า​ด้วย​ ​และ​ท่าน​ยัง​คงรู้ว่า​ใครสร้างเรา​ ​นั่นก็คือตัวเราสร้างตัวเรา​เอง"

วิบากกรรม


​มีทุกข์​และ​การดับทุกข์​อยู่​ที่​ใจเรานี้​เอง​ ​ไม่​มี​ใครมาลงโทษเรา​เว้นตัวเรา​เองที่​จะ​ได้​รับผลแห่งการกระทำ​ของเรา​ ​ไม่​มี​ใคร​ให้​รางวัลเรา​โดย​ที่​เรา​ไม่​ได้​ทำ​ความ​ดีอะ​ไร​ ​ทำ​ดี​ได้​ดี​ ​ทำ​ชั่ว​ได้​ชั่ว​ ​นั่นคือสิ่ง​ทั้ง​หมดที่​เป็น​ไป​ ​ไม่​มีพระ​เจ้าสร้าง​ ​เราสร้างทุกอย่างเอง​ ​
เรา​เห็นวิบากกรรมอย่างนี้​ ​เรา​จะ​ระมัดระวังการกระทำ​ของเรา​ ​บาปที่​ ​เราทำ​มัน​จะ​ย้อนกลับมามีผล​กับ​ตัวเรา​เอง​ ​จาก​การที่​เข้า​ใจอย่างนี้​ ​ความ​กลัว​ใน​การทำ​บาป​ ​ความ​ละอายต่อบาป​ ​จะ​เกิดขึ้น​ใน​ใจ​ ​ไม่​ใช่​กลัวว่าพระ​เจ้า​จะ​ลงโทษ​ ​เรา​เข้า​ใจ​ใน​บาปที่​เราทำ​ไปว่ามัน​จะ​มามีผล​กับ​เรา​อยู่​ใน​ใจเรา​ ​ตลอดเวลา​ ​เมื่อมากๆ​ขึ้น​ ​ผลมันก็ก่อ​ให้​เกิดทุกข์​ให้​กับ​เรา​ ​และ​ทุกอย่างที่​เราทำ​ดีมันก็​จะ​เป็น​วิบากกรรมที่ก่อ​ให้​ ​เกิด​ความ​สุข​ ​ทุกอย่าง​อยู่​ที่​เรา​เลือก​ ​ทุกข์​หรือ​สุขเรา​เลือกเอง​
ความ​ดับทุกข์


​สิ่งหนึ่งที่สำ​คัญ​ใน​คำ​สอนของพระพุทธเจ้าคือ​ ​ความ​ดับทุกข์​ ​ไม่​มี​เกิด​ ​ไม่​มี​แก่​ ​ไม่​มี​เจ็บ​ ​ไม่​มีตาย​ ​มันมีผล​ ​ทำ​ให้​เรา​ไม่​ติดสุข​ไม่​ติดทุกข์​ ​มีอุ​เบกขา​ ​ที่​เรียกว่านิพพาน​
​ไม่​มีคำ​สอน​ใน​ศาสนา​อื่น​ใด​ ​สอนทางออก​ ​ทางแก้ทุกข์​ ​ใน​เรื่องของการเกิด​ ​การแก่​ ​การเจ็บ​ ​และ​การตาย​ ​ที่​เรียกว่า​ " ​สังสารวัฎ" ​แน่นอนว่าทุกศาสนา​นั้น​ดี​ ​อยาก​ให้​ทุกคน​เป็น​คนดี​ ​เค้าสอนเรื่องศีล​จะ​ได้​ไม่​มีบาป​ ไม่​ไป​​เกิด​ใน​นรก​ ​หรือ​ไปเกิด​เป็น​เปรต​ ​เป็น​สัตว์​เดรัจฉาน​ ​สอน​ให้​คนทำ​ดี​ ​เกิดมาอีกที อย่างน้อยก็ขอ​ให้​ได้​เป็น​คน​ ​
ที่​ไหนมีการสอนทางออก​จาก​สังสารวัฎ​ ​เป็น​ไม่​มี​ ​และ​ด้วย​พระกรุณาอันยิ่ง​ใหญ่​ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนศิษย์​ ​ที่​เรียกว่า​ ​มรรคมีองค์​แปด​ ​ธรรมะที่พระพุทธเจ้า​ได้​ตรัสรู้​ไว้​ ​ให้​เราดูทุกข์​ ​สมุทัย​ ​นิ​โรธ​ ​มรรค​ ​และ​ทางดับทุกข์​ ​โดย​ดับสมุทัย​ ​เรา​สามารถ​ทำ​ได้​โดย​ปฎิบัติตามคำ​สั่งสอนของพระพุทธเจ้า​ ​และ​นี่คือคำ​สั่งสอนของพระพุทธเจ้า​เมื่อ​ 2500 ​ปีมา​แล้ว​ ​จนทุกวันนี้มีลูกศิษย์สำ​เร็จมรรคผล​เป็น​ล้านคน​ได้​ ​เรา​โชคดีที่​เรา​ยัง​มีพระอริยเจ้าคอยสั่งสอน​ ​เรา​จึง​ไม่​ควร​จะ​เสียเวลา​ ​มาดับทุกข์ของตัวเรา​เองเลย​ ​และ​มาสำ​รวจดู​ความ​สงบสุข​และ​การหลุดพ้น​กัน​
​ความ​กรุณา


​บางครั้งคนเรามัก​จะ​พูด​ถึง​พระ​และ​แม่ชี​ ​รวม​ถึง​ผู้​ปฎิบัติธรรม​อื่นๆ​ ​ตามแนวทางการปฎิบัติพุทธศาสนา​ ​แบบเถรวาท​ ​ว่า​เป็น​การปฎิบัติ​เพื่อตัวเอง​เท่า​นั้น​ ​พวกเค้า​ต้อง​การหาทางหลุดพ้น​จาก​ความ​ทุกข์​และ​สังสารวัฎ​ ​โดย​ไม่​เอา​ใจ​ใส่​ต่อ​ผู้​อื่น​ ​แต่สำ​หรับฉัน​ไม่​ได้​คิดเช่น​นั้น​กับ​แนวทางการปฎิบัติ​เพื่อพัฒนาสติปัญญา​ ​แต่​ถ้า​ ​ปราศ​จาก​ความ​เมตตากรุณาต่อ​ผู้​อื่น​ ​พวกเค้า​เหล่า​นั้น​ก็​ไม่​สามารถ​จะ​บรรลุ​ถึง​ปัญญา​ได้

​ฉันเห็นว่าบางเวลา​ ​ฉันก็​สามารถ​ทำ​ให้​บางคนมี​ความ​สุข​ได้​ ​และ​ฉันก็มี​ความ​สุขใจยิ่งกว่า​ ​และ​ ​ความ​สุขใจ​นั้น​ทำ​ให้​การปฎิบัติ​นั้น​ง่ายขึ้น​ ​ถ้า​ใจเรา​ไม่​มี​ความ​สุขก็ยากที่​จะ​ปฎิบัติ​ให้​ได้​ผลดี​ ​ดัง​นั้น​การที่ฉัน​ช่วย​ให้​ผู้​คนมี​ความ​สุข​นั้น​ก็​เท่า​กับ​ช่วย​ตัวฉันเอง​ด้วย​ ​ถ้า​เราพบว่า​เรา​ยัง​มี​ความ​ความ​ทุกข์​อยู่​ ​ซึ่ง​เป็น​ธรรมดา​ ​ของมนุษย์​ผู้​ที่​ยัง​เวียนว่ายตายเกิด​ ​เราก็​จะ​รู้​ได้​ว่า​ไม่​ใช่​แต่​เรา​เท่า​นั้น​ที่​ยัง​มี​ความ​ทุกข์​แต่มนุษย์ทุกคนที่​ยัง​ ​เวียนว่ายตายเกิด​อยู่​ต่างก็​เผชิญ​กับ​ความ​ทุกข์​ทั้ง​นั้น

​การที่​ได้​พบ​กับ​อาจารย์ที่​สามารถ​ชี้ทางออก​จาก​ทุกข์​ให้​กับ​เรา​ได้​นั้น​นับว่า​โชคดีที่สุด​แล้ว​ ​เรา​จะ​สามารถ​ปฎิบัติ​เพื่อหลุดพ้น​จาก​ทุกข์​ด้วย​ตัวของเรา​เอง​หรือ​ ​สำ​หรับฉัน​แล้ว​มัน​ไม่​เพียงพอ​ ​การมีครูบาอาจารย์​นั้น​สำ​คัญมาก​ ​ถ้า​เรา​ยัง​คงเวียนว่ายตายเกิด​ ​อยู่​ใน​สังสารวัฎ​ ​ดัง​นั้น​จะ​ดู​เหมือนว่า​เป็น​เหตุ​เป็น​ผล​กัน​กับ​ที่​เราทำ​กรรม​ไว้​ ทุกสิ่งทุกอย่างแม้ว่า​เรา​จะ​จำ​ไม่​ได้​แล้ว​ก็ตามว่าทำ​อะ​ไรไปบ้าง​ ​กรรมดี​ ​กรรมชั่ว​ ​ถ้า​เรา​สามารถ​ระลึกได่ว่าคนที่ยืน​อยู่​ตรงหน้า​เรานี้​เคย​เป็น​แม่ของเรา​เมื่ออดีตชาติ​ใด​ชาติหนึ่ง​ ​และ​เขากำ​ลังเผชิญ​ความ​ทุกข์​อยู่​ ​เขาอาจ​จะ​ไม่​เชื่อว่าทำ​อย่างไร​จะ​พ้นทุกข์​ได้​ ​แต่ทำ​ไมเรา​จะ​ไม่​ช่วย​เค้าคน​นั้น​หรือ

​นี้​เป็น​สิ่งที่สำ​คัญ​ส่วน​หนึ่ง​ใน​การปฎิบัติ​ ​เพื่อนนักปฎิบัติธรรม​ใน​คอร์สเข้มข้นของฉันบางคน​ ​ยัง​คง​ไม่​ลืมสิ่งต่างๆ​ ​บางครั้งที่ปฎิบัติ​เสร็จ​แล้ว​พวกเขาก็​ได้​แผ่​เมตตา​ให้​กับ​ครูบาอาจารย์​ ​พ่อแม่​ ​บุคคลอัน​เป็น​ที่รัก​และ​ ​สรรพสัตว์​ทั้ง​หลาย​ ​และ​บุคคลที่​ต้อง​การ​ความ​ช่วย​เหลือทางด้านจิตใจ​และ​จิตวิทยา​ ​การ​ให้​ความ​ช่วย​เหลือ​กับ​ ​บุคคลที่​แตกต่าง​กัน​ก็​ต้อง​ใช้​ความ​สามารถ​ที่​แตกต่าง​กัน​ไป​ ​และ​ทาง​ใด​ที่พวกเค้า​สามารถ​จะ​ช่วย​เหลือ​ให้​กับ​ผู้​อื่น​ ​มี​ความ​สุข​ได้​ ​ถึง​แม้ว่า​จะ​เป็น​วิถีทางที่​แตกต่างออกไปก็​จะ​ทำ​ ​สิ่งนี้คือธรรม​ ​บางครั้งอาจ​จะ​มาก​ ​บางครั้งอาจ​จะ​น้อยแต่​ถ้า​ปราศ​จาก​ความ​เมตตากรุณา​ ​ปัญญาก็​จะ​ไม่​เกิด

​ฉันเองก็​ต้อง​การที่​จะ​แผ่​เมตตาของฉันที่มี​ให้​กับ​ผู้​อื่น​และ​สรรพสัตว์​ทั้ง​หลาย​ ​ให้​บังเกิด​ความ​สุข​ทั้ง​ ​ใน​อดีต​ ​ปัจจุบัน​ ​และ​อนาคต​ ​และ​สิ่ง​ใด​ก็ตามที่​จะ​พัฒนาการการ​ให้​และ​สติปัญญาอัน​จะ​นำ​ไปสู่นิพพาน
(บริจิต​ ​สล็อตเทนเบเชอร์)

ที่มา-http://www.budpage.com/forum/view.php?id=3978

สู้​โว้ย​!! ​มะ​เร็ง​ไม่​ร้ายอย่างที่คิด​

31 August 2008 - 03:57 PM

มะ​เร็งอาจ​เป็น​เพชฌฆาตร้ายอันดับหนึ่ง​ ​ที่คร่าชีวิต​ผู้​คน​ทั่ว​โลกอย่าง​ไม่​มี​เยื่อใย​ ​แต่​ใช่​ว่าคน​เป็น​มะ​เร็ง​จะ​ต้อง​นอนรอ​ความ​ตายสถานเดียว​ ​ยัง​มีคนอีก​ไม่​น้อยที่​โชคดีรอด​จาก​การ​เป็น​เหยื่อมัจจุราช​ได้​อย่างอัศจรรย์​ ​พวก​เขา​มีคาถาอะ​ไรดี​ใน​การพิชิตมะ​เร็ง​ ​และ​มะ​เร็งทำ​ให้​ชีวิตของพวก​เขา​เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง​ ​ทีมข่าวสตรี​ไทยรัฐตาม​ค้น​หาคำ​ตอบ​ ​เพื่อจุดประกาย​ความ​หวัง​ให้​ผู้​ป่วยมะ​เร็ง​ได้​มีกำ​ลังใจต่อสู้​ ​กับ​โรคร้ายต่อไป

“​อ​.​เผ่าทอง​ ​ทองเจือ​” อดีตคณบดีคณะศิลปกรรมศาสตร์​ ​มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์​ ​ตรวจพบว่า​เป็น​มะ​เร็งต่อมน้ำ​เหลืองขั้นที่​ 4 ​เมื่อ​ 14 ​ปีก่อน​ ​และ​จะ​มีชีวิต​อยู่​ได้​เพียง​ 3 ​เดือน​ ​วินาที​แรกที่รู้ตัวว่า​เป็น​มะ​เร็ง​ ​โลก​ทั้ง​โลกแทบดับลงตรงหน้า​ ​เขา​นอนซมหมดกำ​ลังใจ​อยู่​หลายวัน​ ​จนกระทั่งนึก​ถึง​คำ​พูดของแม่​ ​ทำ​ให้​มีสติฮึดสู้อีกครั้ง​

“​เมื่อ​ 14 ​ปีก่อน​ ​ผมคลำ​เจอก้อนเนื้อขนาด​เท่า​เม็ดถั่วลิสง​ ​ที่ราวนมด้านขวา​ ​ตอน​นั้น​ไปทำ​วิจัยด้านโบราณคดีที่ประ​เทศอังกฤษ​ 3 ​เดือน​ ​เป็น​เรื่องบังเอิญมาก​ ​เพราะ​ปกติชอบอาบน้ำ​จาก​ ​ตุ่ม​ ​ไม่​ใช้​ฝักบัวเลย​ ​แต่พอไป​อยู่​อังกฤษ​ต้อง​อาบฝักบัว​ ​ทำ​ให้​คลำ​พบ​ความ​ผิดปกติ​ ​ตอน​นั้น​คิดว่า​ไม่​เป็น​อะ​ไร​ ​เพราะ​กด​ยัง​ไงก็​ไม่​เจ็บ​ ​เพียงแต่สังเกตว่าขนาดก้อนเนื้อโตขึ้นเรื่อยๆ​จน​ใหญ่​เท่า​ไข่​เป็ด​!! ​พอกลับเมืองไทย​ต้อง​ขึ้นเหนือไปทำ​ธุระที่มหาวิทยาลัยเชียง​ใหม่​ ​เลยแวะ​ไปหา​เพื่อนที่​ ​เป็น​หมอประจำ​โรงพยาบาลสวนดอก​ ​เล่าอาการ​ให้​ฟัง​ ​และ​วินิจฉัยตัวเองว่าคง​ไม่​เป็น​อะ​ไร​ ​เพราะ​กด​ยัง​ไงก็​ไม่​เจ็บ​!! ​ปรากฏว่า​เพื่อนหน้า​เสียเลย​ ​รีบเรียกหมอเฉพาะทางมาตรวจ​ ​ถ้า​ถึง​ขั้นกดแรงๆ​ยัง​ไม่​เจ็บ​ ​แสดงว่าอาการหนัก​!! ​ตอน​นั้น​คุณหมอ​ (พญ​. ​บุญสม​ ​ชัยมงคล) ​สั่ง​ให้​เข้า​ห้องผ่าตัดทันที​ ​เพื่อตัดก้อนเนื้อออกมาตรวจ​ ​เข้า​ไปตั้งแต่บ่ายโมง​ ​จน​ถึง​ 6 ​โมงเย็น​

...​คุณหมอ​ ​บอกว่า​ ​คุณ​ต้อง​ทำ​ใจนะ​ ​เพราะ​เป็น​มะ​เร็งต่อมน้ำ​เหลือง​ ​ขั้นที่​ 4 ​คงมีชีวิต​อยู่​ได้​แค่​ 3 ​เดือน​!! ​ตอน​นั้น​ปล่อยโฮเลย​ ​เหมือนถูกพิพากษา​ ​ไม่​มี​เรี่ยวแรงขยับตัว​ ​คิดแต่ว่า​ ​ยัง​ไม่​อยากตาย​ ​และ​ไม่​เชื่อว่าตัวเอง​เป็น​มะ​เร็ง​ ​เราอายุ​แค่​ 37 ​กำ​ลังมีหน้าที่การงานรุ่งโรจน์​ ​จะ​มาตายตอนนี้​ไม่​ได้​ ​แล้ว​แม่​จะ​อยู่​ ​ยัง​ไง​ ​มีลูกแค่คนเดียว​ ​แม่​เคยพูดตลอดว่า​ ​ความ​ทุกข์ที่สุดของแม่​ ​คือเห็นลูกตายก่อนแม่​ ​นึก​ถึง​คำ​พูดนี้​แล้ว​ ​ทำ​ให้​ฮึดสู้​ ​คิดว่า​เรา​ต้อง​มีชีวิต​อยู่​เพื่อแม่​ ​เรา​จะ​ตายก่อนแม่​ไม่​ได้​!!

...​ถ้า​ไม่​อยากตายก็​ต้อง​มารักษา​กัน​ ​คุณหมอกระตุ้น​ให้​สู้​!! ​แล้ว​บอก​ให้​ลองรักษา​ด้วย​การ​ให้​คี​โมดับเบิลโดส​ ​โดย​หมอ​จะ​อัด​เข้า​ไปที่​เส้นเลือด​โดย​ตรง​ ​ถ้า​รอดก็รอดไปเลย​ ​เราอยากรอดเพื่อแม่​ ​เลยตอบตกลง​ ​แต่​ยัง​ไม่​กล้าบอกแม่ว่า​เป็น​มะ​เร็ง​ ​เพราะ​ยัง​ทำ​ใจ​ไม่​ได้​!! ​ปรากฏว่าพอหมอฉีดยาดับเบิลโดส​ ​ร่างกายเราทน​ไม่​ไหว​ ​หัวใจหยุดเต้น​และ​ไม่​รู้สึกตัว​ ​ปั๊มหัวใจ​ยัง​ไงก็​ไม่​ขึ้น​ ​จนทางโรงพยาบาลเข็นร่างไป​ไว้​ที่ห้องซีซียู​ ​มีคนไข้นอนตาย​อยู่​แล้ว​ 1 ​คน​ ​ตอน​นั้น​สลบไป​ 7 ​วัน​ ​จนวันสุดท้ายคุณหมอลอง​ใช้​ไฟฟ้าช็อต​ ​ทำ​ให้​ฟื้นขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์​ ​แต่​ยัง​ลืมตา​ไม่​ขึ้น​ ​จำ​ได้​แม่นเลยว่า​ ​มีนักศึกษา​แพทย์​เข้า​มาดู​ ​และ​ได้​ยินเสียงพูดว่าศพนี้ซวยมากเลย​ ​เป็น​ทั้ง​โรคหัวใจ​และ​มะ​เร็งต่อมน้ำ​เหลือง​ ​ผมตะ​โกนเถียงสุดแรงว่า​ ​ไม่​ซวยๆ​ๆ

...​หลังรอด​จาก​การ​ให้​คี​โมดับเบิลโดสมา​ได้​ ​หมอก็​เริ่ม​ให้​คี​โมปกติ​ ​ให้​ไป​ทั้ง​หมด​ 40 ​เข็ม​ ​ต้อง​นอนโรงพยาบาล​อยู่​ 40 ​อาทิตย์​ ​ทรมานมาก​ ​ทั้ง​อา​เจียน​, ​ไข้ขึ้น​ ​เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวสลับ​กัน​ทุก​ 3 ​ชม​. ​หมอบอกว่า​ ​ให้​คี​โม​แล้ว​ผม​จะ​ร่วง​ ​พอเข็มแรกผ่านไป​ ​ก็ร่วงจริงๆ​ ​เรียกว่า​ไม่​มีขนเหลือสักเส้นบนร่างกาย​ ​ช่วง​นั้น​เริ่มมีข่าวลือว่า​ “​เผ่าทอง​” ​เป็น​เอดส์​!! ​แต่คุณแม่ก็​ให้​กำ​ลังใจ​ ​บอกว่า​ ​ขอ​ให้​ลูกหาย​เร็วๆ​นะ​ ​ตั้งใจรักษาตามหมอ​ ​แม่​อยู่​ ​กรุงเทพฯคนเดียว​ได้​ ​ไม่​ต้อง​ห่วง​ ​ระหว่างที่นอนรักษาตัวที่​โรงพยาบาล​ ​วันไหนที่ทน​ไม่​ไหว​ ​รู้สึกท้อแท้​ ​ก็​จะ​โทรศัพท์หา​แม่​ ​แต่​จะ​พยายามทำ​เสียงเข้มแข็ง​ ​บอกแม่ว่าลูกสบายดี​”

แม้การรักษา​ใน​ช่วงปี​แรก​จะ​ได้​ผลเกินคาด​ ​แต่มะ​เร็งร้ายกลับลุกลามไป​ยัง​ส่วน​อื่นๆ​ ​ไม่​ว่า​จะ​เป็น​ที่รักแร้​, ​ต้นคอ​ทั้ง​สองข้าง​, ​ตับ​, ​ขาหนีบ​ ​และ​ต่อมลูกหมาก​ ​ทำ​ให้​ “​อ​.​เผ่าทอง​” ​ต้อง​ทนทุกข์ทรมาน​กับ​การ​ให้​คี​โมอย่าง​ ​ต่อ​เนื่อง​ถึง​ 6 ​ปี​เต็ม​ ​พร้อม​กับ​การผ่าตัด​ 9 ​ครั้ง​!! ​กว่า​จะ​มายืนยิ้ม​ได้​ ​อย่างทุกวันนี้​ ​นอก​จาก​กำ​ลังใจที่ดี​แล้ว​ ​การปรับเปลี่ยนรูปแบบการ​ใช้​ชีวิต​ ​ก็​เป็น​กุญแจสำ​คัญ​ใน​การพิชิตมะ​เร็ง

“​กูตายมึงก็ตาย​!! ​จะ​ตะ​โกนขู่มะ​เร็งทุก​เช้า​ ​เพื่อปลุกใจตัวเอง​ ​และ​คิดตลอดว่า​ ​เรา​ต้อง​อยู่​เพื่อแม่​!! ​ถึง​แม้ท่าน​จะ​เสียชีวิตไป​ได้​ ​หลายปี​แล้ว​ ​ตั้งแต่​เป็น​มะ​เร็ง​ได้​ปรับเปลี่ยนชีวิตการกิน​อยู่​ทุกอย่าง​ ​เพราะ​ค้น​พบว่า​ ​การกินมีผลต่อโรคภัยไข้​เจ็บมาก​ ​เวลา​เป็น​อะ​ไร​ต้อง​แก้​ด้วย​อาหาร​ ​อย่า​ไปพึ่งยา​ ​คุณหมอแนะนำ​ให้​ทานอาหารย่อยง่ายๆ​ ​ไม่​เผ็ด​ไม่​มัน​ ​เลิกทานไก่​และ​หมู​ ​เพราะ​มีฮอร์​โมนกระตุ้นมะ​เร็ง​ ​ควรทานเนื้อวัวเสริมโปรตีน​ ​แต่​เรา​ไม่​ทานตั้งแต่​เด็ก​ ​เลยเปลี่ยนมาทานปลาย่างปลาลวกแทน​ ​และ​เน้นทานผักผลไม้​เยอะๆ​ ​หลัง​จาก​เป็น​ ​มะ​เร็ง​ยัง​ค้น​พบสัจธรรมหลายอย่าง​ ​รู้สึกว่าชีวิตคนเรา​ไม่​แน่นอน​ ​เริ่มมี​ความ​พอเพียงมากขึ้น​ ​ไม่​โลภมากอยากมีอยาก​ได้​แบบสมัยก่อน​ ​ทุกวันนี้คิดแต่ว่า​ ​เรา​โชคดี​ได้​เกิด​ใหม่​อีกครั้ง​ ​ต้อง​ทำ​ตัว​ให้​เป็น​ประ​โยชน์ต่อสังคม​”

อีกหนึ่งคนดังที่​เป็น​ตัวอย่างของคนสู้มะ​เร็ง​ ​ยัง​รวม​ถึง “​คุณหญิงพญ​.​พรทิพย์​ ​โรจนสุนันท์​” ผอ​.​สถาบันนิติวิทยาศาสตร์​ ​ซึ่ง​ถูกคุกคาม​ด้วย​มะ​เร็ง​ถึง​ 2 ​ครั้ง​ ​เริ่ม​จาก​มะ​เร็งที่​ไทรอยด์​ ​ลามไป​ถึง​ลำ​ไส้​ใหญ่​

“​หมอเจอมะ​เร็งที่​แรกบริ​เวณไทรอยด์​ ​ใน​ปี​ 2542 ​ตอนอายุ​ 41 ​ย่าง​ 42 ​ปี​ ​จู่ๆ​ยืน​แล้ว​เหมือนโลกหมุนติ้ว​ ​เลยกังวลว่า​ ​ตัวเอง​จะ​เป็น​มะ​เร็ง​หรือ​เปล่า​ ​เพราะ​คุณแม่ก็​เป็น​มะ​เร็งที่​ไทรอยด์​และ​ปอด​ ​เลยไปตรวจเช็กแต่​ไม่​พบอะ​ไร​ ​จนกระทั่งขอตรวจที่ต่อมน้ำ​เหลือง​ ​แล้ว​ใช้​เครื่องมือตรวจเผื่อไปที่​ ​ไทรอยด์​ ​เจอติ่งเนื้อขนาด​ 0.6 ​ซม​. ​ที่ส่อเค้า​เป็น​เนื้อร้าย​ ​แต่​ยัง​เป็น​อาการเริ่มต้น​ ​เลยผ่าตัดออก​ ​ไม่​ถึง​ขั้น​ต้อง​ให้​คี​โม

...​ช่วงปลายปี​เดียว​กัน​ก็​เกิดอาการปวดท้องอย่างแรง​ ​มีอาการหน่วงๆ​ ​ปวดท้องแต่​ไม่​ถ่าย​ ​ไม่​รู้ว่า​เป็น​อะ​ไร​ ​เรา​เป็น​หมอ​อยู่​แล้ว​ ​เลยตรวจตัวเองซะ​เลย​ ​โดย​คลำ​ทางทวารหนักจนเจอติ่งเนื้อ​ ​ซึ่ง​ถ้า​เป็น​เนื้อลำ​ไส้​จะ​เป็น​พื้นเรียบ​ ​แต่ตรวจคลำ​แล้ว​มีลักษณะคล้ายพรม​ ​จึง​ไปหาหมอตรวจอย่างละ​เอียด​ ​ที​แรกคุณหมอตรวจ​ไม่​เห็น​ ​แต่ก็ยืนยัน​กับ​คุณหมอว่า​เป็น​มะ​เร็ง​!! ​จึง​ตรวจ​ซ้ำ​จนพบว่า​ ​ตอนแรกที่​ไม่​เจอ​เพราะ​มันลอยสูง​ ​บริ​เวณลำ​ไส้ที่​เจอ​ ​ก้อนเนื้อมีขนาด​ถึง​ 7 ​ซม​. ​ต้อง​ตัดลำ​ไส้ทิ้งไปฟุตกว่า​ ​แต่มะ​เร็งลำ​ไส้ของเราต่าง​ ​จาก​คน​อื่น​ ​เพราะ​เรา​เป็น​นักกินผักตัวยง​ ​และ​เป็น​คนดู​แลตัวเองมาก​ ​เลยสันนิษฐานว่า​ ​น่า​จะ​เป็น​เพราะ​กรรมพันธุ์​ ​ผ่าตัดมะ​เร็ง​ทั้ง​ 2 ​ที่ห่าง​กัน​แค่ปี​เดียว​”

ถึง​แม้​จะ​เป็น​หมอมี​ความ​รู้มาก​ ​แต่​เมื่อป่วย​เป็น​มะ​เร็ง​ ​ก็​ต้อง​อาศัยธรรมะ​เข้า​ช่วย​เพื่อต่อสู้​กับ​โรคร้าย​ ​และ​เตือนสติตัวเอง

“​ตอน​นั้น​ใจเสียเหมือน​กัน​ ​แต่พยายาม​ใช้​ธรรมะ​เข้า​ข่ม​ ​บอกตัวเองว่า​ ​มะ​เร็ง​อยู่​กับ​ตัวเรา​ ​ต้อง​มองไปข้างหน้า​ ​พยายามคิดมุมบวก​ ​บอกตัวเองว่า​ ​เรา​ต้อง​ใช้​ชีวิตที่​เหลือสร้าง​ความ​ดี​ให้​มากขึ้น​ ​ใครทำ​ร้ายมาก็พยายาม​ไม่​พยาบาท​ ​โชคดีที่​เป็น​หมอผ่าศพ​ ​ได้​เห็น​ได้​ปลงมนุษย์มา​เยอะ​ ​หมอเชื่อว่าคนเรา​เกิดมา​เพราะ​ยัง​ไม่​หมดกรรม​ ​จะ​หลุด​จาก​วงจรเวียนว่ายตายเกิด​ได้​ ​ก็​ต้อง​รักษา​ความ​ดี​ ​หลีกเลี่ยงการทำ​ชั่ว​ ​เรื่องมะ​เร็ง​อยู่​ที่​ใจอย่างเดียว​ ​หมอยึดถือคุณแม่​เป็น​ตัวอย่าง​ ​ตอน​นั้น​ท่าน​เป็น​มะ​เร็งปอด​ ​แล้ว​ลุกลามไปที่สมอง​ด้วย​ ​ซึ่ง​ทรมานสุดๆ​ ​แต่ท่านก็ดู​แลตัวเองดีมาก​ ​หมออยาก​เป็น​คนไข้​แบบคุณแม่​ ​ท่าน​ไม่​ยอม​ให้​ใครเดือดร้อน​เพราะ​ท่าน

...​การดู​แลตัวเองเพื่อ​ไม่​ให้​มะ​เร็งกลับมา​เยือนอีก​ ​ก็​เป็น​เรื่องสำ​คัญมาก​ ​อย่างมะ​เร็งไทรอยด์​ ​ผ่าตัด​แล้ว​หายเลย​ ​เพราะ​หมอ​เป็น​ใน​ช่วงอายุ​ยัง​ไม่​มาก​ ​แต่มะ​เร็งลำ​ไส้​ ​ทิ้ง​ไม่​ได้​เลย​ ​หลัง​จาก​ผ่าตัด​แล้ว​ ​เว้นไป​ 4 ​ปี​ ​หมอกลับไปตรวจ​ซ้ำ​ก็พบว่ามะ​เร็งกลับมาอีก​ ​ทำ​ให้​ต้อง​ผ่าตัดครั้งที่​ 2 ​คนที่​เคย​เป็น​มะ​เร็ง​ต้อง​คอยตรวจร่างกายประจำ​ทุกปี​ ​ขณะ​เดียว​กัน​ ​ก็ควรระวังเรื่อง​ ​อาหารการกิน​ให้​มาก​ ​หมอ​ใช้​ชีวิตแบบชีวจิต​ ​หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์​ใหญ่​ ​ทั้ง​เนื้อวัว​, ​หมู​ ​และ​ไก่​ ​เน้นทานปลา​ ​หันมาออกกำ​ลังกาย​ ​และ​ตัดปัจจัยเสี่ยงทุกอย่าง​ ​โดย​เฉพาะการสูบบุหรี่​และ​ดื่มเหล้า​ ​ส่วน​เรื่องจิตใจ​ ​ต้อง​พยายาม​ไม่​เครียด​ ​เพราะ​ถ้า​เครียดมะ​เร็ง​จะ​กลับมาง่าย​”

สำ​หรับ “​นงค์พงา​ ​เวียงสมุทร์​” อดีตแอร์​โฮสเตส​ ​สายการบินคา​เธ่ย์​ ​แปซิฟิก​ ​ต้อง​ต่อสู้​กับ​มะ​เร็ง​ใน​เม็ดเลือด​ ​หรือ​ลูคี​เมีย​ ​ระยะสุดท้าย​ ​เป็น​เวลา​ 3 ​ปี​ ​แม้​จะ​ต้อง​ขายทรัพย์สมบัติ​แทบหมดตัว​ ​แต่​เธอก็​ไม่​เคยยอมแพ้สักวินาที​เดียว​!!

“​รู้ว่า​เป็น​มะ​เร็งตอนปี​ 2540 ​คือมีอาการอา​เจียน​ ​นอน​ไม่​หลับ​ ​ทานข้าว​ไม่​ได้​ ​มี​เลือดออกทางจมูก​ ​ออกๆ​หยุดๆ​ ​น้ำ​หนักลดฮวบ​ ​เลยไปหาหมอหลายโรงพยาบาลมาก​ ​กว่า​จะ​เจอว่า​เป็น​มะ​เร็ง​ ​กินเวลา​เป็น​ปี​!! ​ไม่​เคยคิดว่า​จะ​เป็น​มะ​เร็ง​ ​เพราะ​ตรวจร่างกายทุก​ 6 ​เดือน​ ​และ​ครอบครัว​ไม่​มีประวัติ​เป็น​มะ​เร็งเลย​ ​จนกระทั่ง​ได้​ดูรายการทีวี​ ​ที่พูด​ถึง​โรคลูคี​เมีย​ ​อาการเหมือนเรา​เลย​ ​จึง​ขอ​ให้​คุณหมอตรวจดู​ความ​หนา​แน่นของเลือด​ ​ปรากฏว่ามี​แต่​เม็ดเลือดขาว​ ​แทบ​ไม่​มี​เม็ดเลือดแดงเลย​ ​พอคุณหมอบอกว่า​ ​คุณ​เป็น​มะ​เร็ง​ใน​เม็ดเลือดระยะสุดท้าย​ ​มี​เวลา​อยู่​ไม่​ถึง​ 1 ​ปี​ ​ก็ช็อกเลย​!! ​ตอน​นั้น​กำ​ลังมีปัญหาครอบครัว​ด้วย​ ​เหลือลูก​อยู่​คนเดียว​ ​คุณพ่อก็ป่วย​ ​ปัญหารุมเร้าทำ​ให้​เราสติ​แตก​ ​จู่ๆ​ก็หมดสติ​ไปเลย​ ​จำ​ใคร​ไม่​ได้​ ​แม้​แต่ลูกก็จำ​ไม่​ได้​ ​ต้อง​นอนโรงพยาบาลนาน​ 3 ​เดือน​ ​สติ​ถึง​ฟื้น​ ​จาก​นั้น​ก็​เริ่ม​ให้​คี​โมรักษามะ​เร็ง​อยู่​เป็น​ปี

...​ตอนหลังอาการ​ยัง​ไม่​ดีขึ้น​ ​จึง​ตัดสินใจเดินทางไปผ่าตัดเปลี่ยนกระดูกไขสันหลังที่อเมริกา​ ​โดย​พักรักษาตัว​อยู่​นาน​ 3 ​เดือน​ ​เมื่อกลับมาก็มีปัญหาอีก​ ​เพราะ​ยีน​ไม่​เข้า​กัน​ ​เลย​ต้อง​กลับมารักษา​ด้วย​คี​โม​ ​ซึ่ง​ทรมานมาก​ ​โชคดีที่​ได้​สเต็มเซลล์​จาก​หลานแท้ๆ​ ​มา​ใช้​ผ่าตัดปรับเปลี่ยนไขกระดูกสันหลังอีกครั้งที่​เมืองไทย​ ​ครั้งนี้​ได้​ผลดีทำ​ให้​หาย​จาก​โรคร้าย​ ​หลัง​จาก​เข้าๆ​ออกๆ​โรงพยาบาลกว่า​ 3 ​ปี​ ​และ​ต้อง​หมดเงินไป​ถึง​ 10 ​ล้านบาท​”

แม้​จะ​หาย​จาก​มะ​เร็ง​ใน​เม็ดเลือด​ ​แต่​ “​นงค์พงา​” ​ก็​ยัง​เคร่งครัด​กับ​การดู​แลสุขภาพร่างกายมาก​ ​ไม่​แตกต่าง​จาก​เมื่อครั้งถูกคุมคาม​ด้วย​มะ​เร็ง​ ​เพราะ​ไม่​อยากกลับไปเผชิญ​กับ​ฝันร้ายอีก​แล้ว

“​ทุกวันนี้​ต้อง​ยืนหยัด​ด้วย​ตัวเอง​ ​อาศัยใจสู้​ ​และ​ดู​แลตัวเองดีๆ​ ​อย่างเรื่องอาหาร​ ​จะ​ทานผักผลไม้ที่ปลอดสารพิษจริงๆ​ ​ไม่​ซื้อของสดที่ตลาด​ ​ถ้า​ไม่​มีจริงๆ​ ​ต้อง​กินผัก​ใน​ตลาดก็​จะ​แช่น้ำ​เกลือ​ ​หรือ​ด่างทับทิม​ ​แล้ว​นำ​ไปลวกก่อนปรุง​ ​ส่วน​เนื้อหมู​, ​ไก่​, ​ปลาน้ำ​จืด​ ​ตัดทิ้งหมด​ ​จะ​ไม่​กินเลย​ ​เพราะ​มีสารเร่งโต​ ​แต่​จะ​กินเนื้อวัวแทน​ ​เพื่อ​ให้​โปรตีน​กับ​ร่างกาย​ ​เนื้อวัวที่กินก็​ต้อง​คัดแบบโคขุน​ ​โดย​นำ​มาปรุงง่ายๆ​ ​เอา​ไปย่าง​ใน​กระทะพอ​ให้​สุก​ ​และ​จิ้มน้ำ​ปลามะนาว​ ​อาหารหลักของตัวเองคือมื้อ​เช้า​ ​ส่วน​มื้อกลางวัน​และ​เย็น​ ​จะ​เน้นผักผลไม้​ ​หรือ​นมถั่วเหลือง​เท่า​นั้น​ ​การออกกำ​ลังกายก็​ช่วย​ให้​ฟื้นตัว​ได้​เร็ว​ ​ทุกวันนี้​จะ​ตื่นตี​ 4 ​ครึ่ง​ ​ทำ​บุญ​ใส่​บาตร​ ​แล้ว​ออกไปวิ่ง​ ​จนสายๆ​ค่อยกลับบ้านเพื่อทำ​กิจกรรมอย่าง​อื่น​ ​ส่วน​เรื่องทางใจ​ ​ต้อง​ไม่​เครียด​ ​ถ้า​เราสู้ซะอย่าง​ ​ก็​ต้อง​ผ่านพ้นไป​ได้​ ​เคยคิด​ใน​ใจพูด​กับ​โรคมะ​เร็งว่าอยาก​อยู่​กับ​ฉัน​ใช่​ไหม​ ​อยาก​อยู่​ก็​อยู่​ไป​ ​เรา​แบ่งๆ​กัน​อยู่​ ​แต่อย่า​เบียดเบียน​กัน​ ​แบ่งที่​ให้​ฉันบ้าง​แล้ว​กัน​ ​สุดท้ายก็​อยู่​ได้​มา​ถึง​ปัจจุบัน​”


คนสำ​คัญที่สุด​ใน​ชีวิต​... ​คือใคร

26 August 2008 - 05:08 PM

จอห์น​ ​ดอนเน​ ​นักเขียนชาว​อังกฤษกล่าว​ไว้​ว่า​ “​ไม่​มีมนุษย์หน้า​ไหน​ ​อยู่​ได้​อย่างโดดเดี่ยว​”

.. ​ชีวิตคุณ​จะ​ได้​สักกี่น้ำ​ ​ขึ้น​อยู่​กับ​ความ​เอ็นดูที่คุณมีต่อ​ผู้​อ่อนเยาว์​ ขึ้น​กับ​น้ำ​จิตที่​เผื่อแผ่​แด่​ผู้​สูงอายุ​

ขึ้น​กับ​ความ​เห็นอกเห็นใจต่อ​ผู้​ทุกข์ร้อน​

รวม​ถึง​ใจเสมอภาคระหว่างบุคคลที่อ่อนแอ​และ​แข็งแรง​

เพราะ​ชีวิต​ใน​วันหนึ่งของคุณ​

จัก​ต้อง​กลาย​เป็น​บุคคลเหล่านี้​ทั้ง​หมด​ ... ​จอร์จ​ ​วอชิงตัน​ ​คาร์​เวอร์​

ใน​อาชีพการทำ​งานที่​เกี่ยวข้อง​กับ​ผู้​คน​ ​ผม​ได้​มี​โอกาสสังเกตเห็นบุคคลสองประ​เภท​ ​กลุ่มแรกประสบ​ความ​สำ​เร็จอย่างยิ่งยวด​ใน​อาชีพการงาน​ ​ชีวิต​ส่วน​ตัว​ ​และ​สัมพันธภาพต่อคนรอบข้าง​ ​

กลุ่มที่สอง​ ​มีปัญหาอย่างต่อ​เนื่อง​ ​เริ่ม​จาก​สุขภาพร่างกายที่​เจ็บป่วยเกินธรรมดา​ ​การทำ​งาน​และ​สัมพันธภาพที่มีปัญหาอย่างต่อ​เนื่อง​ ​ทั้ง​ที่มี​ความ​สามารถ​ใน​การทำ​งาน​และ​มีประสบการณ์มานานชนิดหาตัวจับยาก​ ​แต่ยิ่งทำ​ยิ่ง​ไม่​ประสบ​ความ​สำ​เร็จ​ ​

สา​เหตุสำ​คัญ​ ​คือ​ ​ทัศนคติ​และ​มุมมองที่คนเหล่านี้มีต่อตนเอง​และ​โลกนี้​ ​เท่า​นั้น​เองจริงๆ​!

บุคคลที่​ไม่​สามารถ​ให้​ความ​รัก​ ​ความ​เมตตา​ ​ให้​ความ​ชื่นชม​ใน​ตนเอง​ได้​ ​ไม่​ว่า​จะ​เป็น​ลมหายใจ​เข้า​ออก​ ​อวัยวะน้อย​ใหญ่​ ​รวม​ทั้ง​เซลล์​ทั้ง​หลาย​ใน​ร่างกาย​ ​บุคคล​นั้น​จะ​ไม่​สามารถ​หยิบยื่น​ความ​รัก​ ​และ​ให้​ความ​ชื่นชมต่อคนรอบข้าง​ได้​เป็น​อันขาด​ ​การเริ่มต้นสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี​ ​คือ​ ​การรู้จักรัก​และ​เมตตาตนเอง​ ​รู้จัก​ใส่​ใจ​ ​ทะนุถนอม​และ​ดู​แลอวัยวะต่างๆ​ ​ของร่างกาย​และ​จิตใจ​ด้วย​ความ​อ่อนโยน​ ​ละมุนละม่อม​

ให้​หมั่นขอบคุณลมหายใจของเรา​ ​ทั้ง​หายใจ​เข้า​ ​หายใจออก​ ​ให้​รู้สึกขอบคุณที่​เรา​ยัง​มีลมหายใจ​ ​เป็น​ลมหายใจที่ทำ​ให้​เรา​ยัง​คงสภาพ​เป็น​มนุษย์​ ​สามารถ​ประกอบกรรมดี​ ​ทั้ง​กาย​ ​วาจา​ ​ใจ​ ​ได้​ต่อไป​

จาก​มุมมองที่รัก​ ​เมตตา​ ​และ​ชื่นชมตัวเอง​ได้​อย่างจริงใจ​แล้ว​ ​เรา​จึง​สามารถ​รัก​ ​เมตตา​ ​และ​ชื่นชมคนรอบข้าง​ได้​อย่างจริงใจ​ ​จุดนี้​จะ​ทำ​ให้​เรา​เริ่มประสบ​ความ​

สำ​เร็จมากขึ้น​ใน​ทุกสิ่งทุกอย่างที่ก้าวเดินไป​

การ​ใช้​ชีวิตของคนเราจำ​เป็น​ต้อง​มีปฏิสัมพันธ์​กับ​คนมากมาย​ ​ทั้ง​โดย​ตั้งใจ​และ​ไม่​ตั้งใจ​ ​แต่​เมื่อ​ใด​ที่​เรา​ได้​พบปะ​เจอะ​เจอ​ผู้​คน​ ​คนเหล่า​นั้น​ผู้​ซึ่ง​อยู่​เฉพาะหน้า​เรา​ ​ใน​รัศมี​ 1-5 ​เมตร​ ​คนเหล่า​นั้น​คือ​ ​บุคคลที่สำ​คัญที่สุด​ใน​ชีวิต​ ​ไม่​ว่า​เขา​จะ​เป็น​คนกวาดถนน​ ​พนักงานทำ​ความ​สะอาด​ ​เด็กปั๊ม​ ​เพื่อนร่วมงาน​ ​เจ้านาย​ ​ลูกน้อง​ ​ตำ​รวจจราจร​ ​หรือ​ใครก็ตาม​

เรา​เคย​ได้​ส่งรอยยิ้ม​ ​ได้​ทักทาย​ ​ได้​ถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ​กับ​คนเหล่านี้ที่​ได้​ผ่านพานพบ​ใน​ชีวิตประจำ​วันบ้างรึ​เปล่า​ ​ลองทำ​ดูสิครับ​ ​แล้ว​จะ​พบว่า​ ​ชีวิตนี้ช่างมี​ความ​หมายมากมายกว่าที่​เรา​เคยรู้จัก​

ธี​โอดอร์​ ​รูสต์​เวลต์​ ​อดีตประธานาธิบดี​แห่งสหรัฐอเมริกากล่าวว่า​ “​ส่วน​ผสมสำ​คัญเพียงหนึ่งเดียว​ใน​สูตรแห่ง​ความ​สำ​เร็จของชีวิต​ ​คือ​ ​การรู้ว่า​จะ​ทำ​ตัวกลมกลืน​กับ​

ผู้​คน​ได้​อย่างไร​” ​ตรงนี้​เป็น​มุมมองของฝรั่งที่ประสบ​ความ​สำ​เร็จ​ใน​การพัฒนาทักษะ​เรื่องคน​

แต่มุมมองทางพระพุทธศาสนามี​ความ​ละ​เอียดลึกซึ้งมากกว่าหลาย​เท่า​ ​พระพุทธองค์ทรงสอน​ให้​เรามี​ความ​เมตตา​โดย​เสมอภาค​กับ​สรรพสัตว์​ทั้ง​หลาย​ ​โดย​ไม่​เลือกที่รักมักที่ชัง​ ​ไม่​แบ่งแยก​ ​ไม่​มีอคติ​ ​ไม่​มีญาติพี่น้องพวกพ้อง​ ​เพราะ​เรามัก​จะ​ให้​ความ​สำ​คัญ​และ​ความ​เมตตา​กับ​คนที่​เป็น​ “​พ่อแม่พี่น้อง​” ​เรา​ “​เพื่อน​” ​เรา​ ​เมื่อ​ใด​ที่มีคำ​ว่า​ “​เรา​” ​เข้า​มากำ​กับ​ ​ความ​เมตตา​จะ​มากขึ้นมา​โดย​ธรรมชาติ​ ​เท่า​กับ​การปล่อย​ให้​ใจติดสินบน​ ​ไม่​เป็น​ธรรม​ ​ไม่​เสมอภาค​ ​ไม่​เท่า​เทียม​

ลองฝึกดูสิครับ​ ​ฝึก​ให้​ใจมี​ความ​เป็น​ธรรม​ ​ให้​ความ​สำ​คัญ​และ​ความ​เมตตาต่อบุคคลที่​อยู่​ข้างหน้า​เรา​ใน​ขณะนี้​ ​ให้​ตระหนักรู้ว่า​ ​เขา​คือบุคคลที่สำ​คัญที่สุด​ใน​ชีวิตเรา​ ​หากทำ​ได้​เช่นนี้​ ​นอก​จาก​เรา​จะ​ได้​เดินตามรอยบาทพระศาสดา​แล้ว​ ​เรา​ยัง​จะ​เป็น​ผู้​ที่มี​ความ​สุข​ ​ประสบ​ความ​สำ​เร็จ​ทั้ง​ใน​ชีวิต​ส่วน​ตัว​และ​ที่ทำ​งาน​

เลิกปล่อยใจ​ให้​ติดสินบน​ ​ตก​จาก​ทำ​นองคลองธรรม​ ​โดย​การเลือกที่รักมักที่ชัง​กัน​ได้​แล้ว​ครับ​!





รายงาน​โดย​ :​เรื่อง​ : ​ดนัย​ ​จันทร์​เจ้าฉาย​:


โสดสนุก​ ​สุข​ถึง​บั้นปลาย

25 August 2008 - 05:47 PM

ใครที่​ใช้​ชีวิต​ “​โสด​” ​สนุกเพลิดเพลินจนรู้ตัวอีกทีอายุก็ขึ้นต้น​ด้วย​เลข​ 3 เล่นเอาตกใจเหมือน​กัน​นะนั่น​ ​แต่ก็​แค่ประ​เดี๋ยว​แล้ว​กลับมาสราญใจ​กับ​การ​ใช้​ชีวิตโสด​กัน​ต่อไป​ ​จนเลข​ 4 ​กำ​ลัง​จะ​ทักทายนั่นล่ะ​ ​ถึง​สะดุ้งโหยง​กัน​อีกครั้ง​

แต่​แหม​! ​การ​ใช้​ชีวิต​เป็น​โสด​ ​ใช่​ว่า​จะ​เป็น​เรื่องน่ากลัว​ ​หรือ​เสียหายประการ​ใด​ ​ตรง​กัน​ข้าม​ ​หากรู้จัก​และ​เข้า​ใจ​กับ​ชีวิต​ ​มีการจัดการบริหารชีวิตที่ดี​ ​บางที​ “​คานทองนิ​เวศน์​” ​ก็​ไม่​ใช่​เคหสถานที่น่ากลัวอีกต่อไป​ ​ใน​มุมกลับอาจ​จะ​น่าพิสมัยของบรรดาคนโสด​ทั้ง​หลายเสีย​ด้วย​ซ้ำ​ ​ถึง​ขั้น​จะ​เปลี่ยน​เป็น​คานเพชร​ ​คานแพลทินัม​กัน​เลยเชียว​

** ​รัก​-​ดู​แลตัวเอง​ ​และ​ต้อง​มี​ความ​สุข​

เป็น​เจ้าของบ้านสาวโสดมา​ได้​ 2 ​เดือนกว่าๆ​ ​สำ​หรับ​ เสาวรส​ ​ศรีชาติ ​หรือ​ที่รู้จัก​กัน​ดี​ใน​ฐานะนักร้องเสียงดี​ โอ๋​ ​ลำ​ดวน ​เธอประกาศตัว​เป็น​โสดสนิทพร้อม​กับ​การเปิดตัว​ http://www.baansaosoad.com ​ล่าสุดมีลูกบ้านสาวโสดประมาณ​ 3,000 ​คน​ ​และ​เพื่อนบ้านที่​ไม่​จำ​กัดสถานภาพอีกประมาณ​ 4,000 ​คน​

“​ตอนนี้​โสดสนิท​ ​ไหนๆ​ ​เป็น​แล้ว​ ​เปลี่ยนวิกฤต​เป็น​โอกาส​ ​ทำ​ไม​ต้อง​เสียใจ​กับ​มัน​ ​แทนที่​จะ​รู้สึกอย่าง​นั้น​ก็ลุกขึ้นมาทำ​งาน​ ​เปิดเว็บไซต์ดีกว่า​ ​ใน​ความ​รู้สึกเรา​ถ้า​เลือก​ได้​ ​ไม่​โสดก็​ได้​นะ​ ​แต่​ถ้า​ต้อง​โสดไปตลอดก็​ไม่​เป็น​ไร​ ​เพราะ​เข้า​ใจตัวเองดีว่า​เวลาคบใครเราค่อนข้างซี​เรียส​ ​คบเล่นๆ​ ​ทำ​ไม่​เป็น​ ​กว่า​จะ​เลือกใครสักคนเรื่องเยอะพอสมควร​

สำ​หรับโอ๋การ​จะ​มีคู่คิด​ต้อง​มา​กับ​ความ​ไม่​ยุ่งยาก​ไม่​เดือดร้อน​ ​คู่คิดบางคน​ไม่​ตรง​กับ​เรา​ ​ขัดแย้ง​กัน​ ​ต้อง​อยู่​กัน​แบบทนๆ​ ​โอ๋ก็​ไม่​เอา​ ​เพราะ​เราดู​แลตัวเอง​ได้​ ​มีงานที่​ต้อง​รับผิดชอบหลายอย่าง​ ​จะ​ต้อง​มา​เจียดเวลา​ให้​ใครอีก​ ​ถ้า​เขา​ไม่​คู่ควรก็​ไม่​อยากเสียเวลา​ให้​”

ด้วย​หน้าที่การงาน​ ​ยิ่งตอนนี้มีร้องเพลงกลางคืนทุกวันจันทร์​-​เสาร์​ ​ทำ​ให้​ได้​พบ​ผู้​คนมากหน้าหลายตาที่​เทียวมา​แจกขนมจีบ​ ​แต่​เธอก็​เซย์​โนไปทุกราย​

“​ถึง​เรา​จะ​บอกไปว่า​ ​อยาก​อยู่​เป็น​โสดไปตลอดชีวิต​ ​แต่​ถ้า​มี​ใคร​เข้า​มา​แล้ว​ถูกใจ​ ​โอ๋ว่า​ผู้​หญิง​ส่วน​ใหญ่​ก็​ต้อง​ใจอ่อน​ ​ผู้​หญิง​ถ้า​เลือก​ได้​ก็คง​ไม่​มี​ใครอยาก​อยู่​เป็น​โสดหรอก​ ​แต่​ถ้า​คนที่​เข้า​มา​ไม่​ดีพอ​ ​การ​อยู่​เป็น​โสดน่า​จะ​ดีกว่า​ ​คนที่​จะ​เข้า​มา​ต้อง​เพอร์​เฟกต์​ ​คุ้มค่า​กับ

​ความ​รักของเราหน่อย​ ​เรา​ต้อง​เลือกสิ่งดีๆ​ ​ให้​ตัวเอง​ ​ไม่​จำ​เป็น​ต้อง​ง้อ​ผู้​ชาย​ ​แต่​ไม่​ได้​หมาย​ถึง​เรา​เกลียด​ผู้​ชายนะ​ ​สมัยนี้​ผู้​หญิงทำ​งานหา​เงิน​ ​ดู​แลตัวเอง​ ​ไม่​ต้อง​เป็น​ช้างเท้าหลัง​ ​พอสังคมเรา​เปลี่ยนไป​ ​วิถีชีวิตคนเปลี่ยนไป​ ​คนหันมารักตัวเองมากขึ้น​ ​ตอนนี้​ผู้​หญิงลุกขึ้นมาดู​แลตัวเอง​ได้​ ​มีสิทธิ​เลือกมากขึ้น​”

ใครเคยพบตัวจริงเสียงจริงของเสาวรส​ ​น่า​จะ​ลง​ความ​เห็นว่า​ ​เธอ​เป็น​สาวสวยรวยเสน่ห์​ ​ยิ่ง​ไม่​น่า​เชื่อว่า​ ​เธอโสดสนิท​และ​มี​แววว่าอยากโสดไปอีกนาน​ ​สาวโสด​ยัง​ฝาก​ถึง​เพื่อนๆ​ ​ที่รักษาสถานภาพเดียว​กัน​ว่า​

“​ถ้า​เรา​จะ​ใช้​ชีวิตโสดควรมี​ความ​สุข​กับ​มันที่สุด​ ​อย่างน้อยถือเสียว่า​เรา​ได้​มี​เวลาทำ​อะ​ไร​ให้​กับ​ตัวเอง​ได้​มากที่สุด​ ​ดู​แลพ่อแม่​ ​อย่างโอ๋การทำ​บ้านสาวโสดขึ้นมาก็​เป็น​การคลายเหงา​ได้​ ​เรา​ได้​พูดคุย​กับ​เพื่อนๆ​ ​ใน​กลุ่มก็​โสด​กัน​ทั้ง​นั้น​อายุมากกว่า​เราอีก​ ​โอ๋มีกิจกรรมทำ​มากมายแทบ​ไม่​มี​เวลา​เหงา​ด้วย​ซ้ำ​

ถ้า​เรานับถือศาสนาพุทธ​ ​เรื่องธรรมะก็​ช่วย​ได้​นะ​ ​ช่วย​ให้​เรามี​ความ​สุขอย่างแท้จริง​ ​ไม่​ยึดติด​กับ​อะ​ไร​ ​วันนี้​เรามี​แฟนวันต่อไป​ไม่​มีก็​ได้​ ​ไม่​ว่า​จะ​ด้วย​เหตุผล​ใด​ ​หาก​ต้อง​ใช้​ชีวิต​ใน​แบบที่​เป็น​โสด​ ​ผู้​หญิงก็​จะ​ต้อง​เรียนรู้การ​เป็น​โสดของตัวเอง​ให้​ได้​ ​ควรที่​จะ​มี​ความ​สุข​ ​มี​เวลา​ให้​กับ​ตัวเอง​ ​ใน​แต่ละวัน​สามารถ​ที่​จะ​นอน​ได้​มากกว่า​ 8-10 ​ชั่วโมง​ ​ตรงนี้คือโอกาสที่​จะ​ทำ​ได้​เพื่อตัวเอง​”

** ​ถามตัวเองว่า​...​อยู่​คนเดียว​ได้​ (จริง) ​ไหม

ใครเลย​จะ​คิดว่า​ผู้​ชายมาดดี​ ​หน้าที่การงานก็​เด่น​ ​แถม​ยัง​ร่ำ​รวยอารมณ์ขัน​ ​และ​เพิ่งอายุ​ 37 ​ปี​เอง​ ​อย่าง​ วิญญลักษณ์​ ​โสรัต​ กรรมการ​ผู้​จัดการ​ ​บริษัท​ ​อาร์​เอส​ ​อินสโตร์​ ​มี​เดีย​ ​จะ​มองอนาคต​ไกล​ถึง​ขนาด​จะ​ลงขัน​กับ​เพื่อนๆ​ ​ทำ​ธุรกิจเกี่ยว​กับ​ ​รี​ไทร์​ ​แอท​ ​โฮม​ ​เจาะกลุ่มเป้าหมายคน​ใช้​ชีวิตโสดหลังเกษียณ​

“​ผมคิดว่าบั้นปลายชีวิตก็คง​เข้า​ไป​อยู่​ใน​ที่มีคนกลุ่มเดียว​กัน​ถ้า​เรา​ยัง​เป็น​โสด​ ​อนาคต​เป็น​ไป​ได้​อยากทำ​ธุรกิจเกี่ยว​กับ​ตรงนี้​ ​เป็น​คอมเพล็กซ์​ ​คิด​กับ​เพื่อนๆ​ ​ที่มีวิชันเหมือน​กัน​ ​ทำ​เอง​แล้ว​เข้า​ไป​อยู่​ด้วย​ ​มีกิจกรรมสำ​หรับคนกลุ่มนี้​ ​ปัจจุบันมีหลายๆ​ ​คนเทรนด์​เดียว​กับ​เรา​ ​มองการ​ใช้​ชีวิตเหมือน​กัน​กับ​เรา​ ​คน​ไม่​แต่งงานเยอะมาก​ ​สังคมต่างคนต่าง​อยู่​มากขึ้น​ ​ซึ่ง​คนกลุ่มนี้​จะ​โหยหาสิ่งเหล่านี้​ ​เพราะ​ใน​อนาคตเรา​อยู่​คนเดียว​เป็น​อะ​ไรไป​ไม่​มี​ใครรู้​”

วิญญลักษณ์​ ​ยัง​คิด​จะ​ครองตัว​อยู่​เป็น​โสด​ ​เล่นเอาสาวๆ​ ​อกเดาะ​กัน​ระนาว​ “​ผม​ยัง​สนุก​กับ​การทำ​งาน​ ​มี​ใคร​เข้า​มา​ไม่​มี​เวลา​ให้​เขา​ ​ก็คง​จะ​เกิดปัญหา​ ​ถ้า​ไม่​มี​ใคร​เข้า​มา​ใน​ชีวิตเลยผมก็​ไม่​กังวล​ ​เป็น​ความ​เคยชินที่​เรา​อยู่​คนเดียวมานาน​แล้ว​ ​ใน​สังคมเพื่อนๆ​ ​ที่คบ​กัน​มาตั้งแต่​เด็กๆ​ ​ยัง​เกาะกลุ่ม​กัน​อยู่​เป็น​โสดก็​เยอะ​ ​แต่ก็​ไม่​ได้​ตั้งกฎว่า​เรา​ต้อง​โสด​ ​มัน​ไม่​พร้อม​ด้วย​เหตุผลหลายๆ​ ​อย่าง​ ​คิดว่า​อยู่​คนเดียวน่า​จะ​เหมาะ​ใน​ปัจจุบัน​

จริงๆ​ ​ผมมีมุมมองค่อนข้างแปลก​ใน​เรื่องครอบครัว​ ​เพราะ​ผมโตมา​กับ​เพื่อนตลอด​ ​เรียนจบ​ ​ทำ​งาน​ ​แต่งงาน​ ​มีลูก​ ​ไม่​มี​ความ​คิดนี้​อยู่​ใน​หัวเลย​ ​มี​แต่ทำ​วันนี้​ให้​ดีที่สุด​ ​มีคู่​หรือ​ไม่​มี​ไม่​ใช่​ประ​เด็น​ ​ไม่​มีอิ​เมจิน​ถึง​ตรง​นั้น​ ​ไม่​ใช่​แพตเทิร์นของชีวิตเรา​ ​พ่อแม่​ไม่​คาดหวัง​ ​แล้ว​แต่​เรา​ให้​คิดเอง​ ​แต่ลึกๆ​ ​เขา​คงแอบคาดหวัง​ให้​เรา​เป็น​ฝั่ง​เป็น​ฝา​

ที่ผ่านมาทุกอย่างคิดเองทำ​เองมาตลอด​ ​ซึ่ง​ผมอาจคิดผิดก็​ได้​ ​ปัจจุบันผม​อยู่​ได้​ด้วย​ตัวเอง​ ​กินข้าว​ ​ดูหนัง​ ​ฟังเพลง​ ​ท่องเที่ยว​ ​สนุก​กับ​งาน​และ​กับ​ชีวิต​ ​พอ​ไม่​มีภาระ​เราอยากทำ​อะ​ไรก็ทำ​ ​มันเคยชิน​กับ​ตรงนี้​ ​แล้ว​มี​ความ​สุข​ ​แต่​ถ้า​มีคู่​เข้า​มาผมถือว่า​นั้น​เป็น​โบนัส​”

การ​ใช้​ชีวิตโสดสนุกกว่าการมีคู่ครอง​เป็น​ไหนๆ​ ​ทว่าวิญญลักษณ์ก็​ไม่​ได้​ประมาทต่อการ​ใช้​ชีวิต​ ​เพราะ​ตระหนักดีว่าคนเรา​ไม่​ว่า​จะ​อยู่​ใน​สถานภาพไหนก็มี​ความ​เสี่ยงเหมือน​กัน​ ​ดัง​นั้น​ควรมีการบริหารจัดการชีวิตที่ดี​

“​ผมว่า​เป็น​ประ​เด็นสำ​คัญมาก​ ​คนแต่งงานมีครอบครัวมักคิดว่า​แก่มาลูกหลาน​จะ​เลี้ยง​ ​เราสร้าง​ความ​คาดหวัง​ ​ถ้า​เขา​ไม่​เลี้ยงเราก็ผิดหวัง​ ​ไม่​มีการวางแผน​ ​ผมคิดว่า​ใน​ชีวิตเรา​ไม่​อยากพึ่งใคร​ ​เราสร้างฐานะ​ให้​เรามั่นคง​ ​ถ้า​มีครอบครัวเรื่องเงินเรา​ต้อง​มี​เยอะกว่า​ ​ส่วน​คนโสด​ใน​วันนี้​เราอยาก​ใช้​ไปหมดก็​เรื่องของเรา​ ​แต่ว่า​โดย​หลักๆ​ ​ต้อง​มีการวางแผน​ ​อย่างอายุ​ 20-30 ​ก็​ใช้​ได้​ ​แต่​ถ้า​ใกล้​ 40 ​แล้ว​ ​ไปเสี่ยงมากก็​ไม่​ได้​ ​เรา​อยู่​คนเดียวก็จริงแต่​ไม่​ใช่​ต้อง​เผาพลาญทุอย่าง​ ​ต้อง​มีการวางแผน​ไว้​พอสมควร​ ​เวลา​เรา​เจ็บไข้​ใคร​ไม่​มี​ใคร​ต้อง​มี​เงินสำ​รอง​”

โสดมีข้อดีอีกตั้งหลายอย่าง​ ​หากเรา​จะ​เลือกมอง​ใน​มุมบวก​ “​คน​จะ​อยู่​เป็น​โสด​ต้อง​ถามตัวเองก่อนว่า​อยู่​ได้​ไหม​ ​เพราะ​เพื่อน​จะ​อยู่​กับ​เราตลอด​ไม่​ได้​ ​หลักๆ​ ​ต้อง​อยู่​ได้​ด้วย​ตัวเอง​ ​รักตัวเอง​ ​ใช้​ชีวิต​ได้​ ​มี​ความ​สุข​ ​คนโสด​ต้อง​หาอะ​ไรทำ​ ​แรกๆ​ ​เราอาจ​จะ​มี​เพื่อนฝูงเฮไหนเฮ​กัน​ ​แต่สักระยะ​เรา​จะ​สนใจ​ใน​กิจกรรมที่​เราอยากทำ​มากกว่า​ ​ซึ่ง​ผมเองทุกวันนี้รู้สึกว่ามี​ความ​สุข​ ​สนุก​กับ​งาน​ ​ผมก็​ไม่​รู้​เหมือน​กัน​ว่าคิดถูก​หรือ​ผิด​ ​วันหนึ่งอาจเสียดายที่​ไม่​หาคู่ครอง​หรือ​ไม่​ก็​ไม่​รู้​ ​แต่​ ​ณ​ ​วันนี้ผมมี​ความ​สุข​”

** ​เศรษฐกิจ​-​สังคมบีบ​ให้​อยู่​ได้​ด้วย​ตัวเอง ศ​.​ดร​.​ปรา​โมทย์​ ​ประสาทกุล ​อาจารย์ประจำ​สถาบันวิจัยประชากร​และ​สังคม​ ​มหาวิทยาลัยมหิดล​ ​เปิดเผยตัวเลขของคนที่ครองตัว​เป็น​โสดเพิ่มขึ้น​จาก​เมื่อ​ 40 ​ปีก่อน​ ​จาก​ผู้​หญิงกลุ่มคนอายุ​ 15-54 ​ปี​ ​เป็น​โสด​ 21-22 ​เปอร์​เซ็นต์​ ​เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ​ ​จนปี​ 2551 ​กลุ่มคน​ใน​วัยเดียว​กัน​อยู่​เป็น​โสด​ 35 ​เปอร์​เซ็นต์​ ​และ​ใน​อนาคตมี​แนวโน้มเพิ่มขึ้นแต่​ไม่​มาก​ ​เพราะ​จำ​นวนนี้น่า​จะ​ถึง​จุดอิ่มตัว​แล้ว​ ​ส่วน​ผู้​ชาย​ใน​วัยเดียว​กัน​ ​เมื่อปี​ 2503 ​เป็น​โสด​อยู่​ 30 ​เปอร์​เซ็นต์​ ​ปี​ 2543 ​เพิ่ม​เป็น​ 36-37 ​เปอร์​เซ็นต์​ ​ปัจจุบันเพิ่มขึ้นเกือบ​ 40 ​เปอร์​เซ็นต์​

ศ​.​ดร​.​ปรา​โมทย์​ ​ยัง​บอกอีกว่า​ ​ปัจจัยที่ทำ​ให้​ผู้​หญิงมี​แนวโน้ม​เป็น​โสดเพิ่มขึ้น​ ​เพราะ​สถานภาพสตรีสูงขึ้น​ ​มีการศึกษาสูงขึ้น​ ​โดย​วัด​จาก​ตัวเลข​ผู้​หญิง​ใน​วัย​ 20-24 ​ปี​ ​ที่มีการศึกษาระดับอุดมศึกษา​ ​เมื่อปี​ 2503 ​มี​อยู่​แค่​ 2-3 ​เปอร์​เซ็นต์​ ​ปี​ 2523 ​ขึ้นมา​ถึง​ 7 ​เปอร์​เซ็นต์​ ​และ​ปี​ 2543 ​มีมาก​ถึง​ 20 ​เปอร์​เซ็นต์​

“​อีกปัจจัยที่คน​เป็น​โสด​ทั้ง​หญิง​และ​ชาย​ ​คือ​ ​การพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ​ ​การครองชีพ​ ​ทำ​ให้​ทุกคนมุ่งสนใจการหาราย​ได้​ ​เพื่อยกฐานะทางเศรษฐกิจตัวเอง​ให้​สูงขึ้น​ ​ทำ​ให้​ความ​สนใจที่​จะ​มีคู่​แต่งงานลดน้อยลง​ ​ทั้ง​ผู้​ชาย​ผู้​หญิงเอา​แต่ทำ​งาน​ ​ไม่​มี​เวลาคิดเรื่องสร้างครอบครัว​

ทัศนคติต่อการครองคู่ลดน้อยลง​ ​สมัยก่อนคนอยากแต่งงานมีครอบครัว​ ​แต่สมัยนี้อาจ​จะ​มองว่า​ไม่​สำ​คัญ​ ​ทำ​งานดีกว่า​ ​การ​เป็น​อิสระ​อยู่​ด้วย​ตัวของตัวเองน่า​จะ​ดีกว่า​ ​น่า​จะ​สบายกว่า​ ​ซึ่ง​แนวโน้มตรงนี้​ใน​อนาคต​ผู้​สูงอายุ​เป็น​ภาระของตัวเอง​ ​ของครอบครัว​ ​ของชุมชน​จะ​มีมากขึ้น​ ​ดัง​นั้น​คนที่คิด​จะ​อยู่​เป็น​โสด​จะ​ต้อง​มีระบบที่​จะ​เก็บออม​ ​มีหลักประ​กัน​ของตัวเอง​ไว้​”

*** ​ออมเงิน​ไว้​ใช้​ยาม​ (แก่) ​ลำ​พัง

นวพร​ ​เรืองสกุล ​ผู้​เชี่ยวชาญด้านการเงิน​ ​และ​เจ้าของหนังสือ​ ​ออมก่อนรวยกว่า​ ​ได้​ให้​ข้อคิดเรื่องการ​ใช้​ชีวิต​และ​เงินของคน​ใน​วัย​ 35 ​ปีขึ้นไปว่า​ “​ไม่​ว่า​จะ​แต่งงาน​หรือ​ไม่​แต่งงานก็​ต้อง​คิดเรื่องพึ่งตัวเอง​ ​แต่งงาน​แล้ว​แน่​ใจ​หรือ​ว่า​จะ​อยู่​กัน​ไปตลอดรอดฝั่ง​ ​เขา​จะ​ไม่​ล้มหายตาย​จาก​ไปก่อน​

สถิติ​ทั่ว​โลกมีว่า​ ​ผู้​หญิงที่​แต่งงาน​แล้ว​และ​ต้อง​ดู​แลตัวเอง​ ​มัก​จะ​อยู่​ใน​ฐานะทางการเงินที่ยากลำ​บากกว่าคนที่​ไม่​ได้​แต่ง​ ​ยิ่งสังคมตะวันตกคนที่​แต่งงานไป​แล้ว​มักเลิกทำ​งานมาดู​แลบ้าน​ ​โอกาสที่​จะ​พัฒนาตัวเองทำ​ให้​ก้าวหน้าหยุดชะงักไป​ ​ดัง​นั้น​เป็น​ผู้​หญิง​ไม่​ว่า​จะ​อยู่​วัย​ใด​ ​แต่งงาน​หรือ​ไม่​ ​ต้อง​นึกว่า​เรา​ต้อง​พึ่งตัวเอง​ต้อง​รู้จักวางแผนเอา​ไว้​ ​ระยะ​เวลาที่​เราทำ​งานสั้นกว่าที่​เรา​จะ​ต้อง​ใช้​เงิน​ ​เรา​จะ​เก็บเงิน​ไว้​ใช้​ใน​ช่วง​นั้น​อย่างไร​”

การ​ใช้​ชีวิต​เป็น​โสด​ไม่​ต้อง​มีภาระ​ใดๆ​ ​มาก​เท่า​กับ​คนที่​แต่งงาน​แล้ว​ ​แต่​ใน​บั้นปลายชีวิต​ต้อง​ระมัดระวังเหมือน​กัน​ “​โสดเบื้องต้นอาจ​จะ​สะดวกสบาย​ ​ไม่​มีภาระดู​แลลูก​ ​แต่​ต้อง​เก็บเงินเพื่อตัวเอง​ ​เป้าหมายหลัก​ ​คือ​ ​ไม่​เป็น​ภาระ​กับ​ใคร​ ​ต้อง​เรียนรู้​เรื่องลงทุน​ ​สิ่งเหล่านี้​เรียนรู้​ได้​ไม่​ยาก​ ​ธนาคารเองก็มีบริการแนะนำ​เรื่องพวกนี้​ ​ลองศึกษาดูระหว่างที่​ยัง​มี​แรงทำ​งาน​ ​มองโครงการต่างๆ​ ​สำ​หรับการเกษียณอายุ​ ​เช่น​ ​กองทุนเลี้ยงชีพ​ ​เงินบำ​นาญ​ ​ประ​กัน​ชีวิต​ ​การซื้อก็​เป็น​การลงทุน​โดย​ที่​เรา​ไม่​รู้ตัว​ ​แต่การซื้อ​ต้อง​เป็น​การซื้อของที่​ให้​ราย​ได้​ใน​อนาคต​ได้​

“​การออม​ไม่​มีสูตรสำ​เร็จควร​จะ​เก็บอย่างไร​ ​สไตล์ของแต่ละคน​ไม่​เหมือน​กัน​ ​อนาคต​ต้อง​การอะ​ไร​ ​ช่วงอายุ​ 30 ​ขึ้นไป​ต้อง​ใช้​เงินเพื่อการ​ใด​บ้าง​ ​แต่ทุกคน​ต้อง​มีสูตรสำ​เร็จเหมือน​กัน​คือ​ ​ตอนที่หา​เงิน​ไม่​ได้​แล้ว​ก็​ยัง​ต้อง​ใช้​เงิน​ ​ดัง​นั้น​ไม่​ว่า​เมื่อไหร่ก็ตามคุณ​ต้อง​เก็บเงิน​

ที่สำ​คัญอย่าก่อหนี้​ ​เพราะ​ไม่​อย่าง​นั้น​บั้นปลายแทนที่​จะ​สบาย​ได้​ใช้​เงินที่​เก็บออมมา​ ​กลาย​เป็น​ว่า​ต้อง​หา​เงิน​ใช้​หนี้ตอนแก่​ ​การจัดการเงิน​เป็น​เรื่องสำ​คัญมาก​”

นอก​จาก​การออมเงิน​ไว้​ใช้​ยามเกษียณ​ ​การ​ช่วย​เหลือ​ผู้​อื่น​ก็​เป็น​การออมเพื่อนฝูงอีกแบบหนึ่ง​


“​คนโสดคิดว่า​ ​เราสบาย​ไม่​มีภาระ​ ​บางคน​ไม่​คาดหวังอะ​ไร​ ​แต่​เราควรมี​เพื่อน​ ​เอื้อเฟื้อดู​แลใครต่อใคร​ไว้​บ้าง​ ​พอบั้นปลาย​จะ​ได้​ดู​แล​กัน​เอง​ได้​ ​ถ้า​เรา​เอื้อเฟื้อเราก็​จะ​มีสังคมที่อบอุ่น​ ​เพราะ​คนเรา​เกิดมา​ต้อง​มีสังคม​ ​ไม่​ใช่​มุ่งทำ​งานจนลืม​ส่วน​หนึ่งที่สำ​คัญ​ใน​ชีวิตไป​

คนที่คิดว่า​จะ​อยู่​ตัวคนเดียวไปตลอดชีวิต​ ​ลองไปทำ​งานอาสา​กับ​ผู้​สูงอายุสัก​ 1 ​เดือน​ ​จะ​ทำ​ให้​เรา​เข้า​ใจ​และ​รู้ว่า​เรา​ต้อง​เตรียมตัว​ยัง​ไงก่อน​ถึง​อนาคต​ ​และ​สุขภาพเราก็​ต้อง​ออมเหมือน​กัน​ ​ถ้า​เรา​ยัง​ใช้​ชีวิตหักโหม​ ​พอแก่มาป่วย​ต้อง​ใช้​เงินของเรานี่ล่ะรักษา​ ​ต้อง​ดู​แลสุขภาพ​ไม่​อย่าง​นั้น​แก่มา​ต้อง​ซ่อมบำ​รุงมันอย่างเดียว​”

การ​จะ​ “​เป็น​โสด​” ​ไม่​ใช่​เรื่องยาก​ ​แต่การ​จะ​ใช้​ “​ชีวิตโสด​” ​ให้​มี​ความ​สุข​ ​ไม่​เดือดร้อน​ผู้​อื่น​นั่นต่างหาก​ ​คือ​ “​ศิลปะของการ​ใช้​ชีวิต​ (โสด)” ​อย่างแท้จริง​

//////////////


สังเกต​, ​สังเกต​ ​และ​สังเกต​ 'Observe, observe and observe'

03 August 2008 - 06:02 PM

คอลัมน์​ ​จับจิต​ด้วย​ใจ​ ​โดย​ ​นพ​.​วิธาน​ ​ฐานะวุฑฒ์​ [email protected]

สมัยที่ผมเรียน​อยู่​ชั้นประถมศึกษา​ ​ผม​จะ​ชอบวิชาวิทยาศาสตร์มาก​เป็น​พิ​เศษ​ ​ส่วน​หนึ่ง​เป็น​เพราะ​คุณครูประกอบ​ ​นวลละออง​ ​ซึ่ง​ท่าน​เป็น​ครูวิชาวิทยาศาสตร์ของผม​ใน​สมัย​นั้น​ชอบเล่า​เรื่อง​ ​คุณครูประกอบ​จะ​เล่า​เรื่องของนักวิทยาศาสตร์ดังๆ​ ​หลายท่าน​ ​ที่ผมจำ​ได้​อย่างแม่นยำ​ที่สุดก็คือคุณครู​เล่า​เรื่องของโทมัส​ ​อัลวา​ ​เอดิสัน​ ​การคิด​ค้น​การประดิษฐ์สิ่งของต่างๆ​ ​ของ​เขา​กว่า​จะ​ประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าสำ​เร็จ​ ​เอดิสันก็​ต้อง​ทดลองอะ​ไรต่างๆ​ ​มากมายแสนสาหัส

ฟังดู​เหมือนแสนสาหัส​ ​แต่​ถ้า​เอดิสันรู้สึกว่า​ "สาหัส" ​เขา​ก็คง​ไม่​ทำ​ ​การที่​เขา​ยัง​สนุกสนาน​อยู่​กับ​การ​ค้น​คว้าสิ่งต่างๆ​ ​นั้น​ ​แสดงว่า​ ​"​เขา​น่า​จะ​ไม่​ได้​รู้สึกว่าหนักหนาสาหัส" ​กับ​การกระทำ​ของ​เขา​กระมัง

และ​สิ่งที่ผมฝังใจมากสำ​หรับการ​เป็น​นักวิทยาศาสตร์ที่คุณประกอบสอน​ไว้​ก็คือ​ ​"​ต้อง​ช่างสังเกต" ​แต่​ใน​ทางปฏิบัติ​ ​ด้วย​สา​เหตุอะ​ไรก็​ไม่​ทราบ​ ​ผมกลับ​ไม่​สามารถ​นำ​พา​ให้​ชีวิตจริงๆ​ ​มี​ "การสังเกต" ​อย่างจริงๆ​ ​จังๆ​ ​ได้​ ​เพียงคิด​และ​รู้​และ​ก็​เข้า​ใจว่า​ "นักวิทยาศาสตร์​ต้อง​เป็น​คนช่างสังเกต" ​และ​ผมเพิ่งกลับมานึก​ถึง​คำ​ว่า​ "สังเกต" ​ของคุณครูประกอบ​ได้​อีกครั้งหนึ่งเมื่อสามสี่ปีนี้​เอง

ใน​ครั้ง​นั้น​ท่าน​ ​อ​.​หมอประ​เวศ​ ​วะสี​ ​ได้​พูด​ถึง​ "ทฤษฎีตัวยู​" (อักษร​ U ​ใน​ภาษาอังกฤษ) ​ใน​การประชุมจิตวิวัฒน์ครั้งหนึ่ง​ ​เป็น​ "ทฤษฎี​ U" ​ที่​เขียน​อยู่​ใน​หนังสือที่ชื่อ​ "Presence" ​ซึ่ง​เขียน​โดย​นักปรัชญาทางสังคมดังๆ​ ​หลายท่าน​ ​เช่น​ ​ปี​เตอร์​ ​เซ็งเก​, ​โจเซฟ​ ​จาวอสกี้​, ​ออตโต​ ​ชาร์มเมอร์​ ​และ​เบตตี้​ ​ชูว์

ใน​หนังสือเล่มนี้พูด​ถึง​ "ทฤษฎี​ U" ​ว่า​เป็น​กลไกการเรียนรู้ที่สำ​คัญของมนุษย์​ใน​การที่​จะ​ ​"​ไม่​เลือก​ใช้​" ​สิ่งที่รู้​อยู่​เดิมๆ​ ​เก่าๆ​ ​แบบปฏิกิริยา​ ​เช่น​ ​ถ้า​เรา​ได้​รับรู้อะ​ไรบางอย่าง​เข้า​มามนุษย์ก็มี​แนวโน้มที่​จะ​เลือกสิ่งเดิมๆ​ ​พฤติกรรมเดิมๆ​ ​ใน​การมีปฏิกิริยาต่อสิ่ง​นั้น​ ​สมมุติว่า​เห็นคนแต่งตัวโทรมๆ​ ​ไว้​หนวดเครารุงรัง​และ​หน้าดุร้ายเดิน​เข้า​มาหา​เรา​ ​เราก็มัก​จะ​ต้อง​กลัวว่า​เขา​จะ​มาทำ​ร้าย​ไว้​ก่อน​ ​เป็น​ต้น

ใน​ทฤษฎียู​นั้น​บอกว่า​ ​ถ้า​เรา​ไม่​ตัดสินเรื่องราวแบบรวด​เร็ว​เกินไปนัก​ ​เฝ้ารอ​และ​ลองดำ​ดิ่งลงไปที่​ "ก้นตัวยู​" ​เราอาจ​จะ​ได้​ "ทางเลือก" ​อะ​ไร​ ​"​ใหม่​" ​ที่ก่อเกิดขึ้นมา​ใน​ความ​คิดของเรา​ได้

ที่​ "ก้นตัวยู​" ​นั้น​จะ​มี​ "การก่อเกิด" ​ของสิ่ง​ใหม่​ที่​ ​อ​.​หมอประ​เวศ​ใช้​คำ​ว่า​ "ผุดบังเกิด" ​หรือ​ "​โผล่ปรากฏ" ​เกิดขึ้นมา​เหมือน​กับ​ที่นักวิทยาศาสตร์อย่างเอดิสันเกิดปิ๊งแว้บ​ใน​งานทดลองของ​เขา​อยู่​เนืองๆ​ ​เหมือนอย่างที่อาคิมิดิสร้องคำ​ว่ายู​เรก้า​ ​เมื่อล้มตัวลงไป​ใน​อ่างน้ำ​ ​หรือ​อื่นๆ​

และ​ขั้นตอนสำ​คัญที่สุดที่​จะ​เดินลงไปสู่​ "ก้นตัว​ U" ​ได้​ก็คือ​ ​ต้อง​ไต่​ไปตาม​ "ขาลงของตัว​ U" ​และ​ขาลงของตัวยู​นั้น​ ​จะ​ต้อง​เริ่มต้น​ด้วย​ "การสังเกต​ ​สังเกต​ ​และ​สังเกต" ​ซึ่ง​ออตโต​ ​ชาร์มเมอร์​ ​ผู้​เป็น​เจ้าของทฤษฎียู​ได้​เขียน​ไว้​ที่ขาลงตัวยู​ด้วย​คำ​ว่า​ "observe, observe and observe" ​ย้ำ​สามครั้งตามสไตล์​เยอรมันของแท้

ตรงนี้​เองที่คำ​ว่า​ "สังเกต" ​ได้​กลับ​เข้า​มา​ใน​ชีวิตของผมอีกครั้งหนึ่งว่า​ "การสังเกต" ​นั้น​เป็น​สิ่งสำ​คัญสำ​หรับชีวิตของมนุษย์ธรรมดาๆ​ ​อย่างผม​และ​ท่าน​ผู้​อ่านทุกๆ​ ​ท่าน​ด้วย​ ​อาจ​จะ​ไม่​ต้อง​รอ​ให้​เป็น​ "นักวิทยาศาสตร์​" ​เท่า​นั้น​ที่​จะ​ต้อง​มีทักษะของการสังเกต

ถึง​ตรงนี้ก็อาจ​จะ​มีคำ​ถามนะครับว่า​ "สังเกตอะ​ไร​หรือ​?" ​ก็คง​จะ​ตอบว่า​ "สังเกตทุกสิ่งทุกอย่าง" ​ที่​เกิดขึ้นจริงๆ​ ​ณ​ ​เวลานี้​เดี๋ยวนี้ว่ามีอะ​ไรบ้าง

สังเกตเพื่อการรับรู้​เต็มร้อย​กับ​สถานการณ์หนึ่งๆ​ ​ที่​เกิดขึ้น​ใน​ตัวเรา​และ​รอบๆ​ ​ตัวเรา​ ​เช่น

สังเกตว่าขณะนี้ร่างกายของเรา​เป็น​อย่างไร​ ​ส่วน​ไหนตึง​ ​ส่วน​ไหนปวดเมื่อย​ ​ส่วน​ไหนสบายๆ​ ​ลมหายใจของเรา​เป็น​อย่างไร​ ​ช้า​หรือ​เร็ว​ ​ลึก​หรือ​ตื้น​ ​เรากำ​ลังคิดเรื่องอะ​ไร​อยู่​ ​เรากำ​ลังรู้สึกอย่างไร​ ​อารมณ์ของเรา​เป็น​อย่างไร

จาก​นั้น​ก็อาจ​จะ​สังเกตสิ่งรอบๆ​ ​ตัว​ ​อากาศ​เป็น​อย่างไร​ ​ร้อน​หรือ​หนาว​หรือ​พอดีๆ​ ​มีลมพัด​หรือ​ไม่​อย่างไร​ ​มองเห็นอะ​ไร​อยู่​ ​ได้​ยินเสียงอะ​ไร​อยู่​ ​กำ​ลัง​ได้​กลิ่นอะ​ไร​อยู่​ ​รับรู้สิ่งที่​เห็นพร้อมๆ​ ​กับ​สังเกตปฏิกิริยาที่ร่างกายของเราที่อาจ​จะ​เปลี่ยนแปลงไป​จาก​เดิมเมื่อเวลาผ่านไปเพียง​ไม่​กี่วินาที​หรือ​ไม่​กี่นาที

ลองสังเกตทุกอย่าง​ใน​ทุกกิจกรรมของชีวิต​ ​ไม่​ว่า​จะ​เป็น​การเดิน​ ​การนั่ง​ ​การกินอาหาร​ ​การขับรถ​ ​การประชุม​ ​หรือ​อื่นๆ​ ​เพราะ​ "การสังเกต" ​จะ​ช่วย​ให้​เรา​ "มองเห็น" ​สิ่งที่​ "​เรา​เคยมอง​ไม่​เห็น" ​มาก่อน​ ​ทำ​ให้​เรา​ได้​ "รับรู้​" ​สิ่งที่​เรา​ไม่​เคย​ได้​รับรู้มาก่อน​ ​ช่วย​ทำ​ให้​ "จุดบอด" ​ใน​ชีวิตของเราหายไป​ ​ผมมีสมมติฐาน​อยู่​ว่า​ ​ปัญหาต่างๆ​ ​ของพวกเรา​แต่ละคนก็มัก​จะ​อยู่​ใน​ "จุดบอด" ​ที่​เรามอง​ไม่​เห็นนั่นเอง

"การสังเกต" ​ยัง​จะ​ช่วย​ทำ​ให้​เรา​ได้​ "รับรู้​ถึง​ความ​สด​ใหม่​เสมอ" ​ของการมีชีวิต​เพราะ​แต่ละวินาที​แต่ละนาที​ ​ร่างกายของเรา​จะ​ไม่​เหมือนเดิมอีกต่อไป​แล้ว​ ​ต่อเมื่อเราสังเกตเรา​จึง​จะ​มองเห็น

ใน​เบื้องต้น​นั้น​ ​เรา​เพียงฝึกสังเกตสิ่งที่​เกิดขึ้นตามที่​เป็น​ไป​เท่า​นั้น​ ​ยัง​ไม่​ต้อง​พยายามที่​จะ​ไปทำ​อะ​ไร​ ​เพราะ​การสังเกต​เป็น​เหมือนประตู​เข้า​ไปสู่ก้นตัวยู​ ​เรา​จะ​สามารถ​คิดอะ​ไรดีๆ​ ​ออก ต่อเมื่อเรา​สามารถ​ดำ​ดิ่งลงไป​ถึง​ก้นตัวยู​ได้​เท่า​นั้น​ ​นอก​จาก​นั้น​ที่ก้นตัวยู​ ​เรา​จะ​ยัง​ได้​พบ​กับ​ ​"​ความ​หมายที่​แท้จริงของชีวิต" ​ของเราอีก​ด้วย

ทิม​ ​กัลเวย์​ ​ผู้​เขียนหนังสือที่​เกี่ยว​กับ​กระบวนการเรียนรู้ที่สำ​คัญอีกท่านหนึ่งพูด​ถึง​ "การตื่นรู้​เมื่อเราสังเกต" ​ไว้​ว่า​ ​เหมือน​กับ​การที่​เราฉายแสงส่องไฟไป​ยัง​ส่วน​ที่มืดของชีวิตของเรา

และ​เมื่อเรามองเห็นเรา​จึง​จะ​สามารถ​เกิด​ความ​สนุก​ ​ความ​สุข​ ​และ​ความ​เบาสบาย​ ​อย่างที่ควร​จะ​เป็น​ ​อย่างที่มนุษย์ทุกคน​จะ​สามารถ​สัมผัส​ได้

ต่อเมื่อเรา​ "สังเกต​เป็น"​ ​เท่า​นั้น​เรา​จึง​จะ​สามารถ​ ​"​ใช้​ชีวิต​ได้​เต็มร้อยจริงๆ​"

ก่อนที่สิ่งต่างๆ​ ​รอบตัวของยุคสมัย​ใหม่​จะ​ทำ​ให้​เรากลายไป​เป็น​หุ่นยนต์​ "ที่​ไม่​รู้สึกรู้สาอะ​ไร" ​กับ​สิ่งที่​เกิดขึ้น​ทั้ง​ใน​ตัว​และ​รอบๆ​ ​ตัวเรา

ซึ่ง​จะ​ค่อยๆ​ ​ทำ​ให้​เรากลายไป​เป็น​ "สิ่งมีชีวิตที่​ไม่​มีชีวิต" ​ไป​ได้​อย่างน่า​เสียดาย


***​ที่มา​: ​หนังสือพิมพ์มติชน​ ​วันที่​ 3 ​สิงหาคม​ ​พ​.​ศ​. 2551 ​ปีที่​ 31 ​ฉบับ​ที่​ 11103 , ​หน้า​ 6