วิวัฒนาการโลกเปลี่ยนไปทำให้พระไฮเทคขึ้น!!!!
#1
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 11:34 AM
ถ้าใช้ศัพท์ไม่ถูกต้องก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย
#2
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 11:46 AM
#3
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 12:04 PM
#4
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 12:09 PM
ส่วนในกรณีโทรศัพท์มือถือ มันคืออุปกรณ์สื่อสารครับ ถ้าถามว่าจำเป็นต้องมีไหม ตอบว่าไม่จำเป็นครับ แต่ในบางกรณี อุปกรณ์สื่อสารเหล่านี้ ก็ทำให้การสื่อสารสะดวกรวดเร็วขึ้น เป็นประโยชน์ในการเผยแผ่และการทำงานให้กับพระศาสนา ซึ่งตรงนี้ต้องดูที่การใช้งานครับ ว่าท่านใช้งานเหมาะสมหรือไม่ ถ้ามีเพื่อการคุยไร้สาระไม่เหมาะสมกับสมณเพศ อย่างนี้ก็ไม่ควรมีครับ
ส่วนเรื่องค่าใช้จ่ายนั้น ตัวพระท่านเอง ท่านคงไม่มีปัจจัยไปซื้อ ไปจ่ายค่าใช้งาน อย่างที่คุณบอกนั่นแหละครับ แต่อาจจะมีโยมซื้อถวายท่านก็ได้นี่ครับ เนื่องจากโยมคิดว่า ซื้อโทรศัพท์มือถือถวายท่าน และออกค่าใช้จ่ายให้ เพื่อให้ท่านได้ใช้งานเพื่อพระศาสนา ซึ่งจะเกิดประโยชน์อย่างมหาศาลครับ
Someday I'm gonna be free.
#5
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 12:15 PM
สาธุ... สาธุ... สาธุ...
#6
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 12:54 PM
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#7
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 01:06 PM
เห็นด้วยเช่นกันครับ เพราะ ถ้าวิจารณ์พระในที่สาธารณะ จะทำให้คนในสังคมโดยรวม เกิดความเคลือบแคลงสงสัยในพระภิกษุโดยรวม อย่างตัวอย่างที่เห็นได้บ่อยๆ นะครับ ที่หนังสือพิมพ์ชอบลงข่าวพระในทางที่เสียหายหน้าที่ 1
ผลที่ตามมาคือ หนังสือพิมพ์เหล่านี้ถูกวางขายในท้องตลาด คนที่ไปอ่านเจอแล้วยังไม่เข้าใจพระพุทธศาสนาอย่างถ่องแท้ ก็จะพาลวิจารณ์พระ บอกว่าพระสมัยนี้ ทำตัวไม่น่านับถือ เน้น...นะครับ จากรูปพระรูปเดียว แต่คนในสังคมไปวิจารณ์ว่า พระสมัยนี้ ย้ำ...พระสมัยนี้ คือ พระทั้งหมด ไม่น่านับถือ
นี่แหละครับ สาเหตุที่ทำให้ศาสนาพุทธเสื่อมลง เสื่อมลง ทางที่ดี ถ้าพระทำตัวไม่ดี ก็ต้องแจ้งพระผู้ปกครองให้ดำเนืนการกันเองครับ ไม่ควรเอาเรื่องเหล่านี้มาประกาศในที่สาธารณะ ทำให้ศรัทธาโดยรวมของพุทธศาสนิกชนสั่นคลอนครับ
(อ้างอิงจาก รายการเจาะประเด็น ตอนที่พูดถึงสื่อกับการวิจารณ์พระพุทธศาสนาครับ)
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#8
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 02:11 PM
ถ้าเป็นการประยุกต์ตามโลก คงต้องดูเป็นกรณีๆ ไป อย่าเพิ่งรีบสรุปล่ะครับ
แต่ถ้าเป็นการละเมิดศีลแบบดั้งเดิม เช่น เสพเมถุน คงจะปล่อยเลยตามเลยไม่ได้
เ พี ย ง พ บ พ า น . . . _ เ พื่ อ ผ่ า น ภ พ
Passing by to meet you.
#9
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 02:36 PM
ความรู้ใหม่โทรศัพท์มือถือเป็นปัจจัยที่ ๕ นึกว่ามี 4 ปัจจัยสักอีก ขอบคุณมากเพราะวันที่ 5 จะทำบุญบ้านยจะได้บอกให้คุณลุงคุณป้าเพิ่มปัจจัยที่ 5 ไป นะจ๊ะ แล้วจะบอกให้คุณแม่สอนเด็กๆเพิ่มว่ามี 5 ปัจจัย คือโทรศัพท์มือ คือปัจจัยที่ 5
ปัจจัย
1. เหตุที่ให้ผลเป็นไป, เหตุ, เครื่องหนุนให้เกิด
2. ของสำหรับอาศัยใช้, เครื่องอาศัยของชีวิต, สิ่งจำเป็นสำหรับชีวิต มี ๔ อย่าง คือ
2.1 จีวร (ผ้านุ่งห่ม)
2.2 บิณฑบาต (อาหาร)
2.3 เสนาสนะ (ที่อยู่อาศัย)
2.4 คิลานเภสัช (ยาบำบัดโรค)
http://dharma.school...ัจจัย&detail=ON
#10
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 03:14 PM
-พี่เขายกตัวอย่างครับ ไม่ได้หมายความอย่างที่คุณเข้าใจ เหมือนเงินนั่นแหละครับ ทำไมคุณต้องถวายเงินให้พระ ในเมื่อปัจจัย 4 ไม่ได้มีเงินอยู่ในนั้นสักหน่อย แต่เราเรียกเงินว่าอะไรครับ
จตุปัจจัย เพราะมีเงินเพียงอย่างเดียว แปลงเป็นปัจจัย 4 ได้ทั้งหมด
แต่ไม่เข้าใจว่าสมัยนี้มือถือ คือปัจจัยอย่างหนึ่งที่พระสมควรมีด้วยหรอ เพราะเหตุใดจึงเป็นสิ่งสำคัญไปแล้ว เพราะต้องเสียค่าใช้จ่ายรายเดือนทุกๆเดือนเพื่อค่าโทรศัพท์ พระไม่มีอาชีพ แต่มีปัจจัยมาเสียค่าโทรศัพท์ แปลกดี ลองนึกภาพดูว่าพระกำลังยืนคุยโทรศัพท์มือถือ ภาพลักษณ์ออกมาจะดูเป็นอย่างไร
-อย่าคิดมากเลยครับ พระไม่มีอาชีพ แต่ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไม พระถึงมีเงินมาจ่ายค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ (หมายเลขวัด) ถ้าเงินสำหรับจ่ายค่าใช้จ่ายพวกนี้มีได้ เงินค่าโทรศัพท์ก็ไม่ต้องเสียเวลาสงสัยครับ
-เห็นด้วยกับเรื่องภาพลักษณ์ครับ รู้สึกว่า (ถ้าผมจำไม่ผิด) มหาเถรสมาคมมีมติว่า ถ้าออกนอกวัด ห้ามพระใช้โทรศัพท์มือถือ หรือกล้องดิจิตอล ประมาณนี้แหละครับ ถ้าให้ชัวร์ลองตรวจสอบดูก่อนนะครับ ส่วนการใช้งานภายในวัด ไม่มีปัญหาครับ
#11
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 03:30 PM
เพราะที่บ้านเป็นบ้านกัลยาณมิตร จะมีพระจากวัดมาสวดมนต์ร่วมกันพวกเราและนั่งสมาธิและพูดคุยซักถามในสิ่งที่สงสัยและจะมีคำถามมาถาม ก็เห็นท่านพกมือถือมาด้วยพระตอนนั่งสมาธิเห็นท่านหยิบขึ้นมาปิดก่อนจะนำนั่งสมาธิ บางองค์ลืมปิดก็ดัง ก็ไม่มีใครกล้าพูดแค่นั้นล่ะจ๊ะ
#12
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 03:38 PM
#13
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 03:46 PM
สติที่ยังไม่ปรากฏก็ไม่ปรากฏ จิตที่ยังไม่ตั้งมั่นก็ไม่ตั้งมั่น อาสวะที่ยังไม่สิ้นไปก็ไม่ถึงความสิ้นไป และภิกษุนั้นไม่ได้บรรลุธรรมอันปลอดโปร่งจากโยคะอย่างสูงที่ยังไม่บรรลุด้วย ส่วนปัจจัยเครื่องอุดหนุนชีวิต คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารเหล่าใด ที่บรรพชิตจำต้องนำมาบริโภค ปัจจัยเหล่านั้น ย่อมเกิดขึ้นได้โดยยาก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นพึงพิจารณาเห็นดังนี้ว่า เราเข้ามาอาศัยบุคคลนี้อยู่ เมื่อเราเข้ามาอาศัยบุคคลนี้อยู่ สติที่ยังไม่ปรากฏก็ไม่ปรากฏ
จิตที่ยังไม่ตั้งมั่นก็ไม่ตั้งมั่น อาสวะที่ยังไม่สิ้นไปก็ไม่ถึงความสิ้นไป และไม่ได้บรรลุธรรมอันปลอดโปร่งจากโยคะอย่างสูงที่ยังไม่บรรลุด้วย
ส่วนปัจจัยเครื่องอุดหนุนชีวิต คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และคิลานปัจจัยเภสัชบริขารเหล่าใด ที่บรรพชิตจำต้องนำมาบริโภค ปัจจัยเหล่านั้น
ย่อมเกิดขึ้นได้โดยยาก
***ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นไม่ต้องบอกบุคคลนั้น ควรหลีกไปเสียในเวลากลางวัน หรือกลางคืน ไม่ควรพัวพันกะบุคคลนั้นเลย.***
ที่มา : พระไตรปิฏกเล่มที่ 12 http://larndham.net/...art_byte=285122
เรื่องของพระวินัยสงฆ์นั้นก็ต้องพิจารณากันเอาเองครับ พุทธบริษัท 4 ไม่ใช่เพียงแต่พระสงฆ์เท่านั้นครับ
แต่หมายถึงทุกคนเป็นผู้ที่จะต้องปกป้องพระพุทธศาสนาครับ ถ้าอุบาสก อุบาสิกา นิ่งเฉยเมื่อมีอลัชชีเข้ามาทำปู้ยี่ปู้ยำ
ทำผิดพระธรรมวินัยแล้วเพิกเฉยเสีย นี่แหละครับคือสาเหตุของการเสื่อมของพระศาสนาอย่างแท้จริงครับ
เรื่องของการรักษาพระพุทธศาสนานั้นต้องแยกให้ออกครับว่าอันไหนคือ พระแท้ที่อยู่ในพระธรรมวินัยที่ควรเคารพ
อันไหนคืออลัชชีที่แฝงเกาะกินพระพุทธศาสนาอยู่ ถ้าใครทำบุญส่งเสริมอลัชชีให้เจริญ อย่าคิดว่าจะได้บุญนะครับ
เหมือนอย่างทำทานหรือนับถือเทวทัตแล้วหวังจะไปนิพพานหละก็ฝันไปเถอะครับอเวจีมหานรกใสๆ เพราะแยกไม่ออกว่า
พระกับอลัชชีต่างกันยังงัยก็ซวยบอกไม่ถูกหละครับ
#14
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 03:52 PM
1.ท่านอยู่คนละบริษัทกับเราซึ่งเป็นอุบาสก-อุบาสิกา
2.หลวงพ่อทัตตะ เคยเทศน์ไว้ว่า พระผิดศีล 200ข้อ ยังเหลือมากกว่าพวกเราซึ่งสามารถถือได้เพียง 8ข้อ
3.ลดการเกิดมโนกรรมและวจีกรรมอันเป็นทางมาแห่งวิบาก
#15
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 05:43 PM
และตามพระที่จะมาร่วมงานวันสำคัญของวัด ท่านต้องประสานงานกับญาติโยม
จัดรถบ้าง ตามคนบ้าง บางทีท่านก็ลืมปิด ท่านไม่มีเจตนาเป็นอย่างอื่นหรอกครับ
ท่านผิดศีล 200 ข้อ ก็ยังเหลือมากกว่าเราบางคนด้วยนะครับ ท่านโทรก็
สะดวกกว่าการไปหา รวดเร็วกว่า นึกถึงเราถ้าไม่มี เราทำงานหรือติดต่อใครก็ลำบาก
ยุคนี้เป็นยุคเทคโนโลยีท่านนำมาใช้ก้เกิดประโยชน์ต่อพระพุธศาสนามากมายมหาศาล
ที่วัดบางแห่งยังต้องมีคอมพิวเตอร์เลย มีการเรียนการสอนภาษา อังกฤษ เพื่อการเผยแผ่ฯ
ไปทัวโลก เพราะต้องปรับไปตามยุคสมัยเพื่อความก้าวหน้าของพุธศาสนาตอไป
#16
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 06:15 PM
สรุปว่า ของทุกอย่างในโลกนี้ (ไม่เพียงแต่โทรศัพท์มือถือ) หากเรารู้จักใช้ให้เป็น และใช้ให้เกิดประโยชน์ตามสมควรแก่เวลา (กาละ) สถานที่ (เทศะ) และบุคคลแล้ว สิ่งนั้นย่อมไม่นำมาซึ่งโทษภัยแก่ผู้ใช้หรอกครับ
#17
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 07:06 PM
#18
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 08:39 PM
ถ้าพระภิกษุรูปใดผิดศีล 200 ข้อ เหลืออีก 27 ข้อ พระภิกษุรูปนั้นก็ต้องไปเสวยสุขในมหานรกนะครับ
เข้าข่ายบวชเสียผ้าเหลือง บวชทำลายพระพุทธศาสนา จะมาเห็นดีเห็นงามปกป้องผู้ที่เหยียบย่ำพระพุทธศาสนา
ข้อนี้ผมคงไม่เห็นด้วยนะครับ
ยิ่งถ้าพระมีศีล 226 ข้อ แต่พลาดทำปาราชิกไป 1 ข้อก็ถือว่าขาดจากความเป็นพระแล้วนะครับ
การผิดศีลของพระแม้เพียงเล็กน้อยอย่าดูเบาว่าเรามีศีลมากแล้วจะละเมิดศีลแบบตั้งใจได้นะครับ เพราะทุกครั้ง
ใครก็ตามที่ตั้งใจบวชเพื่อมรรคผลนิพพานไม่ปฏิบัติตามคำสอนหรือพระธรรมวินัยแล้ว บาปอกุศลไม่เคยละเว้น
ใครเลยครับ ตราบใดที่ยังไม่เป็นพระอริยเจ้าอย่าประมาทครับ
พระผิดศีลมากข้อก็เสี่ยงมากในการไปท่องนรกครับ ญาติโยมถ้าผิดศีล 8 ถ้ายังเหลือศีล 5 ก็ยังไม่ตกนรกนะครับ
อย่าดูเบาอาบัติเล็กน้อยครับสาธุ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#19
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 09:17 PM
ผมว่าในกรณีที่หลวงพ่อทัตตะ ยกตัวอย่าง ท่านไม่ได้จะหมายเอาการผิดศีลข้อครุอาบัตินะครับและคิดว่าคุณ WISH อาจจะจำผิดนะครับ
ถ้าได้ศึกษาพระวินัยแล้ว จะพบว่า ศีลของพระภิกษุ และอาบัติแต่ละข้อมีความหนักเบาไม่เท่ากัน บางข้อไม่สามารถปลงอาบัติได้เช่น หมวดปาราชิก กับ หมวดสังฆาสิเสส แต่บางข้อสามารถปลงอาบัติได้ เช่น หมวดปาจิตตีย์ หรือ หมวดทุกฎ เป็นต้น
ดังนั้น เจตนาที่หลวงพ่อท่านทศน์ยกตัวอย่างแบบนั้น ผมคิดว่าท่านจะหมายเอาว่า สาธุชนมีศีลอย่างมากก็ ศีล 8 ส่วนพระภิกษุท่านทรงศีลถึง 227 ข้อ แม้จะผิดอาบัติไปหลายข้อ เพราะท่านอาจจะเผลอสติไปบ้าง เช่น ฉันข้าวดังจั๊บๆ ฉันแกงดังซู๊ดๆ ไม่ว่าจะบวก ลบ คูณ หาร ยังไง ท่านก็ยังมีศีลเหลือมากกว่า ฆราวาส น่ะครับ นี่คือที่มาที่ไปที่ท่านอุปมาแบบนี้น่ะครับ ท่านไม่ได้หมายเอาพวกครุอาบัติแน่นอนครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#20
โพสต์เมื่อ 24 April 2006 - 11:37 PM
อ้าใช่เลยครับ ถ้าเป็นสำนวนดังว่านี้ผมคุ้นเลยครับ ผมก็ว่าเคยได้ยินมาหลวงพ่อทัตตะท่านเทศน์นะแต่จำไม่ได้ครบหนะครับ
พอคุณ MiraclE...DrEaM เล่ามาถึง ฉันข้าวดังจั๊บๆ ฉันแกงดังซู๊ดๆ ทำให้นึกขึ้นมาได้เลยครับสาธุขอบคุณครับที่ชี้แจง
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#21
โพสต์เมื่อ 25 April 2006 - 12:49 AM
ค่ะใช้อะไรก็ตามก็ใช้ให้ถูกกาละเทศะ แล้วก็ใช้ให้แต่พอประมาณ เท่าที่จำเป็น
#22
โพสต์เมื่อ 25 April 2006 - 09:57 AM
#23
โพสต์เมื่อ 25 April 2006 - 02:47 PM
ถ้าเป็นผม ถูกเพื่อนทำเช่นนี้ ผมย่อมต้องเข้าไปบอกเพื่อนว่า เราเป็นเพื่อนกันไม่ใช่เหรอ ทำไมเพื่อนไม่เอาเรื่องนี้มาบอกผมก่อน ทำไมเพื่อนมาถึงก็เอาเรื่องนี้ไปป่าวประกาศต่อหน้าสาธารณชน ทำไมไม่บอกกันก่อน เพื่อผมจะได้ไปคุยกับพี่สาวน้องสาวว่าทำเช่นนั้นจริงหรือไม่ แล้วก็ตักเตือนกันเองในหมู่พี่น้อง เพื่อไม่ให้ใครเข้าใจผิดว่าครอบครัวนี้ไม่ดีทั้งวงค์ตระกูล แล้วเรื่องก็จะจบไป ยกเว้นเพื่อนบอกผมแล้ว ผมเองก็ไม่สนใจที่จะไปตักเตือนพี่น้อง ตอนนั้นสิเพื่อนค่อยมีมาตรการอื่นต่อไป
เห็นมั้ยครับ ถ้าเราเห็นว่า เราต้องปกป้องพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาคือครอบครัวหนึ่งของเรา เราจะรู้สึกว่า พระท่านคือญาติของเรา เปรียบเสมือนญาติผู้ใหญ่ เมื่อได้ยินข่าวว่า ญาติทำตัวไม่เหมาะสมไปบ้าง เราย่อมไม่อยากให้ใครมาว่าญาติเราต่อหน้าสาธารณชน แต่อยากให้มาบอกเราก่อน แล้วเราจะไปตักเตือนญาติเราเอง ถ้าเรามองว่า ท่านคือญาติ เราจะเข้าใจได้ง่ายๆ ครับ
#24
โพสต์เมื่อ 25 April 2006 - 03:16 PM
ทำให้นึกถึงสื่อที่ชอบเล่นข่าวเสียๆหายๆของพระสงฆ์
เฮ้อ... สื่อ...
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)
#25
โพสต์เมื่อ 25 April 2006 - 06:47 PM
ได้บาปหรือได้บุญ ขึ้นอยู่กับ "สาร"ที่สือออกไปมากกว่าครับ
ถ้าท่านมีเจตนาดี มีมือถือไว้เล่าธรรมะ บอกบุญก็เป็นบุญกับท่าน
ถ้าคุณ จขกท อยากได้บุญตรงส่วนนั้นร่วมกับท่าน ก็สามารถทำความเห็นให้ถูกต้อง แล้วร่วมอนุโมทนาบุญกับท่าน หรืออาจร่วมบุญค่าโทรศัพท์กับท่านด้วยก็ได้ครับ
และเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งครับ กับการงดการวิจารณ์พระ ในที่สาธารณะ (แม้แต่ที่อสาธารณก็ตาม)
เกี่ยวกับเรื่องนี้คุณครูไม่ใหญ่ ได้เคยพูดถึงไว้ด้วยครับ ในเรื่องเคสของนักข่าวที่บิดเบือนข่าวน่ะครับ
ผมจำได้คร่าวๆ นะครับ ประมาณว่า
ถ้าเรื่องที่เราวิจารณ์ไม่จริง อันนี้กรรมหนักชัวร์ๆ ต้องตกมหานรก ตามขั้นตอน แล้วมาเป็นเปรต ฯลฯ
ส่วนถ้าเรื่องที่เราวิจารณ์เป็นความจริง ก็จะเป็นการทำให้ผู้อื่นที่ได้ยินได้ฟัง เกิดความเสื่อมศรัทธาโดยส่วนรวมต่อพระรัตนตรัย ผู้ที่ได้ฟังคุณอาจเลิกศรัทธาพระรัตนตรัย อาจไปทำผิดศีลผิดธรรม ฯลฯ คุณก็ต้องรับกรรมตรงส่วนนี้ไปครับ เพราะเหตุทั้งหมดเริ่มมาจากคุณครับ กรรมก็หนักเช่นกันครับ
#26
โพสต์เมื่อ 25 April 2006 - 07:03 PM
#27
โพสต์เมื่อ 25 April 2006 - 10:00 PM
บาปมากกว่าที่เราคิดมากๆครับ
แม้ชีวิตนี้ก็ให้ได้
#28
โพสต์เมื่อ 27 April 2006 - 10:54 AM
แต่อย่าไปทำอย่างพวกเดียรถีย์ (นักบวชนอกศาสนา) คือ พอมีข่าวอะไรเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่ไม่เป็นผลดี พวกนี้จะไปป่าวประกาศต่อสาธารณชน เช่น เจ้าข้าเอ้ย พระสมณโคดม ทำผุ้หญิงท้อง เป็นต้น นี่คือ วิธีการของพวกเดียรถีย์ ซึ่งไม่คิดว่า พระสงฆ์เป็นญาติ นั่นเองครับ
#29
โพสต์เมื่อ 27 April 2006 - 02:21 PM
ขอบคุณค่ะ ไม่ป่าวร้องหรอกค่ะ
เพียงแค่สงสัย เพราะว่าเคยคิดอยู่ว่าหากเราทำบัตรเครดิตให้พระ (เป็นบัตรพ่วง ตัดบัญชีเรา) จะดีไหม เพราะว่าหากพระท่านไปต่างประเทศ อาจไม่ได้รับความสะดวกสะบายเหมือนอยู่เมืองไทย การมีบัตรเครดิตน่าจะดีเพราะว่าเผื่อมีกรณีฉุกเฉินท่านก็จะได้สามารถนำมาใช้ได้ค่ะ เพียงแต่ว่าสงสัยว่าจะผิดวินัยหรือเปล่า
หากมีผู้รู้ท่านใดช่วยคิดก็จะเป็นพระคุณอย่างยิ่งค่ะ
#30
โพสต์เมื่อ 28 April 2006 - 03:49 AM
ไม่ผิดวินัย เนื่องจากเป็นกรณีที่ใช้เพราะเหตุจำเป็นครับ แต่อาจเป็นการกระทำที่เข้าข่ายโลกวัชชะ (โลกติเตียน) อยู่บ้างน่ะครับ
ปล. "โลกวัชชะ" ไม่ใช่อาบัตินะครับ