จิตวิปลาส ทิฏฐิวิปลาส
#1
โพสต์เมื่อ 06 March 2006 - 01:57 PM
1. วิปลาสในสิ่งที่ไม่เที่ยง ว่าเที่ยง
2. วิปลาสในสิ่งที่ทุกข์ ว่าสุข
3. วิปลาสในสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน ว่าตัวตน
4. วิปลาสในสิ่งที่ไม่งาม ว่างาม
ความวิปลาสเหล่านี้ แก้ไขอย่างไร โดยเฉพาะคนที่มีจิตวิปลาสและทิฏฐิวิปลาสในหัวข้อที่ 2 และ 4
ขอให้ช่วยตอบอย่างละเอียดทั้งทางธรรมและเชิงวิทยาศาสตร์ พร้อมวิธีการแก้ไขที่เหมาะสมกับวิถีชีวิตของคนในปัจจุบัน
ขอขอบคุณอย่างสูงกับทุกท่านที่กรุณา
#2
โพสต์เมื่อ 06 March 2006 - 07:48 PM
แก้ด้วยการทำความเห็นให้ตรงตามความ "เป็นจริง"
จริงๆแล้วมันก็ไม่มีอะไรละเอียดมากเลยนะคะ
ก็แค่เห็นตรง เห็นจริงเฉยๆ
ทุกยุคสมัยก็เหมือนกันหมด
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#3
โพสต์เมื่อ 06 March 2006 - 11:02 PM
หรือจะลองพิจารณาธรรมบทข้างล่างเพื่อกำจัดทิฐิวิปลาส หรือความเห็นผิด คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริงดูก็ได้ครับ
..............
[๓๐๐] อุปาทานเกิดเพราะตัณหาเป็นปัจจัย เป็นไฉน
ทิฏฐิ ความเห็นไปข้างทิฏฐิ ฯลฯ ลัทธิเป็นบ่อเกิดแห่งความพินาศ การถือเอาโดยวิปลาส อันใด นี้เรียกว่า อุปาทานเกิดเพราะตัณหาเป็นปัจจัย
[๓๐๑] ภพเกิดเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย เป็นไฉน
เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เว้นอุปาทานนี้เรียกว่า ภพเกิดเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย
[๓๐๒] ชาติเกิดเพราะภพเป็นปัจจัย เป็นไฉน
ความเกิด ความเกิดพร้อม ความบังเกิด ความบังเกิดจำเพาะ ความปรากฏแห่งธรรมเหล่านั้นอันใด นี้เรียกว่า ชาติเกิดเพราะภพเป็นปัจจัย
[๓๐๓] ชรามรณะเกิดเพราะชาติเป็นปัจจัย เป็นไฉน
ชรา ๑ มรณะ ๑
ในชรามรณะนั้น ชรา เป็นไฉน
ความคร่ำคร่า ภาวะที่คร่ำคร่า ความเสื่อมสิ้นอายุ แห่งธรรมเหล่านั้นอันใด นี้เรียกว่า ชรา
มรณะ เป็นไฉน
ความสิ้นไป ความเสื่อมไป ความแตก ความทำลาย ความไม่เที่ยงความหายไป แห่งธรรมเหล่านั้น อันใด นี้เรียกว่า มรณะ
ชราและมรณะดังกล่าวมานี้ นี้เรียกว่า ชรามรณะเกิดเพราะชาติเป็นปัจจัย
[๓๐๔] คำว่า ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ นั้น ได้แก่ความไปร่วม ความมาร่วม ความประชุม ความปรากฏ แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
ด้วยเหตุนั้น จึงเรียกว่า ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
[๓๐๕] ในสมัยนั้น สังขารเกิดเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย วิญญาณเกิดเพราะสังขารเป็นปัจจัย นามเกิดเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ผัสสะเกิดเพราะนามเป็นปัจจัย เวทนาเกิดเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ตัณหาเกิดเพราะเวทนาเป็นปัจจัยอุปาทานเกิดเพราะตัณหาเป็นปัจจัย ภพเกิดเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ชาติเกิดเพราะภพเป็นปัจจัย ชรามรณะเกิดเพราะชาติเป็นปัจจัย ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
ที่มา : http://84000.org/tip...5&A=4108&Z=5015
ให้ถามตนเองว่า สิ่งใดบ้างในโลกนี้ที่เที่ยงแท้ถาวร ไม่เสื่อมสลาย จงยกมาเป็นข้อๆ
ให้ถามตนเองว่า สิ่งใดบ้างในโลกนี้ที่เป็นสุขถาวรไม่มีทุกข์เจือเลย จงยกมาเป็นข้อๆ
ให้ถามตนเองว่า ทรัพย์สิน สมบัติ ยศ ลาภ สักการะ รูปสมบัติ มีคนตายคนไหนบ้างที่สามารถจะนำสมบัติติดตัวไปในปรโลกได้บ้าง จงยกมาเป็นข้อๆ
ให้ถามตนเองว่า คนสวย คนหล่อในโลกนี้ มีใครบ้างที่ไม่ต้องขี้ไม่ต้องเยี่ยว ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องป่วย ไม่ต้องตายมีไหม แม้ในวัตถุบ้านช่องยวดยานในโลกนี้มีบ้านหรือรถหลังใดคันใดหรือไม่ที่ไม่ต้องทำความสะอาด ไม่ต้องล้าง ไม่ต้องเช็ด ไม่ต้องดูแลไม่ต้องซ่อมแซม ไม่ผุไม่พัง สวยงามได้ตลอดเวลามีหรือไม่??
#4 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 07 March 2006 - 12:46 PM
"ให้ถามตนเองว่า ทรัพย์สิน สมบัติ ยศ ลาภ สักการะ รูปสมบัติ มีคนตายคนไหนบ้างที่สามารถจะนำสมบัติติดตัวไปในปรโลกได้บ้าง จงยกมาเป็นข้อๆ "
ขอเน้นคำว่ารูปซึ่งเป็นองค์ประกอบหนึ่งของขันธ์5ครับ
ในทางวิขขาธรรมกาย ผู้ที่มีญาณทัสสนะแก่กล้า ก็จะสามารถไปพบเห็นพระพุทธเจ้า องค์ที่บารมีแก่ๆ เหล่านี้ได้ ท่านเป็นพระพุทธเจ้าที่มีบารมีมาก จนปรินิพพานไม่เหมือนกับพระพุทธเจ้าธรรมดาทั่วๆไป ตามปกติพระพุทธเจ้าโดยทั่วไป จะเข้านิพพานโดยการถอดกายเนื้อหรือทิ้งซากกายมนุษย์ไว้กับโลก แล้วจึงเอาแต่ธรรมกายไปอยู่ในอายตนนิพพาน แต่พระพุทธเจ้าที่บารมีแก่ๆนี้ จะเข้านิพพานไปทั้งกายมนุษย์โดยไม่ต้องถอดกายเลย พระพุทธเจ้าประเภทนี้เรียกว่า "พระบรมพุทธเจ้า" ซึ่งเป็นพระพุทธเจ้าที่ยิ่งใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ท่านสามารถนิพพานได้ทั้งขันธ์5เลย อันนี้ผมเคยได้ยินมาจากวิชาธรรมกายเลยนะครับ
#5
โพสต์เมื่อ 07 March 2006 - 04:05 PM
เรื่องพระพุทธเจ้านิพพานกายเนื้อนั้นกระผมก็ทราบมานานแล้วเช่นกันครับ รู้สึกว่าจะทราบมาก่อนทางวัดสร้างสภาธรรมกายสากลใหม่ซะด้วยซ้ำครับ
ก่อนอื่นคุณผู้มาเยือนต้องเข้าใจก่อนว่า กายมนุษย์ ทิพย์ พรหม อรูปพรหม จัดเป็นกายที่เป็นเบญจขันธ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา สำหรับพระนิพพานกายเนื้อนั้นได้พ้นสภาวะเบญจขันธ์ เป็นธรรมขันธ์ล้วนๆ ไม่มีเกิดไม่มีแก่ไม่เจ็บไม่มีตาย เมื่อถึงเวลานิพพานก็จะเข้านิพพานด้วยกายเนื้อใสบริสุทธิ์แก่กล้าเท่าความละเอียดของพระนิพพานซึ่งตรงจุดนี้ไม่ใช่การบังเกิดขึ้นได้โดยง่ายๆ นะครับ แม้พระพุทธเจ้าจะบังเกิดในโลกนี้จำนวนมหาศาลเป็นอสงไขยอัปมานังก็ยังไม่แน่ว่าจะมีผู้ใดสามารถเข้าพระนิพพานกายเนื้อได้
และการที่คุณผู้มาเยือนคิดว่า ทรัพย์สิน สมบัติ ยศ ลาภ สักการะ รูปสมบัติ คุณจะสามารถนำติดตัวไปได้ ผมก็ขอถามกลับว่า คุณได้ธรรมขันธ์แล้วหรือถึงสามารถนำทรัพย์สมบัติที่เป็นเบญจขันธ์ติดตัวไปในพระนิพพานที่เป็นธรรมขันธ์ล้วนได้ครับ
แม้ผู้ที่ได้ธรรมขันธ์ด้วยใจ แต่ยังต้องอาศัยกายเนื้อที่เป็นเบญจขันธ์อยู่ผมขอถามว่ามีใครบ้างสามารถนำเงินแม้เพียง 1 บาทในโลกมนุษย์นี้ไปในโลกสวรรค์ พรหม อรูปพรหม พระนิพพาน ได้ครับ
และผู้ที่ได้นิพพานกายเนื้อมีองค์ใดบ้างจะสามารถนำทรัพย์สิน สมบัติ ยศ ลาภ สักการะ รูปสมบัติ บริวาร ราชรถ ปราสาท บ้านช่อง วัดวา ในโลกมนุษย์เอาไปยังปรโลกได้บ้างหละครับ??
ถ้าในอดีตได้เคยมีผู้ได้นิพพานกายเนื้อจริงสมมุติว่าท่านจะสามารถหิ้วสมบัติ บริวาร บ้านช่อง ปราสาท ไปได้จริง ถามว่าเหตุใดพวกท่านทั้งหลายจึงยังต้องเวียนเกิดเวียนกายกันอยู่เล่า??? ทำไมท่านไม่หิ้วพวกเราไปด้วยให้หมดวัฎฎะหละครับคุณผู้มาเยือน??
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#6 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 08 March 2006 - 12:36 PM
ถ้าในอดีตได้เคยมีผู้ได้นิพพานกายเนื้อจริงสมมุติว่าท่านจะสามารถหิ้วสมบัติ บริวาร บ้านช่อง ปราสาท ไปได้จริง ถามว่าเหตุใดพวกท่านทั้งหลายจึงยังต้องเวียนเกิดเวียนกายกันอยู่เล่า??? ทำไมท่านไม่หิ้วพวกเราไปด้วยให้หมดวัฎฎะหละครับคุณผู้มาเยือน??
คือสมมุตินะครับ ถ้ากายเนื้อเป็นอันเดียวกับรูป ก็แสดงว่าท่านสามารถนำรูปติดไปกับท่านด้วยไม่ใช่หรือครับ
ทำไมท่านไม่หิ้วพวกเราไปด้วยให้หมดวัฎฎะหละครับคุณผู้มาเยือน??
ก็คงจะเป็นเพราะบารมีของเรากับของท่านแยกกันมั้งครับไม่รู้นะ
#7 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 08 March 2006 - 12:46 PM
ตกลงคือมีรึเปล่าครับ?ฟังตรงนี้เหมือนเคยมีมาแล้ว
งั้นสรุปคือยังไม่เคยมีหรือเคยมีแล้วกันแน่ครับ ถ้าสมมุติว่าเคยมีแล้วก็แสดงถึงเรื่องที่ว่าท่านสามารถนำรูปออกจากวัฎฎะได้ก็เป็นเรื่องจริงใช่ไหมครับ?
#8 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 08 March 2006 - 12:50 PM
#9
โพสต์เมื่อ 08 March 2006 - 01:33 PM
การที่ผมบอกว่าพระพุทธเจ้ากายเนื้อเข้านิพพานนั้นเป็นความรู้ของหลวงพ่อสด ครับ และที่กล่าวว่าตลอดอสงไขยกัปก็ยังไม่แน่ว่าจะมีผู้ใดได้พระนิพพานกายเนื้อเลยทั้งนี้เพราะนิพพานธรรมกาย หรือนิพพานตายนั้นเคยบังเกิดมีพระพุทธเจ้ามากกว่าเมล็ดทรายในท้องพระมหาสมุทรทั้ง 4 นับประมาณไม่ได้ เมื่อเทียบกับต้นยุคที่กายมนุษย์เป็นทาน ศีล ภาวนา
เพราะฉะนั้นจึงไม่ถือว่าเป็นตัวเป็นตนครับ ก่อนอื่นคุณต้องเข้าใจให้ชัดๆ ช้าๆ ก่อนครับว่า อะไรไม่ใช่ตัวตน อะไรเที่ยง อะไรไม่เที่ยง กายทุกกายไม่ว่าจะเป็นวัยเด็กหรือผู้ใหญ่ไม่สามารถคงสภาพวัยเด็กได้ตลอดเวลามีการเปลี่ยนแปลงย่อมแปลว่าไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน เป็นเบญจขันธ์ คนตายแล้วก็ต้องทิ้งซากกายหยาบไว้ในโลกมนุษย์แม้แต่พระพุทธเจ้าเราท่านก็ต้องทิ้งสังขารที่เน่าเปื่อยได้ไว้บนโลก จะมีก็เพียงธรรมขันธ์เท่านั้นที่คงที่ไม่ต้องกลับมาเกิดอีกเท่านั้นครับ ดังนั้นในภพ 3 จึงไม่มีสิ่งใดที่เป็นตัวเป็นตนได้ถาวรเลย ขอให้เข้าใจด้วยนะครับ
และกายมนุษย์ที่จะเข้านิพพานกายเนื้อช่วงต้นที่กำเนิดเกิดมาก็ยังเป็นเบญจขันธ์นะครับ มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย เหมือนๆ กายมนุษย์เราในยุคนี้นี่แหละครับ
และผู้ที่จะเข้าถึงธรรมขันธ์ได้จะต้องปล่อยวางความยืดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเป็นตนถ้ายังยืดว่าเป็นตัวเป็นตนเป็นร่างกาย เป็นเราเป็นเขาก็ยังห่างไกลจากธรรมขันธ์มากครับ ขอให้เข้าใจข้อนี้ด้วยครับ
ดังนั้นกายมนุษย์จะหลุดจากเบญจขันธ์เป็นธรรมขันธ์ล้วนๆ ได้จะต้องเกิดหลังจากที่ตรัสรู้ตรัสเห็นในวิชชาที่สามารถฟอกกายใจจิตให้ขาวใสเป็นหนึ่งเดียวกันได้จึงจะสามารถเข้าพระนิพพานเป็นด้วยกายเนื้อได้ครับ
และการที่ผมไม่นำมากล่าวในที่นี้เพราะเป็นเรื่อง อจินไตย เหมือนอย่างผมบอกคุณว่า ในจักรวาลนี้มีดวงอาทิตย์ใหญ่เท่าระบบสุริยะจักวาลของเราคุณเชื่อไหมหละถ้าคุณไม่เคยไปเห็นเอง??? ถ้าคุณเชื่อแสดงว่าคุณเป็นคนหูเบาครับ?? ถ้าคุณไม่เชื่อแสดงว่าอวิชชาคือความไม่รู้ยังไม่ดับไปครับ ดังนั้นถ้าคุณต้องการที่จะพิสูจน์ของจริงในพระพุทธศาสนาคุณต้องปฏิบัติให้รู้เองเห็นเองครับถึงจะเรียกว่าถูกหลักวิชชาครับ
และการนำเรื่องแบบนี้ไปพูดให้คนนอกฟังคนที่ไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจก็จะยิ่งไม่เข้าใจ ผลเสียจะมีมากกว่าผลดีครับ โปรดเข้าใจข้อนี้ด้วยนะครับ
เรื่องบางเรื่องก็ไกลเกินไปสำหรับปุถุชน ไม่ต้องไปหวังไกลขนาดนั้นหรอกครับเอาแค่ตรัสรู้ให้ได้ในกายมนุษย์ธรรมดานี่แหละเอาให้รอดก่อนครับ ฌาน 1-4 ทำได้ไหม เข้ากายออกกายตลอดอนุโลมปฏิโลมทำได้ไหม กำจัดกิเลสละสังโยชน์ทำได้ไหม เรื่องอื่นๆ อย่าเพิ่งพูดไปไกลเลยครับมันจะฟุ้งป่าวๆ ครับ
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#10
โพสต์เมื่อ 08 March 2006 - 11:50 PM
#11 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 09 March 2006 - 03:34 PM
การเอาความจริงมาบอกมันผิดตรงไหนกันหรือครับ?
#12
โพสต์เมื่อ 10 March 2006 - 12:08 AM
หากความจริงที่ว่านั้น คือ การนำเอารายละเอียดเกี่ยวกับธรรมะภาคอจินไตยมาถกกันแล้วล่ะก็ ผมต้องขอย้อนถามคุณนะครับว่า ความจริงที่ว่านั่น คุณได้เป็นผู้รู้เองเห็นเองหรือเปล่าครับ? หรือว่าทรงจำมาจากตำรับตำรา? หรือไปฟังใครเขาพูดมาแล้วนำมาสรุปตามความเข้าใจของตนเองว่า นั่นคือความจริงหรือเปล่าครับ?
เรื่องนี้ผมขอเรียนตามตรงว่า โดยส่วนตัวผมเองนั้น จะไม่นิยมอ่านและสะสมหนังสือที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับธรรมะภาคขาวและดำ ด้วยเหตุผลที่ว่า
และเป็นทางเลือกที่ดีกว่า"
ประการที่สอง ผมไม่นิยมสนทนาเกี่ยวกับธรรมะภาคอจินไตยกับใคร (แม้ว่าจะได้รับการถ่ายทอด (เป็นคำพูด) มาจากผู้ที่รู้ เห็น เป็นวิชชาจริงก็ตาม) ด้วยเหตุผลที่ว่า
๑. หากสิ่งที่ได้นำมาสนทนากันนั้น เกิดการเบี่ยงเบนไปจากความเป็นจริง (ในเหตุละเอียด) ที่มีอยู่ แล้วทำให้ผู้ฟังที่มีอินทรีย์อ่อน หรือเป็นผู้มีจริตหนักไปในทางศรัทธามากกว่าปัญญา เกิดความเลื่อมใสนับถือคล้อยตามขึ้นมา บาปโทษย่อมเกิดแก่ตัวเรา ด้วยโทษฐานที่ทำให้ผู้อื่นเกิดความเข้าใจไขว้เขว ซึ่งความไขว้เขวนี้ก็คือ ความเห็นผิดหรือมิจฉาทิฏฐินั่นเอง ท่านก็ลองตรองดูเถิดว่า สถานที่เกิดใหม่สำหรับผู้ที่นิยมปลูกมิจฉาทิฏฐิให้กับผู้อื่นหลังจากที่ได้ละโลกไปแล้วนั้นเป็นที่ใด? ไม่ต้องบอกทุกท่านในที่นี้คงทราบดีนะครับ
๒. สิ่งที่นำมาสนทนานั้น เป็นสิ่งที่เรายังไม่มีโอกาสได้ไปรู้เห็นด้วยตนเอง แต่ที่รู้ก็เพราะได้สดับรับฟังมา เพราะฉะนั้น ณ เวลานี้ "รู้ไว้ใช่ว่า ติดขาติดแข้ง" ไปก่อนก็พอ ไม่ต้องถึงกับอินมากจนเกินเหตุ เนื่องจากเรื่องละเอียดที่นิยมเล่ากันแบบปากต่อปากนั้น ผมขอบอกจากประสบการณ์ตรงที่ได้อยู่วัดมานานกว่าสิบปีได้เลยว่า มีทั้งที่เป็นความจริงและไม่เป็นความจริง เพราะฉะนั้น ก่อนจะตัดสินใจเชื่อ พึงใคร่ครวญเทียบเคียงเสียก่อนด้วยโยนิโสมนสิการ แล้วนำเอาข้อมูลเหล่านั้นมาพิจารณาเทียบเคียงอย่างถี่ถ้วนด้วยสัมมาสติ สัมมาปัญญา และสัมมาทิฏฐิอยู่เสมอว่า ผิดหรือถูก จริงหรือเท็จ จากนั้นจึงค่อยตัดสินใจและลงมือเชื่อนะครับ
ประการที่สาม ธรรมะประเภทนี้ เป็นธรรมะที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ท่านสั่งห้ามศิษยานุศิษย์ของท่านในโรงงานทำวิชชา มิให้นำออกไปเผยแผ่ หรือพูดให้กับคนนอกฟัง ถึงตรงนี้ หากจะมีใครในที่นี้ถามผมว่า อ้าว! แล้วถ้าเป็นอย่างนี้ วิชชาธรรมกายก็เป็นวิชชาตายน่ะสิ เพราะไม่ได้ถูกนำออกไปถ่ายทอดให้กับอนุชนรุ่นหลัง คำตอบคือ ไม่ใช่นะครับ ขอเล่าว่า ในสมัยที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ท่านยังมีชีวิตอยู่ เมื่อศิษย์ในที่ปฏิบัติของท่านได้บรรลุถึงธรรมกายแล้ว ท่านก็จะทำการส่งต่อให้กับลูกศิษย์ของท่านในที่ทำวิชชาซึ่งเป็นผู้ที่ปฏิบัติจนกระทั่งเป็นธรรมะอย่างมั่นคงแล้ว มาเป็นผู้ดำเนินการต่อและถ่ายทอดธรรมะขั้นสูงเหล่านั้นให้ครับ ส่วนเรื่องของการที่จะเลือกใครเป็นผู้สืบทอดวิชชานั้น เป็นหน้าที่โดยตรงของพระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ หรือศิษย์ในที่ปฏิบัติที่ท่านไว้วางใจเป็นพิเศษจะเป็นผู้ทำหน้าที่ในการตรวจและคัดเลือก เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องกลัวว่าวิชชาจะร้าง หรือไม่มีผู้มาสืบต่อครับ ส่วนเหตุผลที่พระเดชพระคุณหลวงปู่ฯ ท่านห้ามนั้น ก็เพราะท่านเกรงว่า ผู้ที่ยังมิได้ปฏิบัติ หรือปฏิบัติแล้วแต่ยังไปไม่ถึงธรรมที่ท่านได้บรรลุ ได้มารับฟังและเกิดความไม่เข้าใจ ลบหลู่ดูหมิ่นขึ้นมา อันตรายจะเกิดขึ้นแก่ผู้ฟังนั้น เพราะฉะนั้นเรื่องเหล่านี้ ท่านจึงห้ามมิให้ศิษย์ในกำกับของท่านกระทำโดยเด็ดขาด และหากทุกท่านในที่นี้ ได้พบเห็นการกระทำของผู้ที่อ้างตนว่าเป็นศิษย์ของท่าน ซึ่งได้ทำการพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับการปราบมารออกมาจำหน่ายอย่างเป็นล่ำเป็นสันอยู่ในขณะนี้แล้วล่ะก็ ถึงตรงนี้ ท่านต้องให้คำตอบกับตัวของท่านเองแล้วนะครับว่า ควรหรือไม่ที่ท่านจะเลือกซื้อหนังสือเหล่านั้นมาอ่าน?
#13
โพสต์เมื่อ 10 March 2006 - 06:47 AM
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย
ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง
#14
โพสต์เมื่อ 10 March 2006 - 06:51 PM
และเป็นทางเลือกที่ดีกว่า"
เห็นด้วยอย่างยิ่งครับ.. เหมือนถกเรื่องว่ายน้ำอย่างไรให้ข้ามแม่น้ำได้ คุยปัญหาแต่เช้าถึงค่ำ แต่ไม่เคยลงน้ำ หรือได้เคยฝึกว่าย แล้วจะว่ายให้ถึงฝั่งอีกด้านได้อย่างไร
อย่าให้ความตั้งใจที่ดี เปลี่ยนแปลงไป กับกาลเวลา
เพราะเราไม่รู้ว่า่วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เราอาจจะอยู่หรือตาย
สิ่งที่เอาไปได้มีแต่บุญกับบาปเท่านั้น ฉนั้น เราต้องอยู่กับวันนี้
วันที่เราบอกตัวเองว่า วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุด ในวันหนึ่งของชีวิตการสร้างบารมีของเรา
โอไดบะ
โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
#15
โพสต์เมื่อ 13 March 2006 - 10:12 PM