ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

ชีวิตเปลี่ยนแปลงดีขึ้นอย่างไร เมื่อได้เข้าวัดฯ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 16 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 laity

laity
  • Members
  • 214 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 March 2006 - 07:31 AM

อยากได้ฟังเรื่องราวดี ๆ ครับว่า ชีวิตเปลี่ยนแปลงดีขึ้นอย่างไร เมื่อได้เข้าวัดฯ และเพราะเหตุอะไรถึงได้เข้าวัดฯ เพื่อวันหน้า และประคองตัวเองอย่างไรให้เข้าวัดได้โดยตลอด จะได้บอกเล่าให้คนอื่น ๆ ฟังด้วยครับ

#2 Minnie

Minnie
  • Members
  • 57 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 March 2006 - 08:33 AM

เคยสงสัยมาตั้งแต่เด็กค่ะ ว่าคนเราเกิดมาเพื่ออะไร ในเมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องตายอยู่ดี และถ้าคนเราตายแล้วเกิดใหม่ สลับกันไปอยู่อย่างนี้ จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน จนกระทั่งได้พบคำตอบจากพระเดชพระคุณหลวงพ่อ จากศาสนาพุทธของเรา และยิ่งได้มาเข้าใจในมโนปณิธานอันยิ่งใหญ่ของพระเดชพระคุณหลวงพ่อแล้ว ยิ่งรักวัด รักหลวงพ่อ รักหมู่คณะมากค่ะ สิ่งเหล่านี้เองค่ะที่ช่วยประคับประคองตัวเอง ให้ไปวัดและหมั่นสร้างบารมีได้อย่างต่อเนื่องค่ะ

#3 aoi

aoi
  • Members
  • 356 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 March 2006 - 08:51 AM

แต่ก่อนก็ไม่คิดจะทำบุญไม่ว่าจะวัดใดก็ตามแค่ทำบุญตามประเพณีเพราะคิดว่าเราไม่ได้ทำบาปแล้วเราจะทำบุญทำไมยังไงเราตายไปก็ไปสวรรค์อยู่ดี แต่พอได้รู้จักวัด ได้รู้จักคุณครูไม่ใหญ่ทำให้รู้ว่าที่เราคิดนั้นผิดหมดเลย การที่เรามีชีวิตอยู่ได้ในทุกๆ วันก็เพราะบุญ ถ้าเราใช้บุญทุกวันแต่ไม่เติมบุญ สักวันบุญก็จะหมดไป ทุกวันนี้เลยทำทาน รักษาศีล นั่งภาวนาทุกวัน ยุงก็ไม่เคยตบเลยแม้จะรำคาญมากแค่ไหน ถึงแม้จะเจ็บป่วยแค่ไหนหรือเงินมีน้อยแต่ก็ไม่เคยขาดเรื่องทำบุญเลยเพราะเรารู้สาเหตุว่าเราไม่มีเงินเพราะในอดีตเราทำทานมาน้อยเพราะฉะนั้นเราก็ต้องแก้ที่ต้นเหตุคือการให้ทาน การที่เราเจ็บป่วยบ่อยก็เพราะเราทำปาณาติบาตมาเยอะก็ต้องแก้ด้วยการปล่อยปลา ฯลฯ อยากจะบอกว่าชีวิตนี้โชคดีมากที่ได้มาพบพระเดชพระคุณหลวงปู่, หลวงพ่อ และคุณยาย รวมถึงกัลยาณมิตรทุกๆ ท่าน ถ้าไม่มีวัดก็คงไม่พบกับทางสว่างค่ะ
อนุโมทนาบุญค่ะ
เราเกิดมาสร้างบารมี




#4 Omena

Omena
  • Members
  • 1409 โพสต์
  • Location:44/5 หมู่ 10 ตำบลหนองอ้อ ถนนเพชรเกษม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี 70110

โพสต์เมื่อ 08 March 2006 - 09:50 AM

ตอนเด็กๆแม่ก็พาเข้าวัด แต่ไม่ยอมเข้า เพราะแม่จะไม่ดูแลเวลามาวัด(หรือที่อื่นๆ) เลยไม่อยากมา มาก็ลำบาก แม่จะคาดหวังว่า เราเกินขวบแล้ว ดูแลตัวเองได้ 8o|

มาสนอีกทีก็เมื่อเวลาผ่านไปนานจนน่ากลัว ถึง 15 ปี :'(
กลับมาเอง เพราะพ่อจะให้ไปเรียนต่อที่แคนาดา (เดือนกรกฎาก้ไปแล้วค่ะ 8-) ) เลยอยากไปดูบั้งไฟพญานาค เพราะคงไม่มีโอกาสได้เห็นอีกแล้ว แม่ก็ให้ไปกับคณะที่วัดเรา ประทับใจมากที่ตอนค่ำมีสวดคุณพระรัตนตรัย (ไม่เห็นบั้งไฟเลยสักดวงเดียว)


หลังจากนั้น ก็ขอแม่ติดรถมาวัดวันอาทิตย์ พอมาถึงก็มีพี่ชวนไปอยู่อาสาสมัครแผนกต้อนรับ(กตล.) ไปได้เพื่อนอยู่ เราก็ได้ไปเห็นคำว่า "หยาดเหงื่อที่กลั่นเป็นบุญ" เห็นแล้วสะท้าน อยากทำงานให้วัด เพราะเงินที่เราให้ ไม่ใช่เงินบริสุทธิ์ แบมือขอพ่อขอแม่ ไปช่วยงานจนก่อนกลับ ก็มีเพื่อนคนหนึ่ง ชื่ออะตอม ถามว่า "อาทิตย์หน้าจะมาไหม" "คิดดูนะว่าถ้าเรามาแต่ต้นเดือน ปีหนึ่งก็แค่ 12 ครั้งเอง ถึงมาทุกอาทิตย์ ก็แค่ 52 ครั้งเองนะ" ถึงกับอึ้ง เพราะจริงอย่างที่เขาว่า

อาทิตย์ต่อมา หนูก็มาวัดเองเพราะแม่ไม่มา (บ้านอยู่ราชบุรี) แต่ไม่ได้ไปที่อาสาสมัคร เพราะไปสัมภาษกับพี่คนหนึ่ง เรี่องจะไปตั้งศูนย์ ขอบอกเลยว่าไม่เคยเห็นวัดมีคนน้อยเท่าวัดอาทิย์ธรรมดามาก่อน ดังนั้นควรอย่างยิ่งที่ทุกคน จะไปวัดทุกวันอาทิตย์

หลังจากนั้นไม่นานหนูก็ได้ไปช่วยงานกองสื่อทุกวันอาทิตย์ เป็นคนเย็นลงมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ อาจดูไม่สำคัญ แต่รู้สึกดี
แล้วก็มาวัดเสาร์ กลับวันอาทิตย์ เดี๋ยวนี้ก็กำลังชวนแม่ให้มาวัดบ่อยๆค่ะ


ปล. ถึงเพื่อนๆที่ กตล. ขอโทษนะคะ ที่ไม่ได้ไปอีกเลย แต่คิดถึงทุกคนมากๆนะ โดยเฉพาะอะตอม ซ้อน แล้วก็กวาง


#5 สิริปโภ

สิริปโภ
  • Members
  • 1766 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:เรื่องลึกลับ

โพสต์เมื่อ 08 March 2006 - 10:37 AM

หล่อ รวย สวย ฉลาด สมปราถนา อาจหาญร่าเริง ทั้งทางโลก และทางธรรมเลยครับ




#6 Trai072

Trai072
  • Members
  • 225 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 March 2006 - 02:39 PM

^^~*

เคยถามตัวเองเหมือนกันครับว่า...

เกิดมาทำไม ... แล้วมีอะไรบางอย่างที่เรากำลังตามหา ...

แล้วมาวันหนึ่ง ตอนที่เรียนปฐม ผมได้ไปเจอรูปภาพ ซึ่งรูปภาพนั้น

มีพระสงฆ์ รูปหนึ่ง ถือดวงแก้วชูไว้ในท่านั่งสมาธิ

ผม เห็นแล้วรู้สึก อบอุ่น แล้วก็ยืนมองนาน ๆ

และเวลาผ่านไปก็จะ ยืนมอง สักครู่ แล้วก็มีความรู้สึก ดีมาก ๆ

และต่อมา ผมก็ได้เข้ามาวัด เพราะมีคุณครูชวนมา

ผมก็รู้ว่า เพราะสงฆ์ รูปนั้น คือ พระเดชพระคุณหลวงพ่อ นั้นเองครับ

และผมก็ได้เข้ามาไว้เรื่อยๆ ประมาณ 13 ปี ผมรูสึกว่า วัดคือ บ้าน ที่แท้จริง

เพราะได้มาไว้ที่ไร ผมจะรู้สึกอบอุ่น แล้วก็มีใจสูง มองทุกอย่างคือ ความสุข

ผมคิดว่า ทุกคนก็ คิดแบบนี้ใช่มั้ยครับ ...

พื้นฐานของ จิตใจ ของเราคือ ความรู้สึกอบอุ่น และรู้สึกดี

กับสิ่งที่เป็นความสุขอันยาวนาน นั้นคือ วัดครับ ^^~**

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะครับ ... สาธุ ...


ไฟล์แนบ



#7 gioia

gioia
  • Members
  • 593 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 March 2006 - 03:03 PM

โอโห โมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ
เข้าวัดตั้งแต่เยาว์วัยทั้งนั้นเลย อธิษฐานกันมาดีทั้งนั้นค่ะ

เราเริ่มเข้าวัดได้ไม่นาน อายุก็เลยเลขสามแล้วค่ะ
ทำให้ต้องเร่งตัวเองเสมอๆ กลัวไม่ทันค่ะ
ชีวิตเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น

ความผิดพลาดที่เคยทำมา เมื่อก่อนก็คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาของชีวิตมนุษย์ ใครๆก็ทำกัน
แต่เดี๋ยวนี้เลิกเด็ดขาดค่ะ ความชั่วแม้เพียงน้อยนิดก็ไม่คิดทำ
ใช้ชีวิตได้ถูกต้องมากขึ้น รู้แล้วว่าเราเกิดมาทำไม

และอยากให้คนอื่นรู้บ้าง เริ่มจากคนใกล้ตัว แล้วก็ขยายออกไป
เข้าใจในงานของหมู่คณะค่ะ ที่สำคัญคือ อบอุ่นใจค่ะ
เพราะรู้ว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกค่ะ ความหงอยเหงาซึมเศร้าหายไป

มีเพื่อนในกายที่คอยเตือนตนเองให้อยู่แต่ในบุญค่ะ
รู้ว่ามีฐานพลังเบื้องหลังคอยส่งให้เราไปทำหน้าที่ค่ะ
รู้สึกว่าได้ใกล้ชิดท่านคุณยายอาจารย์และพระเดชพระคุณหลวงพ่อค่ะ

#8 laity

laity
  • Members
  • 214 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 March 2006 - 10:32 PM

เริ่มต้นตั้งแต่เล็ก แม่พาใส่บาตร เข้าวัด ไหว้พระ แม่บอกว่าเป็นลูกพระ เพราะแม่ขอกับท่านไว้ จึงมีพ่ออีกองค์ เป็นพระยืนอยู่ที่วัดโพธิ์ แต่เล็ก ๆ ชอบหยิบหนังสือธรรมะพ่อมาอ่าน จำได้ว่าหัดนั่งสมาธิเอง ตั้งแต่เล็ก โดยการอ่านจากหนังสือ ในห้องพระ คิดว่าน่าจะเคยอ่านเรื่องวัดสมัยยังเล็กด้วย..แต่แล้วก็ห่างธรรมะไปยาวนานหลายสิบปี จนโต

ครั้นเมื่อเห็นชีวิตยาย ชีวิตที่มีการแก่ เจ็บ แล้วตาย จึงเริ่มสนใจอีกครั้งว่า ชีวิตเราเกิดมาทำไม..ค้นหาตนเองก็ไม่รู้คำตอบ จนเรียนจบปริญญาตรี เมื่อสิบกว่าปีก่อน จึงได้มีโอกาสมาใช้ชีวิตต่างแดน ที่ญีปุ่น ได้พบหลวงพี่ฐานะ คุยกับท่านสองสามชั่วโมง สุดท้ายท่านชวนบวชธรรมทายาท พอกลับเมืองไทย ก็ได้มาบวชรุ่นที่ 22 ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็เข้าวัด โดยตลอด มีบางช่วงปีที่ทำปริญญาโท ที่ห่างวัดไปสักพัก แต่ไม่นานนัก ก็มีกัลยาณมิตรมาชวนเข้าวัดอีก ก็เข้าโดยไม่มีข้อแม้ แม้ช่วงที่วัดเกิดปัญหา

ทว่าก็ไปมีชีวิตคู่ ภรรยาเป็นคนดี มีพื้นฐานธรรมะดี ก็ได้ชวนกันเข้าวัด ชีวิตทุกอย่างก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ มีโอกาสได้ทำบุญใหญ่ ๆ ก็ยิ่งทำใ้ห้ชีวิตดีขึ้นอีก การงานขยับขึ้นโดยตลอด ไ้ด้ทำงานในบริษัทระดับโลก เป็นหัวหน้ามีทีมงานนับสิบ เป็นครูสอนคน มีลูกศิษย์นับร้อย ได้บ้าน ได้ที่ดิน ได้รถยนต์ ฯลฯ ทั้ง ๆ ปี 2546 แม่ก็มาจากไป ยิ่งเร่งทำบุญให้แม่ มากขึ้น ๆ ในทุก ๆ บุญ

และอยู่ ๆ ก็ได้ทุนรัฐบาลญี่ปุ่น มาเรียนต่อปริญญาโทอีกใบที่ญี่ปุ่น เรียนกับมหาวิทยาลัยอันดับต้น ๆ ของญี่ปุ่น ซึ่งแม้คนญี่ปุ่นเองยังต้องแข่งขันให้ได้เรียน และยังมีเงินเหลือพอสร้างบารมีต่อ ใครจะเชื่อ แต่ผมเชื่อว่า บุญมีจริง และผลแห่งบุญในชาตินี้มีจริง

ทุกวันนี้ มีวัดเสมือนเป็นบ้าน มีหลวงปู่ หลวงพ่อ หลวงพี่ คุณยายเป็นหลักใจ มีธรรมะองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง เป็นหลักชีวิต จนเพื่อนที่เรียนแปลกใจ เคยถามผมว่าทำไมเวลาที่ผมพูดภาษาอังกฤษ ถึงเป็นภาษาอังกฤษที่มีเสียงเย็นสงบ แตกต่างจากคนอื่น นอกจากนี้ยังไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ ผมบอกเขาว่า ผมนั่งสมาธิและเข้าวัดวันอาทิตย์..แม้อยู่ที่นี่ ผมก็เข้าวัดฯ เพราะที่นี่ วัดคือบ้านของผม
อย่าให้อุปสรรคใด ๆ มาขัดขวางในชีวิตการสร้างบารมี และ
อย่าให้ความตั้งใจที่ดี เปลี่ยนแปลงไป กับกาลเวลา
เพราะเราไม่รู้ว่า่วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เราอาจจะอยู่หรือตาย
สิ่งที่เอาไปได้มีแต่บุญกับบาปเท่านั้น ฉนั้น เราต้องอยู่กับวันนี้
วันที่เราบอกตัวเองว่า วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุด ในวันหนึ่งของชีวิตการสร้างบารมีของเรา

โอไดบะ
โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น

#9 LiL' Faery

LiL' Faery
  • Members
  • 1160 โพสต์
  • Location:@ Time : Europe
  • Interests:Basic and Advance Meditation;วิชชา ธรรมกาย<br />Birth Day : 19 January

โพสต์เมื่อ 10 March 2006 - 07:14 AM

Where should I start? This is not the time....typ Thai tooo sloooow kah! But beautiful picture may I copy-save it? happy.gif
คุณครูไม่ใหญ่ บอกว่า :
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ^_^ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง

#10 แจ่ม

แจ่ม
  • Members
  • 196 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 March 2006 - 01:16 AM

เริ่มจำความได้ก็คือได้ยินแต่เสียงสวดมนต์แล้วก็อยู่ท่ามกลางพระกับแม่ชี เหะๆ ถามว่าชีวิตเปลี่ยนแปลงยังไงหลังเข้าวัด อืม มันก็เป็นของมันอย่างนั้นตั้งแต่เด็กมาถึงปัจจุบันซึ่งก็เลยเศษหนึ่งส่วนสี่ของชีวิตไปแล้ว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหวือหวา มีเรื่องกระทบใจบ้างบางครั้งคราวตามภาษามนุษย์ที่ยังตกอยู่ในอำนาจกิเลส แต่ก็ประคับประครองตัวเองไปได้ด้วยธรรมะที่ได้เรียนรู้มาจากการฟังเป็นส่วนใหญ่ และยิ่งทำให้เข้าใจธรรมะมากขึ้น ทุกอย่างรอบตัวมันก็เป็นเรื่องธรรมดา เป็นไปตามโลกธรรมแปด ไม่เคยประทับใจอะไรเป็นพิเศษตอนเข้าวัดใหม่ๆ เพราะเห็นเป็นเรื่องธรรมดา แค่รู้สึกยินดีที่มีโอกาสกว่าหลายๆคนในโลกนี้ และทำให้สำนึกในพระคุณพ่อแม่ยิ่งขึ้นที่ท่านได้นำเรามาทางสว่างโดยที่เราไม่ต้องออกปากขอร้องหรือไปเดินตามหาเอง แล้วก็สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ทรงตรัสสอนธรรมที่ท่านตรัสรู้ให้แก่ชาวโลก พระคุณของครูบาอาจารย์ที่ท่านได้เมตตาถ่ายทอดธรรมะเหล่านั้น และพร่ำสอนเรื่องการสร้างบารมี นึกถึงว่าเราโชคดีอย่างนี้ทำให้ยังตั้งใจสร้างบารมีจนถึงปัจจุบัน

#11 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 13 March 2006 - 08:22 AM

สืบเนื่องมาจากกระทู้นี้ครับ

http://www.dmc.tv/fo...802

ผมใช้ชื่อ"ชาวธรรมกาย"ลองไปโพสถามเขาดูนะครับ จะได้ให้พวกเขาเห็นมุมมองของพวกเราบ้างในนี้ผมอยากให้พี่ๆ ช่วยเข้าไปตอบในweb bpctหน่อยครับ กับประเด็นคำถามของผู้สงสัยคุณชาวพุทธคนหนึ่งและก็อีกหลายๆคน

http://www.bpct.org/...&id=851&catid=7

อ้อ อีกเรื่องหนึ่งผมสงสัยว่าทำไมทั้งที่วิปัสนานั้นเรียบง่ายขนาดนี้ทำไมวัดธรรมกายไม่ได้สอนพวกเราตั้งแต่ต้นละครับ ดูๆแล้วนั้นน่าจะเป็นจุดประสงค์หลักของพระพุทธเจ้าท่านด้วยซ้ำ?
ผมมองว่าการสอนสมถะโดยไม่สอนวิปัสนาอาจทำให้ปุถุชนอย่างเราหลงทางได้ง่ายนะครับ

#12 แจ่ม

แจ่ม
  • Members
  • 196 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 March 2006 - 02:25 PM

ผู้มาเยือนคะ
คุณเข้าใจผิดแล้วล่ะค่ะ วัดพระธรรมกายสอนสมาธิแบบ สมถะ-วิปัสสนาสมาธิ การที่จะสามารถนั่งสมาธิได้ถึงขั้นวิปัสสนานั้นจะต้องเริ่มจากการทำใจหยุดนิ่งสนิทซึ่งก็คือสมถสมาธิ ทั้งสองแบบนี้จริงๆแล้วก็แยกกันออกไม่ได้หรอกค่ะ เมื่อใจยังไม่หยุด ปัญญาก็ยังไม่เกิด ปัญญาที่ถูกต้องจะเกิดได้ต่อเมื่อมีธรรมจักขุของธรรมกายค่ะ เมื่อได้ธรรมกายแล้วเราก็เหมือนได้พบกับห้องเรียนภายในค่ะ ส่วนคำว่าธรรมกายนั้นก็คือ กายตรัสรู้ธรรม ลองอ่านข้อความต่อไปนี้ดูนะ เป็นคำอธิบายจากพระอาจารย์รูปหนึ่งค่ะ

Samatha-vipassanaa meditation
(samathakamma.thaana/vipassanaakamma.thaana) is composed of two
interacting components -- tranquility (samatha) which entails making
the mind still and insight (vipassanaa) which is the wisdom and
understanding of the world as it really is -- the latter arising from
the mind which is still.

Meditators who channel their mind through the Middle Way at the centre
of the body from the Physical Human Body to the Subtle Formless-Brahma
Body are still meditating only at the level of Samatha [calm]. The
eyes of these aforementioned bodies are still blind to the way in
which the aggregates are subject to the Three Characteristics
[tilakkhanaa]. Only when the mind can attain the Dhamma Body can one's
meditation be said to have reached the stage of Vipassanaa [insight] –
because only then are you able to see for yourself that the aggregates
are subject to the Three Characteristics of impermanence [aniccaa],
suffering [dukkhaa] and non-self [anattaa].

What is the true meaning of 'insight' (vipassanaa) meditation? In fact
insight is insightful vision or seeing things according to their true
nature, seeing them thoroughly from every perspective. The 'Dhamma'
eye is the eye of the 'Body of Dhamma' which has the ability to
penetrate to the truth, especially to know the origins of defilements,
how they come to enslave the mind and how we can overcome them. This
is a major difference from the naked (physical) eye to which the
defilements are invisible. The limits of our human senses are to know
the manifest symptoms of defilements – for example we realize "these
are the signs of greed", "these are the signs of hatred", "these are
the signs of delusion". Human senses have no way of detecting the
working of defilements, and therefore we have no way of even knowing
how to start removing those defilements from the mind. It is no wonder
that we lack the wisdom to transcend those defilements absolutely
(samucceda-virati) – and that is why we are stuck as the victims of
our own suffering without any hope of escape.

By contrast, the eye of the Dhamma Body is able to penetrate and
understand the nature of all things all the way from the root of the
cause to the implications of the effects – that is why the Dhamma Body
is able to transcend suffering. Thus the Dhamma Body is what enables
insight – the Dhammakaya is what 'sees'. Besides 'seeing' the
Dhammakaya is also what 'knows' – furnishing a penetrating
understanding by use of its 'jewel knowing' (~naa.naratana) – to the
point of liberation from those things, and attaining permanence
(nicca.m), happiness (sukha.m) and true self (attaa)



#13 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 14 March 2006 - 11:43 AM

ขอlinkที่มาด้วยครับจะได้เข้าไปตอบได้ว่าอ้างอิงมาจากวัดธรรมกายจริงๆ

http://www.bpct.org/...&id=851&catid=7

#14 แจ่ม

แจ่ม
  • Members
  • 196 โพสต์

โพสต์เมื่อ 14 March 2006 - 10:33 PM

ไม่มีลิงค์หรอกค่ะ เพราะเป็นอีเมล์ที่ดิฉันเคยเรียนถามพระอาจารย์มา
ถ้าคราวหลังคุณมีข้อสงสัยอะไรก็ควรจะไปกราบขอความเมตตาพระอาจารย์ที่วัดให้ท่านช่วยไขข้อสงสัยให้นะคะ เราเองจะได้ไม่มีข้อข้างคาใจน่ะค่ะ

#15 huy072

huy072
  • Members
  • 168 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:เชียงใหม่

โพสต์เมื่อ 15 March 2006 - 10:48 PM

ขอบอกว่าตอนแรกเกลียดวัดเพราะฟังจากสื่อคะ
พอดีบังเอิญได้รู้จักกับหลวงพี่ที่วัด

ท่านบอกว่าอยากรู้อะไรอยากค้นหาอะไรมาดูที่วัดซิเลยมาดู
ครั้งแรกมาก็ประทับใจสุด
แอบหนีออกจากบ้านครั้งแรกในชีวิตมาวัดนี่แหละ
จนความแตกม๊าโทรมาน้ำตานองเลย
ว่ามาวัดคนเดียวไม่ปลอดภัย
พอกลับจากวัดม๊าไม่พูดด้วยเลยเป็นอาทิตย์ๆ(ขอบอกว่าเป็นคนติดแม่มาก)
ไม่รู้จะทำไง ก็ปล่อยเวลาผ่านไปสักระยะกลับมาคุยกับม๊าใหม่
ม๊าก็ยังไม่เข้าใจ หลังดื้อซะเลยหนีมาวัดเอง(อยู่คนละที่กับม๊า)
โดยที่ไม่บอกใครวสักคน พอมาถึงค่อยโทรบอกป๊าว่าอยู่วัด
ป๊าไม่ชบวัดแต่ให้มาได้เพราะคิดว่าวัดปลอดภัย
ใจชื้นขึ้นเยอะ ยังไงป๊ายอมรับ เดี๋ยวสักพักม๊าก็คงต้องยอมรับเองละ

#16 ขอไปด้วยคนครับ

ขอไปด้วยคนครับ
  • Members
  • 1 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 October 2006 - 12:09 AM

รู้สึกว่าทำไมมีแต่คนคอยห่วงใยเรา เหมือนว่าเราเคยเป็นครอบครัวเดียวกันมาก่อน (แวบแรกก็คุ้นเลย) รู้สึกว่าไปไหนมาไหนก็จะมีหลวงปู่คอยสอดส่องดูเเล สั่งสอนตลอด และ ชีวิตดีขึ้น หาเงินง่ายขึ้น

#17 jane_072

jane_072
  • Members
  • 539 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 June 2007 - 01:04 PM

ขออนุโมทนาบุญกับทุกท่านด้วยนะครับ...สาธุๆๆ