คนเก่งจริงไม่เรื่องมาก คนฉลาดจริงไม่มากเรื่อง (บุคลากรวัดพระธรรมกายควรอ่านครับ)
#1
โพสต์เมื่อ 19 October 2006 - 07:48 PM
ผมได้อ่านบทความของคุณ วินทร์ เลียววาริณ. แล้วก็ได้ย้อนกลับมาทบทวนตนเอง
เพื่อปรับปรุงพัฒนาตนเองในทางโลกและทางธรรม ผมได้พบจุดด้อยของผม เพราะได้อ่านจากบทความนี้ และผมตั้งใจจะนำจุดด้อยของผมที่พบมาปรับปรุงให้เป็นจุดเด่นเพื่อสร้างโอกาสให้กับชีวิตที่สงบ และสง่างามในคราบฆราวาส ต่อไป
ก็เลยทำให้นึกถึงสหธรรมิกที่เวบบอร์ด ดีเอ็มซี ได้หลังจากห่างหายไปนานเนื่องจากภารกิจทางโลกคือเพิ่งเรียนจบโทวิดวะที่ลาดกระบัง(หลังจากตรากตรำมานาน)
จะรับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระเทพฯ ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2549
ที่ไบเทคบางนา และกำลังจะตระเตรียมต่อเอกให้สมบูรณ์แบบทางโลก
แล้วค่อย ปลีกตัวแสวงหาโมกขธรรมในเบื้องหน้าต่อไป..ครับ
ก็ขอเอาบทความนี้ที่ผมอ่านแล้วได้พบจุดด้อยในตัวกระผม มาฝากพี่ๆน้องๆ วงบุญหลวงปู่ หลวงพ่อ คุณยายฯ เผื่อจะได้ข้อคิดนำไปช่วยงาน
ของคุณครูไม่ใหญ่ที่เป็นต้นบุญต้นแบบของพวกเราทั้งหลายให้สำเร็จนะครับ
...............................................................................................................................................
คนเก่งจริงไม่เรื่องมาก คนฉลาดจริงไม่มากเรื่อง
โดย วินทร์ เลียววาริณ.
วันแรกที่เข้าเรียนในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมพบเรื่องอัศจรรย์อย่างหนึ่งเมื่อรุ่นพี่บางคนบอกว่า " การอดนอนเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเรียนในคณะนี้"
วันสุดท้ายในคณะนี้ ผมพบว่าตั้งแต่เรียนมาห้าปี ไม่เคยต้องอดนอนเลย ยกเว้นเมื่อต้องทำงานกลุ่ม ทั้งนี้มิใช่เพราะผมทำงานเร็วกว่าคนอื่น ...
แต่เพราะผมไม่เชื่อในทัศนคตินั้น จึงพยายามพิสูจน์ว่ามันไม่จริง
และพบว่า การวางแผนที่ดีแก้ปัญหาได้ทั้งหมดแม้แต่การสร้างสรรค์งานศิลปะ.
.ที่น่าขันก็คือ น้อยคนที่อดนอนได้คะแนนดี
ผมเป็นมนุษย์เงินเดือนมานานร่วมสามสิบปี..ห้าปีในนั้นผมทำงานในต่างประเทศ
.. เมื่อกลับมาเมืองไทย ผมพบเรื่องอัศจรรย์อีกเรื่องหนึ่ง
นั่นคือหลายคนมองการก้าวเท้าออกจากสำนักงานตรงเวลา
" เป็นเรื่องประหลาดที่สุดในโลก "
ผมรู้ความจริงภายหลังว่า ...
คนจำนวนมากไม่ยอมออกจากสำนักงานตรงเวลา
เพื่อแสดงให้เจ้านายเห็นว่า ตนเองขยันขันแข็ง ยิ่งอยู่ดึก
ยิ่งเป็นพนักงานตัวอย่าง เสียสละเพื่อองค์กร น่ายกย่องชมเชย
บ่อยครั้งมีผลถึงการได้รับโบนัสตอนท้ายปี..
เนื่องจากเจ้านายมักเห็นหน้าเห็นตาใครคนนั้น หลังเวลาเลิกงานแล้วเสมอ
หากไม่เคยทำงานในต่างประเทศมาก่อน ผมอาจเข้าร่วมวงไพบูลย์
" มาสายกลับดึก" ด้วย
แต่หลายปีในชีวิตการทำงานในประเทศที่มีประสิทธิภาพในการจัดการที่สุด..
ทำให้เห็นค่าเวลาทุกนาทีในชีวิต
ผมกลับมองว่าคนที่อยู่ดึกเป็นประจำคือพวกไร้ประสิทธิภาพ
ไม่สามารถทำงานให้เสร็จทันเวลา จึงต้องอยู่ดึก
ยิ่งทำงานมากชั่วโมงยิ่งแสดงถึงการทำงานโดยไม่มีการวางแผน
ไม่มองภาพรวม
ลองคิดดู ....
การอยู่ดึกเพื่อทำงานพิเศษหนึ่งคืนหมายถึงค่าไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้น
เครื่องปรับอากาศทำงานมากขึ้น ค่าทะนุบำรุงสูงขึ้น
ผลกระทบต่อคนทำงานคือพักผ่อนน้อยกว่าที่ควรเป็น
ยิ่งอยู่ดึก ประสิทธิภาพของงานในวันถัดไปยิ่งตกต่ำลง
. มือกระบี่ชั้นหนึ่งในแผ่นดินมองท่วงทีของศัตรูอย่างระวัง
ตวัดกระบี่ในมือเพียงฉับเดียว ก็เข่นฆ่าฝ่ายตรงข้าม
มือกระบี่ชั้นรองต้องประกระบี่ดังโคร้งเคร้งนานนับชั่วโมง
ราวกับอยากบอกโลกว่า .. ข้าก็ใช้กระบี่นะโว้ย
โลกรับรู้ แต่คมกระบี่ก็บิ่น ต้องเสียเวลาลับกระบี่อีกหลายวัน
งานดีอย่างเดียวไม่พอ ต้องตรงเวลาด้วย
งานดีไม่มีทางเกิดขึ้นตามยถากรรม .หรืออารมณ์ขึ้นลง
ไปจนถึงความหนาแน่นรัดกุมของกฎเกณฑ์ "ตอกบัตร"
ปริมาณเวลาในการทำงานชิ้นหนึ่งไม่ได้เป็นสัดส่วนกับคุณภาพของผลงานเสมอไป
บ่อยครั้งเป็นปฏิภาคกัน .หลายครั้งงานที่ให้เวลาน้อย กลับออกมาดีกว่างานที่ให้เวลามาก
" คนเก่งจริงไม่เรื่องมาก คนฉลาดจริงไม่มากเรื่อง
ทำงานเสร็จแล้วก็เลิก! ไม่ต้องรอเทวดาบนสวรรค์วิมานมารับรู้ "
เพราะถึงเวลานั้นเทวดาก็กลับบ้านไปแล้ว..
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#2
โพสต์เมื่อ 19 October 2006 - 08:06 PM
อนาคต Doctor ด้วยคะ
ไฟล์แนบ
#3
โพสต์เมื่อ 19 October 2006 - 08:14 PM
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ
เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี
#4
โพสต์เมื่อ 19 October 2006 - 08:31 PM
ขอแสดงความยินดีกับบัณฑิตใหม่ด้วยนะคะ
ตอนนี้ MIHARU ก็กำลังตรากตรำอยู่ (ใช้คำว่าตรากตรำ..ใช้ได้ถูกต้องจริๆ ) อีกปีครึ่งก็จะจบปริญญาเอกทางโลกเสียที
เป็นกำลังใจให้นะคะ
#5
โพสต์เมื่อ 19 October 2006 - 09:06 PM
ในที่สุดก็กลับมา ยินดีต้อนรับ กลับบ้านค่ะ
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ
#6
โพสต์เมื่อ 19 October 2006 - 09:19 PM
….
และกำลังจะตระเตรียมต่อเอกให้สมบูรณ์แบบทางโลก
แล้วค่อย ปลีกตัวแสวงหาโมกขธรรมในเบื้องหน้าต่อไป..ครับ
ยินดีกับความสำเร็จ และเป้าหมายที่มีคุณค่าของพี่ เถลิงเกียรติ ด้วยนะครับ
ใครๆก็บ่น คิดถึงพี่กัน หวังว่า พี่คงมีเวลามาแบ่งปันและสนทนาธรรม บ่อยๆ นะครับ
สาธุ ครับ
ไฟล์แนบ
#7
โพสต์เมื่อ 19 October 2006 - 09:30 PM
มาร่วมแสดงมุทิตาจิตกับมหาบัณฑิตใหม่ทั้งทางโลกและทางธรรมด้วยคน
ขอนำภาพวิหารหลวงปู่ฯมาฝาก
ไฟล์แนบ
#8
โพสต์เมื่อ 19 October 2006 - 11:02 PM
กลับมาครั้งนี้มี บทความดี ๆ มาฝาก อีกด้วย อนุโมทนา สาธุ สาธุ สาธุ ครับ
#9
โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 05:08 AM
มาแสดงความยินดีด้วยคนนะครับ
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น
ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส
อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
[/color]
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒
"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"
"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"
#10
โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 07:07 AM
#12
โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 08:44 AM
การทำงาน โดยยึดประสิทธิภาพสูง ประหยัดสุดนั้น
ชาวตะวันตกไกล ส่วนมากทำได้ดีมากจริงๆครับ โดยเฉพาะชาวอเมริกัน
ผมเห็นด้วยหลายอย่าง แต่ไม่ทั้งหมด
ขอแลกเปลี่ยนทัศนะดังนี้ครับ
ข้อนี้เห็นด้วยอย่างยิ่ง
โดยเฉพาะ
คนดี มีคุณธรรมสูงจริง จะไม่เรื่องมาก
คนดีมีคุณธรรมสูงจริง จะไม่มากเรื่อง
ข้อนี้ผมว่ามองเรื่องรากฐานทางชนชาติและสภาพทางภูมิประเทศ ภูมิอากาศ
รวมถึงรากฐานทางความเชื่อในหลักศาสนา มารยาททางสังคมของชนชาตินั้นด้วย
เพราะเป็นสิ่งที่หลอมหลอม บุคลิกลักษณะ ความเป็นตัวตนของชนชาตินั้นๆขึ้น
เช่น
คนที่อาศัยในแถบภูมิประเทศหรือสภาพภูมิอากาศ ต้องผจญกับภัยทางธรรมชาติอยู่เนืองๆ
ภัยหนาวบ้าง ภูเขาไฟระเบิดบ้าง น้ำท่วมบ้าง พายุถล่มบ้าง
ร้อนจัด แห้งแล้งเป็นทะเลทราย จนปลูกพืชผักไม่ได้บ้าง เป็นต้น
แน่นอนเพื่อความอยู่รอดในสภาพสิ่งแวดล้อมเหล่านั้น
มนุษย์จึงต้องดิ้นรน สนหาความรู้ และพัฒนาสิ่งต่างๆ
เพื่อรับมือ ป้องกันภัยธรรมชาติดังกล่าว
เวลาทุกนาทีจึงมีความหมาย เพราะมีอันตราย ความเป็น ความตาย ในเสี้ยววินาที
อากาศหนาวๆ ภัยธรรมชาติก็รอบตัว
จะทำอะไรก็ต้องทำไวๆ คิดไวๆ พูดเร็วๆเป็นรถด่วน ทำไวๆจะได้หายหนาว
หรือประเทศใดมีศึกสงครามบ่อย ก็ต้องคิดค้นอาวุธ คิดยุทธวิธีการรบอยู่เสมอ
ดังนั้นจึงต้องคิด ต้องเค้นศักยภาพในตัวให้ได้มากที่สุด
และต้องใช้วัสดุ เวลา งบประมาณ + การจัดการ
ให้มีประสิทธิภาพสูง ประหยัดสุด ดังกล่าว
ดูอย่างประเทศญี่ปุ่น ยุคหลังการแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2
ก็สร้างลักษณะนิสัย บุคลิกภาพ ของประชาชนในอีกรูปแบบ
ไหนจะรีบเร่ง ฟื้นฟูประเทศ พัฒนาประเทศ
ทั้งแข่งกันทำงาน แข่งกันขึ้นรถไฟใต้ดิน
แข่งเรียน แข่งรัก จนเพื่อนและคนรอบตัวเป็นคู่แข่ง จนเป็นคู่แค้น
คนในสังคมเครียดสูง จนต้องหาทางระบายออก เช่น
คาราโอเกะ แข่งกันแต่งตัวแบบสุดขีด หลุดโลก หรือไม่ก็ฆ่าตัวตาย ก็มีให้เห็นทุกปี
พูดแบบกลางๆ เท่าที่นึกออกในตอนนี้ ไม่ได้มองสังคมญี่ปุ่นแต่ด้านลบนะครับ
เพราะ่ชาวญี่ปุ่นยุคนั้นก็เป็นแบบอย่างที่ดีมากมาย เช่น
มีวินัยสูง อดทนสูง อนุรักษ์นิยม มีความเป็น nationalism สูง
อีกทั้งยังรักษาประเพณีโบราณมากมาย ไดอย่างน่าชื่นชม
ยังจำเรื่องที่คุณ โน้ส อุดม มีมุมมองสนุกๆเกี่ยวกับ
ประเพณีการ รำ ระบำบางอย่างชาวชาวอินโดนีเซีย
ที่ดูยึกๆยักๆ เดี๋ยวหันซ้าย เดี๋ยวหันขวา ว่า
สงสัยดูว่า รำไปก็ต้องดูภูเขาไฟไปว่า มันระเบิด รึเปล่า จะได้วิ่งหนีทัน
อะไรทำนองนี้ครับ
จะเห็นได้ว่า สภาพทางภูมิประเทศ ภูมิอากาศ
ก็มีผลต่อรากฐานทางความคิด บุคลิกและประเพณี วัฒนธรรม ของชนชาตินั้นๆ ได้
แต่ชนชาติไทย ไม่ใช่แบบนั้น เพราะสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศของเรา
มีความสัปปายะ
ดังนั้นชนชาติไทย จึงไม่ได้มีวิถีชีวิตที่เร่งรีบ ไม่ต้องรีบพูด พูดช้า ๆ เนิบๆก็ได้
ไม่ต้องรีบเดินจ้ำอ้าว เดินเร็ว เดี๋ยวเหงื่อออกมาก ร้อน เหนียวตัว
ทั้งนี้เพราะสภาพอากาศก็เย็นสบาย
อาหารการกิน ก็หาง่าย
ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว ออกรวงเหลืองทองอร่าม
ดุจ แผ่นดินทอง เป็น สุวรรณภูมิ
อีกทั้งคนไทยได้รับการปลูกฝังศีลธรรม จากพระพุทธศาสนา
จึงใจเย็น โอบอ้อม อารี ประณีประนอม ซึ่งกันละกัน
อะไรยอมกันได้ หนักนิด เบาหน่อย ก็ยอมกันไป
วัตถุประสงค์ของชีวิต จึงไม่ได้เน้นที่ความมีประสิทธิภาพสูง
แต่เน้นเรื่องปฏิสัมพันธ์ มนุษยสัมพันธ์ แบบอุปถัมภ์ค้ำชูกันไป
วิถีชีวิต จึงไม่ได้เน้นที่มีความประหยัดสุด
เพราะทรัพยากรทางธรรมชาติ มีเหลือเฝือ ( ในอดีตนะครับ )
ผมจึงมองว่า การที่คนไทยมีความแตกต่างนิสัยของชนชาติ
เป็นเรื่องตามเหตุและผล ของปัจจัยที่เข้ามาปรุงแต่ง
คงเข้าทำนอง
ธรรมเหล่าใด เกิดแต่เหตุ
อีกล่ะครับ
ผมมองว่า การวางแผนที่ดี
นำไปสู่ความสำเร็จได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง และประหยัดสุดเท่านั้นครับ
การวางแผนที่ดี ไม่สามารถแก้ทุกปัญหาได้
ปัญหาที่เกิดจากตัวงาน หรือสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศนั้น
การวางแผนที่ดีนั้น แก้ปัญหาได้มากจริงครับ แต่ไม่ทั้งหมด
แต่ปัญหาที่เกิดจากความละเอียดอ่อนทางความเชื่อทางศาสนา
และสถานการณ์ทางการบ้านการเมือง
การวางแผนที่ดีนั้น ช่วยแก้ปัญหาได้บางเรื่องเท่านั้น
ดูอย่าง UN สิครับ ทุนถึง ทีมถึง ใจถึง + การวางแผนและการจัดการที่ดี
อีกทั้งมียูซ่า (usa) ที่ว่ากันว่ามีระบบการจัดการที่มีประสิทธิภาพมากสุดช่วยมากมาย
ความขัดแย้งและสงครามในแต่ละประเทศ แต่ต่างประเทศทั่วโลก
ก็ยังมีให้เห็น และสลดใจกันอยู่เลย
เพราะ
สงครามภายนอก ไม่มีทางหมดไปอย่างแน่นอน
ถ้ายังมีสงครามภายใน
สันติภาพที่แท้จริง ไม่อาจมีได้เลย
ถ้ามนุษย์ยังไม่เข้าถึงสันติสุขภายใน
ปัญหาที่เกิดจากกิเลสในตัวมนุษย์ วิบากกรรม ที่ทำมาทั้งในอดีตและปัจจุบันนั้น
คือรากฐานของ dna และของวิถีชีวิตของมนุษย์อย่างแท้จริง
การวางแผนชีวิตที่ดีในระยะสั้น กลาง ยาวนั้น พอแก้ได้บ้าง ซึ่งก็ดีกว่าไม่แก้ไขอะไรเลย
ปัญหานี้ต้องใช้ ธรรมะศาสตร์ที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา
มาช่วยแก้ จึงสามารถแก้ไข ถูกที่ เกาถูกที่คัน
และเป็นการแก้ปัญหาแบบยั่งยืน ถาวร
คือ หมดกิเลส บรรลุ มรรค ผล นิพพาน ครับ
ก็แค่แลกเปลี่ยนทัศนะยามเช้า ก่อนกินข้าวเท่านั้น
หิวแล้ว ไปหม่ำๆ ก่อนนะครับ
*** เพิ่มภาพประกอบเนื้อหาครับ
#13
โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 08:57 AM
#14
โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 09:01 AM
และขอแสดงความยินดีด้วยค่ะ...อยากจะถามเหมือนกันว่าหายไปไหน
ไฟล์แนบ
#15
โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 10:38 AM
สำหรับเรื่องการจัดการของชาวตะวันตกนั้น ตามทัศนะคติส่วนตัวจากประสบการณ์การทำงานในยุโรปสิบกว่าปี ได้ทำงานร่วมกับชาวต่างชาติ ทั้งจากยุโรปและอเมริกา สังเกตุว่า...
องค์กรที่ประสบกความสำเร็จด้านการจัดการส่วนใหญ่นั้น เค้ามองงานต่าง ๆ โดยไม่เอาความเป็นตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องในการตัดสินใจทำงาน ใด คือเรียกง่าย ๆ ว่า ทำใจเป็นกลาง ไม่มีอัคติกับงานนั้น ๆ
จัดการงานต่าง ๆ ตาม ความสำคัญ และเร่งด่วน
ไม่ได้จัดการงานต่าง ๆ ด้วยความชอบใจทำ หรือไม่ชอบใจทำงานนั้น
และทีสำคัญคือ มีการประชุม ระดมสมอง และใจกว้างยอมรับความคิดเห็นและข้อเสนอแนะของผู้อื่นด้วย ถ้าหากว่า ความคิดเห็น และ/หรือ ข้อเสนอแนะนั้น เป็นไปเพื่อเป้าหมายของงานนั้น ๆ
แต่ก็มีหลายหน่วยงานเช่นกัน นะครับ ที่ไม่ได้เรื่อง ต้องเลือกเอาแต่องค์กรที่ดี ๆ เป็นตัวอย่างครับ
ตัวอย่างที่ดี ๆ เช่น หลักการจัดการของหลวงพ่อ ซึ่งดำเนินรอยตาม หลักการณ์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงแม้จะอยู่ที่เมืองไทย แต่ก็สามารถบริหารงานใหญ่ ๆ อย่างวัดพระธรรมกายได้
ฉันทะ ปักใจ
วิริยะ บากบั่น
จิตตะ วิจารณ์
วิมังสา ทดลอง
หลวงปู่บอกว่าสำเร็จทุกงานครับ
ถ้าหากข้อคิดเห็นของกระผม
ทำให้ผู้หนึ่งผู้ใด
เกิดความไม่สบายกายไม่สบายใจ
ขออโหสิกรรมไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
#16
โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 01:59 PM
การบริหารเวลาที่ดี จะทำให้งานเสร็จได้โดยไม่ต้องมาเร่งทำงานตอนท้ายๆ ทำงานด้วยสติที่แจ่มใส ขีดเขียนไม่ตกๆหล่นๆ เป็นการรักษาสุขภาพด้วย
การทำงานเลยเวลา จนดึก ดึกแล้วดึกอีก (โดยไม่มีเหตุจำเป็น) ยิ่งทำอย่างนี้ไปนานๆ ก็จะเป็นความเคยชิน (เป็นนิสัยอันนึง ที่เมื่อไม่อยากแก้ ก็แก้ไม่หาย)
......แต่ถ้าให้ดี การมองภาพรวมออก จะช่วยให้งานเสร็จเร็วและผลงานมีคุณภาพดีขึ้น
#17
โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 02:36 PM
ค่านิยมที่ว่ามาสายกลับดึก คือคนขยัน ก็มีส่วนอยู่บ้าง
ถ้าทำงานจริง ไม่เครียด ทำได้เร็ว สร้างสรรค์ แต่ไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องที่สุด
[โดยส่วนตัว ไม่ว่าตื่นเช้าหรือสาย ก็เป็นคนที่ไม่ค่อยชอบเริ่มงานแรงๆในทันที
ค่อยๆ นิ่งแบบไม่รน ในช่วง 1-2 ชม.แรก แล้วก็เร่งสปีดได้เต็มที่ไปตลอดทั้งวัน
ไม่ค่อยจะหลับกลางวัน จนก่อนเข้านอนก็ผ่อนลงอีก 1-2 ชม. ค่อยหลับ]
คนในองค์กรบางท่านอาจจะมีเหตุผลก็ได้คือ อยากปลีกวิเวกบ้างในบางช่วง
จึงเข้าสาย นั่งสมาธิ ทำใจให้อยู่ในบุญในช่วงเช้า ตรึกธรรมะก่อนทำงาน
แล้วก็เลยทำให้ต้องมาลุยงานถึงดึก เพื่อให้ได้งานมากที่สุด
พอกลับที่พักก็เตรียมตัวเข้านอน สลบในอู่ทะเลบุญกันเลยไงคะ
จริงๆ แล้วหากว่ามีการปรับเปลี่ยนให้เช้าขึ้นทั้งหมดทั้งตารางเวลาก็จะดีที่สุดค่ะ
เพราะถ้าตื่นเช้าตี 4 รู้สึกว่าวันนั้นยาวนานมากวันอื่น ถึงเที่ยงก็ทำงานออกมาได้เยอะแล้ว
ทำให้รู้สึกว่าวันนี้ชีวิตมีคุณค่า มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เข้ามาแสดงความยินดีกับพี่เป็นคนท้ายๆเลย
ไม่ได้เจอกันตั้งนาน แต่เอาบทความดีๆ มาฝากเหมือนเดิมนะคะ
ผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งที่สุด ย่อมเป็นผู้ที่สุภาพนุ่มนวลที่สุด
#18
โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 03:31 PM
.............................................................
ไม่ได้หายไปใหนครับ มาวัดตลอดทุกๆบุญ ครับ....................................
.แต่ไม่ค่อยได้เข้ามาอ่านกระทู้ ครับ คุณบุญโต
.................................................................................................
ขอขอบคุณ..ท่านแดงดีมากครับ ที่ได้แสดงความเห็นอันมีค่า
ผมสามารถจับประเด็นมาเป็นข้อคิดที่ดีและเป็นแนวทางประกอบสัมมาอาชีวะ ได้ครับ
.....................................................................................
การใช้ชีวิตแบบฆราวาส ถ้าไม่มีมีวัดพระธรรมกาย ไม่มีเธอผู้เป็นกัลยาณมิตรให้ผม
ป่านนี้ผมคงอาจจะไปนั่งจิบเบียร์ ตีกอล์ฟ ที่อเมริกาห่างไกลพระพุทธศาสนาถูกพญามารกลืนไปแล้วครับ
ก็เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง ที่จะต้องเกิดขึ้นในจิตใจของผม
เพราะโลกภายนอกทั้งในประเทศต่างประเทศ น้ำท่วม นิวเคลียร์ น้ำมัน
ช่วงกึ่งพุทธกาลนี่อำนาจของอกุศลมูลมันแรงมากครับ
การมีครูไม่ใหญ่ กัลยาณมิตร DMC หลายๆท่านทั้งพี่ทั้งน้อง ในชุมชน DMC Web แสดงความเห็น ช่วยคิดตัดสินใจ หรือปรุงแต่งจิตใจ ของผมในการทำบุญและต่อต้านทำบาป
นี้เป็นความโชคดีที่สุดในชีวิตผมครับ หนักนิดเบาหน่อยให้อภัยกันรักกันปราถนาภพภูมิไปที่เดียวกันกับหลวงปู่ หลวงพ่อคุณยายและหมู่คณะ นะครับ
ผมเข้าใจครับว่าธรรมชาติอันนี้นี้มัน เกิดพร้อมกับจิต มันจะต้องดับพร้อมกับจิต มีอารมณ์เดียวกันกับจิต อาศัยวัตถุ เดียวกันกับจิต เหมือนผมทำอาชีพผลิตไฟฟ้า ต้องอาศัยหลอดไฟจากชาวบ้านใช้ไฟฟ้าของผม ไม่งั้นแสงสว่างไม่เกิด..ครับ แต่เป็นแสงสว่างที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับแสงสว่างที่คุณครูไม่ใหญ่ท่านได้มอบให้กับชาวโลกที่เปิดช่อง DMC ครับ.. ....
ในฐานะที่ข้าพเจ้าเรียนมาทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ กระทู้ต่างๆ ที่ข้าพเจ้าแสดงความเห็นใน DMC.tv นี้
ถึงจะเป็นตะเกียงดวงน้อยด้อยแสง แต่ไฟแรงจุดติดดวงอื่นได้
ไม่เสียดายให้แสงสว่างกับผู้ใด ชักนำใจให้สว่างเพียงแต่ธรรม
#19
โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 08:10 PM
จะรับพระราชทานปริญญาบัตรจากพระเทพฯ ในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2549
ยินดีด้วยครับ
จริงครับ
ยิ่งทำงานมากชั่วโมงยิ่งแสดงถึงการทำงานโดยไม่มีการวางแผน
ไม่เห็นด้วยครับ
ขึ้นอยู่กับอำนาจหน้าที่ของตนและลักษณะงานด้วยครับ
หากงานที่มีระบบ มีกำหนดเวลาชัดเจน เกี่ยวข้องกับหน้าที่โดยตรง
การวางแผน พร้อมจัดลำดับความสำคัญถูกต้อง จึงจะสามารถเสร็จได้ทันเวลา
และยังต้องรู้จักกการปฏิเสธงานที่ไม่อยู่ในแผนเป็นนะครับ
ยิ่งอยู่ดึก ประสิทธิภาพของงานในวันถัดไปยิ่งตกต่ำลง
เห็นด้วยครับ
งานดีไม่มีทางเกิดขึ้นตามยถากรรม .หรืออารมณ์ขึ้นลง
มืออาชีพสามารถทำงานให้ออกมาได้คุณภาพเท่ากัน ในทุกสภาพอารมณ์
บ่อยครั้งเป็นปฏิภาคกัน .หลายครั้งงานที่ให้เวลาน้อย กลับออกมาดีกว่างานที่ให้เวลามาก
สำหรับมืออาชีพเท่านั้นครับ
อุปสรรคเดียวของมืออาชีพคือต้องทำงานกับคนไม่ตรงต่อเวลาและขาดประสิทธิภาพ
บางคนก็ไม่รู้ว่าเป้าหมายงานที่ทำอยู่เพื่ออะไรเสียด้วยซ้ำ มืออาชีพเป็นได้แค่ฝันเท่านั้นครับ!!!!
#20
โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 09:03 PM
#21
โพสต์เมื่อ 20 October 2006 - 11:37 PM
ยินดีกับ คุณเถลิงเกียรติด้วยครับ กำลังจะเป็นบัณฑิต พร้อมทั้งทางโลกและทางธรรม
+++ขอแสดงความเห็นแย้งบางประการนะครับ(หลายข้อเห็นด้วยกัน นักเรียนฯ บารมีธรรม ครับ )
ผมกลับมองว่าคนที่อยู่ดึกเป็นประจำคือพวกไร้ประสิทธิภาพ
ไม่สามารถทำงานให้เสร็จทันเวลา จึงต้องอยู่ดึก
ยิ่งทำงานมากชั่วโมงยิ่งแสดงถึงการทำงานโดยไม่มีการวางแผน
+++ผมว่าไม่เสมอไปครับ งานบางอย่างทำตามแผนได้ เหมือนเลขคณิต
แต่งานบางอย่าง ทำตามแผนได้ยากครับ เพราะยังมีปัจจัยความจำเป็นอย่างอื่น
ในชีวิตจริง ไม่มีใครทำอะไรได้ตามแผนทุกอย่าง ชีวิตไม่มีอะไรตายตัวร้อยเปอร์เซ็นต์
เช่น ถ้าเรารอคนท้องแก่ใกล้คลอด เราไม่สามารถบอกได้หรอกว่า
ขบวนการคลอดจะเสร็จเมื่อไหร่ จะทันเวลาเลิกงานหรือไม่
ถึงแม้เวลาเลิกงานห้าโมงเย็น แต่เราก้อไม่สามารถกลับบ้านตามเวลาได้ทุกวัน
หรือทางวิศวกร อาจจะบอกว่า 1+1 = 2 หรือ 2-1=1
แต่ทางการแพทย์จะบอกว่าไม่เสมอไป
เหมือนการกินยาแก้ปวดสองเม็ด ความแรงของยาอาจไม่ได้เพิ่มขึ้นสองเท่าเสมอไป
บางคนได้เท่าครึ่ง บางคนได้สามเท่าก้อมี
ยกตัวอย่าง การกินกาแฟร่วมกับสูบบุหรีพร้อมๆกัน
ผลของการออกฤทธิ์กาเฟอีนต่อการทำงานของหัวใจ ไม่ได้เพิ่มเป็นสองเท่า แต่เป็นห้าเท่า
+++โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำงานของอุบาสกอุบาสิกาในวัด
ลองคิดดุสิครับ สมมุติว่าทุกคนในวัดเลิกงานพร้อมกัน เข้านอนพร้อมกันหมด
วัดจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าเกิดเหตการณ์เปลี่ยนแปลงที่สำคัญตอนกลางคืน
สมัยก่อนผมอยู่ต่างจังหวัด นั่งรถบัสมาถึงวัดตีสองตีสาม
เห็นแล้วนึกสงสารน้องๆฝ่ายจราจรที่ไม่ได้หลับได้นอน แต่มายืนโบกรถ
พอได้เข้ามาช่วยงานในวัด ตอนนั้นช่วยแผนกครัว
ก้อนึกเห็นใจแผนกเตรียมอาหารสาธุชน ที่ตื่นมาทำอาหารตอนตีสามตีสี่
ถึงเวลาหลวงพ่อนำบูชาข้าวพระ แต่มีอีกหลายคนที่ไม่ได้ร่วมพิธี
เช่น แผนกเด็ก แผนกรักษาบรรยากาศ แผนกพยาบาล
+++สรปในความเห็นของผมนะครับ
ไม่มีสูตรสำเร็จในการทำงาน ไม่มีวิธีการไหนดีที่สุด
สูตรที่ดีของงานหนึ่ง อาจจะใช้กับงานหนึ่งไม่ได้
มันที่ใจครับ อยู่ที่เจตนาว่าทีเลิกดึกเพราะอะไร
ชักช้าอืดอาด หรือว่างานเร่งรีบ
การวางแผนที่ดีแก้ปัญหาได้เกือบหมด แต่ไม่ทั้งหมด
การทำงานมีการวางแผนที่ดีหนะถูกต้อง
แต่ก้อต้องมีการปรับแก้ไขตามเหตการณ์เฉพาะหน้าเหมือนกันในบางครั้ง
ชีวิตจริงไม่เหมือนโปรแกรมสำเร็จรูป แต่ชีวิตจริงคือความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นตลอดเวลา
ดีที่สุด ชัวร์ที่สุด คือหยุดใจไว้ศูนย์กลางกายตลอดเวลา
เมื่อใจใส สะอาด บริสุทธ์ หยุดรวมดีแล้ว
เวลาทำงาน ความคิด คำพูด การกระทำ จะมีแต่สิ่งที่ดีๆ ถูกต้อง พอดีและเหมาะสม
ขออนุโมทนากับทุกท่านที่แสดงความเห็นดีๆไปก่อนหน้าผมครับ
#22
โพสต์เมื่อ 21 October 2006 - 07:03 AM
เอะ อีกท่านหนึ่งด้วยซินะ ท่าน MIHARU เพราะอีกครึ่งปี ประเทศไทยเรา ก็จะมี ท่าน Doctor อีกท่านมาช่วยงานประเทศชาติ เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคนด้วยจ้า (ในพระพุทธศาสนาด้วยจ้า)
สุดท้ายนี้ ข้าพเจ้าต้อง ขอขอบคุณ กับ ท่านเถลิงเกียรติ สำหรับ บทความ ที่ได้คัดลอกมาแนะนำให้ หลายๆท่านในที่นี้ได้ อ่านและศึกษา กันด้วยจ้า เพื่อพวกเราจะได้เป็นคนที่ พัฒนาไปเรื่อยๆ จนกระทั้งถึงที่สุดแห่ง พระนิพพาน ด้วยเทอญ
ขอเชิญร่วม อนุโมทนาบุญ งานบุญกฐินพระราชทาน ที่ วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก คลิ๊กที่นี้
Who am I?__>>> CLick Here <<< to see my answer Post # 7
.
รวมภาพองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า: คลิ๊กที่นี้คลิ๊กที่นี้ เพื่อ D/L 58 files, 120.99 MB, for easy listening dharmas.
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ D/L 121 really-good-to-read e-books, 295.67 MB.
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ Download โปรแกรม Free Download Manager ช่วย Download ไฟล์ใหญ่ๆ ต่างๆ ฟรีครับฟรี
คลิ๊กที่นี้ เพื่อ Download โปรแกรม Acrobat Reader V.5
.
The basic knowledge of Buddhism to become a better buddhist Edition 2 คลิ๊กที่นี้
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------
-= Hillary Clinton =-.... >>>>>>> CLicK HeRe <<<<<< To Be wisher, To Be smarter, and To Know Better !!!