ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 2 คะแนน

ขอคำอธิบายดีๆไปตอบคำถามเรื่องพระเวสสันดรหน่อยค่ะ


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 14 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 SuperMom

SuperMom
  • Members
  • 22 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 September 2008 - 08:55 PM

[size="4"]

ท่านใด พอจะให้แนวทางการตอบแบบคนฟังกระจ่างและเกิดศรัทธาได้บ้างมั้ยคะ?

เรื่องคือว่าอาจารย์ผู้ใหญ่ระดับศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ ท่านหนึ่ง ท่านได้กล่าวว่าการยกลูกให้เป็นทานของพระเวสสันดรเป็นการเบียดเบียน

อาจารย์ท่านนี้เป็นคนอัธยาศัยดี มองโลกในแง่ดี(บางแง่?) นิสัยดีมาก อ่อนโยนและเป็นที่รักของลูกศิษย์ แต่ท่านมีความเห็นผิดในเรื่องนี้ อาจารย์ทิ้งท้ายคำถามไว้ บอกว่าเปิดเทอมหน้าเราจะมา discuss กันในเรื่องนี้ ดิฉันจึงอยากได้คำอธิบายดีๆ ที่มีเหตุผลแบบคนฟังค้านไม่ได้ คือตัวเองรู้ว่าทำไม แต่รู้สึกว่ารวบรวมคำตอบไม่ได้ดังใจ

อยากได้คำตอบที่สละสลวย เพื่อที่จะแก้ความเห็นผิดของอาจารย์ในเรื่องนี้ ก่อนที่ชักนำให้ลูกศิษย์คนอื่นๆ ต้องคล้อยตามอาจารย์

ขออนุโมทนาบุญล่วงหน้าสำหรับทุกๆ ความเห็นค่ะ


[ /size]


 

ข้าวรวงงาม ย่อมโน้มต่ำ


#2 เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี

เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี
  • Members
  • 938 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 September 2008 - 09:33 PM

เรื่องนี้ตอบแล้วยาวมากๆ..

1. ต้องทำความเข้าใจเบื้องต้นในเรื่องการทำทานที่มีผลมากก่อน..
ว่ามีลักษณะอย่างไร.. มีองค์ประกอบใดบ้าง..
2. ต้องทำความเข้าใจเรื่องทานอุปบารมี.. คือ ทานที่ทำได้ยาก.. ต่อมา..
3. ต้องทำความเข้าใจถึงความแตกต่างของสภาวะจิตของพระโพธิสัตว์
(และผู้ที่สั่งสมบารมีมายาวนานควบคู่กับผู้ที่เป็นพระโพธิสัตว์) ให้ได้ก่อน..
ว่าแตกต่างจากคนธรรมดาสามัญอย่างไร..

ถ้าทำความเข้าใจทั้ง 3 ประเด็นนี้ได้กระจ่างชัดแล้ว.. ก็ไม่ต้องรอคำตอบอีกแล้ว..
คุณจะตอบอาจารย์ได้เป็นฉากๆเลย..


แล้วจะยังเข้าใจอีกด้วยว่า..
ทำไม.. จึงมักจะไม่มีใครแนะนำให้ทำทานโดยเป็นหนี้.. ?
ทำไมจึงไม่ค่อยมีใครแนะนำให้ทำทานโดยเบียดเบียนตนเอง.. ?

แต่พอพระโพธิสัตว์ทำทานที่เบียดเบียนตนเอง.. กลับกลายเป็น.. ทานอุปบารมี..
หรือแม้บางท่านในสมัยพุทธกาล.. ทำทานโดยที่ตนเองเดือดร้อน.. แต่กลับกลายเป็น.. ทานอุปบารมี..
ประเด็นเหล่านี้จะเคลียร์เลยล่ะ..

ถ้าไม่มีใครมาตอบ.. ถ้ารอได้.. เราจะแวะมาตอบอีกทีนึง.. happy.gif
(ตอนนี้ยุ่งๆอยู่.. ทำ web ให้ลูกค้า..)
ชีวิตคือการเข้ากลาง..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..

#3 eq072

eq072
  • Members
  • 504 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 September 2008 - 10:28 PM

เรื่องนี้พระนาคเสน กับ ท่านคุณานันทะ เคยตอบด้วยนะครับ
หรือพระเดชพระคุณหลวงพ่อทัตตะ ก็เคยตอบด้วยครับ

#4 somchet

somchet
  • Members
  • 900 โพสต์

โพสต์เมื่อ 22 September 2008 - 12:00 AM

การสละสิ่งที่มีค่าน้อยกว่า เพื่อได้สิ่งที่มีค่ามากกว่าไม่ได้ถือเป็นการเบียดเบียนหรอกครับ

ส่วนคนที่เขาคิดว่าเบียนเบียนก็เพราะปัญญาเขามองไม่ออกว่า อะไรมีค่ามากกว่าอะไร

ยกตัวอย่าง คนส่วนใหญ่ยอมเสียสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะ แต่ก็ยังมีคนบางคน ขายหรือทำลายอวัยวะเพื่อให้ได้ทรัพย์

คนส่วนใหญ่ยอมเสียสละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต แต่คนบางคนก็คิดไม่ออก ยอมตายไม่ยอมเสียอวัยวะ

คนไข้เป็นมะเร็งยอมตัดขา เพื่อรักษาชีวิต ถามว่าเป็นการเบียดเบียนหรือเปล่าครับ แต่เชื่อไม๊ครับว่า บางคนอาจคิดว่า ยอมตายซะดีกว่าเป็นคนพิการ นั่นแสดงว่าคนประเภทนี้ มองคุณค่าของการมีชีวิตน้อยมากๆ ถูกไม๊ครับ

ส่วนพระเวสสันดร ท่านยอมเสียสละ บุตร ภรรยา หรือแม้แต่ชีวิต เพื่อการเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งมีคุณค่าใหญ่หลวงกว่ามาก เมื่อท่านบรรลุธรรมแล้ว จึงสามารถกลับมาช่วยบุตร ภรรยา ได้อย่างแท้จริง คือ หมดกิเลส ไปนิพพาน มีสุขอันนิรันดร์

คนส่วนมาก ไม่รู้ว่าตัวเอง ตกอยู่ ภายใต้กฏแห่งกรรม และเวียนว่ายอยู่ในกองทุกข์ พ่อก็มีกรรมของพ่อ แม่ก็มีกรรมของแม่ ลูกก็มีกรรมของลูก ต่างคนต่างมีกรรมเป็นของตน การบริจาคใครก็ตาม ก็ล้วนเป็นไปตามกฏแห่งกรรมทั้งสิ้น แม้นพระเวสสันดร บริจาคลูกไป แล้วโดนทารุณกรรม ก็เพราะกรรมของลูก หาใช่เพราะเหตุแห่งการบริจาคไม่ หากลูกมีกรรมปาณาติบาต ต้องโดนยักษ์กิน ดังบุตรของพระโพธิสัตว์ พระพุทธเจ้ามังคละ ก็เป็นเพราะกรรมของลูก เช่นกัน

หากท่านอาจารย์ เข้าใจกรรมแห่งกรรมอย่างลึกซึ้งแล้ว จะเข้า เรื่องนี้ได้อย่างแน่นอนครับ

ดีที่สุด แนะนำให้อาจารย์มาเป็นนักเรียนอนุบาลฝันในฝัน จะดีที่สุดเลยครับ

#5 ping

ping
  • Admin
  • 251 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 22 September 2008 - 01:11 AM

กรุณารอคำตอบของท่านผู้รู้หลายๆท่านนะครับ เดี๋ยวน่าจะได้รับคำตอบที่ถูกใจสามารถนำไปตอบได้อย่างชัดเจนหายสงสัย
ตอนนี้ขอตอบสั้นๆก่อนนะครับ คาดว่า น่าจะเหมาะกับจริตอัธยาศัยของคนที่คุณต้องการอธิบายให้เข้าใจในเรื่องนี้ เพราะดูจากข้อมูลที่คุณให้มาแล้ว เขาก็เป็นคนดี มีสติปัญญาเพียงแต่ขาดครูบาอาจารย์ที่คอยชี้แนะและขาดการนั่งสมาธิ
อย่างต่อเนื่องจึงขาดโยนิโสมนสิการในเรื่องนี้ไป

ขอตอบว่า

ดูหนังอย่าเพิ่งด่วนสรุปตอนดูได้ครึ่งๆกลางๆ ต้องดูให้จบทั้งเรื่องเสียก่อนว่า จบแล้วเกิดประโยชน์ต่อทุกฝ่ายอย่างไรบ้าง
โดยเฉพาะเรื่องราวความเป็นจริงของชีวิตในสังสารวัฏ ต้องดูตั้งแต่ต้นไปจนถึงตอนจบในชาติสุดท้ายว่าเป็นอย่างไร

อย่าไปดูแค่ตอนที่บริจาคลูกเมีย ซึ่งเป็นเพียงแค่ตอนหนึ่งเท่านั้น แล้วด่วนสรุปว่าพระโพธิสัตว์เบียดเบียนลูกเมียให้ได้รับ
ความเดือดร้อน ต้องดูว่าตอนจบของเรื่องในชาตินั้นและชาติสุดท้ายเป็นอย่างไร จะพบว่าพระโอรสพระธิดาและพระมเหสี
ต่างได้รับความสุขกันถ้วนหน้าในชาตินั้น และได้รับความสุขอย่างยิ่งคือพระนิพพานในชาติสุดท้าย

เหมือนกับคนทำงานที่ยอมลำบากตั้งแต่ในวัยเยาว์เพื่อความสุขสมบูรณ์ในบั้นปลายของชีวิต อย่าไปดูตอนที่ยากลำบากแต่
เพียงอย่างเดียว ให้ดูไปจนถึงตอนที่ได้รับผลแห่งความพากเพียรที่ก่อให้เกิดเป็นความสุขอันแท้จริงตามมาในภายหลัง

พระโพธิสัตว์ท่านบริจาคสิ่งของเป็นทาน กับทั้งอวัยวะและชีวิตของพระองค์มานับภพนับชาติไม่ถ้วนแล้ว เรียกว่า ยอมทำความดีทุกรูปแบบ และทำอย่างยิ่งยวดกว่าสรรพสัตว์ใดๆ เพื่อการบรรลุเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วจะได้
รื้อขนสรรพสัตว์ในสังสารวัฏให้พ้นจากห้วงทุกข์ ท่านไม่เคยเสียดายแม้แต่ชีวิตของตนเองเลย

แต่สิ่งที่ทำได้ยากยิ่งกว่าการสละชีวิตของตนเองแล้วก็คือ สละสิ่งที่ตนเองรักยิ่งกว่าชีวิตของตนเอง(ในที่นี้หมายถึงบุตร
ภรรยา)อันจะเป็นการทำลายซึ่งความยึดมั่นและความตระหนี่ที่ติดแน่นอยู่ภายในใจของพระองค์ให้หมดสิ้นไปได้ถึงที่สุด

การจะบรรลุเป็นพระอรหันตสาวกหมดซึ่งกิเลสได้นั้นต้องชนะความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้ในระดับหนึ่ง แต่การที่จะบรรลุเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นบรมครูของสรรพสัตว์ได้นั้น ต้องชนะความโลภ ความโกรธ ความหลง ที่แรงยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่า(ในชาติที่จะบรรลุ) เพราะพญามารย่อมขัดขวางการบรรลุพระสัพพัญญุตญาณ
ของพระองค์ถึงที่สุด

ดังนั้น ในระหว่างที่ยังเป็นพระโพธิสัตว์หากไม่สั่งสมบุญบารมีทั้ง10ทัศให้เต็มเปี่ยมถึงที่สุดแล้ว ในชาติสุดท้ายที่ลงมา
เกิดก็ไม่อาจสามารถที่จะบรรลุถึงความเป็นพระพุทธเจ้าได้ ประโยชน์ที่จะเกิดขึ้นต่อมวลสรรพสัตว์ก็จะหมดสิ้นไป

ฝากข้อคิดด้วยว่า
ระหว่างบุคคลทั่วไปที่ยังไม่เคยคิดปรารถนาจะเป็นพระพุทธเจ้า ไม่เคยพูด ไม่เคยสร้างบารมีด้วยการกระทำเลย กับพระเวสสันดรโพธิสัตว์ที่คิด พูด และกระทำเพื่อการบรรลุเป็นพระพุทธเจ้า มาตลอดกว่า 20 อสงไขย
กับอีกแสนมหากัปป์แล้ว เราลองนึกดูว่า ใครจะมีวิสัยทัศน์และสติปัญญาสามารถมองออกในเรื่องของการสร้าง
มหาทานบารมีได้อย่างลึกซึ้งและทะลุปรุโปร่ง ยิ่งกว่ากัน


#6 foox

foox
  • Members
  • 41 โพสต์

โพสต์เมื่อ 22 September 2008 - 07:49 AM


พระเวสสันดรยกพระโอรสและพระธิดาเป็นทานแก่ชูชก
การให้ทานในลักษณะนี้ถูกต้องหรือไม่




ถาม

...กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูงคนส่วนใหญ่มักจะมีความสงสัยว่า
การที่พระเวสสันดรยกพระโอรส และพระธิดาให้แก่ชูชก ทำให้ทั้ง ๒พระองค์ได้รับความลำบาก
การให้ทานในลักษณะนี้ถูกต้องหรือไม่ ?


ตอบ


... ในการที่จะตัดสินว่าใครทำอะไรผิด หรือถูกนั้น มีสิ่งที่ต้องพึงระมัดระวังอยู่ ๒ ประการด้วยกัน คือ

๑. กฎเกณฑ์ของเรื่องนั้นมีอย่างไร

๒. สถานภาพของผู้ทำเป็นอย่างไร


เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งประเมินเหตุการณ์ใด โดยเอาความรู้สึกนึกคิดของเราเข้าไปใส่
ต้องนำกฎเกณฑ์ของเรื่องนั้นๆ กับสถานภาพของผู้ทำ เข้ามาประกอบในการพิจารณาด้วย
ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวจะตัดสินผิดพลาดไปได้

ในกรณีของพระเวสสันดร ให้ทานพระโอรสและพระธิดาแก่ขอทานเฒ่านั้น
ในกรณีนี้ ก่อนที่จะเอาตัวของเราเข้าไปเปรียบเทียบ หลวงพ่ออยากจะให้หลักในการตัดสินใจว่า
จะทำอะไร เอาไว้สัก ๓ ประการด้วยกัน คือ

ประการที่ ๑ เวลาจะทำอะไร ถามตัวเองก่อนว่า มีอะไรเป็นเป้าหมายหลัก และมีอะไรเป็นเป้าหมายรอง

ประการที่ ๒ เวลาจะทำอะไร แน่นอนว่า ต้องเอาเป้าหมายหลักเป็นที่ตั้ง แต่ว่าเป้าหมายรองก็ต้องไม่เสียหาย หรือถ้าจะมีความเสียหายบ้าง ก็ให้เสียหายน้อยที่สุด

ประการที่ ๓ หลังจากตัดสินใจทำลงไปแล้ว ถ้าจะให้ดีที่สุดล่ะก็ ทั้งเป้าหมายหลัก
และเป้าหมายรอง ต้องทำให้สำเร็จด้วยกันทั้งคู่
หรือว่าถ้าเกิดมีความผิดพลาดอะไรขึ้นมา อย่างน้อยเป้าหมายหลักต้องสำเร็จ
ส่วนเป้าหมายรองค่อยว่ากันอีกที


... ในกรณีของพระเวสสันดร เป้าหมายหลักที่พระองค์ทรงตั้งเอาไว้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สำคัญสูงสุด
ซึ่งติดตัวข้ามภพข้ามชาติ มานับชาติกันไม่ถ้วน คือ

๑. การบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์มุ่งในเรื่องของการบรรลุธรรม
คือ การปราบกิเลสในตัวเองให้หมดไป

๒. การรื้อสัตว์ขนสัตว์ เมื่อตัวของพระองค์หมดกิเลสแล้ว ก็ยังตั้งใจที่จะช่วยชาวโลก
ทั้งหลายให้หมดกิเลส จะได้พ้นทุกข์ตามไปด้วย เพราะที่มนุษย์ทั้งหลายเป็นทุกข์อยู่ขณะนี้
จริงๆ แล้วเกิดจากกิเลสที่ฝังอยู่ในใจของแต่ละคนนั่นเอง

... หน้าที่หลัก หรือว่าเป้าหมายหลักที่พระองค์ทรงตั้งเอาไว้ ข้ามภพข้ามชาติมาเป็นอย่างนี้
ส่วนเป้าหมายรอง หรือว่าหน้าที่รอง คือ หน้าที่แห่งความเป็นพ่อ ซึ่งมีต่อพระโอรสและพระธิดา
ของพระองค์นั่นเอง

ในเหตุการณ์นี้จึงมีอยู่ ๒ เรื่องใหญ่ๆ เพราะฉะนั้น เมื่อพระองค์ตัดสินใจยกพระโอรสและพระธิดา
ให้ชูชกไป ถามว่า พระองค์ทำผิดหรือถูก เพราะในสถานภาพของพระองค์นั้น ถ้าทำผิดก็ไม่ได้บุญ
แต่ถ้าทำถูกล่ะก็ ได้บุญอย่างเต็มที่ทีเดียว

เมื่อเอาหน้าที่สำคัญสูงสุดของพระองค์เป็นตัวตั้ง ก็ตอบได้ชัดเจนเลยว่า การที่พระองค์ยก
พระโอรสและพระธิดาให้ชูชกไปนั้น พระองค์ทำถูกแล้ว

เพราะว่าที่พระองค์ต้องไปบำเพ็ญภาวนาอยู่ในป่าครั้งนี้ ก็ตั้งใจที่จะไปค้นคว้าทางจิต
คือการทำสมาธิภาวนา เพื่อจะได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ

เมื่อเป็นอย่างนี้ การที่ยกพระโอรสและพระธิดาเป็นทาน จึงเป็นการตัดความกังวลออกไป
เพราะว่าให้ไปครั้งนี้ไม่ได้ให้ไปตาย เมื่อให้ไปแล้ว พระองค์ก็จะมีเวลาสำหรับทำการสมาธิภาวนา
ค้นคว้าทางจิตได้เต็มที่

... แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เป้าหมายรองเกิดความเสียหาย พระองค์ทรงใช้ปฏิภาณในการป้องกัน
ไม่ให้หน้าที่แห่งความเป็นพ่อของพระองค์เสียไปคือ

ประการที่ ๑ ทรงตั้งค่าไถ่ตัวพระโอรสและพระธิดาเอาไว้แพงลิ่ว ผู้ที่จะมาไถ่ตัวได้
ต้องเป็นกษัตริย์เท่านั้น พูดง่ายๆ ให้ปู่กับย่าเตรียมไถ่ตัวเอาไปก็แล้วกัน

ประการที่ ๒ เมื่อเป็นอย่างนี้ ผู้ที่ได้พระโอรสและพระธิดาของพระองค์ไป
อย่างไรเสีย ก็ต้องถนอมทั้ง ๒ พระองค์อย่างดี เพราะเขาก็อยากเงินเหมือนกัน

ประการที่ ๓ พอกลับไปถึงเมืองหลวง พระโอรสและพระธิดาก็จะมีความสะดวกสบาย
มากกว่าอยู่กับพระองค์ในป่า

ประการที่ ๔ พระราชบิดา พระราชมารดาของพระองค์เอง รวมทั้งพระญาติพระวงศ์
และประชาชนทั้งหลาย ก็จะพากันดีใจ

เพราะฉะนั้น แม้หนทางจะทุรกันดาร แต่ว่าเมื่อตอนเสด็จมา พระโอรสและพระธิดาก็เดินมา
เหมือนกัน เพียงแต่ว่าตอนนั้น มากับเสด็จพ่อ เสด็จแม่ แต่ครั้งนี้จะต้องไปกับขอทานเฒ่า อาจจะลำบาก
หน่อย และคิดถึงเสด็จพ่อ เสด็จแม่ ต้องร้องไห้กระจองอแงบ้าง ก็ต้องอดทน เพราะอย่างไรก็ไม่ถึงตาย

แล้วที่แน่ๆ พระนางมัทรีซึ่งเป็นพระมารดา ก็คงจะเสียอกเสียใจไม่น้อย แต่ว่าก็ไม่ถึงตายอีกเช่นกัน
เมื่อไม่ถึงกับตายกันอย่างนี้ แล้วยังมีทางก้าวหน้า มีทางลดภาระ จึงทรงยกให้เขาไป

นี่เป็นความคิดของคนที่ใจใหญ่ เป็นความคิดของคนที่มุ่งจะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิ
เพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ต่อไปข้างหน้า เขาคิดกันอย่างนี้เอง


... อุปมาเหมือน ทหาร กับ ประชาชน ย่อมคิดไม่เหมือนกันหรอกลูกเอ๊ย
เช่น ในภาวะสงคราม ประชาชนอย่างไรก็ห่วงลูกห่วงหลาน อุ้มลูกจูงหลานกันกระจองอแง
ไม่ยอมทิ้งลูกหลานให้ห่างตัว นั่นคือความรักของพ่อแม่ทั่วไป

ทหารก็มีลูกเหมือนกัน แต่ว่าเมื่อเป็นหน้าที่ แม้ลูกและภรรยาจะร้องไห้อย่างไร
ทหารก็ต้องออกไปรบ ออกไปรบทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะได้กลับมาอีกหรือไม่

เพราะถ้าบ้านเมืองแพ้สงครามก็ต้องตายกันทั้งหมด หากออกไปรบแล้วชนะ
ยังมีสิทธิ์ได้กลับมา หรือแม้จะตายในสงคราม แต่ว่าโดยรวมแล้วประเทศชาติชนะ
ลูกกับภรรยาที่อยู่ข้างหลัง ก็ยังรอดอยู่ดี

ทหารทิ้งลูก ทิ้งภรรยา ออกไปรบ ยังไม่มีใครว่าเลย กลับชมเสียอีก ว่าทหารทำถูก ทหารเสียสละ

เช่นเดียวกัน พระเวสสันดรก็กำลังทำสงคราม กำลังสู้รบกับกิเลสอยู่ในป่า
จึงทรงตัดใจส่งพระโอรสและพระธิดากลับบ้านกลับเมือง โดยยืมมือขอทานเฒ่าชูชก

ตรงนี้นี่เองคือสิ่งที่หลวงพ่ออยากจะเตือนเอาไว้ ว่าอย่าเที่ยวเอาตัวของเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
เนื่องจากเราอยู่กันคนละสถานภาพนะลูก

เพราะฉะนั้น ขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า พระเวสสันดรท่านทำถูกต้องแล้ว ทำถูกในฐานะของผู้มุ่ง
ที่จะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ เพื่อที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ต่อไปข้างหน้า


แต่ว่าอย่านำมาเปรียบเทียบกับพวกเรา ซึ่งงานการอะไรที่จะรับผิดชอบทางโลกก็มีไม่เท่าไหร่
ขี้เกียจเลี้ยงลูก เลยถือโอกาส ยกลูกให้คนนั้น คนนี้ไป เพื่อจะเอาบุญ อย่างนี้ทำผิดแน่นอน
เพราะเป็นคนละเรื่องกัน ห้ามนำมาปนกันอย่างเด็ดขาด




"หลวงพ่อตอบปัญหา" โดย พระภาวนาวิริยคุณ
วัดพระธรรมกาย



................................................................




ทำไมต้องบริจาคบุตรเป็นทาน คนดีแน่หรือ ?





.......ทั้งชาวพุทธและศาสนิกชนศาสนาอื่น ๆ มักมีคำถามเกิดขึ้นเป็นประจำว่า " การที่พระเวสสันดร
บริจาคบุตรเป็นทาน เป็นความดีหรือไม่ " ข้อนี้มีวิสัชนาว่าพระเวสสันดร (อดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
ไม่ได้บังคับใจผู้ใดให้มาเกิดเป็นบุตรหรือภริยา

พระมหาสัตว์ทุกพระองค์ ย่อมมีความปรารถนาเสมอกัน คือ ให้ส่ำสัตว์ทั้งหลายสามารถข้ามพ้น
ห้วงแห่งความทุกข์ทั้งปวงให้สิ้นไป โดยพระองค์จะเป็นผู้แบกรับภาระในการบำเพ็ญบารมีถ้วนอสงไขยกัปป์
รับเอาความทุกข์ยากทั้งหมดในการฝึกฝนกำลังใจ แล้วนำประสบการณ์เหล่านั้นมาสั่งสอนพุทธบริษัท
ซึ่งบำเพ็ญบารมีร่วมกับพระมหาสัตว์พระองค์นั้น ๆ โดยพร้อมแล้ว เพื่อข้ามพ้นห้วงโอฆสงสาร

อตีตํ กาเล , อันว่าสมัยอดีตกาลโพ้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันนี้ กำเนิดเกิดเป็น
พราหมณ์มหาศาลผู้หนึ่ง ได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์โน้น บัดนั้นแล พระมหาสัตว์มี
ความปรารถนาอันแรงกล้าในอันที่จะบรรลุปรมาภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ จึงได้กล่าวสัจวาจา ณ ที่นั้น

พุทฺโธ , ดูกร ท่านทั้งหลาย บัดนั้นแล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้พ้นวิเศษทั้งปวงแล้ว ตรัสแก่
พราหมณ์มหาสัตว์นั้นว่า การบรรลุพระโพธิญาณนั้น ในที่สุดแห่งทานบารมีอันยิ่งกว่าบารมีทั้งปวงนั้น
พระมหาสัตว์พึงบริจาคบุตรแลภริยาเป็นทาน ก็เธอเล่า ยังหาผู้สั่งสมบารมีร่วมกับเธอ คือ เกิดเป็นบุตร
เกิดเป็นภริยา ยังมิได้ เธอจักถึงที่สุดแห่งบารมีได้อย่างไร

บัดนั้นแล มีชายหญิงผู้หนึ่งปฏิญาณว่า "ข้าพเจ้าจักเกิดเป็นบิดาแลมารดาแห่งมหาสัตว์นี้ไปทุกชาติ"

บัดนั้นแล มีชายผู้หนึ่งปฏิญาณว่า "ข้าพเจ้าจักเกิดเป็นบุตรเพื่อมหาสัตว์นี้ได้บริจาคเป็นทาน"

บัดนั้นแล มีหญิงผู้หนึ่งปฏิญาณว่า "ข้าพเจ้าจักเกิดเป็นภริยาเพื่อมหาสัตว์นี้ได้บริจาคเป็นทาน"

ดูกร ท่านทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายมีพระมหาสัตว์เป็นต้น ได้เวียนว่ายตายเกิดบำเพ็ญบารมีร่วมกันดังคำ
อธิษฐานนี้ พระองค์หาได้บังคับฝืนใจใครไม่ หากสัตว์ทั้งหลายบำเพ็ญบารมีร่วมแก่พระองค์ด้วยจิตเมตตา
แก่ส่ำสัตว์ทั้งหลายเป็นสำคัญ ดังนี้ แล

บุรพกรรมของพระกัณหา ชาลี

พระกัณหา ชาลี ในอดีตชาติเกิดเป็นกุมารแลกุมารีแห่งพระมหาสัตว์ (พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)
บัดนั้น บิดามารดาใช้ให้กุลบุตรทั้ง ๒ ดูแลควายมิให้เข้ากัดกินข้าวกล้าในนาข้าว
ควายนั้น ดื้อ ด้าน ทาน ขืน ก้าวลงสู่ท้องนาเพื่อกัดกินข้าวกล้า กุลบุตรทั้ง ๒ จึงเฆี่ยนตีควายนั้นให้เข็ดหลาบ
ด้วยบุรพกรรมนั้นแล ควายนั้นกำเนิดเกิดเป็นตาพราหมณ์ชูชกในชาตินี้ กุลบุตรทั้ง ๒ เกิดเป็น
พระกัณหาชาลีร่วมภพชาติ
พราหมณ์ชูชกจึงกระทำทรมานเฆี่ยนตีพระกัณหาชาลี นี้เป็นบุรพกรรมของพระกัณหาชาลีเอง มิได้เกี่ยวข้อง
แก่พระมหาสัตว์แต่อย่างใด


ไฉนพระมหาสัตว์ต้องบริจาคบุตรแลภริยาเป็นทาน

กำลังใจของพระมหาสัตว์เป็นไฉน ? กำลังใจของพระมหาสัตว์บารมีเปี่ยมแล้ว แม้นผู้ใดขอพระพาหา
ท่านย่อมให้ แม้นผู้ใดขอพระนัยนา ท่านย่อมให้ แม้นผู้ใดขอพระโลหิตา ท่านย่อมให้ แม้นผู้ใดขอหทยา
ท่านย่อมให้ แม้นผู้ใดขอพระองค์ลงเป็นทาษ ท่านย่อมให้

ดูกร ท่านทั้งหลาย การให้บุตรแลภริยาเป็นไฉน ? การบริจาคบุตรแลภริยาเป็นของยาก เพราะธรรมดาวิสัย
ของผู้เป็นบิดามารดา ที่รักยิ่งชีวิตตนย่อมเป็นบุตรนั้นเอง ที่รักเยี่ยงชีพย่อมเป็นคู่สิเน่หานี้เอง
การบริจาคบุตรแลภริยาจึงเป็นของทำได้ยากยิ่ง

การบริจารบุตรแลภริยาเป็นทานแห่งพระมหาสัตว์ จึงเป็นของยากแลควรสรรเสริญ ดังนี้









#7 สัมมาอะระหัง

สัมมาอะระหัง
  • Members
  • 235 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:computer,dhamma

โพสต์เมื่อ 22 September 2008 - 09:46 AM

อนุโมทนาบุญกับทุกท่าน โดยเฉพาะท่าน foox ด้วยครับ ในการทำหน้าที่กัลยาณมิตรให้กับชาวโลกอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย สาธุๆๆๆ
ศีล..เป็นเบื้องต้น เป็นที่ตั้ง เป็นบ่อเกิดแห่งคุณความดีทั้งหลาย และเป็นประธานแห่งธรรมทั้งปวง บุคคลใดชำระศีลให้บริสุทธิ์แล้ว จะเป็นเหตุให้เว้นจากความทุจริต จิตจะร่าเริงแจ่มใส และเป็นท่า หยั่งลงมหาสมุทร คือ นิพพาน

#8 เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี

เด็กอนุบาลหน้าใสใจดี
  • Members
  • 938 โพสต์

โพสต์เมื่อ 22 September 2008 - 10:42 AM

(คำตอบของเราที่มาจากการศึกษาธรรมมะ แล้วเอามาสังเคราะห์
อาจมีข้อผิดพลาดอยู่บ้าง.. ก็กราบขออภัย และขออโหสิกรรมจากทุกท่านด้วยเถิด
และขอท่านผู้รู้จริง.. โปรดช่วนชี้แนะด้วยเถิด.. สาธุ สาธุ สาธุ..)
------------------------------------------------------------------

ชอบใจคำตอบของหลายๆท่าน..

อย่างที่คุณ somchet บอกน่ะ.. ใช่เลย.. แล้วมันก็คือ จุดแตกต่างที่มีนัยสำคัญ..
ของ "มุมมอง" และ "ใจ" ระหว่าง.. พระโพธิสัตว์.. กับ คนธรรมดาสามัญ..
หรือ คนที่สั่งสมบุญมาดีในระดับหนึ่ง.. กับ คนธรรมดาสามัญ..

และเป็นจุดตัดสิน.. ว่าทานที่ทำ.. เบียดเบียนตนเอง.. หรือเป็น.. ทานอุปบารมี.. ด้วย..
Trick นี้.. ตกม้าตายกันมามากแล้ว..
ถ้าผู้ให้ทาน.. "มีมุมมอง(วิสัยทัศน์)".. และ.. "สามารถรักษาใจได้ทั้ง 3 วาระ"..
ทานนั้นจะเป็นทานอุปบารมี.. แต่หากไม่มีวิสัยทัศน์ หรือ ไม่สามารถรักษาใจได้..
เช่น.. ให้ไปแล้วมาเสียดายในภายหลัง.. ทานนั้นจะกลายเป็นทานธรรมดา ดาดๆไปทันที..
และเมื่อเสวยผลบุญจากทานนั้น.. ก็จะได้ทรัพย์ที่ติดวิบัติมาด้วย..

นี่คือจุดที่ล่อแหลมอย่างมาก.. (สำหรับคนธรรมดา) และเป็นจุดที่บอกว่า.. ตกม้าตายมาหลายราย..
คือแทนที่จะได้ผลบุญมหาศาล.. แต่กลายเป็นทำทานที่ติดวิบัติไปซะ..

ดังนั้น.. สำหรับคนธรรมดาที่บารมียังไม่มากพอในระดับหนึ่งนั้น..
การทำ.. "ทานอุปบารมี" จึงยากยิ่งนัก.. และไม่ค่อยมีเกจิอาจารย์ท่านใดแนะนำให้ทำเลย..
เพราะสิ่งที่อยู่เบื้องหลัง.. ที่เป็นจุดแตกต่างที่มีนัยสำคัญนั้น.. สำคัญมากๆ..
อาจพลิกผลของทานจากหน้ามือเป็นหลังเท้าได้เลย..
จึงไม่มีใครแนะนำให้คนธรรมดาสามัญ.. ทำทานอุปบารมี(หรือที่คนทั่วไปมักเรียกว่า เบียดเบียนตนเอง..)
(แต่สำหรับคนที่สั่งสมบารมีมามากมาย และฝึกใจมาดีแล้ว.. ท่านรู้ว่าท่านจะปฏิบัติอย่างไรกับทานแบบนี้..)

นอกจากนี้แล้ว.. ตามที่เราทิ้งคำตอบไว้ในรอบแรก..
ยังมีเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจให้ชัดก่อน 2 เรื่อง..
ก่อนที่จะมาทำความเข้าใจในเรื่องที่ 3 คือเรื่องวิสัยทัศน์ และใจ.. ของพระโพธิสัตว์..
หรือผู้ที่สั่งสมบารมีมามากในระดับหนึ่ง..

เมื่อเข้าใจ 3 เรื่องที่บอกไว้.. จะตอบคำถามอื่นๆได้มากกว่า Case พระเวสสันดร ได้เลย.. ว่า..

ทำไม.. การบริจาคบุตร ธิดา และภรรยา ของพระเวสสันดร..
จึงไม่เป็นการเบียดเบียนตนเอง.. แต่เป็นทานอุปบารมี..

ทำไม.. อดีตชาติของพระพุทธเจ้าบางพระองค์.. ถึงกับตัดศีรษะตนเอง.. เพื่อบูชาพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ..
จึงไม่เป็นการเบียดเบียนตนเอง.. แต่เป็นทานอุปบารมี..

ทำไม.. อดีตชาติของพระพุทธเจ้าบางพระองค์.. ถึงกับเผาตนเอง.. แทนประทีปโคมไฟ.. เดินเวียนประทักษิณ..
เพื่อบูชาพระพุทธเจ้าพระองค์ก่อนๆ.. จึงไม่เป็นการเบียดเบียนตนเอง.. แต่เป็นทานอุปบารมี..

ทำไม.. พระภิกษุในเวียดนามรูปหนึ่ง.. จึงกล้าเผาตนเอง.. เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม และบูชาพระพุทธศาสนา..
ในเวียดนาม.. (ตอนนั้นมีการเฆ่นฆ่าชาวพุทธเป็นเบือ..) ทำไมจึงไม่เป็นการเบียดเบียนตนเอง.. ท่านเห็นอะไรหรือ.. ?

ทำไม.. อดีตชาติของเมณฑกะเศรษฐีในชาติหนึ่ง.. ท่านสละอาหารมื้อสุดท้าย.. ใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า..
จึงไม่เป็นการเบียดเบียนตนเอง.. แต่เป็นทานอุปบารมี..

ทำไม.. นายติณบาล.. สละผ้าผืนสุดท้าย.. ถวายพระพุทธเจ้า.. ทำให้ตนและภรรยาไม่มีผ้าสวมใส่อีกเลย..
จึงไม่เป็นการเบียดเบียนตนเอง.. แต่เป็นทานอุปบารมี..

ทำไม.. ทรัพย์ที่หามาได้ยากยิ่ง.. ของมหาทุคตะ.. เพื่อนำไปจัดหาภัตตาหารมาถวายพระพุทธเจ้า 1 มื้อ..
แทนที่จะเก็บไว้ยังชีพตนเอง.. จึงไม่เป็นการเบียดเบียนตนเอง.. แต่เป็นทานอุปบารมี..

ฯลฯ

ตอนนี้ขอแค่นี้ก่อน.. ขอทำธุระก่อน เดี๋ยวลูกค้าจะมาหา.. happy.gif
(ใครที่คิดจะเลียนแบบตัวอย่างข้างต้น.. ขอได้โปรดเบรคไว้ก่อนเถิด.. อันตรายอย่างยิ่งสำหรับคนธรรมดา..
นอกจากท่านจะระลึกชาติได้ว่าตนเองบารมีมากพอ.. และใจ.. นิ่ง แน่น นุ่มนวล ควรค่าแก่การงาน..)
ชีวิตคือการเข้ากลาง..
ที่สุดแห่งธรรมนั้นเป็นเป้าหมาย..
โลกจะสุขสันต์เมื่อท่านเข้าถึงธรรมกาย..
สว่างไสวทั่วทุกธาตุธรรม..

#9 หัดฝัน

หัดฝัน
  • Members
  • 4531 โพสต์
  • Gender:Male
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 22 September 2008 - 11:48 AM

ของผมอธิบายสั้นๆ ครับว่า

ทหารหาญของชาติ ที่เวลาชาติมีศึกสงคราม จึงตัดสินใจทิ้งลูกทิ้งเมียแล้วออกไปรบป้องกันประเทศชาติ จัดว่า เป็นคนเบียดเบียนลูกเมียให้เดือดร้อนลำบากหรือไม่ เพราะเหตุใด

ตอบ ย่อมไม่เป็นเช่นนั้น เพราะหากชาติอยู่ไม่ได้ ตนและลูกเมีย รวมทั้งคนในชาติก็อยู่ไม่ได้ ทหารนั้นจะมิได้รักลูกรักเมียก็หาไม่ แต่จำต้องสละลูกเมีย เพื่อปกป้องสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่า ฉันใด

พระเวสสันดรก็ฉันนั้น ลูกเมียเป็นทุกข์ หลั่งน้ำตาในวัฏสังสารมานับชาติไม่ถ้วนแล้ว ใช่หรือไม่ หากท่านไม่สละลูกเมียบำเพ็ญบารมี เพื่อให้บรรลุพระโพธิญาณ ลูกเมียก็ย่อมต้องร้องไห้น้ำตาท่วมวัฏสังสาร(ด้วยความทุกข์ในสังสารวัฏ)ไปอีกนับชาติไม่ถ้วนใช่หรือไม่

แต่การกระทำของพระองค์ ทำให้น้ำตาของลูกเมีย (รวมถึงสรรพสัตว์) หลั่งไหลเพียงแค่ ชาติสองชาติสุดท้าย แล้วต่อไปจะไม่หลั่งไหลอีก เพราะหมดกิเลสหมดทุกข์ อย่างนี้ ควรยกย่องหรือควรตำหนิ ไปคิดดู
ได้ดี เพราะมีกัลยาณมิตร

#10 SuperMom

SuperMom
  • Members
  • 22 โพสต์

โพสต์เมื่อ 22 September 2008 - 02:21 PM

ขอบคุณสำหรับทุกๆ คำตอบนะคะ ได้เก็บแง่มุมความเห็นจากแต่ละท่านเอาไปใช้ในการอธิบาย

อาจารย์เอง ก็ปฏิบัติธรรมแต่แนวทางอื่น เป็นชายวัยใกล้ 60 แล้ว เทอมหน้าจะสอนเรื่องการทำสมาธิด้วย

หากมีความเห็นเพิ่มเติมก็ post ลงไว้นะคะ จะแวะเข้ามาดูบ่อยๆ

อนุโมทนาบุญกับทุกท่านค่ะ

 

ข้าวรวงงาม ย่อมโน้มต่ำ


#11 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 22 September 2008 - 03:52 PM

อนุโมทนา สาธุการ ในธรรมทานของทุกท่านอย่างยิ่งครับ
แนบไฟล์  Sa_Dhu_Anumonatami.gif   22.04K   59 ดาวน์โหลด

ขอเพิ่มเติมทัศนะของอาจารย์ เสถียร โพธินันทะ
เกี่ยวกับการบำเพ็ญปุตตปริจาคะ ของพระบรมโพธิสัตว์ เวสสันดร
ให้พิจารณากันครับ
ซึ่งแนวคิดมุมมองก็คล้ายกับที่ทุกท่านนำเสนอมาดีแล้ว
แต่เพื่อให้เห็นมุมมองของธรรมกถึก ที่ไม่ได้เกี่ยว ข้องกับวัดพระธรรมกาย
ว่า แม้จะศึกษาธรรมะต่างสำนักเรียน ต่างครูบาอาจารย์
แต่สัมมามาทิฏฐิ และดวงปัญญา
ย่อมทำให้การวิเคราะห์ วิินิจฉัยธรรม ตรงกันครับ

ในการที่ท่านให้บุตรกัณหาชาลีเป็นทานถูกไหม?

ในกรณีที่ท่านให้ชาลีกัณหา หรือพระนางมัทรีเป็นทานนั้น
ถ้าเราเอาจิตใจพวกเราอย่างปุถุชนธรรมดาผู้มีกิเลสไปวัดจิตใจท่าน
เราก็อาจจะประณามและโวยวายหาว่า “เห็นแก่ตัว ๆ” เที่ยวยกลูกให้เขาไป เทินให้เขาไป นี่

แต่ข้อนั้นเราพูดตามวิสัยของเราที่มีกิเลส เป็นปุถุชน

แต่ถ้าเรามองด้วยใจของพระเวสสันดรแล้ว ตรงกันข้าม พระเวสสันดรเป็นพระโพธิสัตว์
เราเป็นโพธิสัตว์หรือเปล่า
และการที่พระเวสสันดรให้สิ่งเหล่านี้ไป ให้เพื่อหวังอะไร ให้เพื่อหวังชื่อเสียง เพื่อความสุข เพื่อพระองค์หรือ?

ถ้าเพื่อชื่อเสียง เพื่อความสุขแล้ว ลูกเมียเป็นที่รักดังแก้วตา จะให้เขาไปไม่ได้หรอก จะต้องอยู่กับลูกอยู่กับเมีย
แต่ที่พระองค์ให้เขาไป ก็เพื่อหวังพระโพธิญาณ พระโพธิญาณเพื่อใคร

ถามต่อไปอีก
ก็ได้รับคำตอบว่าพระโพธิญาณเพื่อสรรพสัตว์โลก
เพราะฉะนั้น การทำประโยชน์ การให้ทานของพระเวสสันดรนั้น ไม่ใช่เพื่อพระองค์เสียแล้ว แต่เพื่อสัตว์โลกทั้งหลาย
เป็นการทำประโยชน์เพื่อชนหมู่มาก โดยการที่พระองค์ยอมเสียสละความสุขส่วนพระองค์ ยอมทุกข์ในส่วนพระองค์
เพื่อความสุขของชนมหาศาลทั้งโลก การทำอย่างนี้เป็นการเห็นแก่ตัวหรือ
มนุษย์ผู้มีความเห็นแก่ตัวทำได้อย่างนี้หรือ?

ถ้าหากเราถือว่าการทำอย่างนี้เป็นการเห็นแก่ตัวแล้ว เราก็น่าจะตำหนิทหารหาญที่ไปตายเพื่อชาติว่า
ทหารเหล่านั้นเห็นแก่ตัว เพราะอะไร เพราะแม่หรือก็แก่ ไม่มีใครเลี้ยง ลูกหรือก็ยังแดง ๆ แม่อีหนูหรือก็ยังสาว
อะไรไปเป็นทหารรบสงครามป้องกันประเทศชาติ เห็นแก่ตัวนี่ ทหารคนนี้

นี่ถ้าใครมีความรู้สึกตัวอย่างนี้ละก็ ชาติบ้านเมืองประเทศนั้นจะต้องล่มจมแน่
ถ้าประชาชนในบ้านเมืองนั้นมีความรู้สึกอย่างนี้ต่อทหาร ว่าทหารทิ้งลูก ทิ้งเมียไปรบเพื่อชาติ
เป็นการกระทำที่เห็นแก่ตัวละก็ ไม่ช้าชาตินั้นก็วิบัติ

การที่ทหารไปรบเพื่อชาติ เราไม่ถือว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นการเห็นแก่ตัว
แต่เราให้ความยกย่องว่า เป็นวีรชนของเรา

บรรดาพระโพธิสัตว์ที่บำเพ็ญบารมีอย่างอุกฤษ์ ถึงขั้นสละชีวิต และลูก และเมีย เป็นทาน เพื่อพระโพธิญาณ
ก็มีอุปมัยดุจเดียวกับทหาร ซึ่งเป็นวีรชนของชาติฉันนั้นเหมือนกัน

แต่ว่าวัตถุประสงค์ของพระโพธิสัตว์ยิ่งกว่าทหาร ทหารนั้น รบเพื่อชาติ
แต่พระโพธิสัตว์นั้น รบกะกิเลสเพื่อเห็นแก่สรรพสัตว์ ไม่มีชาติและไม่จำกัดเฉพาะมนุษย์
แต่แผ่ไพศาลไปยังมารอินทร์ พรหม ยม ยักษ์ เดียรัจฉาน เป็นที่สุด
นี่แหละครับเป็นลักษณะมหากรุณาของพระโพธิสัตว์เจ้า มีกี่คนทำได้อย่างนี้

คราวนี้เรามองดูในแง่พ่อกับลูกว่า ที่พูดเมื่อกี้เป็นเรื่องสละประโยชน์ส่วนน้อย เพื่อประโยชน์ส่วนใหญ่
ก่อนที่พระเวสสันดร ท่านจะยกลูกให้กับท่านชูชกได้คิดวางแผนการอะไร
เพื่ออนาคตลูกท่านไม่ให้ลำบากไหม ท่านวางแผนไว้แล้ว
ดังจะเห็นได้ว่า ท่านบอกดัง ๆ ให้ชูชกได้ยิน
ท่านบอกชาลีกัณหาว่า
ลูกเอ๋ย ถ้าหากลูกไปอยู่กับพ่อเฒ่าชูชกคนนี้ละก็ ใครจะมาเอาตัวลูกไถ่ไปละก็ พ่อตีราคาลูกแต่ละคน แต่ละคน
สำหรับชาลีนั้น ผู้ที่มีทองคำพันลิ่ม ถึงจะมาไถ่ชาลีได้
ส่วนแม่กัณหาซึ่งเป็นน้องเล็กนั้น จะต้องผู้ที่มีโคร้อยตัว ม้าร้อยตัว ช้างร้อยตัว ทองพันลิ่ม เงินพันลิ่ม
ทาสร้อยคน ทาสีร้อยคน รถร้อยเล่มมาไถ่แม่ถึงจะยอมตัวไปอยู่กับเขานั่น
ท่านสั่งของท่านยังงี้

ชูชกฟังหูผึ่งทีเดียว ชูชกนี่ฉลาด ถ้าเอาใจชูชกมาใส่ใจเราบ้างว่า
เราได้ลูกเขามาสองคน ชายคนหญิงคน มันก็ยังเล็กอยู่ ผู้หญิงก็ไม่เกินเจ็ดขวบ ผู้ชายก็ไม่เกินสิบสอง
ได้มาสองคนอย่างนี้ อย่างมากก็เอาไปตักน้ำตักท่า ปัดกวาดถูบ้านถูเรือนเท่านั้นเอง
กับที่ว่าเอาไปขายได้สินไถ่มากมายพอกินเป็นมหาเศรษฐีทันตาเห็น เราจะเลือกเอาอย่างไหน

แน่นอน ชูชกซึ่งเป็นนักเศรษกิจตัวยง ก็จะต้องเอาชาลีกัณหาไปขายเพื่อเอาสินไถ่
คราวนี้ใครบ้างเล่าที่จะมาไถ่ด้วยราคาค่างวดอันมากมายอย่างนี้ เว้นไว้แต่ผู้นั้นจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขด้วย

ก็เท่ากับว่าพระเวสสันดรนั้นได้ยืมมือชูชก ให้พาชาลีกัณหาออกจากป่าไปหาปู่เท่านั้นเอง เท่านั้นเองละซิ
พระเจ้ากรุงสัญชัยนั้นแหละจะเป็นผู้ไถ่ ไม่ใช่ใครหรอกครับ

พระเจ้ากรุงสัญชัยซึ่งเป็นพระอัยกานั่นเองเป็นผู้ไถ่ กษัตริย์หรือเศรษฐีบ้านไหนเมืองไหนเขาจะมาไล่กัน
เด็กกะเปี๊ยก ๒ คน จะเอาไปทำอะไรกัน ทองคำพันลิ่ม ช้างม้าวัวควายทาส ทาสา อีกมากมาย อย่างละร้อย
เอาทำไมกัน คนซื้อคนได้มากมายกว่านี้ ดีกว่าเด็ก ๒ คน

เป็นอันว่าชูชกนี่จะต้องมุ่งพาเด็ก ๒ คนนี้ไปหาปู่ เพราะไปที่ไหนก็ไม่มีใครเขาเอา ปู่กับย่านั้นจะเป็นผู้ไถ่เอง

แล้วการณ์ก็เป็นไปตามที่พระองค์ทรงคาดไว้จริง
พระเจ้ากรุงสัญชัยและพระนางผุสดีไถ่จริง ๆ
ข้อเสนอราคาที่ชูชกบอกว่า
พระเวสสันดรตีราคาอย่างนี้ อย่างนี้
พระเจ้ากรุงสัญชัยและพระนางผุสดีไม่เชื่อ หาว่าชูชกไปขโมยเด็กมา
ฝ่ายเด็ก ๒ คน ก็ยืนยันว่าพระบิดาได้ยกให้ชูชกไปจริง ๆ พระบิดาได้ตีราคาไว้จริง ๆ
ชูชกเลยกลายเป็นมหาเศรษฐีทันตาเห็นในวันนั้นเองที่พาหลานไปหาปู่

เรื่องนี้เป็นการยิงกระสุนนัดเดียวแต่ได้นกสองตัว คือ ข้อที่พระองค์ให้ลูกเป็นทานนั้น มีประโยชน์ ๔ สถาน

๑. ชื่อว่าบำเพ็ญปุตตปริจาค
๒. ชื่อว่าไม่ทำให้พระโอรสและธิดาต้องตกระกำลำบากอยู่ในป่า แต่กลับมาอยู่ในอ้อมอกของปู่-ย่า
๓. ทำให้ชูชกซึ่งแกยากจนเป็นเศรษฐีรวยมั่งมีทันตาเห็น
๔. พระอัยกาได้ฟังนัดดาทั้งสองเล่าถึงความทุกข์ยากของพระโอรสและพระสุณิสา
มีความเศร้าพระทัย เป็นเหตุให้ชาวสีพีรัฐทั้งปวงก็มีความเศร้าใจสงสารพระเวสสันดร พากันยกโทษให้
กลับไปทูลเชิญให้เสด็จกลับไปเสวยราชย์
กลับได้ประโยชน์ถึง ๔ สถาน

การกระทำของพระเวสสันดร จึงไม่ใช่การกระทำที่โง่เขลา ดังที่พวกเราบางคนเข้าใจ
แต่เป็นการกระทำของบัณฑิตผู้เห็นการณ์ไกล ที่เอาประโยชน์ ได้ทั้งในปัจจุบันและสัมปรายภพ ข้อนี้เห็นได้ชัดเจน

ประการสุดท้าย
ทรงให้พระนางมัทรีเป็นทาน พระนางมัทรีใคร ๆ ก็รู้ว่าเป็นยอดมิ่งขวัญ ยอดกัลยาเป็นเมียแก้ว เมียขวัญที่ดี
เพราะฉะนั้น การที่พระเวสสันดรยกพระนางมัทรีให้พราหมณ์นั้น พระนางมัทรีก็รู้อยู่แก่ใจว่า
พระเวสสันดรมุ่งประสงค์อะไร
และพระนางก็ยินดีที่จะร่วมเสียสละกับพระองค์ ยอมให้เป็นเครื่องมือของพระองค์เพื่อที่จะช่วยกันบ่มโพธิญาณให้สุกงอม
เพื่อประโยชน์แก่มหาชนในอนาคตกาลเบื้องหน้า


เพราะฉะนั้น เมื่อพราหมณ์จำแลงมาขอพระนางมัทรีจากพระองค์
เมื่อพระเวสสันดรบอกยกให้แล้ว ยังไม่แน่แก่พระทัยว่า พระนางมัทรีจะเศร้าใจ หรือเสียใจ
จึงผินพระพักตร์มาทอดพระเนตรพระนางมัทรีว่า จะมีการแสดงอาการอย่างไรปรากฏหรือไม่
พระนางมัทรีก็ได้ทูลออกมาด้วยน้ำใจที่แกล้วกล้าเยี่ยงสุรนารีว่า:-

โกมารี ยสฺสาหํ ภริยา สามิโก มม อิสฺสโร
ยสฺลิจฺเฉ ตสฺส มํ ทชฺชา วิกฺกีเณยฺย หเนยฺยา วา

แปลความว่า
หม่อมฉันผู้องอาจ เป็นเทวีของพระองค์ท่านใด พระองค์ท่านนั้น
เป็นภัสดาของหม่อมฉัน เมื่อพระองค์จำนงค์ให้หม่อมฉันแก่บุคคลใด
ขอจงประทานให้แก่บุคคลนั้นเถิด พึงขาย หรือพึงฆ่าเสียก็ตาม
หม่อมฉันยอมทั้งนั้น


นี่ก็แสดงว่า จิตใจของนางมัทรีเต็มเปี่ยมแล้ว เข้าใจในเหตุผลของสวามีแล้ว
พระนางมิได้เศร้าใจหรือเลยใจ พระนางยินดี เพราะยิ่งเป็นการช่วยให้พระสวามีได้สำเร็จตามวัตถุประสงค์ เร็วขึ้น

เสร็จแล้ว พราหมณ์ผู้นั้น ก็เป็นพราหมณ์ที่มาทดลองพระเวสสันดรและได้คืนพระนางมัทรีให้
ใครเลยจะกล้ารับพระนางมัทรีไป

สมมุติว่าเรา ไปเจอคนอย่างนั้นเข้า คู่ผัวตัวเมียทีมีความรักมั่นคง และเข้าใจถึงขนาดเสียสละอย่างนั้น
ใครเลยพอที่จะยังใจร้ายไส้ระกำหินชาติ พรากเขาได้หรือ?
ทำไม่ได้แน่
ถ้าเรายังมีความเป็นมนุษย์อยู่ในสันดาน ฉะนั้นในที่สุดพระนางมัทรีก็ไม่ได้เสียอะไรไป
ก็กลับอยู่ในสำนักของพระสวามีอีก

เรื่องเวสสันดรชาดก จึงเป็นเรื่องที่ให้คติธรรม ความเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์ส่วนรวม

เพราะฉะนั้นโบราณกาลของเราจึงได้เลือกเอาชาดกเรื่องนี้มาเป็นเทศน์ประจำ ยิ่งกว่าชาดกเรื่องอื่น
โดยมุ่งหวังสอนให้ประชาชนรู้สึกเลยสละเพื่อประโยชน์ส่วนรวม
โดยการเสียสละประโยชน์ส่วนตัว


เพราะฉะนั้น เราจะเห็นได้ว่า
สังคมทุกยุคทุกสมัย มีความเดือดร้อนขึ้นนั้น
ไม่ใช่เดือดร้อนเพราะคนเสียสละ


ความเดือดร้อนส่วนใหญ่มาจากคนที่ไม่รู้จักเสียสละ

ถ้าทุกคนรู้จักสละอย่างพระเวสสันดรแล้ว สังคมนี้ก็จะน่าอยู่ โลกนี้ก็จะน่าอยู่มาก
โลกไม่เคยเดือดร้อน เพราะคนเสียสละ
ตรงกันข้ามโลกเดือดร้อน เพราะคนกอบโกย ที่ไม่รู้จักเสียสละ

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เรายังจะมาตำหนิอีกหรือว่า เทศน์มหาชาติคร่ำครึ ฟังแล้วถ้าใครขืนปฏิบัติตาม
เมืองไทยต้องขายชาติ ต้องยกให้บุคคลอื่น เป็นไปได้หรือที่จะเกิดโทษอย่างนั้นขึ้น เป็นไปไม่ได้ เลย

เราฟังเทศน์มหาชาติมากี่ปีแล้ว จนกระทั่งบัดนี้ ๒,๕๐๐ กว่าปี
นับตั้งแต่พุทธกาลมา มีการแสดงมาโดยลำดับ จนบัดนี้
แล้วเราพบคนอย่างพระเวสสันดรมีกี่คน ที่จะยกลูกยกเมียยกบ้าน ยกเมือง ยกทุกสิ่งทุกอย่างให้เขา
ยังไม่พบเลย

ก็จะไปพบได้อย่างไร ถ้าทุกคนทำอย่างพระเวสสันดรละก็ เจ๊งแน่นอนละซิ
ถ้าคนในประเทศไทยทุกคน เกิดนัดกันทำอย่างพระเวสสันดรละ มันก็เจ๊งแน่
แต่จะมีคนที่ทำได้อย่างพระเวสสันดร ก็ตั้งสองพันกว่าปี มีกี่คนที่ทำได้อย่างพระเวสสันดร
ยังไม่พบไม่มีเลย ถ้าพบกรุณาบอกกระผมด้วย

การกลัวว่า ทุกคนเป็นอย่างพระเวสสันดรแล้วก็แย่ โลกนี้ก็ลำบากละซิ ยกให้เขาหมดละซิ
จึงเป็นเหมือนหนึ่งคนที่กลัวฟ้าจะพังหล่นมาทับฉะนั้น เป็นโรคเส้นประสาท
คนที่กลัวอย่างนี้ เป็นโรคจิตทุกชนิด ไม่ใช่โรคสามัญชาติ อย่างกระต่ายตื่นตูมอย่างนี้เป็นต้น

เรื่องเวสสันดรชาดกนั้น ให้คติธรรมในการสอนให้สัตว์รู้จักการเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม

เราควรจะภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง และรักษาประเพณีการฟังเทศน์มหาชาติไว้
โดยช่วยกันบอกเล่า ชี้แจงความเข้าใจผิดอันไร้สาระ
ของคนที่ไม่ได้ศึกษาถึงสารัตถะแก่นสารของเวสสันดรชาดกให้ถูกต้องเข้าใจเสียให้ดี

บุคคลที่จะประพฤติอย่างพระเวสสันดรนี้
ถ้าหากเป็นคำถามขึ้นก็ไม่มีใครเป็นพระเวสสันดรอีกแล้ว เราจะมาฟังเทศน์เวสสันดรชาดกทำไม

เทศน์เพื่ออบรมจิตใจของพวกเราให้รู้จักเป็นคนเสียสละ ขนาดเทศน์อย่างนี้ทุกปี ๆ
เรายังจะหาคนที่มีความเสียสละได้ยากยิ่ง ไม่ต้องเสียสละอย่างพระเวสสันดรหรอกครับ
เอาเพียงหนึ่งในร้อยของพระเวสสันดร ยังหาไม่ค่อยจะพบ
นี่ถ้ายิ่งไม่เทศน์ก็จะยิ่งไปกันใหญ่ นี่ละซิ เราควรจะทำความเข้าใจให้ถูกต้อง

อีกอย่างหนึ่ง ถ้าเผอิญเราพบคนอย่างพระเวสสันดรเข้า ท่านทั้งหลายพึงรู้เถิดว่า
เราพบพระโพธิ์สัตว์องค์ใหม่แล้ว ท่านผู้นั้นเป็นหน่อเนื้อ พระพุทธางกูร กราบไหว้ท่านไว้เถิด
เพราะท่านเป็นเนื้อนาบุญอันวิเศษ
......

ฉะนั้น เรื่องพระเวสสันดรชาดก
กระผมขอจบด้วยการยกเอาอภิสวาจาของพระเวสสันดรโพธิสัตว์ที่ได้ประกาศไว้ว่า

หทยํ จกฺขุมปหํ ทชฺชํ กึ เม พาหิรกํ ธนํ
หริญฺญํ วา สุวณฺณํ วา มุตฺตา วา เวฬุริยา มณี

แปลความว่า
เราพึงให้ดวงหทัยหรือดวงจักษุก็ยังให้ได้ เราจะหวงแหนอะไรกับทรัพย์ภายนอก
คือ เงิน ทอง มุกดา ไพฑูรย์ มณี ได้


ชาลึ กณฺหาชินํ ธีตํ มทฺทึ ปติพฺพตํ
จชมาโน น จินฺเตสึ โพธิยาสึ เยว การณา

แปลความว่า
เราสละชาลีผู้โอรส กัณหาผู้ธิดา ตลอดจนมัทรีเทวี ผู้เคารพสามี โดยที่เราไม่คิดอย่างหนึ่งอย่างใด
ก็เพราะเหตุอันจักสำเร็จโพธิญาณเท่านั้น


น เม เทสฺสา อุโภ ปุตฺตา มทฺที เทวี น อปฺปิยา
สพฺพญฺญุตํ ปิยํ มยฺหํ ตสฺมา ปิเย อทาสหํ

โอรสธิดาทั้งสองของเรา เราจะเกลียดชังก็หาไม่ พระนางมัทรีไม่เป็นที่รักของเราก็หาไม่
แต่สัพพัญญุตญาณเป็นที่รักของเรายิ่งกว่า เราจึงสละโอรสและธิดาพร้อมทั้งมัทรีเสีย
เพื่อแลกกับสิ่งที่เรารักยิ่งกว่านั้นคือ พระสัพพัญญุตญาณ


ขอจบปาฐกถาวันนี้ แต่เพียงเท่านี้

http://www.dharma-ga...n/ubasok-29.htm
ใจหยุดที่สุดแห่งบุญ มุ่งสู่ที่สุดแห่งธรรม

#12 DJ.

DJ.
  • Members
  • 1212 โพสต์

โพสต์เมื่อ 23 September 2008 - 12:27 AM

เป็นกระทู้ที่เยี่ยมมากครับ , ระดมสมองได้สมบูรณ์แบบ ทำให้เห็นคุณค่าคุณประโยนช์ที่แท้จริงของเว็บบอร์ด

ผมขอแนะนำเพิ่มเติมเล็กน้อยในแนวทางวาทศาสตร์ของการโน้มน้าวใจ

๑.) เปิดฉากให้น่าสนใจ

อย่าเสียเวลาชักแม่น้ำทั้งห้ากับคนระดับดอกเตอร์ ให้เปิดฉากพูดตรงประเด็นหลัก

โดยการขยายวิสัยทัศน์ของเขา ด้วยความรู้ที่เขาไม่เคยรู้มาก่อน แล้วเขาจะนับถือคุณและตั้งใจฟัง

คือเรื่องของคุณfoox(ช่วงที่สอง)โดยเล่าชาดกที่มีชายหญิงปวารณาว่า

" จักเกิดเป็นบุตรภรรยา เพื่อมหาสัตว์นี้ได้บริจาคเป็นทาน "

(ถ้าผมจำไม่ผิด รู้สึกว่าจะเป็นตอนสุเมธดาบส ท่านใดแน่นข้อมูล ช่วย search มาลงกระทู้นี้ เพื่อให้คุณ super mom ได้พิมพ์เป็นเอกสารให้ดอกเตอร์ จะดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น)

เล่าแค่นี้แล้วหยุดพูด ให้เขาคิดต่อเองเงียบๆ เพราะการสลายความเข้าใจผิดเดิมนั้น ต้องใช้เวลาส่วนตัวเล็กน้อย ช่วงนี้ขอแนะนำคุณ super mom ให้เดินออกไปชงกาแฟ

๒.) เขาจะคิดได้เองว่า การสร้างบารมีนั้น ทำกันเป็นทีมด้วยความสมัครใจ

การ convince ตนเอง จะทรงพลังกว่าการถูก convince.

แต่ถ้าเขาต้องการการ confirm, สังเกตุได้จากการโยกศรีษะเบาๆไปพลางพรึมพรำไปพลางทำนองว่า

" แสดงว่า...พวกเขาเต็มใจยินดีที่ได้ช่วย..."

ถึงตอนนี้คุณsuper mom ก็ค่อยๆยื่นกาแฟหอมสุดให้ดอกเตอร์แล้วพยักหน้าพูดเบาๆว่า " ผมก็คิดเหมือนท่านครับ"

(ดึกแล้ว ต่อภาคสองวันหลังครับ)

#13 Bruce Wayne

Bruce Wayne
  • Members
  • 184 โพสต์

โพสต์เมื่อ 23 September 2008 - 02:01 PM

เท่าที่ทราบ จริงๆ แล้วมันป็นสิ่งที่พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์จะต้องทำครับในชาติสุดท้ายก่อนมาอุบัติเป็นพระพุทธเจ้า
และทำกันทุกๆ พระองค์เลย และองค์ต่อๆไปก็จะต้องทำเช่นเดียวกัน เรียกว่าเป็นพุทธประเพณีก็ว่าได้ ชาติสุดท้ายก่อนมาเป็นก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น ต้องสละลูกเมีย
จริงๆแล้วเรื่องการสละลูกเมียนี้ไม่น่าจะทำเพียงแค่ชาติสุดท้ายแค่เพียงชาติเดียว แต่น่าจะทำอย่างนี้มาแล้วหลายชาตินับไม่ถ้วนนะ เพราะเนื่องจากในพระไตรปิฎกระบุว่า พระนางพิมพาสุดท้ายได้ออกบวชเป็นภิกษุนีและบรรลุอรหันต์ก่อนที่จะลาพระพุทธเจ้าไปนิพพาน ท่านก็ได้อภิญญา และระลึกชาติได้ด้วย พระนางก็ไปลาแล้วบอกว่า ในอดีตชาตพระพุทธเจ้าิเคยสละพระนางแบบนี้มาหลายชาตินับเป็นจำนวนชาติก็เยอะนะ แต่พระนางก็ไม่ได้น้อยใจเลย ดังนั้นการยกลูกให้เป็นทานก็ไม่น่าจะทำเพียงแค่ครั้งเดียว เพราะขนาดยกเมียให้ให้ยังทำมาหลายชาติเลย
และการยกลูกเมียให้เป็นทาน ก็เป็นความยินยอม ของพระนางมัทรี และ กัญหา ชาลีด้วยเพราะอย่าลืมว่า
ชาติที่ท่านเคยเป็นสุเมธดาบส และได้พบพระทีปังกรพุทธเจ้า และอธิษฐานขอเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล ซึ่งเป็นชาติแรกใน 4 อสงไขยกัป 1 แสนมหากัปในการสร้างบารมี จำได้ว่าพระนางพิมพาหรือมัทรีใน เวสสันดรชาดก ก็ขอเข้ามาเป็นภรรยาเพื่อทำบารมีของท่านสุเมธดาบสให้เต็มเปี่ยม
และก็มีคนอีก 2 คน ขอมาเป็นลูก ซึ่งทั้ง 2 คน สุดท้ายก็มาเป็น กัญหา ชาลี ในพระเวสสันดรนั้นเอง






#14 SuperMom

SuperMom
  • Members
  • 22 โพสต์

โพสต์เมื่อ 29 September 2008 - 10:58 PM

โอ้โฮ...ขอคารวะ ขอคารวะ กับทุกๆ คำแนะนำเลยจริงๆ ค่ะ

ขอบอกว่าสุดยอด

save ข้อมูลเก็บไว้แล้วค่ะ

อนุโมทนาสาธุกับทุกๆท่านนะคะ

 

ข้าวรวงงาม ย่อมโน้มต่ำ


#15 อริย 072

อริย 072
  • Members
  • 440 โพสต์

โพสต์เมื่อ 30 September 2008 - 12:20 AM

คำตอบยอดเยี่ยมจริงๆ
ปราชญ์ทั้งนั้น WEB นี้