ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 2 คะแนน

พญานาค 2 และความเป็นมาของบั้งไฟพญานาค


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 9 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 usr21128

usr21128
  • Members
  • 2 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 December 2007 - 02:00 PM

หนองคาย – เวียงจันทน์

เมือง “พญานาค”


ในสมัยพุทธกาล คราวที่พระพุทธเจ้าเสด็จที่พระเชตุวันมหาวิหาร ใกล้กรุงสาวัตถี พระองค์ได้พิจารณาถึงพุทธโบราณ ประเพณีของพระพุทธเจ้าในอดีตที่เสด็จเข้านิพพานไปแล้ว พระสาวกทั้งหลายต่างก็นำเอาพระสารีริกธาตุไปฐาปนาไว้ในที่ที่เหมาะสม พอรุ่งเช้าพระอานนท์ ได้ถวายน้ำชำระพระโอษฐ์ และไม้สีฟันหลังเสร็จกิจ จึงได้ทรงผ้ากำพลสีแดง แล้วผินพระพักต์สูทิศตะวันออก เสด็จมาทางอากาศมีพระอานนท์ เป็นผู้ติดตามพร้อมคณะสงฆ์เสด็จประทับที่ ดอนก่อนเนา (เวียงจันทน์ และเสด็จที่หนองคันแท เสื้อน้ำ ที่เวียงจันทน์) แล้วเสด็จประทับที่โพนจิกเวียงงัว (ใต้ปากห้วยคุคำ บ้านปะโค) ได้ทอดพระเนตเห็น แลนคำ แลบลิ้น จึงทรงแย้มพระโอษฐ์ เมื่อพระอานนท์ ทูลลา พระองค์พญากรณ์ว่า ต่อไปบ้านเมืองนี้จะเจริญ แลนคำ นั้นก็คือ ปัพพาละนาค อยู่ภูเขาลวงริมน้ำบังพวน ต.พระธาตุบังพวน (ทุกวันนี้) หลังจากที่ ปัพพาละนาคทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าไปภูเขาลวงจนพระองค์กระทำภัตตกิจเสร็จสิ้นได้ประทานผ้ากำพลผืนหนึ่งแก่ ปัพพาละนาค แล้วเสด็จไปฉันเพลที่ใกล้เวินหลอด ต่อมาเรียกเวินพล (บ้านโพนฉัน เมืองท่าพระบาท แขวงบลิคำไซ ประเทศ สปป. ลาว) จากนั้น สุกขหัตถีนาค เนรมิตเป็นช้างถือดอกไม้มาขอเอารอยพระพุทธบาทพระองค์ได้ย่ำรอยพระบาทไว้ที่แผ่นหินใกล้น้ำชั่วเสียงช้างร้องได้ยิน (ปัจจุบันเรียกว่า พระบาทโพนฉัน) อยู่เมืองพระบาท ในลาว


พญานาคสร้างเมือง


ที่บ้านร่องสะแก ต.หนองคันแทเสื้อน้ำ(ในเวียงจันทน์)มีชายคนหนึ่งตัวใหญ่ดำ พุงใหญ่ ชื่อ“บุรีจันทน์ อ่วยล้วย” แต่เป็นผู้มีใจบุญสุนทาน จิตใจเป็นกุศล โอบอ้อมอารีแก่คนและสัตว์ ทำบุญให้ทานเป็นประจำ ในครั้งนั้นมีพระอรหันต์ 2 องค์ มาจากราชคฤห์นครอาศัยอยู่ที่นั้น คือ มหาพุทธวงศา อยู่ริมบึง อีกองค์ชื่อ มหาสัชชะตี อยู่ป่าโพนเหนือบึง บุรีจันทน์ อ่วยล้วย เป็นผู้อุปัฏฐากมาตลอด ด้วยอำนาจบุญกุศลดังกล่าว ทำให้คนทั้งหลายในตำบลมีความรักนับถือ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย จึงพากันยกให้บุรีจันทน์ ฯ เป็นอาจารย์สั่งสอนศีลธรรม ศิลปหัตถกรรม การุกสิกรรม จนเป็นที่รักใคร่ของมนุษย์ เทวดา นาค จึงมีนาคคอยช่วยเหลือกิจกรรมอยู่เนือง ๆ โดยมีสุวรรณนาค ให้ความช่วยเหลือเนรมิตบ้านเมืองให้

อยู่มาวันหนึ่งหลังจากที่ชาวบ้านทำนา เมื่อข้าวออกรวง น้ำก็มาท่วมเสีย สุวรรณนาค จึงให้ เศรษฐไชยนาค เนรมิตเป็นคันแทกั้นน้ำเอาไว้ เพื่อให้ท่วมข้าว ที่นั้นคนจึงเรียกว่า หนองคันแทเสื้อน้ำ ต่อมาอีก สุวรรณนาค ให้นาคบริวาร 2 ตัว คือ เอกจักขุนาค และ สุคันธนาค แปลงเพศเป็นงูมาทำให้ข้าวในนาเสียหาย ชาวบ้านจึงกั้นรั่วเปิดช่องกลาง ดักไซไว้ ต่อมางูน้อย 2 ตัวที่มีเกล็ดเหมือนทองคำ มีหงอนแดงงาม เข้าไปอยู่ในไซ

ในคืนนั้น บุรีจันทน์ อ่วยล้วย ฝันว่ามีไส้ออกมา และมีลึงค์ยาวพันรอบเอวถึง 7 รอบเมื่อตื่นขึ้นมาก็กลัว ไปใส่บาตรพระอรหันต์ ท่านได้แนะนำให้เอาดอกไม้ใส่พานบูชาไว้ที่หัวนอน แล้วอุทิศกุศลถึงพญานาค พอสายก็มีคนนำงูน้อย 2 ตัว มาให้จึงได้ขังเอาไว้เพื่อที่จะได้นำไปให้ พ่อท้าวคำบาง ผู้เป็นใหญ่ แต่ยังไม่ได้นำไป พอตกกลางคืน สุวรรณนาค แปลงเป็นตาผ้าขาวมีศรีษะหงอก บอกว่า “งู 2 ตัวนั้นเป็นลูกจะมาขอคืน” เมื่อ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย เห็นดั้งนั้นจึงถามว่า “ท่านเป็นคนถือศีลธรรมหรือ จึงนุ่งขาว ห่มขาว และทำไมบอกว่าเป็นลูกท่าน ข้าตั้งใจจะนำไปให้พ่อท้าวคำบาง เพราะเห็นว่ามีเกล็ดงามเหมือนทองคำ”

ตาผ้าขาวจึงบอกว่า“เป็น พญานาค ท่านอย่าเอาไปเลย สิ่งนี้ไม่เหมาะ ควรจะนำสิ่งอื่นไปหากท่าต้องการเราจะให้ตามใจท่าน” บุรีจันทน์ อ่วยล้วย คิดว่าคงจะเป็นตามที่เราฝัน และ การอุทิศถึงพญานาค จึงได้บอกไปว่า “เมื่อข้าต้องการเมื่อใด ท่านจงให้เมื่อนั้นเถิด” แล้วได้มอบ งูน้อย 2 ตัวไป ตาผ้าขาวจึงได้บอกแก่ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย ว่า “ให้ท่านขุดบ่อน้ำไว้ที่ริมบึงนอกบ้าน ถึงวันพระจะให้นาคน้อย 2 ตัวขึ้นมา ท่านประสงค์สิ่งใดจงเรียกจากนาคทั้ง 2” จากนั้นก็จากไป

หลังจากที่พญานาค เห็นว่าทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว จึงได้ดลใจพ่อท้าวคำบาง และมเหสี ให้นำ นางอินสว่างลงรอด ให้เป็นบาทบริจาคแห่ง พระยาสุมิตร ธรรมวงศา เมืองมรุกขนคร และเมื่อนางอินสว่างลงรอด ทราบก็เกิดความโศกเศร้า บิดาเห็นว่าไม่พอใจ จึงพูดให้พระธิดากลัวว่า ถ้าเช่นนั้นจะนำเจ้าไปเป็นธิดาของ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย ที่เขาลือกันว่าพุงใหญ่ ตัวดำ เมื่อธิดาได้ยินแทนที่จะกลัว กลับมีความพอใจและหายโศกเศร้าจึงได้ปลูกเรือนหลวงขึ้น 2 หลัง ๆ ละ 5 ห้อง ไว้ระหว่างหาดทราย กับ บ่อน้ำของ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย แล้วให้พระธิดาไปอยู่นั้น แล้วตรัสสั่งให้ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย เข้าเฝ้า เพื่อให้พระธิดาเห็นแล้วกลัว

ฝ่ายบุรีจันทน์ อ่วยล้วย เมื่อทราบดังนั้นจึงไปที่บ่อน้ำ ที่พญานาค สั่งให้ขุดแล้วเรียกนาคทั้ง 2 ให้มา นาคทั้ง 2 ก็มาตามประสงค์ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย จึงบอกว่าบัดนี้เราอยากได้นางอินสว่างลงรอด มาเป็นภรรยา ท่านทั้ง 2 จงกรุณาให้นางได้กับข้าด้วยเทอรญ

พญานาค ร่วมแรงแข็งขันช่วย บุรีจันทน์ อ่วยล้วย ในบรรดาพญานาค ที่มีอยู่ที่หนองคันแทเสื้อน้ำ นั้น สุคันธนาค นำขวดไม้จันทน์มาให้ พร้อมเนรมิตอ่างสำหรับอาบน้ำ พร้อมกระบวยสำหรับตักน้ำอาบ เอกจักขุนาค ให้ผ้าเช็ดตัว กายโลหนาค ให้ผ้านุ่ง แล้วก็บอกกันต่อไป ส่วน อินทจักขุนาค ให้แหวนธำรงค์ เศรษฐไชยนาค ให้ดาบศรีด้ามแก้ว สหัสสพลนาค ให้เสื้อรูปท้าวพันดา สิทธิโภคนาค ให้มงกุฎทองคำ ประดับแก้ว คันธัพนาค ให้สังวาลย์คำ ศิริวัฒนานาค ให้รองเท้าทองคำ อินทรศิริเทวดา ให้แว่นกรองทองคำ เทวดาผยอง ให้ต่างหูทองคำ ประดับด้วยแก้ว เทวดาวาสนิท ให้ผ้าเช็ดหน้า ประสิทธิสักกเ[/size]ทวดา ให้ขวดน้ำมันแก้วผลึกเมื่อ นาค เทวดา ให้เครื่องเหล่านี้แล้ว ก็พากันมาชุมนุมที่หาดทราย อันเป็นที่อยู่ของ สุคันธนาค และ เอกจักขุนาค ส่วน สุวรรณนาค หัตถีนาค ปัพพาละนาค ได้มาพร้อมกับ พญาสุวรรณนาค และ พุทโธปาปนาค พญาสุวรรณนาค ก็เนรมิตปราสาทที่สำเร็จด้วยไม้จันทน์ พร้อมอาสนะ เครื่องปูลาด เพดานพร้อมเสร็จ แล้วจึงพากันไปรับเอา นางอินสว่างลงรอด มาไว้ในปราสาท และ พญาสุวรรณนาค ยังได้เนรมิตท้องพระโรงหลวง 19 ห้อง ที่ทำด้วยแก่นจันทน์ ปัพพาละนาค เนรมิตปราสาทไม้มะเดื่อพอกทำภายนอก พุทโธปาปนาค เนรมิตสระพังสำหรับสรง สุคันธนาค และ หัตถีนาค เนรมิตโรงช้างไว้ ซ้าย-ขวา ในคุ้ม ในวัง นั้นมีทุกประการ เมื่อคนทั่วไป ไปจับต้องสิ่งที่พญานาค เนรมิตไว้ก็จะเกิดมีอันเป็นไปต่าง ๆ นานา เทวดาอินทรศิริ เจียมปาง รับอาสากับ พญานาค เข้าคุ้มครองรักษาวัตถุข้าวของในปราสาทโรงหลวงทั้งสิ้น แล้วให้ เทวดามัจฉนารี นำพานดอกไม้ไปอัญเชิญ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย เข้ามาอยู่หลังจากที่ บุรีจันทน์ อ่วยล้วย ชำระร่างกาย แล้วประดับด้วยเครื่องที่นาคจัดกามาให้และเทวดาเนรมิตให้ เมื่อแต่งเสร็จปรากฏว่าร่างกายที่อ้วนใหญ่ ดำ ก็กลายเป็นหนุ่มรูปหล่อ งามสง่าเนื้อตัวหอมด้วยกลิ่นจันทน์ เทวดามัจฉนารี จึงได้อุ้มไปนอนไว้กับ นางอินสว่างลงรอด ทันใดนางก็ตื่นแล้วหลับต่อไปอีก หลังตื่นมาทั้งสองเกิดความรักใคร่และได้เป็นสามี ภรรยากันต่อมา บุรีจันทน์ อ่วยล้วย เป็นเจ้าเมืองเมื่อบริวารทั้งหลายตื่นขึ้นมาเห็นความยิ่งใหญ่ จึงนำความไปแจ้งแก่ พ่อท้าวคำบาง และ พระมเหสีทั้งสอง มีความยินดี จึงให้เสนออำมาตย์จัดพิธีสมโภชยก บุรีจันทน์ อ่วยล้วย เป็นเจ้าบุรีจันทน์ พร้อมมอบบ้านเมืองให้ครอง โดยมี เทวดามัจฉนารี รักษาจ้าบุรีจันทน์ และข้า ทาสบริวาร ส่วน เทวดาอินทรศิริ ได้บอกกับ สุวรรณนาค ว่านาคตัวใดรักษาเมืองใดก็ให้ประจำอยู่ที่นั้น แล้วให้บอกกล่าวแก่ เงือก, งู ที่เป็นบริวาร ไม่ให้ทำร้ายผู้ใด ให้พากันรักษาพระพุทธศาสนา บ้านเมืองให้เจริญตั้งอยู่ในไตรสรณคมน์ เมื่อ สุวรรณนาค ได้รับคำสั่งดังนั้นจึงมีความยินดี ได้แต่งตั้งให้นาค 4 ตัว คอยดูแลเมือง ราษฎร ควรทำโทษจึงทำ โดยมี กายโลหนาค, เอกจักขุนาค, สุคันธนาค, อินทรจักขุนาค โดยมี เทวดาอินผยอง และ เทวดาวาสนิท เป็นผู้เที่ยวตรวจดูตามตำบลต่าง ๆ เมื่อเห็นคนกระทำผิดให้บอกแก่นาค ทั้ง 4 เป็นผู้ตัดสินลงโทษ เมืองที่เจ้าบุรีจันทน์ อ่วยล้วย ปกครอง คือเมือง สีสัตตนาคนหุต รวมถึงเมืองหนองคายด้วย เพราะในสมัยนั้น แม้แต่ พระธาตุบังพวน ต.พระธาตุบังพวน อ.เมืองหนองคาย เจ้าบุรีจันทน์ ก็เป็นคนสร้างครั้งแรกที่พระอรหันต์ นำพระบรมสารีริกธาตุ มาบรรจุโดยมีนาค คือ ปัพพาละนาค เป็นคนช่วยสร้างจนเสร็จ เมื่อพระอรหันต์นำเอาพระธาตุหัวเหน่า 29 องค์ ถวายพระยาจันทน์บุรี แล้วบรรจุในขวด ในขวดไม้จันทน์ที่ สุคันธนาค มอบให้ แล้วนำบรรจุลงในอุโมง ที่พระธาตุบังพวน

[size="6"]
บทสรุปของบั้งไปพญานาค
สรุปบั้งไฟพญานาค

ควรมี ( Indication) 9 ข้อได้แก่ ดังนี้



มี. 5 ร. และ 3 ล.





1. คำว่า “ มี “

คือฟองก๊าซมีเทน - ไนโตรเจน ความบริสุทธิ์ของมีเทนประมาณ 19% และมีส่วนประกอบอื่นที่เหมาะสม ขนาดโตอย่างน้อย

15 ซีซี (จากงานวิจัย)



คำว่า ร.



2. ร. ที่ 1 คือ ร. รวย
หมายถึงรวยออกซิเจนอะตอมที่มีประจุ (ยังเป็นสมมุติฐานอยู่) หรือ Ionized Atomic Oxygen คือมีความหนาแน่นของ Ionized Atomic Oxygen ที่บรรยากาศเหนือตำแหน่งที่ฟองก๊าซผุดขึ้นมามากพอ ที่จะทำปฏิกิริยากับฟองก๊าซมีเทน – ไนโตรเจนได้โดยถ้าเป็นช่วงที่โลกเคลื่อนเข้าใกล้ดวงอาทิตย์มากที่สุด พร้อมๆกับที่ดวงจันทร์เคลื่อนเข้าใกล้โลกมักพบเปอร์เซ็นต์ O2 สูง > 22% ร่วมด้วยได้บ่อย (จากงานวิจัย) เช่นช่วง มีค. – พค. , กย. - ตค. (จากงานวิจัย)ซึ่งเป็นช่วงที่ชั้นบรรยากาศ (Number of Atmospheres) ที่พลังงานรังสี UV (Ultraviolet) ชนิด C และ UV ชนิด B ทะลวงผ่านจะหนาแต่เนื่องจากโลกอยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ที่สุดทำให้พลังงานรังสี UV(Ultraviolet) ชนิด C ที่ผิวโลกเหลือมากพอที่จะทำให้ก๊าซออกซิเจน(O2)แตกตัวได้และ UV ชนิด B เหลือมากพอที่จะเจาะทะลวงม่านโอโซนในชั้นสตราโตสเฟียร์ ให้บางลงจนพอที่จะทำให้ UV ชนิด C เล็ดรอดลงมาได้ แต่ก็อาจจะพบในเดือน มิย. ได้ประปราย (จากงานวิจัย) ซึ่งเป็นเดือนที่แม้โลกจะอยู่ห่างจากดวงอาทิตย์มากที่สุด แต่ในประเทศที่ตั้งอยู่ในซีกโลกเหนือเส้นศูนย์สูตร เช่น ไทย, ลาว, ซาอุดิอาระเบีย, อเมริกา จะพบว่า ชั้นบรรยากาศ (Number of Atmospheres)ที่พลังงานรังสี UV ชนิด C และ ชนิด B ต้องทะลวงผ่านจะบางที่สุด คือ บางกว่าช่วง มีค.-พค. และ กย.- ตค. เกือบ 3 เท่า ดังนั้น แม้รังสี infrared จะลดลงเพราะโลกอยู่ไกลจากดวงอาทิตย์มากที่สุด แต่ UV ชนิด C และ B ซึ่งถูกดูดซึมในชั้นบรรยากาศน้อยลงมากจะยังเหลือมากพอที่จะทำให้ UV ชนิด B เหลือมากพอที่จะ เจาะทะลวงม่านโอโซนในชั้นสตราโตสเฟียร์ลงมาถึงพื้นได้ และ UV ชนิด C เหลือพอที่จะทำให้ O2 ที่ผิวโลกแตกตัวได้เป็น lonized Atomic Oxygen ได้ แต่เนื่องจากแรงโน้มถ่วงลดลงทำให้เปอร์เซ็นต์ O2 ไม่สูงเหมือน มีค.- พค. และ กย.- ตค.



3. ร. ที่ 2 คือ ร. รังสี

คือมีปริมาณรังสี UV ชนิด B และชนิด C ที่มีความยาวคลื่นยาวกว่า 2,460 อังสตรอมในระดับผิวโลกในเวลากลางวัน ณ ตำแหน่งที่เกิดบั้งไฟพญานาค เหลือมากพอที่จะทำให้ O3 แตกตัวเป็น Ionized Atomic Oxygen และ O2 หรือทำให้ O2 แตกตัวเป็น Ionized Atomic Oxygen ได้มากพอที่จะทำปฏิกิริยาแบบ Heterogenous Combustion กับฟองก๊าซ มีเทน – ไนโตนเจน ที่ผุดขึ้น ณ ตำแหน่งเดิมเป็นประจำ (จากงานวิจัย) แทบทุกวันอยู่แล้วจนติดไฟได้เป็นบั้งไฟพญานาค



4. ร. ที่ 3. คือ ร. ร้อน

คือต้องมีอุณหภูมิของน้ำร้อนหรือดินทราย ณ แหล่งอินทรียวัตถุร้อนพอที่จะเกิดการหมักจนได้ฟองก๊าซมีเทน - ไนโตรเจน ซึ่ง จากงานวิจัยพบว่าค่าเฉลี่ยของอุณหภูมิอากาศ ณ 10 น. + 13 น. +16 น. หารด้วย 3 จะมีค่ามากกว่า 26.1 oC ( อุณหภูมิของน้ำต้องไม่ต่ำกว่า 15 oC ) และพบว่าจะมีความสัมพันธ์กับการเกิดบั้งไฟพญานาคถ้าปัจจัยอื่นพร้อม



5. ร. ที่ 4. คือ ร. ไร้ออกซิเจน

คือ ระดับน้ำต้องลึกพอ (ผลการวิจัยพบว่าระหว่าง 4.55 – 13.4 เมตร) ที่จะทำให้เกิดความพอเหมาะของระบบนิเวศน์วิทยาอันเป็นที่อยู่อาศัยของแบคทีเรีย 2 กลุ่ม คือกลุ่มผลิต Acetic Acid ซึ่งเป็น Substrate ของมีเทน ที่ยังต้องการออกซิเจนบ้าง และกลุ่มผลิตมีเทนซึ่งต้องอยู่ในภาวะไร้ออกซิเจน (งานวิจัยของ Reid 1961 พบว่าน้ำที่ตื้นกว่า 5 เมตร ออกซิเจนจะมากไปและน้ำจะลึกกว่า 13 เมตร อุณหภูมิจะต่ำไป คือต่ำกว่า 15oC) จึงจะเกิดการหมักและสร้างมีเทนได้ มีเทน-ไนโตรเจน ที่ %และส่วนประกอบอื่น เหมาะได้ หรือถ้าเกิดบนพื้นดินหรือพื้นทรายก็ต้องมีผิวดินหรือทรายที่ห่อหุ้มอินทรียวัตถุพอที่จะเกิดภาวะไร้อ๊อกซิเจนที่พอเหมาะต่อการเจริญของแบคที่เรียทั้ง 2 กลุ่ม ในขณะเดียวกันได้



6. ร. ที่ 5. คือ ร. ไร้มลพิษของแบคทีเรีย

คือน้ำหรือดินหรือทรายที่แบคทีเรียกลุ่มผลิตมีเทนอาศัยอยู่ จะต้องมี PH ระหว่าง 6.4-7.8 และไม่เน่าหรือดำ ซึ่งน้ำในแม่น้ำโขงก็มีลักษณะเช่นนี้เช่นเดียวกัน (จากงานวิจัย)



ล. ได้แก่

7. ล. แรก มีแหล่งอินทรียวัตถุ (ธาตุ CHONS)

8. ล. ที่ สอง แหล่งดังกล่าวต้องอยู่ลึกพอ

หรือถูกห่อหุ้มด้วยดินหรือทรายที่จะเกิดแรงกดดันหรือแรงรัดฟองก๊าซอย่างน้อย 1.4-1.5 เท่าของบรรยากาศทำให้ได้ก๊าซที่ผุดขึ้นมาพบกับบรรยากาศโลก หลังฟุ้งกระจายไปบ้างเหลือขนาดฟองก๊าซไม่ต่ำกว่าฟองละ 15 ซีซี (ฟองก๊าซขนาด 10-12 ซีซี ที่ความลึกของน้ำ 5 เมตรจะขยายขนาดเป็น 15 ซีซี เมื่อถึงผิวน้ำ

9. ล. ที่ สาม น้ำไหล

จะช่วยระบายมลพิษของ แบคทีเรียกลุ่มผลิตมีเทน และทำให้ดำรง PH อยู่ระหว่าง 6.4-7.8 ตลอดเวลาเหมือนระบบกำจัดน้ำเสียของโรงงานและทำให้ผิวดินและทรายท้องน้ำหยุ่นและพรุนสม่ำเสมอทำให้ลูกก๊าซระเบิดขึ้นมาในเวลาใกล้เคียงกันทั้งท้องน้ำ





ใน 9 ข้อทั้งหมดนี้ ที่ต้องมีและ จัดเป็น Absolute Indication คืออย่างน้อยต้องมี 2 ข้อแรก

ส่วนข้อ 3-9 เป็นแค่ Relative Indication อาจไม่ต้องมีก็ได้







หมายเหตุ ปฏิกิริยาระหว่าง CH4 กับ Ionized Atomic Oxygen ในเอกสารอ้างอิงได้ยืนยันว่าเกิดขึ้นได้จริง ณ จุดสูงประมาณชั้นสตราโตสเฟียร์ และเหนือชั้น สตราโตสเฟียร์ขึ้นไป (35-80 กม. จากผิวโลก) โดยปกติม่าน O3 ที่ระดับชั้นสตราโตสเฟียร์จะกรอง UV ชนิด C ไว้ได้หมด แทบไม่เหลือตกถึงพื้นโลกเลยทำให้ภาวะปกติจะไม่พบ Ionized Atomic Oxygen ต่ำกว่าชั้นสตราโตสเฟียร์เลย ยิ่งที่ผิวโลกแล้วจะไม่มีโอกาสพบ แต่ในวันนั้น UV ชนิด B ( ความยาวคลื่นระหว่าง 2,900 - 3,200 อังสตรอม) ซึ่งทำลายม่าน O3 ได้จะมากพอที่จะทำลายม่าน O3 ลงจน ( จากงานวิจัย) ทำให้ UV ชนิด C เหลือลงมา ถึงผิวโลกระดับล่าง มากพอที่จะทำให้ O2 แตกตัวเป็น Ionized Atomic Oxygen ได้ ณ ผิวโลกในวันนั้น และแม้ Ionized Atomic Oxygen จะมีน้ำหนักอะตอมเพียง 16 ซึ่ง เบากว่าค่า Mean ของน้ำหนักโมเลกุลของอากาศ ( 29) , N2 ( 28 ) และ O2 (32) แต่เนื่องจากเป็นอนุภาคที่มีประจุทำให้แทนที่จะถูกดูดลอยขึ้นด้วยอิทธิพลของแรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ก็กลับเคลื่อนที่ตามอิทธิพลสนามแม่เหล็กโลกนั่นคือ เคลื่อนขนานกับพื้นแม่น้ำโขงแทน (ยังเป็นสมมุติฐานอยู่) จึงสามารถเข้าทำปฏิกิริยากับฟองก๊าซมีเทน – ไนโตรเจน ที่มี % และส่วนประกอบ เหมาะสมได้จากเอกสารอ้างอิงพบว่า อุณหภูมิในระดับชั้นสตราโตรเฟียร์ ณ จุดสูงกว่าผิวโลก 35-80 กม. ซึ่ง ปฏิกิริยาระหว่าง CH4 กับ Ionized Atomic Oxygen เกิดขึ้นเป็นประจำอยู่แล้ว จะมีอุณหภูมิระหว่าง +10 oC ถึง – 80 oC แสดงว่าปฏิกิริยาระหว่าง CH4 กับ Ionized Atomic Oxygen ไม่ต้องใช้ความร้อนเลย ดังนั้น ปฏิกริยาบั้งไฟพญานาคก็จะเกิดโดยไม่ต้องใช้ความร้อนและก๊าซไม่ต้องร้อนเช่นเดียวกัน (ปกติ CH4 12-18% ถ้าจะทำปฏิกิริยากับ Molecular Oxygen ต้องอุณหภูมิอย่างน้อย 800-1,000 oC)





เราว่า พญานาค นะเป็นคนทำไม่ไช่กาศ แต่มันก็เป็นแค่ความเชื่อ ของ แต่ละคนเนอะ
cool.gif wink.gif cool.gif dont_tell_anyone_smile.gif

#2 ฟ้ายังฟ้าอยู่

ฟ้ายังฟ้าอยู่
  • Members
  • 2511 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 December 2007 - 03:00 PM

เหอ เหอ
เจ้าของกระทู้คงไม่ใช่นักเรียนอนุบาลฝันในฝัน

เพราะถ้าใช่ จะรู้ว่า จริงๆ แล้วเกิดจากอะไร
ส่วนของธาตุหยาบ ก็ประกอบกันไปตามความประสงค์ของผู้ที่ประกอบธาตุละเอียด

สามารถศึกษาเรื่องราวพญานาคทั้งจากพระไตรปิฎก และโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยาได้ที่
http://www.dmc.tv/pa...anaka_menu.html
"เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำจะเกิดมาทำไม
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)


#3 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 December 2007 - 04:05 PM

ขอแนะนำให้ศึกษาเรื่องราวของพญานาคจากโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยานะครับ...สาธุ

#4 ^_^หลับตาพริ้ม๐นั่งหน้ายิ้ม^_^

^_^หลับตาพริ้ม๐นั่งหน้ายิ้ม^_^
  • Members
  • 62 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 December 2007 - 04:42 PM


ไม่ใช่พิสูจน์ไม่ได้นะ !!!

ส่วนตัวก็เป็นหัวแนววิทยาศาสตร์อยู่แล้วด้วย แต่ก็ต้องอิงตามหลักการของเหตุและผล เจ้าของกระทู้ก็ต้อง เปิดตาและ เปิดใจซักหน่อย จะได้ความรู้ที่เห็นได้ตรงตามความเป็นจริง ทั้งเรื่องในที่ลับ และเรื่องในที่แจ้ง

จะพิสูจน์ได้ ถ้าบุญถึง และ ใจ( เข้า )ถึง อ่ะนะ !!!

#5 DJ.

DJ.
  • Members
  • 1212 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 December 2007 - 09:26 PM

ผมจบคณะวิทยาศาสตร์
วิทยาศาสตร์ต้องพิสูจน์ได้
ถ้าคุณ usr21128 รู้ machanism
ก็จงไปทำ lab พิสูจน์
เชิญสื่อมวลชนทั่วโลกไปชม
แล้วรอรับรางวัลระดับโลก
Action is louder than words.
เด็กม.ปลายสายวิทย์ก็แต่งนิยายวิทยาศาสตร์กันเป็นแล้ว
OK ?
ส่วนนิทานพื้นบ้านก็ขอให้ช่วยไปหัดแต่งใหม่
ให้ตื่นเต้นเร้าใจและสมเหตุสมผลกว่านี้
แล้วเขาจะต้องมีคติธรรมสอนใจตอนจบด้วย
จะได้สมบูรณ์แบบน่าอ่านมากกว่านี้ครับ



#6 วัดในดวงใจ

วัดในดวงใจ
  • Members
  • 1199 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 December 2007 - 08:57 AM

ขอแนะนำให้ศึกษาเรื่องราวของพญานาคจากโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยานะครับ...สาธุ

พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์

#7 WISH

WISH
  • Moderators
  • 3579 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 December 2007 - 09:54 PM

unsure.gif อ่านบทความแล้ว ยังไม่ได้กล่าวถึงที่มาหรือบุพกรรมของการเกิดบั้งไฟแต่อย่างใด

unsure.gif ที่เขียน
QUOTE
(จากงานวิจัย)
มีอ้างอิงจากที่ใด ทั้ง ผู้วิจัย สถาบัน สมมุติฐาน วิธีการ ผล บทสรุปใด?

nerd_smile.gif คงเป็นความเชื่อทางวิทยาศาสตร์ ขอเอาไว้บนหิ้งนะ แล้วอย่าลืมมาพิสูจน์ความจริง ล่ะ

happy.gif ท้ายนี้ขอเอาใจช่วย ให้ จขกท.พบกับความจริงจากการพิสูจน์...นะ
ทำไมต้อง หาคำตอบ ณ แดนไกล ลืมหรือไร ว่าอยู่ใกล้ DMC

#8 pupu

pupu
  • Members
  • 30 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 December 2007 - 10:00 AM

ขอโทนะค่ะ อ่านไม่ค่อย รู้เรื่องค่ะ เป็นแนว วิทยาศาสตร์มากไป ป่ะค่ะ ที่รู้ไม่ใช่แบบนี้ค่ะ ขอโทษนะค่ะ

#9 สิงโตเกเร

สิงโตเกเร
  • Members
  • 164 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 December 2007 - 01:07 PM

มั่ว.....คิดเองเขียนเอง แต่งเองด้วยป่าว
เห็นด้วยกับ คห. ที่5 ไปทำ lab พิสูจน์มาจะรอดู

#10 พุทธบุตร ปุถุชน

พุทธบุตร ปุถุชน
  • Members
  • 5 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 December 2007 - 05:11 PM

อืม เราก็ควรวางใจให้เป็นกลางนะขอรับ เชื่อในสิ่งที่มีเหตุผล เชื่อในสิ่งที่เราพิสูจน์และเห็นกับตาตัวเองแล้ว

สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น
สิบตาเห็นไม่เท่ามือคลำ
สิบมือคลำไม่เท่ากับการลงมือปฎิบัติ

ไม่ใช่เชื่อโดยไม่มีเหตุผลของเรา


นั่นแหละ!!! เขาจึงเรียกว่าชาวพุทธ!