ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

นิพพานคืออะไร พระอรหันต์มีจริงหรือ???


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 10 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 บุญโต

บุญโต
  • Members
  • 2192 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
  • Interests:ปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 08 September 2006 - 04:05 PM

นิพพานคือจุดสูงสุดที่ชาวพุทธทั้งหลายต้องการไปถึง คือการที่พระพุทธองค์สอนให้มนุษย์ทั้งหลายปฏิบัติจนหลุดพ้นจากวัฏสงสารโดยไม่มีการกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก ทำให้หลุดพ้นจากกองทุกข์ การที่ใครจะไปถึงนิพพานได้ไม่ใช่ของง่าย ต้องไปด้วยตนเอง จะให้ผู้อื่นมาช่วยเหลือไม่ได้ แม้ว่าพุทธศาสนาทางมหายานว่ามีทางลัดที่องค์พุทธะและพระโพธิสัตว์ต่างๆจะสามารถช่วยเหลือให้คนพ้นทุกข์ได้ คงเป็นเพียงช่องทางเสริมสร้างกำลังใจแก่คนส่วนหนึ่ง

การจะไปนิพพานได้จะต้องเป็นผู้มีศีล 5 ศีล 10 โดยเคร่งครัด ต้องละสุขในโลกีย์ 5 ตนเองต้องดับกิเลสได้หมด คือ ตัดตัณหาอุปาทานทั้งหลายทั้งปวงได้ เปรียบเทียบว่าหมดเชื้อจึงจะไม่เกิดไฟ ไปด้วยมรรค 8 องค์เท่านั้น ถ้ามีใครอ้างว่าถึงนิพพานแต่ยังมีการแสดงออกว่ายึดติดกับตัณหาอุปาทานทั้งหลายย่อมแสดงว่าเขาหลง ตามจริงแล้วผู้ที่ไปนิพพานแล้วเท่านั้นจึงจะรู้ถึงผู้ที่นิพพานด้วยกัน พระนิพพานมี 2 ประเภท คือ นิพพานดิบ หมายถึงผู้ที่ได้ปฏิบัติจนพ้นทุกข์แล้ว ได้เสวยสุขของนิพพานขณะยังมีชีวิตอยู่ และนิพพานสุขคือเมื่อสิ้นชีวิตไปแล้ว ตามตำราอ้างว่ามีผู้หลงนิพพานไปไม่ใช่น้อย บางท่านหลงไปเกิดในอรูปพรหม ซึ่งเป็นนิพพานโลกีย์ ซึ่งยังต้องอาศัยการปฏิบัติใช้เวลาอีกยาวนานมากกว่าจะเป็นนิพพานโลกุตร

เรื่องนิพพานนี้คงไม่มีใครบอกได้นอกจากท่านที่นิพพานเอง ซึ่งท่านก็จะไม่บอกให้ใครทราบ บรรดาปัญญาชนทั้งหลายจะเชื่อได้อย่างไรว่ามีผู้นิพพานจริงๆ ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดจริง เรารู้ว่าพระผู้นิพพานไปแล้วเป็นองค์อรหันต์ ซึ่งพระพุทธองค์ได้แสดงธรรมจนบรรดาอริยบุคคลและสงฆ์ในยุคของพระองค์ท่าน สำเร็จเป็นอรหันต์ไปเป็นจำนวนมาก เช่น องค์เอกอัครสาวก เช่น พระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตร พระสงฆ์ในสมัยพระพุทธองค์ส่วนใหญ่เป็นอริยสงฆ์ และหลายองค์มีชีวิตอยู่ช่วยเผยแพร่พระพุทธศาสนาอีกต่อไป หลังจากพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานไปแล้ว เช่น พระมหากัสสป พระอนุรุทธ และพระอานนท์ ซึ่งสำเร็จเป็นพระอรหันต์หลังจากพระพุทธองค์ปรินิพพานไปแล้ว จนถึงวันที่บรรดาอรหันต์ทั้งหลายจะประชุมสังคายนาคำสอนของพระพุทธองค์ครั้งแรกจึงสำเร็จเป็นอรหันต์ทันเวลา ซึ่งมีความสำคัญมากเพราะพระอานนท์เป็นองค์ที่ได้อยู่ใกล้ชิดพระพุทธองค์มากที่สุดได้รู้ได้เห็นเรื่องต่างๆมากที่สุด เมื่อเป็นอรหันต์จึงทำให้เกิดประโยชน์ต่อการสังคายนาครั้งนั้นมาก เพราะพระอรหันต์ทั้งหลายเท่านั้นเป็นผู้ชำระพระธรรมคำสอนในครั้งแรกและจัดพระธรรมคำสอนเป็นหมู่หมวด จึงเป็นที่แน่นอนว่าพระไตรปิฎกมีความเที่ยงแท้ตรงต่อคำสอนของพระพุทธองค์เป็นที่สุด เพราะทุกองค์สิ้นกิเลสทั้งปวงแล้ว ทุกองค์มี “ปัญญา” ที่เกิดจากการภาวนาจนรู้แจ้งรู้จริงในทุกสิ่ง จึงขอให้ปัญญาชนยุคใหม่ที่ไม่ค่อยยอมเชื่อว่าพระธรรมเป็นคำสอนของพระพุทธองค์จริงจะได้เข้าใจ มีปัญญาชนบางท่านสงสัยว่าสมัยพุทธกาลทำไมคนเป็นอรหันต์กันง่ายนัก ฟังเทศน์จากพระพุทธองค์เพียงนิดเดียวก็สำเร็จ ต้องไม่ลืมว่าพระพุทธองค์เป็นบรมศาสดาใหญ่ยิ่งกว่าครูทั้งปวง ย่อมรู้ถึงใจของศิษย์ว่าติดที่ใดเพียงแก้จุดนั้นก็เกิดความสว่าง ยิ่งกว่านั้นในยุคนั้นว่างศาสนามานาน ได้มีผู้สร้างบารมีของตนเองมาหลายภพหลายชาติ พร้อมที่จะสำเร็จเพียงรอพระศาสดาที่จะชี้ช่องทางที่ถูกให้เท่านั้น ก็จะหลุดพ้นได้โดยเร็ว จึงอย่าได้สงสัยไปเลย

เมื่อหมดสมัยพระพุทธองค์แล้วจะยังมีพระอรหันต์ต่ออีกหรือไม่ พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่าตราบใดยังมีพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์อยู่และยังมีผู้ปฏิบัติตามมรรค 8 ที่ทรงสอนไว้ ตราบนั้นยังมีพระอรหันต์ ปัญญาชนยุคใหม่คงอยากถามต่อไปว่าแล้วในวันนี้มีให้เห็นสักองค์หรือไม่เล่า? เนื่องจากพระอรหันต์ด้วยกันเท่านั้นจึงจะรู้ว่าองค์ใดเป็น เราคงบอกไม่ได้แต่เรามีหลักฐานอื่นที่สามารถนำมายืนยันให้ท่านปัญญาชนเชื่อได้ คือ เราทราบดีว่าเมื่อพระอรหันต์ท่านสิ้นไปแล้วกระดูกหรือผมหรือหนังหรือเล็บของท่าน เมื่อทิ้งไว้ระยะเวลาหนึ่งจะกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่าพระธาตุ พระอรหันตธาตุ คือลักษณะของกระดูกจะเปลี่ยนสภาพไปเป็นวัตถุที่คล้ายมุก คล้ายเพชรพลอย มีสีสันและลักษณะต่างๆกัน เช่นเดียวกับพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ที่เรากราบไหว้บูชากันอยู่ ซึ่งปัญญาชนที่ไม่เชื่ออาจไปดูได้ที่เจดีย์บรรจุพระธาตุของหลวงปู่มั่นที่สกลนคร จะเห็นกระดูกชิ้นใหญ่ด้านหนึ่งยังมีลักษณะคล้ายกระดูก แต่อีกด้านเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ายแก้วสีเขียวหรือมรกต หรือพระธาตุของหลวงปู่ขาว อนาลโย วัดถ้ำกลองเพล มีสีสันที่สวยงาม หรือหลวงปู่จวน กุลเชฎโฐ ที่เจดีย์ภูทอก และยังมีอีกหลายสิบองค์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ทางวิทยาศาสตร์หรือทางธรรมชาติเองทำไม่ได้ กระดูกที่ขุดพบหลายพันปีหรือเป็นล้านปีก็ไม่สามารถเปลี่ยนสภาพเป็นพระธาตุได้ ซึ่งถ้าใครได้อ่านชีวประวัติของพระอรหันต์เหล่านี้ ว่าท่านผ่านความเพียรปฏิบัติ รักษาศีล ละกิเลสอย่างเข้มแข็งเนิ่นนานเพียงใด ท่านจึงบรรลุโลกุตรธรรม

ดังนี้จึงเชื่อได้ว่าพระอรหันต์มีจริง พระนิพพานมีจริง แม้ในยุคศีลธรรมเสื่อมทราม ผู้คนขาดความสนใจในการปฏิบัติธรรม ไม่มีศีล อย่างคนจำนวนไม่น้อยในยุคนี้ จึงอยู่ที่ใครจะมีบุญบารมีได้รู้ได้เห็นได้ ถ้าใจเชื่อและปฏิบัติตามแนวทางที่ได้ทรงสั่งสอนไว้

ที่มาข้อมูล: สัจธรรมแห่งชีวิต

#2 Janos

Janos
  • Members
  • 4 โพสต์

โพสต์เมื่อ 08 September 2006 - 09:55 PM

Satut Satut

#3 light mint

light mint

    ขออนุโมทนาบุญค่ะ

  • Members
  • 1423 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:THAILAND
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 08 September 2006 - 11:26 PM

ดูพระอรหันต์ที่ท่านหมดกิเลส บริสุทธิ์ทั้งกาย วาจา ใจ ที่เมื่อท่านละสังขารไปแล้ว กายของท่านที่มีความบริสุทธิ์ บริสุทธิ์ถึงเนื้อใน บริสุทธิ์ถึงกระดูกนั้น ก็ยังกลายมาเป็นวัตถุที่บริสุทธิ์ ธาตุประดุจรัตนชาติ มีลักษณะต่างๆ กันไป งดงาม น่าดู น่าอัศจรรย์ด้วยฤทธิ์ของคุณธรรมต่างๆที่ท่านมี
เป็นพยานวัตถุยืนยันให้รุ่นลูกรุ่นหลานต่อๆไปว่า พระอรหันต์มีจริง

ส่วนมนุษย์ปุถุชนคนธรรมดา เมื่อตายไปแล้ว กายกลายเป็นศพนั้นก็น่าเกลียด ทนดูได้ยาก เมื่อเผาร่างที่ไร้ลมหายใจไปแล้ว ก็เหลือเพียงเถ้า คล้ายเถ้าของสัตว์ทั้งหลาย (อาจมีประโยชน์อยู่อย่างเดียวคือเป็นปุ๋ยให้ต้นไม้)

หากมนุษย์ทั้งหลาย รักษาคุณธรรม รักษาความบริสุทธิ์ไว้ยิ่งๆขึ้นไป เมื่อตายไปก็ยังมีคุณค่า ให้คนที่อยู่ภายหลังได้ระลึกถึง
เรื่องกายหยาบ ดูแลเอาพออยู่ได้ตามอัตภาพ รักษาให้แข็งแรงเพื่อไว้ใช้สร้างบุญบารมี
ไม่เกินร้อยปี หรืออย่างมากไม่น่าเกินร้อยห้าสิบปีก็ต้องละจากร่างกายนี้ไปแล้ว
เมื่อถึงเวลานั้น กายนี้...ก็ไม่ใช่ของของเราเสียแล้ว จะเอาไปด้วยก็ไม่ได้
เอาไปได้แต่ บุญ และ บาป เท่านั้น

ขออนุโมทนาบุญนะคะ สาธุ


#4 ศูนย์กลางกาย

ศูนย์กลางกาย
  • Members
  • 94 โพสต์

โพสต์เมื่อ 09 September 2006 - 08:55 PM

เรียกนิพพานว่าเป็น อายตนะ หรือ อายตนะนิพพาน
“ดูกร ภิกษุทั้งหลาย อายตนะนั้นมีอยู่ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาสานัญจายตนะ วิญญานัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตนะ โลกนี้ โลกหน้า พระจันทร์ และพระอาทิตย์ทั้งสอง ย่อมไม่ มีในอายตนะนั้น ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เราย่อมไม่กล่าวซึ่งอายตนะนั้นว่า เป็นการมา การไป เป็นการตั้งอยู่ เป็นการจุติ เป็นการอุปปัตติ อายตนะนั้นหาที่ตั้งอาศัยมิได้ มิได้เป็นไป หาอารมณ์มิได้ นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์"
สุตตันตปิฏก ขุททกนิกาย อุทาน เล่มที่ ๔๕ หน้า ๗๑๑



นิพพาน และคุณสมบัติของนิพพาน ดังที่มีมาใน คณกโมคคัลลานสูตรว่า
ดูกรพราหมณ์ ข้อนี้ก็ฉันนั้น นิพพานก็ตั้งอยู่ หนทางไปนิพพานก็ตั้งอยู่ เราผู้ชักชวนก็ตั้งอยู่ ก็เมื่อเป็นดังนั้น สาวกทั้งหลายของเรา ผู้อันเราสั่งสอนอยู่อย่างนี้ พร่ำสอนอยู่อย่างนี้ บางพวกก็บรรลุถึงนิพพานอันแน่นอนโดยส่วนเดียว ทางพวกก็ไม่บรรลุ ดูกรพราหมณ์ ในเรื่องนี้ เราจะทำอย่างไรได้ ดูกรพราหมณ์ พระตถาคตเป็นเพียงผู้บอกหนทาง พระพุทธเจ้าย่อมบอกหนทาง สัตว์ทั้งหลายผู้ปฏิบัติอยู่ด้วยตนเอง จึงจะพึงหลุดพ้นได้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า และไม่ยังบุคคลอื่นให้หลุดพ้นแม้ด้วยประการอย่างนี้. .ฯลฯ

พระอรหันต์ ตายแล้วไม่สูญ แบบ NOhave แต่มีการเข้านิพพาน
ดูก่อนปหาราธะ แม่น้ำทุกสายในโลกย่อมไหลไปรวมยังมหาสมุทร และสายฝนจากอากาศตกลงสู่มหาสมุทร มหาสมุทรก็มิได้ปรากฏว่าพร่องหรือเต็มเพราะน้ำนั้นๆฉันใด
ดูก่อนปหาราธะ ฉันนั้นเหมือนกัน ถึงแม้ภิกษุเป็นอันมากจะปรินิพพานด้วย
อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ (นิพพาน ไม่เกี่ยวเนื่องกับขันธ์ ๕ ) นิพพานธาตุก็มิได้ ปรากฏว่าจะพร่องหรือเต็มด้วยภิกษุนั้น นี้เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์อันไม่เคยมีมาประการที่ ๕ ในธรรมวินัย นี้ ที่ภิกษุทั้งหลายเห็นแล้ว ๆ จึงอภิรมย์อยู่
สุตตันตปิฏก อังคุตตรนิกาย อัฏฐนิบาต เล่มที่ ๓๗ หน้า ๔๐๔



#5 คนรักวัด

คนรักวัด
  • Members
  • 626 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 September 2006 - 02:58 PM

แล้วถ้าตอนนี้เข้านิพพานได้เลยคุณบุญโตจะเข้าไม๊ หรือจะปราบมารก่อน
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ

เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก

Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain

#6 บุญโต

บุญโต
  • Members
  • 2192 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:อนุเสาวรีย์ชัยสมรภูมิ
  • Interests:ปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 11 September 2006 - 03:14 PM

laugh.gif อุ๊ย!!!

งั้นคุณรักวัดช่วยได้โปรดให้คำแนะนำ แบบพูดตรง ๆ เลยค่ะ laugh.gif happy.gif

#7 nut33

nut33
  • Members
  • 142 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:Bangkok
  • Interests:http://www.dhammakaya.tv
    http://www.dhammakaya.biz

    android Application ธรรมกาย
    https://play.google.com/store/apps/details?id=com.conduit.app_96f25c33fb1b4867b3b98cc85a26a854.app

โพสต์เมื่อ 11 September 2006 - 06:19 PM

ทราบมาว่าหลวงปู่มั่น ปรารถณาพระพุทธภูมิไม่ใช่หรือครับ
ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน
http://www.dhammakaya.tv

#8 นักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยว
  • Members
  • 2378 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:รู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้อยู่กะที่อ่ะ มาดูอารายกานอ่ะ
  • Interests:มาสร้างบารมีตามติดหมู่คณะดีกว่า

โพสต์เมื่อ 19 September 2006 - 06:30 PM

อืมเงียบดีกว่า
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ


เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี

#9 *Chak*

*Chak*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 31 January 2011 - 11:37 PM

ตัดซะ ตัวรู้ รู้มากก็ไม่ว่าง ตัดไปเลยครับ เมื่อว่างแล้ว ทุกสิ่งจะรู้เองเมื่อดำหริ
ว่างไม่ใช่อะไร ไม่มีอะไรไปกระทำกับอะไร(จึงไม่มีการภาวนา จนว่าง ถ้าติดภาวนาจนว่าง แก้ยาก เพราะไม่รู้ว่าเป็นก้อนหินทับหญ้า)
และสำคัญอย่า อยาก (ตัญหา)
ส่วนใหญ่จะอธิบายว่า นิพพานคือ อย่างนั้น อย่างนี้ แต่ไม่บอกว่า ต้องทำอย่างไร ปล่อยให้เดินตามแบบยากๆ จนคิดว่านิพพานเป็นแค่ความปราถนาที่แสนยากเกินความพยาม แต่นิพพาน เป็นทางตรงกันข้าม กับภารภาวนา(รวมจิต) แต่เป็นการคลายจิต
สังเกตดู พระยสะ แค่ฟังธรรม 2 ครั้งก็บรรลุ ไม่ต้องบำเพ็ญ ไม่ต้องนั่งสมาธิ เพียงแค่มีความคิดเห็นชอบตามที่พระองค์ตรัสว่าเป็นจริง (จริงๆ ไม่ง่ายเพียงแต่ด้วยอนุภาพภายในที่ทำให้ การตัดสินใจของเรา ที่บอกว่าใช่ แล้วก็ใช่เลย ไม่มีความคิดที่จะกลับมา ไม่ใช่ีอีก) แมันในปัจจุบัน ถ้าเราไปกราบพระท่าน แล้วท่านตรัสสอนเรา แล้วเราว่าใช่ แล้วเรารู้สึกเราดับตาม จบตาม นั่นหละ ท่านคือพระอรหันต์(อนุภาพภายในตัดให้เรียบร้อยแล้ว)

#10 *Chak*

*Chak*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 31 January 2011 - 11:41 PM

ตัดซะ ตัวรู้ รู้มากก็ไม่ว่าง ตัดไปเลยครับ เมื่อว่างแล้ว ทุกสิ่งจะรู้เองเมื่อดำหริ
ว่างไม่ใช่อะไร ไม่มีอะไรไปกระทำกับอะไร(จึงไม่มีการภาวนา จนว่าง ถ้าติดภาวนาจนว่าง แก้ยาก เพราะไม่รู้ว่าเป็นก้อนหินทับหญ้า)
และสำคัญอย่า อยาก (ตัญหา)
ส่วนใหญ่จะอธิบายว่า นิพพานคือ อย่างนั้น อย่างนี้ แต่ไม่บอกว่า ต้องทำอย่างไร ปล่อยให้เดินตามแบบยากๆ จนคิดว่านิพพานเป็นแค่ความปราถนาที่แสนยากเกินความพยาม แต่นิพพาน เป็นทางตรงกันข้าม กับภารภาวนา(รวมจิต) แต่เป็นการคลายจิต
สังเกตดู พระยสะ แค่ฟังธรรม 2 ครั้งก็บรรลุ ไม่ต้องบำเพ็ญ ไม่ต้องนั่งสมาธิ เพียงแค่มีความคิดเห็นชอบตามที่พระองค์ตรัสว่าเป็นจริง (จริงๆ ไม่ง่ายเพียงแต่ด้วยอนุภาพภายในที่ทำให้ การตัดสินใจของเรา ที่บอกว่าใช่ แล้วก็ใช่เลย ไม่มีความคิดที่จะกลับมา ไม่ใช่ีอีก) แมันในปัจจุบัน ถ้าเราไปกราบพระท่าน แล้วท่านตรัสสอนเรา แล้วเราว่าใช่ แล้วเรารู้สึกเราดับตาม จบตาม นั่นหละ ท่านคือพระอรหันต์(อนุภาพภายในตัดให้เรียบร้อยแล้ว)

#11 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 09 February 2011 - 10:05 PM

นิพพาน ต้องออกจากอนุสัย ความเคยชินกับการบำเพ็ญภาวนา ทุกลักษณะ จนว่าง (รวมจิต) เพื่อให้จิตคลาย และ คลายจากความเป็นจิต(นิพพาน ไม่ใช่จิต) ในที่สุด เป็นการจบสังสารวัฏ ไม่มีภพภูมิไหนให้ไปเสวยอีก
เมื่อเรือธรรมนาวาใหญ่แล่นมา ก็ขอให้อย่ารอช้ารีบขึ้นเรือนั้นไป