การโพสต์ธรรมะด้วยศิลปะ
#1
โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 10:22 PM
1) การโพสธรรมะเป็นสิ่งที่ดี แต่ควรพิจารณาก่อนโพสด้วยว่า ธรรมะที่จะโพสนั้น เหมาะสม ควร ไม่ควร หรือไม่ อย่างไร
2) การดูว่าอะไรเหมาะสม ควร ไม่ควร ให้ดูว่า เวปบอร์ดแห่งนี้ คนทั่วไป ที่เล่นอินเตอร์เนตได้ ก็เข้ามาได้ เราเขียนอะไรทิ้งเอาไว้ คนทุกคนที่เล่นอินเตอร์เนตสามารถมาอ่านได้หมด เราสามารถรับผิดชอบต่อคำพูดที่เราทิ้งไว้ได้หรือไม่ เพราะการโพสในเวปบอร์ดไม่เหมือนลมปากที่เราพูดออกไป พูดแล้ว ก็หายไปในอากาศ แต่ ณ เวปบอร์ดแห่งนี้ไม่ใช่
3) หากคิดว่า การโพสธรรมะเป็นสิ่งที่ดี ทุกคนมีสิทธิที่จะเรียนรู้ อันนี้ ผมไม่เถียง แต่อยากให้พิจารณาว่า ยาแต่ละขนานก็มีสรรพคุณในการรักษาโรคไม่เหมือนกัน มีความรุนแรงของฤทธิ์ยาไม่เหมือนกัน การให้ธรรมะก็เช่นกันถ้าให้ธรรมะที่ละเอียดลึกซึ้งเกินไปแก่ผู้ที่ยังไม่มีความพร้อมที่จะรับ อยากจะทราบว่า ธรรมะนั้น เกิดประโยชน์แก่บุคคลคนนั้นไหม หรือ จะยิ่งสร้างความสงสัย ไม่มั่นใจในธรรมะมากขึ้น
4) หากจะบอกว่า ธรรมะเป็นของแท้ ทำไมต้องกลัวด้วย อันนี้ผมไม่เถียงและผมก็ไม่กลัว แต่การทำอะไร ไม่เว้นแม้แต่การให้ธรรมะนั้นต้องมี "กาละ และ เทศะ" กาละ แปลว่า "เวลา,โอกาส" เทศะ แปลว่า "สถานที่" การรักษาคนป่วยไข้ให้ยาแรงเกินไป คนไข้ก็ตาย ให้ยาอ่อนไป คนไข้ก็ไม่หาย เช่นเดียวกัน มนุษย์ทุกคนมีโรคคือ โรคทางใจ ถ้าให้ธรรมะลึกซึ้งเกินไป คนที่ฟังธรรมะก็รับไม่ได้ ไม่เข้าใจ เกิดการต่อต้าน และ อาจจะลบหลู่ธรรมะนั้น แทนที่เค้าจะได้ความรู้ธรรมะกลับไป เค้ากลับแบกบาป เพราะดูถูกธรรมะ ให้ธรรมะง่ายไป คนที่ฟังธรรมะก็ดูเบา ไม่ให้ความสำคัญ ดังนั้นการให้ธรรมะอะไร จึงควรพิจารณาถึงเวลาที่เหมาะสมที่ผู้ฟังพร้อมที่จะรับฟังกับโอกาสที่ควรพูดใช่หรือไม่ นอกจากนี้ สถานที่ที่เราจะให้ธรรมะนั้นเหมาะควรกับธรรมะที่ลุ่มลึกระดับไหน
5) ดังนั้น สรุปได้ว่า การให้ธรรมทานนั้น เป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องมีศิลปะในการให้ธรรมะ ซึ่งการมีศิลปะนั้นเป็น 1 ในมงคล 38 ประการ ไม่ใช่อยากจะพูดก็พูด อยากจะให้ก็ให้ ถ้าศึกษาธรรมะกัน จะรู้ว่า เวลาคนชื่นชม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มักจะบอกว่า ธรรมะของพระองค์แจ่มแจ้ง ค่อยๆเริ่มจากธรรมะที่ง่าย แล้ว ลุ่มลึกไปตามลำดับ ถ้าเราไม่อ่านธรรมะแบบผ่านๆ อันนี้ ชัดเจนเลยว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านได้ทำเป็นตัวอย่างให้เราดู คือ การให้ธรรมะนั้นต้องค่อยๆ ให้ธรรมะที่ง่าย ค่อยๆ น้อมนำใจผู้ฟังให้เข้าใจ แล้วค่อยให้ธรรมะที่ลุ่มลึกลงไปตามลำดับ ถ้ามาถึงให้ ธรรมะที่ลุ่มลึกเลย คนทั่วไปไม่มีทางเข้าใจได้เด็ดขาด แล้วบนเวปบอร์ดสาธารณะนั้น เราสามารถจะรู้ได้อย่างไร ว่า คนอ่านธรรมะที่เราโพสทิ้งเอาไว้ เขาอ่านเข้าใจธรรมะของเราแค่ไหน เขาอาจจะไม่เข้าใจตั้งแต่ประโยคแรกๆ ของเราก็ได้ แล้วธรรมในตอนท้าย เขาจะเข้าใจได้อย่างไร ถ้าไม่เข้าใจ ผลที่ตามมาคือ ไม่เชื่อและลบหลู่ธรรมะ เราจะรับผิดชอบชีวิตในภพเบื้องหน้าของเขาที่จะต้องห่างไกลจากธรรมะ เพราะวิบากกรรมลบหลู่ธรรมะได้หรือไม่
ที่บอกมาทั้งหมดนี้ เป็นความคิดเห็นของผม และเป็นหลักการในการเล่าธรรมะของผมให้คนอื่นด้วย ผิดหรือถูกผมไม่อาจจะทราบได้ แต่ผมบอกได้เลยว่า ก่อนจะให้ธรรมะใคร ผมจะพิจารณาถึงพื้นฐานของผู้ฟังก่อนเสมอว่า เค้ามีพื้นฐานธรรมะแค่ไหน ตอนนี้ เค้าสามารถรับธรรมะได้ลึกซึ้งขนาดไหน
การรักษาคนไข้ต้องอาศัยเวลาให้ยาออกฤทธิ์ฉันใด การให้ความรู้ธรรมะเพื่อรักษาใจคือกิเลสก็ต้องใช้เวลาฉันนั้นครับ ยาดีและแรงใช่จะเหมาะกับคนป่วยไข้ทุกคน ธรรมะก็เช่นกัน ธรรมะที่ลุ่มลึกก็อาจจะไม่เหมาะกับผู้ฟัง ณ เวลานั้นก็ได้
#2
โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 11:37 PM
หัวข้อธรรมะอื่นๆ ผมว่า ยืดหยุ่นกันได้
แต่เฉพาะ เรื่องสามัญผล - ผลจากการปฏิบัติธรรม
เป็นเรื่อง ปัจจัตตัง รู้ได้เฉพาะตน ( และหมู่ผู้รู้ด้วยกัน )
แม้สามารถตรวจสอบได้จาก ความรู้ที่ครูอาจารย์ถ่ายทอดไว้ให้
ก็อาจมีประสบการณ์ หรืออื่นๆที่ต่างกันได้
ที่ต่างกันเพราะ ดวงศรัทธา ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสสนะ
และธาตุ-ธรรม สะอาด บริสุทธิ์ต่างกัน
เพราะระดับใจหยุด นิ่ง ต่างกัน ( แม้เข้าถึงในระดับเดียวกัน )
ถ้าสนทนาธรรมกัน ในที่สาธารณะแบบนี้ ใครที่มีพื้นฐานเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมน้อย
หรือมีแนวการปฏิบัติต่างกันจากเรา เขาจะเกิดความไม่เข้าใจเกี่ยวกับวิชชาธรรมกาย
ไปจนถึงหลวงพ่อวัดปากน้ำฯ จนเกิดความเข้าใจผิด เกิดอกุศลเข้าสิงจิต นะครับ
สรุป คือ เรื่องละเอียดเกี่ยวกับวิชชาธรรมกาย
เห็นด้วยในการสนทนาธรรมกัน เพื่อความถูกต้องและก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม
เสนอว่า ควรหาเทศะที่เหมาะสมในการสนทนาธรรมกันดีกว่านะครับ เช่น ทาง msn หรือ ที่วัด ฯล
ขออนุโมทนาบุญ กับทุกท่านที่แวะมาสนทนาธรรมและแบ่งปันธรรมทาน ด้วยครับ สาธุ
#3
โพสต์เมื่อ 25 March 2006 - 02:12 AM
และเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า การให้ธรรมนั้น ควรให้ด้วยหัวใจบริสุทธิ์
ที่ปรารถนาให้ผู้รับได้ประโยชน์สูงสุดในธรรมนั้นๆ
#4 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 25 March 2006 - 08:19 AM
#5
โพสต์เมื่อ 25 March 2006 - 09:58 AM
ไม่ว่าจะกล่าวอะไรออกไป พึงระลึกไว้ว่า
- ตอนเปล่งวาจา เราเป็นนายคำพูด
- หลังเปล่งวาจา คำพูดเป็นนายเรา
#6
โพสต์เมื่อ 25 March 2006 - 10:28 AM
Someday I'm gonna be free.
#7
โพสต์เมื่อ 25 March 2006 - 07:12 PM
เพื่อรักษากัลยาณมิตรไว้กับพระพุทธศาสนาให้นานๆ
#8 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 25 March 2006 - 07:13 PM
ธรรมจักร
#9
โพสต์เมื่อ 26 March 2006 - 09:11 AM
น้าจี้
#10 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 28 March 2006 - 03:54 PM
#11
โพสต์เมื่อ 28 March 2006 - 05:10 PM
มันก็จริงอยู่ แต่หากพิจารณาดูให้ดีๆ แล้วจะเห็นว่า ท่านพูดแบบพอหอมปากหอมคอนะครับ ไม่ได้พูดไปเรื่อยเจื้อย (เหมือนอย่างเราๆ ท่านๆ) เพราะตัวท่านเองย่อมรู้ดีว่า "กาลใดควรพูด กาลใดไม่ควรพูด" ครับ
#12
โพสต์เมื่อ 28 March 2006 - 08:33 PM
แล้วที่บอกว่า คนที่เข้ามาอ่าน เป็นคนวัดทั้งนั้น ผมบอกได้เลยว่า กำลังเข้าใจผิดกันแล้ว มีคนทั่วไปเข้ามาเยี่ยมเยียนก็ไม่น้อยนะครับ
มหาวิหาร จรัสฟ้า ค่ายิ่งใหญ่
รูปทอง ผ่องผุด ดุจยองใย
สะท้อนถึง ห้วงดวงใจ สุดบูชา
*********************
ยอดเยี่ยม "ธรรมกาย" ผล ..... ผ่องแผ้ว
เลอเลิศล่วงกุศล ..... ใดอื่น
เชิญท่านถือเอาแก้ว ..... ก่องหล้าเรืองสกล
พระมงคลเทพมุนี (สด จนฺทสโร) ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย
#13
โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 09:23 AM
#14
โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 05:09 PM
#15 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 29 March 2006 - 09:06 PM
ภาษาพูด สามารถสื่อความได้มาก ถ้าไม่จำกัดเวลา และสามารถโต้ตอบได้สองทาง