ไปที่เนื้อหา


extra

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 27 Aug 2005
ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด Oct 31 2009 02:57 PM
-----

กระทู้ที่ฉันเริ่ม

คุณยาย

31 October 2009 - 02:59 PM

ชีวิตของท่านเรียบง่ายจริงๆนะ คุณยายอาจารย์ของเราเนี่ย ไม่ค่อยโลดโผนเหมือนคุณยายทองสุก สำแดงปั้น บุคลิกก็ต่างกันนะ แต่รักวิชชาธรรมกายเหมือนกันเลย ตั้งใจแน่วแน่ เพราะฉะนั้นคุณยายอาจารย์ของเราจะไม่เจออะไรแบบโลดโผนอย่างนั้น เรียบง่าย สมถะ สันโดษ มักน้อย เด็ดเดี่ยว อะไรอย่างนี้นะ ส่วนคุณยายทองสุก ท่านมีประสบการณ์ตั้งแต่ยังเยาว์วัย ตั้งแต่ท่านยังเด็กๆ ท่านบอกว่าท่านถูกกายละเอียดลากออกมาจากมุ้ง ตอนแรกท่านนึกว่าคนลากท่านออกจากมุ้ง ไม่ใช่ละเมอนะ ถูกลากไป แต่ไม่เห็นตัวคนลาก หัวหน้าชั้นลองคืนนี้ก็ได้ คือ เขาจะมาหยอกล้ออะไรอย่างนี้ ท่านจะเจอตั้งแต่เด็กๆ แล้วมาช่วย พูดไปแล้วมันเหลือเชื่อเลยนะ สิ่งที่ท่านเจอเนี่ย ทีนี้มันเป็นอสาธารณะ ไม่ใช่เป็นของทั่วไปที่ทุกคนจะต้องเจออย่างนี้ ก็ไม่ทราบท่านไปสร้างบุญบารมีมาแบบไหน จะต้องเจออย่างนี้อยู่เรื่อยๆ มาช่วยถูบ้านให้ก็มี ตำน้ำพริกให้กิน คือ อยู่ๆ มันลอยมา แล้วก็ตำ แล้วก็ได้น้ำพริกออกมา แต่ไม่เห็นตัว



ทำให้นึกถึง ข้าวมธุปายาสนะ ที่นางสุชาดามาถวายพระมหาบุรุษ ก่อนวันตรัสรู้ธรรม ที่บอกเทวดามาปรุงโอชารส คุณยายของเราก็เจอเหมือนกันนะ ท่านเล่าให้ครูไม่ใหญ่ฟัง ตอนเด็ก ข้างๆบ้านท่านจะมีกอไผ่ต้นใหญ่ๆ ท่านจะเจออยู่คนเดียวในบ้าน มันไม่มีพยาน มันเป็นอสาธารณะ เวลาพูดมันลำบาก ท่านบอกมันจะมีสัญญาณ มีนกมาก่อนนะ ถ้านกมาแล้วมันจะร้องเสียง ท่านทำเสียงให้ครูไม่ใหญ่ฟังนะ กรู้กรู้ ถ้าสองกรู้กรู้นะ อีกสักพักจะมีเงาดำทะมึนใหญ่ออกมาจากกอไผ่ มาที่ร่างของท่านนะ มันพยายามบังคับท่าน จนท่านต้องหนี ร้องโวยวาย คุณแม่ท่าน น้องๆพี่ๆ ก็ไม่มีใครเห็นซักคน ก็นึกว่าเอ..เป็นอะไร ก็เอาท่านมานอนตรงกลาง ขนาบข้าง มีการ์ดงี้ ถ้าเสียงกรู้กรู้ ฝ่าด่านมาได้เหมือนกัน และเห็นอยู่คนเดียวเนี่ย จนกระทั่งในที่สุด ทางบ้านก็ต้องไปเชิญผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้..หมอผีมา เอาหวายครูมา สืบทอดกันมาเป็นร้อยปี ทีนี้คนเต็มบ้านเลยน่ะ เค้านึกว่าคุณยายผีเข้า และหมอผีก็เจตนาดี จะไล่ผี แต่ตามหลักวิชาต้องตีผี เมื่อผีอยู่ในตัวคน ก็ต้องตีคน หมอผีก็ร่ายคาถาตีไปเรื่อย คุณยายก็บอกมาตีชั้นทำไมเนี่ย..มันเจ็บนะ เลยดึงหวายครูที่สืบทอดมาเป็นร้อยปี หักทิ้งเลย นอกจากจะไม่เจอผีแล้ว ยังเสียไม้



ดูเหมือนจะมีเทปเรื่องราวที่ท่านเล่า พอย้ายมาจากวัดปากน้ำ มันหายไปไหนก็ไม่ทราบนะ สมัยตอนสาวๆนะสวย ท่านไม่ได้รูปร่างอย่างนั้นนะ อยู่ในวัยที่ชวนมอง หนุ่มๆก็จะเมียงมองเยอะเลย แล้วก็มีหนุ่มอยู่คนหนึ่งหมายปองไว้ ในระดับว่า ไม่ได้ไม่ยอม ก็ไปหารือกับคุณหมอ คุณหมอบอกไม่ยากเลย เราก็ใช้น้ำมันสิ ปรากฏว่าคุณหมอนั้น คือ หมอผี คุณยายอาจารย์ของเราเจอหมอผี นี่ก็เจอนะ คุณยายทองสุก ท่านก็เล่าให้ฟังว่า อยู่ในวัยสาวรุ่นๆ หนุ่มนั้นก็ได้น้ำมันมา วิธีทำน้ำมันนะ ครูไม่ใหญ่ยังได้เคยสนทนากับคุณหมอท่านหนึ่งเลย อดีตคุณหมอ แต่ยังไม่เล่าตอนนี้หรอก เค้าจะมีกรรมวิธีในการทำนะ แต่ว่าคุณหมอท่านนี้ก็ให้น้ำมันพรายหนุ่มนั้น ดูจังหวะ ดูฤกษ์ยาม แล้วก็ดีดใส่ มันก็เป็นจุดเล็กๆนิดนึง แต่ว่าที่ครูไม่ใหญ่เคยคุยกับผู้ผลิต เค้าบอกว่าดีดก็เป็นวิธีหนึ่ง ก็ให้ไปเมียงมองว่าสาวนั้นไปตลาด ไปซื้อของร้านไหน ให้เอาไอ้เนี่ยไปป้ายตามผลไม้ ผัก แม้นิดเดียวพอโดนตัว มันบานไปทั้งตัวเลย มันขยายไปทั่วตัวเลย ทีนี้..ท่านก็บอกว่าความรู้สึกมันไม่เป็นตัวของตัวเอง มันเห็นแต่ภาพของชายคนหนึ่ง ซึ่งเป็นชายคนนั้นที่หมายปอง ตลอดเวลาเลย แต่บุญเก่าที่ยังรักษาอยู่ นี่ก็เป็นวิบากเก่าเหมือนกัน ไม่งั้นพวกนี้ทำอะไรท่านไม่ได้หรอก ก็อยู่มาอีกไม่กี่วัน หลังจากที่มีอาการนั้น มีแม่ชีท่านหนึ่งมายืนอยู่หน้าบ้าน และแม่ชีท่านนั้นห่มสีกลัก ก็มาถามคนในบ้านว่า บ้านนี้มีเด็กผู้หญิงชื่อทองสุกใช่มั้ย..ใช่ค่ะ และกำลังมีอาการอย่างนี้ใช่มั้ย..ใช่ค่ะ เอ่อ..เดี๋ยวชั้นจะไปช่วยรักษาให้ เค้าก็อนุญาตให้เข้าไป ท่านก็ไม่เคยเจอหน้ากันน่ะ ท่านจะทำน้ำมนต์นะ เอาขันนำ เอาน้ำใส่ และท่านก็ว่าตามหลักวิชาของท่าน มันๆแผลบออกมาทั้งตัวทั้งร่างกายเลย และในที่สุดก็เป็นปกติ แล้วก็สนธนากับท่านว่าท่านอยู่ที่ไหน..อ๋ออยู่ในป่า ที่เราคุ้นเคยคำว่าชีไพรไง ท่านบอกว่าหนูขอเรียนวิชานี้มั่งสิ คุณยายทองสุกเว้าวอนนะ..ไม่ได้หรอก ต่อไปเธอจะเจอครูของเธอ



แล้วก็ไปเจอครูจริงๆ ตอนโต มีครอบครัวแล้ว ไปทำมาหากิน ขูดมะพร้าวอะไรต่างๆ ไปค้าขายแล้วก็เจ๊ง แล้วก็เข้าไปกราบพระเดชพระคุณหลวงปู่ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ หลวงพ่อเจ้าขา ทำไมลูกทำอะไรก็เจ๊งทุกเรื่องเลย เค้าไม่ได้ให้มึงมาทำอย่างงั้น ท่านก็ไม่ทราบว่าแปลว่าอะไร มาทราบตอนหลังตอนเข้าถึงธรรมแล้ว ส่วนคุณยายของเรา ท่านไม่ใช่อย่างนี้นะ หักเลย แปลว่าโดนกันคนละแบบ เราจะได้นึกถึงบุคลิกของคุณยายตอนเล็กๆได้ ว่าขนาดหวายครู หมอผีเดินลงจากบ้านบ่นไปตลอดเลย



ถ้าเป็นช่วงวันมาฆะ ตอนที่คุณยายท่านยังมีชีวิตอยู่นะจ๊ะ ก็จะทำแบบสมัยพระเดชพระคุณหลวงปู่ ตอนที่จัดจุดมาฆะประทีปที่หน้าโบสถ์ ครูไม่ใหญ่ก็จะนั่งหน้าโบสถ์นั้นแหละ ตรงหน้าประตูทางเข้าโบสถ์ คุณยายท่านจะนั่งทางขวามือ ห่างจากครูไม่ใหญ่ 2 เมตร แต่ถ้ามองจากทางหน้าโบสถ์จะไม่เห็นท่าน เห็นแต่ครูไม่ใหญ่หนั่งอยู่ตรงกลาง ตอนนั้นจะคุญกัน ท่านจะนั่งหลับตาอย่างเดียว จะบอกท่านว่ายาย ยายไปอาราธนาพระพุทธเจ้าให้ท่านเสด็จมาให้ผู้มีบุญเค้าเห็นกัน ยายบอกค่ะ ที่จริงทำก่อนล่วงหน้าแล้ว 7 วันนะ ตอนยายยังอยู่ก็จะทำกัน ท่านเป็นคนทำนะ ครูไม่ใหญ่เป็นคนบอกให้ท่านทำ ท่านก็จะค่ะ อย่างเดียว คือ ถ้าเป็นครูไม่ใหญ่นะ เหมือนท่านจะเอ็นดูนะ ค่ะอย่างเดียว เหมือนอย่งอื่นไม่เป็น อย่างงั้นน่ะ ค่ะ แล้วก็หลับตา โอ..ชอบมากเลย พอไปถึงวันจริงท่านก็จะนั่งหลับตา อยู่ข้างๆ เยื้องๆไป 2-3 เมตร หน้าประตูโบสถ์ พอถึงช่วงที่เค้าเวียนเทียนกันหมด ก็เหลือแต่ครูไม่ใหญ่กับคุณยายนะ ก็จะถามท่าน ยาย..มายังอ่ะ..มาแล้วค่ะ ท่านจะพูดเพราะนะ มาแล้วเค้าเห็นกันมั้ยเนี่ย ท่านก็นั่งหลับตา ไม่หวั่นไหว ชอบท่านนั่งนิ่งๆ ตัวตรงๆ สรีระร่างท่านเหมาะกันการทำสมาธิ บางคนก็เห็น บางคนก็ไม่เห็น ยายเอาให้เห็นหมด..ค่ะ ยายเค้าเห็นหมดยัง..ยังค่ะ แล้วก็พูดกันเรื่องหลักวิชชา ทำไมหล่ะยาย ให้เค้าเห็นหมดดิยาย..ค่ะ เห็นหมดหรือยังยาย..ยังค่ะ ท่านก็จะยังงี้นะ ยายเอาให้หมดดิ ท่านบอกเห็นเยอะขึ้นแล้ว ทำไมไม่เห็นหล่ะยาย ท่านก็บอกเพราะงั้น..งั้น เอ้าแล้วทำไมถึงเห็นหล่ะ เพราะงี้..งี้ ก็เป็นเรื่องของวิชชานะ ครูไม่ใหญ่ก็จะเอาให้ได้ ให้เห็นให้หมดให้ได้ แล้วมันก็น่ามหัศจรรย์นะ พออาทิตย์ถัดมา นั่งรับแขกที่ศาลาดุสิต ครูไม่ใหญ่จะไม่ถามใครหรอก..เป็นปกติ มีแต่เค้าเล่าให้ฟัง เพราะว่าก็อยากจะรู้เหมือนกันนะ เค้าเห็นกันมั้ยนะ ว่ายายของเราเป็นไงเนอะ ก็มีทยอยมาเล่าอะไรต่างๆเยอะแยะให้ฟัง แล้วก็จะไปคุยกับยายตามลำพัง ยายเค้าเห็นกับแล้วหล่ะ ท่านก็ค่ะ ท่านก็แค่เนี้ย ไม่พูดให้ alert อะไรมั่ง คล้ายๆว่ามันเป็นเรื่องปกติของท่าน อีกอย่างท่านก็ไม่ใช่คนชอบอวดตัวอะไร ท่านจะเฉยๆ เรียบๆ เหมือนเรื่องปกติของท่าน แล้วท่านก็เก็บใบไม้ของท่านไป ดีจังเลย เสียดายมาฆะนี้ท่านไม่อยู่นะ




คุณยาย

27 October 2009 - 11:45 PM

การได้อยู่ร่วมกับผู้บริสุทธิ์นี่นะ ผู้มีคุณธรรมและก็คุณวิเศษ มันเป็นความสุขมากทีเดียวแหละ คำว่า ฝูงเนื้อเข้าสู่ฝูงเนื้อ ฝูงนกเข้าสู่ฝูงนกคือ ธาตุอันไหนมันตรงกัน มันจะดึงดูดเข้าหากัน มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะ คืออยู่กันคนละทิศคนละทางก็ไม่ได้รู้จักกัน แต่พอมาถึงล็อกบุญที่เคยได้สั่งสมร่วมกันมา ดึงดูดเข้าหากัน ก็ไปเจอกันได้อย่างมหัศจรรย์เลย


นี่ก็เป็นความรู้สึกปีติสุขของครูไม่ใหญ่นะที่ได้ไปอยู่ในร่มเงาบารมีของท่านน่ะ ตั้งแต่อายุ 19 ปี อย่างที่ได้เคยเล่าให้ฟังนะจ๊ะ แม้ว่าไปในครั้งแรกๆ จะเจอ คำพูดอะไรที่เราไม่คุ้นเคยและไม่รู้จักก็ตามแต่มันน่าฟังและดึงดูดให้เราอยากฟังอีก คือนอกเหนือจากการที่ครูไม่ใหญ่ได้แสวงหาคำตอบของชีวิต โดยเฉพาะเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งกรรม การเวียนว่ายตายเกิด นรกสวรรค์ อะไรต่างๆ นั่นน่ะ ไปแสวงหามาจากหลายที่หลายทาง ก็ยังไม่ได้พบคำตอบ และก็ได้มาพบคำตอบที่ยายนี่แหละ ที่ต้องแสวงหาคำตอบนี่ก็เพื่อที่อยากจะดำเนินชีวิตให้มันถูกต้อง ปิดอบาย ไปสวรรค์ มีสุขในปัจจุบัน อยากจะได้คนที่ให้คำตอบเรา และก็เป็นบุคคลที่ท่านได้พิสูจน์ด้วยตัวของท่านเองแล้ว และก็สรุปคำตอบนั้นมาให้ จะทำให้เราย่นย่อระยะเวลาในการแสวงหา เพราะชีวิตเป็นของน้อย มีเวลาน้อย ไม่ช้าก็จากกันไปแล้ว เพราะฉะนั้นก็อยากจะทำสิ่งที่ดีที่สุดให้เกิดขึ้นกับชีวิต เพราะฉะนั้นก็ศึกษาดู


ในช่วงแรกๆ ก็ศึกษาว่า คำสอนของผู้ใด ในโลกนี้ที่จะให้คำตอบของเราได้ในเบื้องต้นได้เนี่ย คำสอนของบุคคลนั้นน่ะ คือใคร ในที่สุดก็สรุปว่าคือพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่ยังเป็นคำสอนที่ดูแล้วก็ลึกซึ้งเกินกว่าการที่ เราซึ่งยังเป็นผู้ใหม่ ยังอยู่ในช่วงอายุยังน้อยๆ จะเข้าใจได้ จะต้องหาผู้ที่ได้ศึกษา เรียนรู้คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และก็พัฒนาตนเอง จนกระทั่งมีประสบการณ์ภายใน ยืนหยัดยืนยันคำสอนนั้นได้อย่างสุขใจ ถึงจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ได้ ครูไม่ใหญ่ก็ได้คุณยายนั่นแหละที่เวลาถามท่านตรงๆ ว่า “ยาย นรกมีจริงไหม สวรรค์มีจริง ไหม” ท่านก็ตอบเรียบๆ ง่ายๆ สั้นๆ ว่า “มีจริง ยายไปมาแล้ว ไปช่วยพ่อยาย พ่อยายตายแล้วไปตกนรกเพราะดื่มเหล้าวันละ 10 สตางค์ แล้วยายก็ไปช่วยพ่อยาย ด้วยวิชชาธรรมกาย คุณอยากไปไหมล่ะ ยายจะสอนให้แล้วไปด้วยกัน” สั้นๆ เรียบง่าย แต่ว่ามีพลัง ยังจำได้มาจนกระทั่งบัดนี้ อายุ 19 จนกระทั่งจะ 65 แล้ว


แล้วก็ประโยคที่ใหม่ๆ ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ชอบฟัง อย่างเช่น “คุณๆ รู้ไหม คุณน่ะหลวงพ่อวัดปากน้ำให้ยายตามคุณมาเกิดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2” ก็ไม่เข้าใจนะ แต่ชอบ ชอบแต่ไม่เข้าใจ แล้วก็พยายามที่จะแสวงหาคำตอบ แต่กว่าจะได้คำตอบท่านก็บอกว่า “คุณนั่งไป นั่งไปก่อน” ครูไม่ใหญ่ก็นั่งไป แล้วท่านก็ไปนั่งที่โรงงานทำวิชชา ในภารกิจที่ท่านทำอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตของการเป็นนักบวชของท่าน ในเพศของแม่ชีอุบาสิกา เป็นปกติ เป็นหลัก เพราะว่าเป็นหัวหน้าเวร ขาดรู้ จากการแต่งตั้งของพระเดชพระคุณหลวงปู่ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกายนี่แหละ หลังจากนั้นก็ได้รับการถ่ายทอดคำสอนอะไรต่างๆ มาเยอะแยะ ท่านจะพูดซ้ำๆ นะ ไม่ใช่ว่าท่านหลงลืม แต่ว่าท่านตอกย้ำ ซ้ำเดิม เหมือนตอกตะปูทีเดียวนี่มันยังไงก็ไม่มิด ต้องโป้งๆๆๆ หลายๆ ที ตอกย้ำซ้ำเดิมนั่นแหละ ประโยคนี้ต้องจำ ต้องจำ ต้องจำ เพราะฉะนั้นบางทีถ้าเราเจอครูไม่ใหญ่ เอาคำสอนของท่านมา ย้ำๆๆๆ อย่าเบื่อนะ ตอกย้ำผ่าน DMC อย่าเบื่อนะ เพราะว่าจะต้องซ้ำๆ เหมือนการแสวงหาประสบการณ์ภายในก็ต้องตอกย้ำ ซ้ำๆๆๆๆ ที่เดิม แล้วก็ทำ ช้าๆๆ ให้ชัดๆ ช้าๆ ชัดๆ ทุกขั้นตอน ตั้งแต่พอหยุดนิ่งแรกได้ละก็นิ่งไปเรื่อยๆ ช้าๆ ชัดๆ ทุกขั้นตอน ไปเรื่อยๆ ไม่ใช่ว่าเราย้ำที่เดิม แต่ไม่ได้อยู่ที่เดิม ย้ำอยู่ในตำแหน่งเดิม แต่ว่าไม่อยู่ที่เดิม ความละเอียดมันจะเพิ่มขึ้นอีกมิติหนึ่ง อีกมิติหนึ่ง อีกมิติหนึ่ง เข้าไปเรื่อยๆ ท่านก็จะพร่ำสอนอย่างนี้ ซ้ำๆๆๆ ให้จำให้แม่นๆ อย่างงี้นะจ๊ะ แล้วก็ได้ศึกษาเรียนรู้ ท่านก็จะค่อยๆ ทั้งอบ ทั้งรม ทั้งบ่ม อบให้หอม รมให้ติด บ่มให้สุก คือนิสัยนี่ให้ถูกต้องดีงาม ค่อยๆ ถูกขัดเกลาไปเรื่อยๆ เป็นช่วงที่มีความสุขที่สุดเลย ช่วงที่ก่อนบวชน่ะ 4-5 ปีนั้นมีความสุข อยู่บ้านหลังเล็กๆ อาสนะเดียว ที่นั่งเดียว ไม่มีอะไรรองนั่งหรอก มีไม้แผ่นกระดาน พื้นน่ะ ที่นอนก็ พื้นบ้านหลังเล็กของคุณยาย เอาหลังพิงเสาหัวด้วน ต้นเล็กๆ นั่งจนมันแผล็บเลย คุณนั่งไป นั่งไป อย่างงั้นน่ะ ท่านก็ค่อยๆ สอน ย้ำๆๆ ชอบมากเลยน่ะ ชีวิตในช่วงนั้น


แต่พอเลยจากนั้นปั๊บจนกระทั่งบัดนี้ โอย อยากปลีกวิเวกแล้วล่ะ จะ 65 อยากปลีกวิเวกไปอยู่อาศรมธรรมจาริก แหม มันเป็นภารกิจที่ท่านมอบให้มา ไม่ได้อยากเด่นอยากดังเพราะไม่ใช่อัธยาศัย ชอบแบบคุณยายอย่างงั้นแหละ แต่นี่มันเป็นภารกิจ เป็นบารมีของเรา เราก็ทำภารกิจนี้ให้มันสำเร็จให้ได้ เพราะพวกเรามาอยู่ในทีมที่ขยายวิชชา ต้นตออยู่ที่วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ พระเดชพระคุณหลวงปู่ ผู้ค้นพบวิชชาธรรมกาย เรามาแตกต่อมาขยาย ซึ่งก็ถือว่าเป็นสาขาหนึ่งของวัดปากน้ำนะ วัดพระธรรมกายเนี่ย สาขาหนึ่ง แล้วก็ทั้งทีมก็ทุ่มเทชีวิตจิตใจ กล้าพูดได้เลยถ้าไม่มีคุณยายอาจารย์ท่านเป็นหลักเป็นประธาน ยากมากที่จะรวมหนุ่มๆ ตอนนั้นมีแต่หนุ่มๆ ทั้งนั้นเลย สาวๆ ไม่มี ท่านไล่ออกหมด มีแต่หนุ่มๆ ถ้าสาวๆ แหลมมานะ ดวงตาท่านจะเข้มเป็นพิเศษ แล้วฟ้าก็ผ่าเปรี้ยงลงไปเลย แค่เขามานั่งเฉยๆ น่ะนะ เปรี้ยง ไปถามองค์นั้นดู ที่จริงไม่ได้เกี่ยวกันน่ะนะ เขาก็มานั่งของเขาตามปกติของเขา มาเจอฟ้าผ่าก่อนทุกที ท่านบอกว่ากันไว้ดีกว่าแก้ ต้องกันไว้ก่อน ดีกว่าจะมาขอขมาอโหสิกันทีหลัง ขอโทษ ขอโทษครับ ขอโทษครับคุณยาย อโหสิ ตอนนั้นอั๊วะก็ลืมไป ตอนนั้นผมลืมไป ไม่ได้ๆ เพราะฉะนั้นต้องไม่ให้มีคำขอโทษเลย หรือเสียใจ เสียใจจริงๆ เลยนี่ ไม่น่าเลย ตอนนั้นลืมไปแค่นิดเดียว ไม่ยอมเลยนะ แล้วหูตาท่านนี่น่ะ ปิดไม่อยู่ ท่านก็อยู่ที่วัดปากน้ำนะ แค่ผูกเชือกรองเท้าแค่นั้นนะ จะมีคำที่แปลก ๆ ผ่าอากาศ วืด โป้ง ชนหัวใจเราเลย แต่มันคิดไม่ทันนะ จะมาแบบสายฟ้าแล่บนะ ก็ไม่ได้ทำเตรียมสายล่อฟ้าไว้นี่ ก็ผูกเสร็จก็เดินๆ ไป พอจะขึ้นรถปั๊บเอ๊ะ คิดออกตรงนั้น เดินกลับมาใหม่ กลับมาก็เห็นยายกำลังผูกหูมุ้งอยู่น่ะ กางมุ้งๆ “อ้าวคุณกลับมาทำไม” “อ้าวแล้ว เมื่อกี้ยายว่าไง” เออ มันอย่างงี้นะ เราจะค่อยๆ ดูดซึมกระแสความบริสุทธิ์ของท่าน ทีละนิดๆ ความไม่บริสุทธิ์ในใจเราก็ค่อยๆ หมดไปทีละนิดๆ แม้ไม่หมดกิเลสก็ตาม แต่อยู่ในระดับที่เป็นคนดีที่โลกต้องการ อยู่ในสังคมอย่างมีความผาสุก เอาตัวรอดได้ อยู่ในวงไหนก็เอาตัวรอดได้ เข้าได้ทุกวง เอาตัวรอดได้จากสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย เข้าใกล้ แต่ไม่ชิด เพราะเราก็ต้องมีพรรคมีพวกความสะดวกมันจะได้มี อย่างน้อยเพื่อนๆ ก็ช่วยกันทำการบ้านให้ ทั้งหมดนี่คือเรื่องมันจำเป็นจ้ะ เพราะเรายังอยู่ในสังคม ยังเรียนหนังสือหนังหา ก็ที่ให้พรรคพวกทำการบ้านให้ แต่ทำไปมันก็บ่นไปนะ รำพึงให้ฟังเรื่อย แต่มันก็ทำให้ โอ I love เพื่อนทุกคน คือ พอมาเรียนวิชชาธรรมกายกับคุณยายน่ะ มันมีความสุขน่ะ แล้วก็มองดูวิชาต่างๆ ที่เรียนรู้ทางโลก เอ มันไม่ได้เกิดประโยชน์อย่างสมบูรณ์ แม้ประโยชน์ในปัจจุบันเนี่ย เพื่อเลี้ยงชีวิต บางทียังไม่เกิดประโยชน์อย่างสมบูรณ์ ถ้าแค่พอเลี้ยงชีวิตเพื่อความปลอดภัยของครอบครัว และเพื่อเอามาสร้างบารมีน่ะอีกเรื่องหนึ่ง แต่ว่าถ้าหากมันเกินกว่านั้นแล้วไม่มีเป้าหมาย คือไม่รู้ว่ารวยไปทำไมน่ะ เพราะครูไม่ใหญ่เคยถามมหาเศรษฐีของโลก “คุณรวยไปทำไมเนี่ย คุณเก่งนะในการหาทรัพย์” แล้วคุณรวยไปทำไม เขาอึกอักน่ะ แต่พอถามเรื่องธุรกิจ โอ้โฮ ปรื้ด คล่องมาก เพราะฉะนั้นเนี่ยมองดูวิชาทางโลกแล้ว เอ มันก็มีข้อจำกัดนะในการให้ประโยชน์ แต่มันก็เป็นเรื่องจำเป็น แต่ว่าไม่ควรทำในสิ่งที่มันเกินควร เพราะการที่จะได้ทรัพย์มามันจะต้องมีที่ภาษากำลังภายใน คือต้องไปตบไปตีกันมา กว่าจะได้มาเนี่ย มีทั้งคู่แข่ง มีทั้งคู่แค้น มีทั้งคู่ค้าน หลายคู่ก็แล้วกันนี่ มันมีข้อจำกัด ประโยชน์ในอนาคต คือหลังจากตายแล้วนี่น่ะในภพชาติต่อๆ ไป โลกไม่ได้เรียนรู้เลยชาวโลกไม่มีสอนกันในสถาบันไหนเลย ว่าชีวิตหลังจากตายแล้วเนี่ย มีความเป็นอยู่อย่างไร ดำรงชีพอยู่ด้วยอะไร มีการทำมาหากินไหม ทำมาค้าขายไหม เราจะเอาความเก่งความชำนาญในโลกมนุษย์ไปใช้ในปรโลกนี้ได้ไหม นรกสวรรค์มีจริงไหม ถ้าไม่มีจริงก็เจ๊ากันไป ถ้ามีจริงก็เจ๊ง มันเป็นอย่างงี้นะ ไม่มีการสอน ประโยชน์อันสูงสุด คือการทำพระนิพพานให้แจ้ง ดับทุกข์ หลุดพ้นจากทุกข์ ไม่มีเลย ไม่มี ก็ประโยชน์ข้อที่ 2 ก็ยังไม่มี เพราะฉะนั้นเมื่อมันมีข้อจำกัด เรามาเรียนวิชชาที่มันไม่มีข้อจำกัดดีกว่าและได้ประโยชน์อันสูงสุดด้วย โอ้


ครูไม่ใหญ่ได้ศึกษาได้เรียนรู้ว่า นี่นะ ปิดอบาย ไปสวรรค์ มีสุขในปัจจุบัน และก็ดับทุกข์ได้ กระทั่งเรียนรู้ถึงการทำพระนิพพานให้แจ้งที่ท่านสอนแล้ว ท่านก็บอกขอบเขตของอายตนนิพพานนั้นเป็นอย่างไร แล้วก็มักจะมาสิ้นสุดตรงนี้ แล้วก็ได้เรียนรู้ ว่ามโนปณิธานของพระเดชพระคุณหลวงปู่ โอ มันเลย ณ จุดตรงนั้นไป เพราะว่าอายตนนิพพานถอดกายนั้นน่ะดับกิเลสภายในของตัว ดับกิเลสภายในที่เป็นเหตุให้เวียนว่ายตายเกิด แล้วก็ถ่ายทอดสอนให้แต่ละคนก็ดับของตัว แล้วให้เป็นประดุจดวงตะวันที่มีพลังงานในตัว มีแสงสว่างอยู่ในตัว เป็นอยู่ได้ด้วยตัวของตัวเอง จนกระทั่งใช้คำว่า นิพพานัง ปรมัง สุขัง นิพพานเป็นบรมสุข นี่เป็นคำกล่าวของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์ ยืนยันเหมือนกันหมดอย่างนี้


ทีนี้หลวงปู่ท่านสั่งสมบารมีอย่างนี้มายาวนาน ท่านก็มองเห็นว่า ถ้าดับตามลำพังอย่างนี้ เมื่อไหร่มันจะหมดซักที มันน่าจะมีวิธีการที่ดับทีเดียวทั้งหมดเลย ต้นเหตุแห่งการเวียนว่ายตายเกิด แล้วก็หลุดพ้นกันไปพร้อม ๆ กัน แล้วไม่ต้องลงมาอีก ไม่มีมาอีก หลุดทีเดียว ตลอดแสนโกฏิจักรวาล อนันตจักรวาล นิพพานถอดกาย ขนกันไปหมดเลย สรรพสัตว์ทั้งหลายเนี่ยไม่มีหลงเหลือเลย เออ อันนี้ถูกใจๆ แล้วท่านก็สำทับซ้ำนะ คุณน่ะทำมาแล้ว ฮึ ดีเหมือนกันนิ เพราะตอนนั้นเป็นหนุ่มนะ นี่กำลังสวมวิญญาณของความเป็นหนุ่มช่วงนั้น ที่ยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย แต่ว่ามันเอ๊ะ มันดีนี่ เพราะมันยังแข็งแรง ยังเป็นหนุ่ม ชอบมากเลยเนี่ย ดี และมันถูกใจจริงๆ ตั้งแต่นั้นมาเนี่ย มองเห็นโลกว่างเปล่าเลย อยากมาเรียนอยากศึกษา เพราะฉะนั้น พอตอนเช้าก็ถึงวัด 2 ทุ่มก็กลับจากวัด วันๆ วนเวียนกันอยู่อย่างงี้ตลอด ท่านก็จะถ่ายทอดอบรมบ่มนิสัย ทั้งหยาบทั้งละเอียด ทั้งอะไร อบรมไปเรื่อย ซ้ำๆ ไอ้ที่ไม่ซ้ำก็จะมีแต่วิชชาธรรมกาย ซึ่งตอนนี้ชวนติดตามมาก แล้วมันก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาตอนนั้น เออ วันนี้เราเรียนรู้ความรู้จากคุณยายอาจารย์ในปริมาณเท่านี้นะ พรุ่งนี้เราจะต้องเอามาต่ออีกให้ได้แค่นี้ แค่นี้ และแค่นี้ แค่นี้ ไปเรื่อยๆ เลย มันเกิดขึ้นเอง เพราะว่ามันชวนติดตามน่ะในการเรียนรู้ความรู้ภายในที่เข้าไปสู่ภายในเรื่อยๆ เพราะเป็นความรู้ที่มาพร้อมกับความสุขและความบริสุทธิ์ ความรู้สึกที่บริสุทธิ์ดี ใจมันเกลี้ยงเกลาดี เป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเองดี ตรงนั้นน่ะนะ เป็นความรู้ที่ชวน ยิ่งเรียนรู้ยิ่งทำให้ขัดเกลาใจเราใสๆๆๆ ไปเรื่อยๆ เวลานอนหลับเป็นสุข เวลานั่งรถหลับตาลืมตา 3 ที ถึงที่หมาย ไม่ค่อยได้มองทิวทัศน์ข้างทางกับเขาหรอกมันเป็นยังไง ที่เขาถาม ป้ายโฆษณาเป็นไง ฮึ มีเหมือนกันเหรอ ก็มันไม่ได้สนใจอะไร และมีอยู่หลายครั้งทีเดียว มีนักเลงโตนั่งอยู่ในรถก่อนนะ เขาจะนั่งข้างหลังกันนะ เต็มหมด ก็ไม่รู้เรื่องกะเขาหรอกนะ ใครเป็นนักเลงโต ก็ไม่ได้มองใครว่าเป็นนักเลงโต แต่มารู้ทีหลังเขาเป็นนักเลงโตกัน เวลาเกาะโหนรถเมล์ไป มันก็จะนึกถึงคำสอนยายแล้วก็นึกถึงธรรมะที่ยายท่านสอน นึกไป เขาก็แซวมานะ แปลกนะ อารมณ์ที่จะรับไว้และก่อให้เกิดความไม่สงบของใจ หรือสูญเสียความสงบสุขของใจ ไม่มีเลย จะไม่มีช่องให้อารมณ์อื่นเข้ามาแทรกอย่างงั้น มันมีความสุขข้างใน หันไปมองเขา เหมือนมองใบไม้ใบหญ้า มองธรรมดา แล้วก็ยิ้มๆ ยิ้มอย่างมีความสุข ไม่ได้รู้เรื่อง จนกระทั่งเขาแซวหนัก พอดีมีที่ว่าง ก็ไปนั่งใกล้ๆ เขานะ ติดกันเลย ทีนี้เขาก็บอกนะ “ว่าขนาดนี้แล้วยังมานั่งตรงนี้อีก” เอ๊ะ ตอนนั้นไม่ได้รู้สึกอะไรนะ คืออารมณ์มันไม่เป็นทุกข์น่ะ เพราะฉะนั้นจึงโอ อาลัยอาวรณ์กับความรู้สึกเก่าๆ นั้นน่ะ มันดีมากเลย ความคิดที่ไม่มีเวรไม่มีภัยน่ะ ไปรู้จักตอนที่เรียนอยู่กับยาย ตอนที่ยายพร่ำสอนนั่นนะ มันมีความสุขยิ่งใหญ่ เป็นอิสระจริงๆ กับความรู้สึกมีเวรมีภัย มันดี มันดี๊ดี มันบอกไม่ถูก เวลาหลับคือหลับเลย ใสๆ สว่างเบาๆ ตื่นก็ตื่น หลับก็หลับ ไม่ใช่หลับๆ ตื่นๆ มันหลับก็หลับ สดชื่น บอกไม่ถูก ในช่วงที่อยู่กับยาย แต่ว่าโอ้โห ตั้งแต่บวชนี่นะ พอบวชวันแรก ตั้งแต่นั้นมา อึม.. อิหยังก็บ่ฮู้นะเยอะแยะนักขนาดเลยเนี่ย แต่ก็ดีเหมือนกันเนอะ

ขอเชิญผู้สนใจร่วมรับบุญชมรมรัตนเวชฯ

04 November 2008 - 01:13 AM

ขอเชิญบุคลากรทางการแพทย์และผู้สนใจมารับบุญชมรมรัตนเวชฯ

เนื่องจากสาธุชนที่มาวัดมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างมาก
แต่บุคลากรที่รับบุญที่จุดพยาบาลในพื้นที่สภาและวิหารคด ยังขาดแคลน โดยเฉพาะในวันงานบุญใหญ่
จึงขอเรียนเชิญบุคลากรทางการแพทย์และผู้สนใจทุกท่านมารับบุญที่ชมรมรัตนเวชกันนะคะ

สำหรับหน้าที่ ก็มีหลายอย่าง เช่น
1. ตรวจรักษาสาธุชน
2. แจกยาให้สาธุชน
3. ทำแผลให้สาธุชน
4. ให้คำปรึกษาด้านสุขภาพ
5. เขียนข้อมูลการรักษาในแบบฟอร์ม
6. key ข้อมูล/ scan barcode เกี่ยวกับรายละเอียดการรักษา
7. ลงพื้นที่ในกรณีที่สาธุชนมีอาการหนักที่ไม่สามารถเดินมาที่จุดพยาบาลได้เอง
8. ดูแลคอมพิวเตอร์/ระบบแลน
9. พัฒนารายการสำหรับออกอากาศทาง DMC

หากสนใจ สามารถติดต่อได้ที่ [email protected] นะคะ
อนุโมทนาบุญค่ะ happy.gif