ขอมาทดสอบด้วยคน
ค้นมาตอบวันนี้ เอาข้อ ๑ ก่อนนะ
ศรัทธา หรือความเชื่อนับเป็นจุดเริ่มต้นทางศาสนาทั้งปวง
ซึ่งศรัทธาในทางศาสนานั้นมีอยู่ ๒ ประเภท
ได้แก่
ศรัทธาอันเป็นญาณสัมปยุต คือ ความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญา รู้เหตุ รู้ผล
และ
ศรัทธาอันเป็นญาณวิปปยุต คือ ความเชื่ออันเกิดจากความไม่รู้เหตุรู้ผล
หากจะแยกให้เห็นมูลเหตุของศาสนาตามวิวัฒนาการทางความคิดของมนุษย์ ตั้งแต่สมัยโบราณ
จนถึงปัจจุบันสามารถแยกได้ดังนี้ (เสฐียร พันธรังสี, ๒๕๑๓:๑๘)
๑. เกิดจากอวิชชา : อวิชชา คือ ความไม่รู้ ในที่นี้ได้แก่ความไม่รู้เหตุรู้ผล
เริ่มแต่ความไม่รู้เหตุผลทางภูมิศาสตร์ ทางดาราศาสตร์ ไม่รู้ชีววิทยา และไม่รู้จักธรรมชาติอื่น ๆ
ที่อยู่รอบตัวเรา เมื่อมีความไม่รู้เหตุผลก็เกิดความกลัวในพลังทางธรรมชาติ
ต้องการความช่วยเหลือจากธรรมชาติ ซึ่งเป็นสิ่งมีอำนาจเหนือตน จึงมีการส้รางขนบธรรมเนียมประเพณี
เพื่อบูชาเอาใจสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น เพื่อที่จะสามารถช่วยให้มนุษย์มีความอยู่รอดไม่มีภัยต่อ ๆ ไป
๒. เกิดจากความกลัว : มนุษย์จะอยู่ในโลกได้ต้องมีหน้าที่ คือ การต่อสู้กับธรรมชาติ
และสู้สัตว์ร้ายนานาชนิด และโดยเฉพาะกับมนุษย์ด้วยกันเอง ยามใดที่เราสามารถเอาชนะธรรมชาติหรือคนได้
ความเกรงกลัวธรรมชาติ สัตว์ร้าย หรือมนุษย์ย่อมไม่มี แต่ถ้าไม่สามารถต่อสู้ได้
มนุษย์จะเกิดความกลวต่อสิ่งเหล่านั้น และในยามนั้นเอง ที่มนุษย์ต้องพากันกราบไหว้บูชา
และแสดงความจงรักภักดี ทำพิธีสังเวยเซ่นไหว้ต่อธรรมชาติดังกล่าว
ด้วยความหวังหรืออ้อนวอนขอให้สำเร็จตามความปรารถนาอันเป็นผลตอบแทนขึ้นมาเป็นความสุข
ความปลอดภัย และอยู่ได้ในโลก
๓. เกิดจากความจงรักภักดี :
ความจงรักภักดีเป็นศรัทธาครั้งแรกที่
มนุษย์ทุกยุคทุกสมัยยอมเชื่อว่า
เป็นกำลังก่อให้เกิดความสำเร็จได้ทุกเมื่อ
ในกลุ่มศาสนาที่นับถือพระเจ้า
(
ศาสนายิว ศาสนาคริสต์ ศาสนาอิสลาม)
มุ่งเอาความภักดีต่อพระเจ้าเป็นหลักใหญ่ในศาสน
า ในกลุ่มชาวอารยันมีสาสนาพราหมณ์ (ฮินดู)
มีคำสอนถึงภักติมรรค คือ
ทางแห่งความภักดี
อันจะยังบุคคลให้ถึงโมกษะ คือหลุดพ้นได้
แม้ในทางพระพุทธศาสนาก็ยอมรับว่าศรัทธา
หรือความเชื่อ ความเลื่อมใสเท่านั้นที่จะพาข้ามโอฆสงสารได้
เมื่อเป็นดังนี้แสดงว่ามนุษย์ยอมตนให้อยู่ใต้
อำนาจของธรรมชาติเหนือตน อันเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเอง
ซึ่งเรียกว่าเทพเจ้า หรือพระเจ้า อย่างไรก็ตาม
ผลที่เกิดตามมาคือมนุษย์ยอมให้เครื่องเซ่นสังเวย
แก่ธรรมชาตินั้น ๆ ด้วย ลักษณะนี้จึงเท่ากับมนุษย์เสียความเป็นใหญ่ในตน
ยอมอยู่ใต้อำนาจของสิ่งที่ตนคิดว่ามีอำนาจเหนือตน
๔. เกิดจากปัญญา :
ศรัทธาอันเกิดจากปัญญาคือมูลเหตุให้เกิดศาสนา
อีกทางหนึ่ง แต่ศาสนาประเภทนี้มักเป็นฝ่ายอเทวนิยม
คือไม่สอนเรื่องเทพเจ้าสร้างโลก
ไม่ถือเทพเจ้าเป็นศูนย์กลางแห่งศาสนา
หากแต่ถือความรู้ประจักษ์จริงเป็นสำคัญ
เช่น
พระพุทธศาสนา ความเน้นหนักของพระพุทธศาสนา คือ
ญาณหรือปัญญาชั้นสูงสุด[color=#3333FF]
ที่ทำให้รู้แจ้งประจักษ์ความจริง และหลุดพ้นจากความทุกข์ทั้งปวง
๕. เกิดจากอิทธิพลของบุคคลสำคัญ :
ศาสนาหรือลัทธิที่เกิดจากความสำคัญของ
บุคคลเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นได้ทุกแห่งหน ที่มีเรื่องราว หรือความสำคัญของบุคคลที่อยู่
ณ ที่นั้น ความสำคัญของบุคคลที่เป็นเหตุเริ่มต้นของศาสนา หรือลัทธิ โดยมากมักมีเหตุเริ่มต้น
โดยความบริสุทธิ์จากจิตใจของมนุษย์ ไม่มีใครบังคับ ไม่มีใครวางหลัก
อีกทั้งเมื่อใครนับถือความสำคัญของบุคคลผู้ใดก็จะพากันกราบไหว้ และเคารพบูชา
๖. เกิดจากลัทธิการเมือง :
ลัทธิการเมืองอันเป็นมูลเหตุของศาสนาเป็นเรื่องสมัยใหม่
อันสืบเนื่องจากการที่ลัทธิการเมืองเฟื่องฟูขึ้นมา และลัทธิการเมืองนั้น
ได้เข้าไปมีอิทธิพลต่อคนลางกลุ่ม เป็นต้นว่า กลุ่มคนยากจน
ซึ่งคนเหล่านั้นก็ได้ละทิ้งศาสนาเดิมที่ตนเองนับถืออยู่
แล้วหันมานับถือลัทธิการเมืองดังกล่าวเป็นศาสนาประจำสังคม
หรือชาตินิยมลัทธิการเมือง เป็นต้นว่า ลัทธินาซี ลัทธิฟาสซิสม์ และลัทธิคอมมิวนิสต์
อ้างอิง
http://www.duangden....eligious.html#2
ศรัทธา ๔ อันเป็นส่วนที่จะส่งเสริม สัมมาทิฏฐิ ๑๐ ประการ ศรัทธา
ต้องประกอบด้วยปัญญา(ระดับโลกียะ) เรียกว่า ศรัทธา ๔ คือ
๑. กัมมสัทธา เชื่อเรื่องกรรม
๒. วิปากสัทธา เชื่อผลของกรรม
๓. กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อว่าสัตว์โลกทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน
๔. ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อในความตรัสรู้และคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า