ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

พุทธิปัญญาจากหมาขี้เรื้อน


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 2 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 Moji

Moji
  • Members
  • 24 โพสต์

โพสต์เมื่อ 12 January 2006 - 11:21 AM

> > >

นำบทความมาให้ได้อ่านกันค่ะ เผื่อจะได้ข้อคิดดีๆ ดดยเฉพาะคนที่กำลังเบื่อสิ่งรอบข้างเหมือนข้าพเจ้า




พุทธิปัญญาจากหมาขี้เรื้อน
> > >
> > >
>ลูกชายนักธุรกิจใหญ่มีชื่อเสียงระดับประเทศคนหนึ่งเพิ่งสำเร็จการศึกษากลับมา
> > > จากเมืองนอก
> > >
> > >
>ยังไม่ทันทำงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันก็ถูกผู้เป็นแม่ขอร้องให้บวชเรียนเสียก่อน
> > > เพื่อเห็นแก่แม่..บัณฑิตใหม่หมาดจากเมืองนอกจึงบวชอย่างเสียไม่ได้
> > > เมื่อบวชที่วัดใหญ่ในกรุงเทพฯแห่งหนึ่งเสร็จแล้ว
> > >
> > >
>ผู้เป็นแม่จึงพาไปฝากให้จำพรรษาอยู่กับพระวิปัสสนาจารย์รูปหนึ่งที่วัดป่าแถวภ
> > > าคอีสาน
> > > พระหนุ่มการศึกษาสูงมาจากตระกูลผู้ดี
> >
> >
> > >
>มีแต่ความสุขสบายเมื่อมาอยู่วัดป่ากว่าจะปรับตัวได้จึงใช้เวลานานเป็นแรมเดือน
> > >
> > > แต่ก็นั่นแหละกว่าจะ
> > > 'นิ่ง'ก็ทำเอาพระร่วมวัดหลายรูปพลอยอิดหนาระอาใจไปตามๆกัน
> > >
> > >
>ปัญหาที่ทำให้พระทั้งวัดเหนื่อยหน่ายจนนึกระอาก็เพราะพระใหม่มีนิสัยชอบจับผิด
> > >
> > > และชอบอวดรู้ ยกหู ชูหางตัวเองอยู่เป็นประจำ
> > >
> > >
>วันแรกที่มาอยู่วัดป่าก็นึกเหยียดพระเจ้าถิ่นทั้งหลายว่าไม่ได้รับการศึกษาสูง
> > >
> > > เหมือนอย่างตน ออกบิณฑบาตได้อาหารท้องถิ่นมาก็ทำท่าว่าจะฉันไม่ลง
> > >
> > >
>เห็นที่วัดใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดแทนไฟฟ้าก็วิพากษ์วิจารณ์เสียเป็นการใหญ่หาว่า
> > >
> > > ล้าสมัย ไม่รู้จักใช้เทคโนโลยี่
> > >
> > >
>ตอนหัวค่ำมีการทำวัตรสวดมนต์เย็นก็บ่นว่าท่านรองเจ้าอาวาสทำวัตรนานเหลือเกิน
> > > กว่าจะสิ้นสุดยุติได้ก็นั่งจนขาเป็นเหน็บชา
> >
> >
> > >
>ครั้นพอถึงเวรตัวเองล้างห้องน้ำเข้าบ้างก็ทำท่าจะล้างอย่างขอไปทีล้างไปบ่นไป
> > >
>ประเภทตูจบปริญญาโทมาจากเมืองนอกต้องมาเข้าเวรล้างห้องน้ำร่วมกับใครก็ไม่รู้
> > >
> > >
>โอ้ชีวิต!ความสำรวยหยิบโหย่งทำให้พระใหม่ไม่พอใจสิ่งนั้นสิ่งนี้ถือดีว่าตัวเอ
> > > งมีชาติตระกูลสูง
> > > มีการศึกษาสูงกว่าใครในวัดนั้น
> > > ผิวพรรณก็ดูสะอาดสะอ้านชวนเจริญศรัทธากว่าพระรูปไหนทั้งหมด
> > >
> > >
>มองตัวเองเปรียบกับพระรูปอื่นแล้วช่างรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าทุกประตูนึกแล้
> > > ว
> > >
>ก็ยิ้มกระหยิ่มอยู่ในใจกลับเข้ากุฏิเมื่อไหร่ก็เอาปากกามาขีดเครื่องหมายกากบา
> > > ท
> > > บนปฏิทินนับถอยหลังรอวันสึกด้วยใจจดจ่อ
> > >
> > >
> > >
>อยู่มาได้พักใหญ่พระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็สังเกตเห็นว่าท่านเจ้าอาวาสวัดป่า
> > > แห่งนี้ไม่ค่อยพูดไม่ค่อยจา
> > >
>ซ้ำนานๆครั้งจะออกมาให้โอวาทกับลูกศิษย์เสียทีหนึ่ง
> > > วันๆไม่เห็นท่านทอะไรเอาแต่กวาดใบไม้ เก็บขยะ ซักผ้าเอง
> > > (เณรน้อยก็มีไม่รู้จักใช้) สอนก็ไม่สอน
> > > การบริหารวัดก็มอบให้ท่านรองเจ้าอาวาสเป็นคนจัดการไปเสียทุกอย่าง
> > > เห็นแล้วเลยนึกร้อนวิชาเสนอให้ปรับ
> > > โน่นลดนี่สารพัดที่ตัวเองเห็นว่าไม่เข้าท่าล้าสมัย
> > >
> > >
>รวมทั้งให้เสนอให้วัดใช้ไฟฟ้าแทนตะเกียงด้วยอีกข้อหนึ่งเพราะตนเห็นว่ายุคสมัย
> > >
> > >
ก้าวไกลมามากแล้วไม่ควรจะทำตนเป็นคนหลังเขาให้คนอื่นเขาดูถูกอีกหนึ่งใน
> > >
ข้อวิจารณ์จุดด้อยของวัดทั้งหลายเหล่านั้นพระใหม่เสนอให้หลวงพ่อเจ้าอาวาส
> > > มีปฏิสัมพันธ์กับพระลูกวัดให้มากขึ้นกว่านี้
> > > สอนให้มากขึ้นเทศน์ให้มากขึ้น
> > >
>และแนะนำว่าคนระดับผู้บริหารไม่ควรจะทำงานอย่างการซักจีวรเองเป็นต้นด้วยตนเอง
> > >
> > > ควรจะกระจายอำนาจมอบงานให้คนอื่นทำดีกว่า
> >
> >
> > >
>เย็นวันนั้นเป็นวันพระสิบห้าค่ำหลวงพ่อเจ้าอาวาสมานั่งทำวัตรที่โบสถ์ธรรมชาติ
> > >
> > > กลางลานทรายด้วย
> > >
> > >
>ท่านไม่ลืมที่จะหยิบข้อเสนอแนะจากพระใหม่มาอ่านให้พระหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลาย
> > >
> > > ฟังแต่ท่านไม่บอกว่าพระรูปไหนเป็นคนเขียน
> > > อ่านจบแล้วหลวงพ่อก็ยิ้มอย่างมีเมตตาพลางหยิบไมโครโฟนขึ้นมา
> > >
> > > แล้วชี้ให้ภิกษุหนุ่มสามเณรน้อยทั้งหลายดูหมาขี้เรื้อนตัวหนึ่งที่
> > > นอนอยู่ใต้ ม้าหินอ่อนตัวหนึ่งใต้ต้นอโศกที่อยู่ใกล้ๆ
> > > "เธอทั้งหลายเห็นหมาขี้เรือนตัวนั้นหรือไม่
> > > เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันเป็นขี้เรื้อนคันไปทั้งตัว
> > > ฉันเห็นมันวิ่งวุ่นไปมาทั้งวัน เดี๋ยวก็วิ่งไปนอนตรงนั้น
> > > เดี๋ยวก็ย้ายมานอนตรงนี้อยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่ได้นานเพราะมันคัน
> > > แต่พวกเธอรู้ไหม
> > >
> > >
>เจ้าหมาตัวนั้นน่ะมันไปนอนที่ไหนมันก็นึกด่าสถานที่นั้นอยู่ในใจหาว่าแต่ละที่
> > >
> > > ไม่ได้ดั่งใจตัวเองสักอย่าง
> > > นอนที่ไหนก็ไม่หายคัน สถานที่เหล่านั้นช่างสกปรกสิ้นดี
> > > คิดอย่างนี้แล้วมันจึงวิ่งหาที่ที่ตัวเองนอนแล้วจะไม่คัน
> > > แต่หาเท่าไหร่มันก็หาไม่
> > >
> > >
>พบสักทีเลยต้องวิ่งไปทางนี้ทางโน้นอยู่ทั้งวันเจ้าหมาโง่ตัวนั้นมันหารู้สักนิ
> > > ดไม่ว่า
> > > เจ้าสาเหตุแห่งอาการคันนั้น
> > > หาใช่เกิดจากสถานที่เหล่านั้นแต่อย่างใดไม่
> > > แต่สาเหตุแห่งอาการคันอยู่ที่โรคของตัวมันเองนั่นต่างหาก"
> > >
> > >
>พูดจบแล้วหลวงพ่อก็วางไมโครโฟนลงเป็นสัญญาณให้รู้ว่าได้เวลาภาวนาหลังการทำวัต
> > > รสวดมนต์เย็นแล้ว
> > >
> > >
> > > ขณะที่ทุกรูปนั่งหลับตาภาวนาอย่างสงบนั้น
> > >
> > >
>ในใจของพระใหม่กลับร้อนเร่าผิดปกตินอกสงบแต่ในวุ่นว่ายนึกอย่างไรก็มองเห็นตัว
> > >
> > > เองไม่ต่างไปจากหมาขี้เรื้อนที่หลวงพ่อชี้ให้ดู
> > > ยิ่งนั่งสมาธินานๆ
> > > ยิ่งคันคะเยอในหัวใจทั้งอายทั้งสมเพชตัวเอง
> > >
> > > นับแต่วันนั้นเป็นต้นมาพระใหม่อดีตนักเรียนนอกก็เปลี่ยนไป
> > > เป็นคนละคนจากคนพูดมากกลายเป็นคนพูดน้อย
> > > จากคนที่หยิ่งยโสกลายเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน
> > >
> > >
>จากคนที่ชอบจับผิดคนอื่นกลายเป็นคนที่หันมาจับผิดตัวเองแม้เมื่อออกพรรษาแล้ว
> > > โยมแม่มาขอให้ลาสิกขาเพื่อกลับไปสืบต่อธุรกิจจากครอบครัว
> > > ท่านก็ยังไม่ยอมสึก
> > >
> > >
>"อาตมาเป็นหมาขี้เรื้อนขออยู่รักษาโรคจนกว่าจะหายคันกับครูบาอาจารย์ที่นี่อีก
> > >
> > > สักหนึ่งพรรษา"
> > >
> > >
>โยมแม่ได้ฟังแล้วก็ได้แต่ยกมืออนุโมทนาสาธุการกราบลาพระลูกชายแล้วก็เดินออก
> > >
>จากวัดไปขึ้นรถพลางนึกถามตัวเองอยู่ในใจว่าคำว่า
> > > 'หมาขี้เรื้อน'ของพระลูกชายหมายความว่าอย่างไรกันแน่หนอ
> > >
> > > ถ้าเรา ยังเป็น โรค อยู่ในใจ
> > >
> > > ไม่ว่า เราย้ายงาน ไปที่ไหน
> > >
> > > เราก็ บ่น ว่า สถานที่เหล่านั้น สกปรกสิ้นดี
> > >
> > > ......................................
> > > ขอความสุขสงบ จงมีแด่ผู้มีจิตใจดี
> > > พระพุทธองค์ทรงตรัส ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา สาธุ


#2 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 13 January 2006 - 10:29 PM

สาธุ ensure

#3 r_olygold

r_olygold
  • Members
  • 55 โพสต์

โพสต์เมื่อ 13 January 2006 - 11:58 PM

อนุโมทนาบุญ ครับ สาธุ เป็นธรรมะง่าย ๆ แต่ได้ใจความ อ่านแล้วไม่ต้องตีความหมายมาก เหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัยครับ...