ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ธรรมคติจากพระราชนิพนธ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี ตอนที่ ๒


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 1 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 25 January 2006 - 02:58 PM


วัดที่ข้าพเจ้าชอบ

ทันทีที่ก้าวเข้าไปในสถานที่แห่งนั้น ข้าพเจ้าก็มี จิตอันอิ่มเอิบ ปลาบปลื้ม

เมื่อได้เห็นหลังคามุงด้วยกระเบื้องของโบสถ์วิหารเป็นประกายระยิบระยับเมื่อต้องแสงอาทิตย์ในเวลากลางวัน

ทำให้ประจักษ์แก่ผู้ที่ได้พบ เห็น ว่านี่แหละคืออารามในพระบวรพุทธศาสนา อันเป็นสัญลักษณ์แห่งศิลปวัฒนธรรมของชาติ

ยิ่งพิศให้ลึกซึ้งตั้งแต่ช่อฟ้าประดับด้วยกระจกหุง แลเด่นรับกับท้องฟ้า หน้าบันสลักเสลาติดด้วยปูนปั้นเป็นรูปลวดลายกนกเกี้ยว

แลดูละเอียดด้วยฝีมือประณีตวิจิตรบรรจง ทั้งหางหงส์ใบระกาบราลี นาคปักนาคสะดุ้งก็ล้วนแล้วแต่ตระการตาดูงามเหมาะเจาะไปหมด

ทอดทัศนาไปทั่วบริเวณจะแลเห็นวิหารใหญ่น้อย หอสวดมนต์ หอไตร ศาลา หอระฆัง การเปรียญ ศาลารายก็อยู่อย่างเป็นระเบียบ

ในบริเวณพระเจดีย์องค์ใหญ่สีทองอร่าม แลตระหง่านเห็นได้แต่ไกล สิ่งเหล่านี้จะยังศรัทธาปสาทะแก่พุทธศาสนิกชนทั่วหน้า

ยิ่งดูภูมิประเทศรอบด้าน ข้าพเจ้ายิ่งรู้สึกราวกับว่าอยู่ในเทวโลกอันมีแต่ความบันเทิงสุข รุกขชาติอันร่มรื่นมีกิ่งก้าน สาขาแผ่ไปทั่วบริเวณ

เป็นที่พึ่งของเหล่าวิหค ผู้ประสงค์ความวิเวกอาจจะเข้าพักอาศัยในฉายาแห่งพฤกษ์นั้น


ในยามค่ำ เมื่อแสงพระรวีจวนจะสิ้นบ่งบอกถึงสายัณห์สมัย ท้องฟ้าเป็นสีแดงเรื่อๆ เหล่าปักษชาติต่าง ก็โผผกมุ่งหน้ากลับรัง

ข้าพเจ้านั่งอยู่ในพระวิหารอันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปใหญ่น้อย มองดูแล้วทำให้รู้สึกว่าองค์พระปฏิมาทรงแย้มพระพักตร์แสดงถึง

พระเมตตาคุณ พระกรุณาคุณ พระบริสุทธิคุณ แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ลมพัดใบโพธิ์ทองที่หลังคาโบสถ์วิหาร

เป็นสรรพสำเนียงเสนาะโสตดุจเทพดนตรี ระคนกับเสียงสวดมนต์เย็นแว่วๆมา ผู้ที่ได้พบได้เห็นได้ยินเช่นนี้ ย่อมซาบซึ้งในรสพระธรรม

สัจธรรมนี้เป็นเครื่องนำมาซึ่งความสุขอันแท้จริง เป็นสมบัติสูงสุดที่มนุษย์พึงได้รับ

ข้าพเจ้ากราบลง กล่าวคำสรรเสริญพระรัตนตรัย

นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ พุทโธ เม สรณํ วรํ
เอเตน สจฺจวชฺเชน โหตุ เต ชยมงฺคลํ

นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ ธมฺโม เม สรณํ วรํ
เอเตน สจฺจวชฺเชน โหตุ เต ชยมงฺคลํ

นตฺถิ เม สรณํ อญฺญํ สงฺโฆ เม สรณํ วรํ
เอเตน สจฺจวชฺเชน โหตุ เต ชยมงฺคลํ


ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอชัยมงคล จงมีแก่ข้าพเจ้าเทอญ

ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระธรรมเป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอชัยมงคล จงมีแก่ข้าพเจ้าเทอญ

ที่พึ่งอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระสงฆ์เป็นที่พึ่งอันประเสริฐของข้าพเจ้า ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ ขอชัยมงคล จงมีแก่ข้าพเจ้าเทอญ



สถานที่แห่งนี้แหละ เป็นบ่อเกิดของศิลปวิทยาการนานัปการ อันบรรพชนได้สะสมไว้แต่อดีตกาล

เป็นสถานที่สำหรับผู้ประสงค์ความวิเวก เป็นสวรรค์ของผู้ใคร่ในธรรม

เมื่อข้าพเจ้าเดินออกจากพระวิหาร ท้องฟ้าเวลานั้นเปรียบได้กับผ้ากำมะหยี่ดำผืนใหญ่ ประดับด้วยเพชรรัตน์รูจีอันมีค่าสุงสุด

โบสถ์ระเบียง วิหาร ที่ได้เห็นอย่าง กระจ่างเมื่อสักครู่นี้ กลับกลายเป็นเพียงเงาดำสลัวๆ

เสียงจักจั่นเรไรร่ำร้องระคนกับเสียงใบโพธิ์ทอง ดังอยู่เป็นระยะๆ

มองดูเงาขององค์พระเจดีย์พลางฟังเสียงดนตรีแห่งรัตติกาล ทำให้โสตแว่วเสียงสวดมนต์เมื่อครู่อีกครั้งหนึ่ง


ชั้น ม.ศ. ๕
๒๑ กรกฎาคม ๒๕๑๕




สายไปเสียแล้ว

ดอกไม้สดบนโต๊ะบูชาส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ปนกับกลิ่นควันธูปที่พลุ่งขึ้นดูราวกับหมอกในตอนเช้าฤดูหนาว

เปลวเทียนสว่างต้องพระพักตร์อันสงบนิ่งแห่งพระพุทธรูปปางมารวิชัย

เสียงเนิบๆของผู้ทรงศีลบ่งบอกถึงความเมตตาในสรรพสัตว์ที่ยังหนักไปด้วยกิเลสธุลี


ใบหน้าของผู้สดับพระธรรมเทศนาในขณะนั้นแทนที่ จะเป็นใบหน้าของอุบาสกผู้อาจหาญรื่นเริงในธรรม

กลับเป็นใบหน้าอันซีดเซียวของชายผู้หนึ่ง ดวงตาแสดงความ หวาดกลัวเหม่อมองไปเรื่อยๆ อย่างไร้จุดหมาย

พัน ชายหนุ่มผู้นั้น จัดได้ว่าเป็นคน “หน้าตาดี” ผิวเนื้อดำแดง กร้านแดดลม

ร่างอันผอมเกร็งของเขาสั่นเทิ้มเมื่อนึกย้อนไปถึงวันหนึ่งในอดีต เขาเรียนจบชั้นมัธยมบริบูรณ์ด้วยคะแนนไม่เลวนัก

แต่ยังขาดทุนซึ่งจะศึกษาต่อในขั้นอุดมศึกษา เรียนต่อก็ได้หรอก แต่ภาพ แม่ทำงานตัวเป็นเกลียวเพื่อเลี้ยงดูส่งเสียเขา ยังน้องๆ

อีกห้าหกคนให้เรียนได้ถึงขั้นนี้ผุดขึ้นในจิตสำนึกของเขา แม่ทำงานเพื่ออนาคตของลูกทุกคน พ่อตายตั้งแต่น้องคนเล็กยังแบเบาะ

กลับบ้านดีกว่า หรือจะหางานทำ จะได้ ช่วยแม่ส่งน้องสักคนสองคน


วิถีชีวิตของพันอาจจะเปลี่ยนแปลงไปจากที่เป็นอยู่ในขณะนี้มาก ถ้าเขาไม่ได้พบกับวิชัยโดยบังเอิญ

ก่อนที่เขาจะตัดสินใจขึ้นรถไฟกลับบ้านในเย็นวันนั้น

“นั่น พัน ใช่ไหม” วิชัยตรงเข้ามาถาม

วิชัยเป็นเพื่อนร่วมชั้นของพันตั้งแต่สมัยอยู่ชั้นมัธยมต้นด้วยกัน พ่อของวิชัยเป็นพ่อค้าที่ฐานะค่อนข้างดี สมัยอยู่โรงเรียน

วิชัยมีความประพฤติไม่สู้ดีนัก ในที่สุด ก็ถูกไล่ออกจากโรงเรียน


“ใช่ นั่นวิชัยใช่ไหม”

แต่แรกพันจำวิชัยไม่ได้ เพราะท่าทางเขาดูภูมิฐานผิดกับสมัยเป็นนักเรียนมาก

“ไม่ได้เจอกันเสียนาน ตอนนี้นายทำอะไร” วิชัยถาม

“ยังไม่ได้ทำอะไร เพิ่งเรียนจบ กำลังหางานทำ ไม่ได้ก็กลับไปช่วยแม่ทำนา สมัยนี้จบแค่ ม.8 อย่างเราหางานทำยาก”

“มาทำงานกับเราเถอะ เงินดี แล้วง่ายมาก นายคงทำได้”

ครั้งแรกพันลังเลใจ แต่พอวิชัยเอ่ยจำนวนเงิน พันก็ตกลงใจรับทำงาน

มันเป็นงานง่ายๆ สะดวกสบายจริงๆ ดังที่วิชัยรับรอง

พันมีหน้าที่รับกระเป๋าเอกสารจากเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งที่เชียงรายแล้วโดยสารรถไฟนำกระเป๋าเอกสารนั้นไป

ส่งให้เพื่อนอีกคนหนึ่งที่สถานีหัวลำโพง บางครั้งก็ขับรถบรรทุกซุงจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง

การทำงานอย่างซื่อตรงไม่สอดรู้สอดเห็นของพัน ทำให้วิชัยเพิ่มความไว้วางใจในตัวเขา จนกระทั่งเปลี่ยนงานให้ใหม่

ทำให้พันทราบต้นตอของสิ่งที่เขาขนมาเป็นเวลานาน ทั้งฝิ่นทั้งเฮโรอีน... พันตกใจเมื่อทราบความจริง สมัยเด็กๆ

หลวงปู่ที่วัดเคยพร่ำสอนว่ายาเสพย์ติดเป็นของไม่ดี เมื่อเสพเข้าไปแล้วทำให้ขาดสติ เป็นทางนำไปสู่ทุคติ เป็นบาป แต่ “ช่างเถอะ” พันคิด

“คนอื่นสูบ ไม่ใช่เรา” ก็ไม่ใช่เพราะฝิ่นและเฮโรอีนนี่หรือที่ทำให้เขาพ้นจากความยากจน น้องๆ ของพันทุกคนได้เรียนโรงเรียนชั้นดี

แม่ของพันมีเข็มขัดทองคาดไม่ต้องทำนาเหนื่อยยากอีกต่อไป งานของเขาเจริญรุดหน้าไป

ขณะนั้นพันไม่คิดถึงเรื่องอื่นแม้แต่มนุษยธรรมเสียแล้ว “เงิน” เท่านั้นที่เขานึกถึง เขาทำทุกอย่างก็เพื่อเงิน

พันกับวิชัยค่อยๆ ขยายกิจการของเขาให้แพร่หลายออกไป โดยส่งคนเข้าแทรกซึม ชักชวนให้นักเรียนเสพยาเสพย์ติด

ในที่สุดงานทุจริตของเขาก็ไม่พ้นจากสายตาเจ้าหน้าที่ผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไปได้ ตำรวจเข้าล้อมร้านขายอาหารซึ่งเป็นสถานที่ดำเนินงาน

วิชัยและพันพยายาม ต่อสู้เจ้าหน้าที่ วิชัยถูกกระสุนปืนเจ้าหน้าที่ตาย ส่วนพันถูกจับได้พร้อมทั้งของกลาง เป็นเฮโรอีนมูลค่าสามล้านบาท

เขาถูกควบคุมตัวไปยังเรือนจำ ถูกสอบปากคำและอื่นๆ เหมือนอาชญากรทั้งหลาย


ในที่คุมขังนี้เองที่พันกลับย้อนคิดไปถึงความผิดชอบชั่วดีอีกครั้งหนึ่ง คำสอนของหลวงปู่ก่อนที่เขาจะเข้ามาเรียนในกรุงเทพฯ

และเมื่อเขายังเป็นลูกศิษย์วัดก้นกุฎิของท่าน

“ไอ้พัน ขอให้เอ็งทำงานสุจริตเถอะ ถึงอย่างไรมันก็ไม่มีผลเสีย”

“ยาเสพย์ติด เครื่องดองของเมาเป็นของไม่ดี เสพเข้าไปแล้วทำให้ขาดสติ เป็นทางไปสู่ทุคติ เป็นบาป”

“การนำผู้อื่นไปสู่ความหายนะเป็นบาป”

“อย่าทำความชั่ว เชื่อข้าเถอะ ไอ้พัน เอ็งก็รู้อยู่แล้วว่าอะไรดีอะไรชั่ว ข้าก็ได้พร่ำสอนเอ็งมาตั้งแต่เล็กๆ

ความชั่วน่ะไม่เคยทำให้ใครเจริญหรอก มันเป็นแต่ทางของความเสื่อม”

พันนึกถึงเมื่อเขากราบหลวงปู่ครั้งสุดท้าย แล้วน้ำตาไหล ท่านได้มรณภาพไปแล้วเมื่อปีกลาย

ท่านไม่ทราบหรอกว่าศิษย์หัวแก้วหัวแหวนของท่านกลายเป็นผู้ร้าย...

“หลวงปู่ครับ ยกโทษให้ผมเถอะครับ ถ้าผมพ้นโทษเมื่อไรผมจะบวช”

สายไปเสียแล้ว เช้ามืดของวันหนึ่ง เจ้าหน้าที่ได้เบิกตัวเขาไป รถจี๊ปพาพัน ผู้ยังไม่ทราบชะตากรรมของตน สู่เรือนจำบางขวาง

เมื่อไปถึงพันเริ่มกระสับกระส่าย เขาสังหรณ์ใจว่าคราวนี้เขาคงไม่รอดแน่ เมื่อพัสดีอ่านคำสั่งของหัวหน้าคณะปฏิวัติ

คำสั่งนั้นเป็นเสมือนมีดดาบที่มาตัดความหวัง ของเขาโดยสิ้นเชิง เขาถูกสั่งประหาร

พันหยิบปากกามาเซ็นชื่อรับทราบอย่างเลื่อนลอย “ดีเหมือนกัน” เขาคิด “จะได้จบสิ้นกันไปเสียที” แต่แล้วเมื่อเขาคิดไปถึงนรก...

เขาประพฤติเช่นนี้ คงหนีนรกไม่พ้นดอก เอ๊ะ นรกมีจริงหรือไม่หนอ ถ้ามีจริงคงเหมือนภาพที่ข้างผนังพระอุโบสถที่เขาเคยไปดูเมื่อเล็กๆ

คิดแล้วขนลุก

พันปลงตกเสียแล้ว ทรัพย์สมบัติทั้งหมดที่เขามี เขาทำพินัยกรรมยกให้น้องชายคนโต

เพราะแม่เมื่อทราบข่าวชะตากรรมของบุตรชายก็ร้องไห้จนเป็นลม แล้วกลาย เป็นเหมือนเครื่องจักรกลสุดแล้วแต่ใครจะบอกให้ทำอย่างไร

หลังจากนั้นพันขอเขียนจดหมายสองฉบับ ฉบับหนึ่งถึงแม่

“แม่จ๋า

ฉันผิดไปแล้ว ขอให้แม่ยกโทษให้ด้วย ฉันตายแล้วขอให้แม่ทำบุญให้ด้วย”

อีกฉบับถึงน้องๆ

“ฉันผิดไปแล้ว แกอย่าเอาอย่างฉันเลย ต่อไปเมื่อแกโตขึ้นขอให้ยึดอาชีพสุจริต อาชีพทุจริตแม้จะได้เงินมาก ก็ไม่ดีหรอก

ฉันรู้นี่มันก็สายไปเสียแล้ว จึงต้องไปชดใช้กรรมที่ได้ทำไว้ ขอให้พวกแกเชื่อฟังอยู่ในโอวาทของแม่ ฝากแม่ด้วยนะ...”

ภาพต่างๆ ในความคิดของพันเริ่มเลือนหายไป เสียง ท่านผู้ทรงศีลปลุกเขาจากภวังค์

“บุคคลย่อมเป็นทายาทของกรรมที่ตนได้ก่อขึ้น”

พันก้มกราบพระภิกษุผู้แสดงธรรม ประเคนผ้าไตรจีวรพร้อมทั้งเงินสามร้อยบาทที่มีอยู่ถวาย

น้ำตาของผู้สำนึกผิดไหลลงต้องซองกระดาษสีขาว สายไปเสียแล้ว เขาหมดโอกาสที่จะกลับตัวอีกแล้ว

เจ้าหน้าที่นำใบสละดวงตาไปให้เขาเซ็น เขารับมาพร้อม ทั้งรีบเซ็นชื่อทันที

เป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้ทำบุญดวงตาของเขาทั้งคู่จะทำให้ผู้อื่นมีโอกาสได้เห็นเป็นประโยชน์ต่อไป

ในขณะที่เขาจะไม่มีวาสนาใช้มันอีก

พนักงานนำอาหารมื้อสุดท้ายมาให้เขา อาหารเหล่านั้น บางอย่างเป็นของที่เขาเคยชอบ

เมื่อเวลากลับบ้านแม่เคยกุลีกุจอคอยจัดแจงทำไว้ให้ ขณะนี้เขารู้สึกอิ่มตื้อ จึงขอปฏิเสธ ไม่รับประทาน ผู้คุมพาพันเข้าสู่แดนประหาร...

เสียงปืนกล “แบล็กมันน์” ที่พ่นกระสุนเจาะร่างพันเงียบเสียงไปนานแล้ว

เจ้าพนักงานแต่ละฝ่ายต่างก็สาละวนอยู่กับการทำงานตามหน้าที่ของตน ส่วนพันหมดหน้าที่ของเขาบนโลกนี้เสียแล้ว

วิญญาณของเขาจะไปชดใช้กรรม ณ ที่ใดไม่มีใครทราบ แน่ละ ผู้กระทำบาปย่อมได้รับผลบาปที่ตนก่อไว้

แต่สำหรับผู้ที่รู้สำนึกผิดอย่างพัน บาปจะลดหย่อนบ้างไหมหนอ หรือมันสายไปเสียแล้ว

๓๐ ตุลาคม ๒๕๑๕



#2 LiL' Faery

LiL' Faery
  • Members
  • 1160 โพสต์
  • Location:@ Time : Europe
  • Interests:Basic and Advance Meditation;วิชชา ธรรมกาย<br />Birth Day : 19 January

โพสต์เมื่อ 26 January 2006 - 10:49 AM

ทรงพระปรีชามากเหลือเกินค่ะ
คุณครูไม่ใหญ่ บอกว่า :
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ^_^ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง