ไปที่เนื้อหา


เนื้อหาจาก xlmen

ค้นพบทั้งสิ้น 959 รายการโดย xlmen (จำกัดการค้นหาจาก 29-April 23)



#49306 พี่ๆ ทุกท่านขอร่วมอวยพรวันเกิดให้กับสมาชิกท่านนี้.....

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 22 September 2006 - 12:46 AM ใน เว็บบอร์ด DMC

ขออำนาจคุณของพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ได้โปรดอำนวยอวยพรให้น้องเก้าบูม เจริญในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

มีดวงปัญญาสว่างไสวเป็นสัมมาทิฐิ เข้าถึงธรรมได้โดยง่ายเทอญฯ



#33125 คุณ Xlmen หายไปไหนคะ

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 13 July 2006 - 02:25 AM ใน เว็บบอร์ด DMC

ยังอยู่ดี สบายดีครับผม........

........ในโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดเที่ยงแท้ถาวรยั่งยืนไปได้ตลอดกาลตลอดสมัยหรอกครับ.........

จุดเริ่มต้นของการพบกัน.....ก็ย่อมต้องมีจุดสุดท้ายของการจากลาเป็นธรรมดาโลกแหละครับ

โลกใบนี้ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าหรอกครับ.......

ดังนั้นบุคคลจึงไม่ควรยึดติดในตัวบุคคลหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่งว่าจะคงทนยั่งยืนตลอดกาลตลอดสมัย
ที่พึ่งที่แท้จริงของเราก็คือ ธรรมะ

***ผมมีพุทธภาษิตมาฝากครับ***

ดูกรอานนท์ สมัยใด ตถาคตเข้าถึงเจโตสมาธิ อันไม่มีนิมิต เพราะไม่ทำไว้ในใจซึ่งนิมิตทั้งปวง เพราะดับเวทนาบางเหล่าแล้วอยู่ สมัยนั้น กายของตถาคตย่อมผาสุก

เพราะฉะนั้น พวกเธอจงมีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง มิใช่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือจงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง มิใช่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง
อยู่เถิด ฯ


ดูกรอานนท์ อย่างไรเล่า ภิกษุจึงจะชื่อว่า มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่งมิใช่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง คือจงมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง มิใช่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ เป็นผู้มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ พึงกำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลก อย่างนี้แล

อานนท์ ภิกษุจึงจะชื่อว่า มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง มิใช่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งคือมีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง มิใช่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่

ดูกรอานนท์ ผู้ใดผู้หนึ่งในบัดนี้ก็ดี โดยที่เราล่วงไปแล้วก็ดี จักเป็นผู้มีตนเป็นเกาะ มีตนเป็นที่พึ่ง มิใช่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่ง

คือ มีธรรมเป็นเกาะ มีธรรมเป็นที่พึ่ง มิใช่มีสิ่งอื่นเป็นที่พึ่งอยู่

ภิกษุของเราที่เป็นผู้ใคร่ต่อการศึกษาจักปรากฏอยู่ในความเป็นยอดยิ่ง ฯ

ที่มา : http://84000.org/tip...0&A=1888&Z=3915



#30774 ขอแสดงยินดีกับนักเรียนอนุบาลระดับจักรวาลคนที่ 3 ครับ

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 30 June 2006 - 10:12 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

พี่ขอแสดงความยินดีกับน้องวิว ด้วยนะครับ...ที่ก้าวมาถึงขั้นนี้แล้ว พี่ก็ขอให้น้องมีความเป็นผู้ใหญ่เพิ่มขึ้นนะครับ.....

เรียบร้อย อ่อนโยน วาจางาม มีความเคารพนอบน้อมในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมทั้งผู้หลักผู้ใหญ่

ขอให้น้องเป็นผู้มีธรรมะประจำใจเป็นคนที่อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ เข้มแข็งแต่ไม่แข็งกร้าว เยือกเย็นแต่ไม่เย็นชาครับ


.........ลูกพระธรรมจะต้องอดทน มีขันติ และปิยวาจา แม้แต่พระพุทธองค์ก็เป็นเพียงผู้ชี้แนะเท่านั้น

ความบริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์ของใจไม่มีใครสามารถทำให้กันได้ครับ....ศัตรูที่แท้จริงของมนุษย์คือกิเลสในใจเรานี่เอง

ขอให้พยายามหมั่นศึกษา อบรมใจให้ก้าวหน้าอยู่เสมอๆ อย่าประมาทครับว่าเรานี้ดีแล้ว....ตราบใดที่เรายังไม่เป็นพระอรหันต์ก็ขอให้

น้องวิวจงตั้งอยู่ในพุทธภาษิตนี้ก็คือ "จงอยู่บนความไม่ประมาทเถิด"

*************************************************************

สพฺพปาปสฺส อกรณํ กุสลสฺสูปสมฺปทา
สจิตฺตปริโยทปนํ เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ฯ
ขนฺตี ปรมํ ตโป ตีติกฺขา
นิพฺพานํ ปรมํ วทนฺติ พุทฺธา
น หิ ปพฺพชิโต ปรูปฆาตี
สมโณ โหติ ปรํ วิเหฐยนฺโต ฯ
อนูปวาโท อนูปฆาโต ปาติโมกฺเข จ สํวโร
มตฺตญฺญุตา จ ภตฺตสฺมึ ปนฺตญฺจ สยนาสนํ
อธิจิตฺเต จ อาโยโค เอตํ พุทฺธาน สาสนํ ฯ

แปล: การไม่ทำความชั่วทั้งปวง ๑ การบำเพ็ญแต่ความดี ๑ การทำจิตต์ของตนให้ผ่องใส ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
ขันติ คือความอดกลั้น เป็นตบะอย่างยิ่ง, พระพุทธเจ้าทั้งหลายกล่าวว่า นิพพานเป็นบรมธรรม, ผู้ทำร้ายคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต, ผู้เบียดเบียนคนอื่น ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ

การไม่กล่าวร้าย ๑ การไม่ทำร้าย ๑ ความสำรวมในปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ๑ ที่นั่งนอนอันสงัด ๑ ความเพียรในอธิจิตต์ ๑ นี้เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย

***สรุปก็คือ***
"ไม่ทำชั่ว ทำแต่ความดี ทำจิตใจให้ผ่องใส"



#30285 "สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า" หรือ "Bermuda Triangle"

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 28 June 2006 - 04:37 PM ใน วิทยาศาสตร์ทางใจ



[attachmentid=5850]

รูปย่อ

  • bermuda_air.jpg



#28506 ผมปรารถนาอยากพบพระพุทธเจ้าอีก

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 17 June 2006 - 10:47 PM ใน กระทู้ที่น่าสนใจ

ละเอียดดีมากเลยครับพี่เถลิงเกียรติ

ผมขอตอบตามความเห็นส่วนตัวได้ไหมครับพี่เถลิงเกียรติ ไม่อิงพระไตรปิฏกนะครับ
(คุยกันสองคนนะครับ ถ้าความเห็นผมไม่ถูกใจใครก็ขอให้ท่านที่ผ่านเข้ามาอ่านนิ่งๆ ซะนะครับ อย่าถือสาผมเพราะผมขี้เกียจมาอธิบายเพิ่ม)

ผมมองว่าจักรวาลหนึ่งๆ หรือ 1 กาแลกซี่นับตั้งแต่เริ่มเกิดกาแลกซี่ จนกระทั่งดาราจักรรูปกังหันดับสลายไปหมดว่าคือ 1 กัปครับ ยุคนี้เป็นภัทรกัปมีพระพุทธเจ้า 5 พระองค์มาบังเกิด

แต่ในสายทางหลวงพ่อฤาษีลิงดำได้กล่าวเพิ่มเติมไว้ว่ากัปนี้จะมีพระพุทธเจ้าถึง 10 พระองค์เยอะที่สุดมากกว่าทุกๆ กัปที่ผ่านมาครับ

ความเห็นของผมก็คือนาฬิกาชีวิตของสัตว์ใช้ระยะเวลาในการเดินหรือเวลาไม่เท่ากันตราบใด แม้เวลาของดวงดาวต่างๆ หรือระยะเวลาของแต่ละกาแลกซี่ก็มีอายุไม่เท่ากัน

ดังนั้นในแต่ละกัปจึงตกอยู่ในอำนาจของไตรลักษณ์คือ ไม่เที่ยง ไม่แน่นอน บางกัปดาราจักรรูปกังหันก็สลายตัวไว บางกัปดาราจักรรูปกังหันก็สลายตัวช้า

(ผิดถูกไม่ขอรับรองครับ)



#26530 ตำแหน่งของโลกในจักรวาล

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 02 June 2006 - 01:54 AM ใน วิทยาศาสตร์ทางใจ

โอ้โห คลิปยอดเยี่ยมมากเลยครับ โมทนาสาธุด้วยครับ
เห็นแล้วเหมือนไปดูด้วยตาตนเองเลยครับ



#26123 สงสัยเรื่องกิเลส 10 ค่ะ

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 29 May 2006 - 04:08 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

QUOTE
โมหะ แบบนี้เป็นทุกข์ยังไงคะ

ตอบ โมหะเป็นทุกข์คือ การหลงมัวเมาในเบญจกามคุณว่าน่ารักน่ายินดีน่าใคร่ โดยไม่รู้ว่าการหลงยินดีในเบญจกามคุณ คือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อันน่ารื่นรมณ์ก็บ่วงร้อยรัดให้สัตว์ต้องข้องอยู่ในวัฏฏะสงสารตราบนานเท่านาน เป็นต้นครับ

QUOTE
มานะ (แบบนี้ก็คงเหมือนกันเวลาผู้ใหญ่ที่ถือตัว ว่าผู้น้อยไม่ทำความเคารพตนเอง ก็เลยเป็นทุกข์ ใช่ไหมคะ)

ตอบ มานะคือความถือตัวถือตนว่าดีกว่าเขาบ้าง แย่กว่าเขาบ้าง เสมอเขาบ้าง เมื่อจิตมีการถือตัวก็จะทำให้มีใจเป็นบาปมองคนอื่นว่าด้อยกว่าบ้าง แย่กว่าบ้างเป็นต้น เป็นทุกข์เพราะยังจิตให้เศร้าหมองไม่อาจจะหลุดพ้นจากสังสารได้เพราะความหลงตนว่าดีกว่าผู้อื่น เป็นต้น
(ดังที่คุณทศพล และคุณvior ได้กล่าวไว้แล้วแหละครับ)

QUOTE
ทิฐิ ความเห็นผิด

ตอบ ทิฐิ เป็นคำกลางๆ แบ่งได้เป็น สัมมาทิฐิ กับมิจฉาทิฐิ ผู้มีทิฐิคือยังข้องอยู่ด้วยความคิด ไม่ว่าจะสัมมาทิฐิความเห็นที่ถูกต้อง มิจฉาทิฐิความเห็นที่ผิด เป็นทุกข์คือ บุคคลไม่อาจก้าวล่วงพ้นวัฎฎะด้วยการติดยึดแม้ในความคิดว่าดีหรือไม่ดีนั่นเอง

QUOTE
วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัย, ความเคลือบแคลง (อันนี้ทุกข์ยังไงคะ)

ตอบ ความสงสัยนำมาซึ่งความหวาดระแวง วิตกกังวล ไม่เชื่อใจ ไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันอุปมาก็เหมือนภรรยาหรือสามีที่ระแวงสงสัยในความรักของกันและกันว่าจะมีการนอกใจกัน เป็นต้น

QUOTE
ถีนะ (อันนี้พอจะรู้ว่ามันทำให้ไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ อาจทำให้คิดฆ่าตัวตายได้)

ตอบ ถีนะใช้คู่กับมิทธะ ความง่วงเหงาหาวนอน ความหดหู่ ไม่ผ่องใสของใจ อารมณ์ใจไม่แช่มชื่นไม่เบิกบาน ทำให้จิตเป็นทุกข์

QUOTE
อุทธัจจะ (อันนี้ก็คงทุกข์เพราะ จิตไม่นิ่ง ลอยไปตามความคิดที่ฟุ้งทำให้ใจไปยึดติดกับสิ่งรอบตัว ใช่รึเปล่าคะ)

ตอบ ความฟุ้งซ่านของใจเป็นความปรารถนาของใจหวังในสิ่งนั้น สิ่งนี้ที่ต้องการที่ปรารถนามีใจทะยานนำไปก่อน มีความหวังผล คาดหวังเต็มไปด้วยความหวัง เป็นทุกข์อีกเช่นกันครับ

QUOTE
อหิริกะ ความไม่ละอายต่อความชั่ว

ตอบ ความไม่ละอายต่อบาปส่งผลให้บุคคลดำรงตนด้วยความประมาทก่อกรรมบาปอกุศลด้วยกายทุจริต(กระทำไม่ดี) วจีทุจริต(พูดไม่ดี) มโนทุจริต(คิดไม่ดี) เข้าถึงอบายทุคติเป็นทุกข์ในสัมปรายภพนั่นเอง

QUOTE
อโนตตัปปะ ความไม่เกรงกลัวต่อความชั่ว

ตอบ เมื่อบุคคลไม่เกรงกลัวต่อผลของบาปแล้วมีจิตประมาทก่อกรรมทำชั่วด้วยกาย วาจา ใจ ย่อมส่งผลให้ได้เสวยทุคติในอบายภูมิเป็นอันมาก




#26020 ทำงานเบื้องหลังเกี่ยวกับกิเลส

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 28 May 2006 - 11:35 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

กิจการบันเทิงที่เราทำอยู่นี้ได้มีส่วนในการส่งเสริมให้เกิด
การฆ่า ส่งเสริมความรุนแรง ส่งเสริมความก้าวร้าวหรือป่าวหละครับถ้าส่งเสริมก็ผิดศีลข้อ 1 ครับ และถ้ากิจการบันเทิงเป็นการส่งเสริมให้คนประพฤติลักทรัพย์ ยั่วยุทางเพศ ส่งเสริมให้มีการพูดโกหก พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ พูดส่อเสียด ส่งเสริมให้คนดื่มสุราติดยาเสพติดหรือไม่

ถ้าเป็นการส่งเสริมก็ผิดศีล 5 ครับถ้าไม่ส่งเสริมก็ไม่ผิดศีลครับ



#26010 ถ้าทานขนมเค้กที่มีส่วนผสมเป็นเหล้า จะบาปไหมค่ะ?

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 28 May 2006 - 10:11 PM ใน กระทู้ที่น่าสนใจ

QUOTE
แล้วมันจะระเหยหมดเหรอคะ

หมดสิครับ ถ้าน้องวิวไม่แน่ใจว่าแอลกอฮอล์จะหมดหรือไม่
ก็ลองส่งมาให้พี่ชิมทดสอบดูก่อนก็ได้ครับ 555



#25998 ขอแสดงความยินดีกับนักเรียนอนุบาลระดับจักรวาลคนที่สองครับ

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 28 May 2006 - 08:01 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

โอยเห็นแล้วน้ำยายหยายหมดเลยครับน้อง BoG-BoG 555+
โมทนาสาธุการ คุณ streamdharma, niwat,นิ่งๆ นุ่มๆ ,หัดฝัน ด้วยครับ

แหมะเห็นซูชิ มากิ แล้วหิวแล้วครับเนี่ย 555+



#25968 พระรัตนตรัยภายใน

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 28 May 2006 - 03:06 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

ว่า ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ เธอทั้งสองคนมีชาติก็ต่างกัน มีชื่อก็เพี้ยนกัน มีโคตรก็แผกกัน มีตระกูลก็ผิดกัน พากันทิ้งเหย้าเรือนเสีย มาบวชเป็นบรรพชิต เมื่อจะมีผู้ถามว่า ท่านทั้งสองนี้เป็น พวกไหน เธอทั้งสองพึงตอบเขาว่า ข้าพเจ้าทั้งสองเป็นพวกพระสมณศากยบุตร ดังนี้เถิด

ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ก็ผู้ใดแล มีศรัทธาตั้งมั่นเกิดขึ้นแล้วแต่ รากแก้วคืออริยมรรค ประดิษฐานมั่นคง อันสมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือผู้ใดผู้หนึ่งในโลก ไม่พรากไปได้ ควรเรียกผู้นั้นว่า เป็นบุตรเกิดแต่พระอุระ เกิดแต่พระโอฐของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้เกิดแต่พระธรรม เป็นผู้ที่พระธรรม เนรมิตขึ้น เป็นผู้รับมรดกพระธรรม ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะคำว่า ธรรมกาย ก็ดี ว่าพรหมกาย ก็ดี ว่าธรรมภูต ก็ดี ว่าพรหมภูต ก็ดี เป็นชื่อของตถาคต ฯ ที่มา : พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระ

สุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค
http://84000.org/tip...1&A=1703&Z=2129



QUOTE
เพราะธรรมกายเป็นนามหนึ่งของพระพุทธเจ้า น่าจะเป็น เฉพาะพระพุทธอย่างเดียว

ตอบ "เป็นผู้เกิดแต่พระธรรม เป็นผู้ที่พระธรรม เนรมิตขึ้น เป็นผู้รับมรดกพระธรรม"



#25963 ขอแสดงความยินดีกับนักเรียนอนุบาลระดับจักรวาลคนที่สองครับ

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 28 May 2006 - 02:12 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

หุหุหุ แหมะมีแซวกันตรึมเลยครับ ขอบพระคุณทุกท่านที่อวยพรให้ผมครับ
โมทนาสาธุการกับทุกท่านด้วยครับ ความปรารถนาใดๆ ที่องค์สมเด็จพระชินเจ้าพึงมีพึงได้
ขอให้ทุกท่านเข้าถึงความปรารถนานั้นด้วยอานุภาพของพระพุทธสัมมาสัมพุทธเจ้าและบารมีธรรมภาคขาวโดยทั่วหน้ากันทุกประการเทอญ

ขอปิดท้ายด้วยภาษิตที่ว่า
กัมมุนาวัฏฏะตีโลโก แปลว่า สัตว์โลกทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม

คำว่าสัตว์โลก คือ สัตว์ที่ยังตกอยู่ในบ่วงของมารคือ อวิชชา ตัณหา พยาบาท และมิจฉาทิฐิ ฯลฯ

บุคคลผู้ไม่ยินดีในขันธ์ 5 ไม่ยินดีในบ่วงของมารคือเบญจกามคุณ 5 ลดละมานะทิฐิเสียได้ย่อมเข้าถึงธรรมของพระสุคตเจ้า กำจัดแล้วซึ่งบ่วงของมาร หลุดพ้นจากความเป็นสัตว์โลกย่อมเข้าถึงความเป็นอริยชนฉะนี้แล



#25961 ทำไมถึงไปเกิดเป็นเทวดาภาคมาร

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 28 May 2006 - 01:43 PM ใน กระทู้ที่น่าสนใจ

เรื่องของมารนั้นพระพุทธองค์ทรงกล่าวพูดถึงเยอะมากเหมือนกันครับ แต่ไม่ได้ทรงชี้ชัดไปว่า
มารคือผู้ที่ทำบุญแบบไหนถึงเกิดเป็นมารครับ แต่พระองค์จะอธิบายว่าบ่วงมารคืออะไรครับ?
อะไรคือเครื่องผูกของมาร? โดยจะสังเกตได้ว่ามารนั้นได้ตามราวีพระพุทธองค์กับสาวกมาโดย
ตลอดหลายครั้งเชียวครับ (เนื้อหายาวหน่อยนะครับ)

****************************************************************
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับที่ต้นอชปาลนิโครธ ริมฝั่งแม่น้ำ เนรัญชรา ณ ตำบลอุรุเวลา ฯ
ก็สมัยนั้นแล มารผู้มีบาปติดตามพระผู้มีพระภาค คอยมุ่งหาช่องโอกาส สิ้น ๗ ปี ก็ยังไม่ได้ช่อง ฯ

[๔๙๗] ภายหลังมารผู้มีบาป จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า ท่านถูกความโศกทับถมหรือ จึงได้มาซบเซาอยู่ในป่าอย่างนี้ ท่านเสื่อมจากทรัพย์เครื่องปลื้มใจแล้วหรือ หรือว่ากำลัง ปรารถนาอยู่ ท่านได้ทำความชั่วอะไรๆ ไว้ในบ้านหรือ เหตุ ไรท่านจึงไม่ทำมิตรภาพกับชนทั้งปวงเล่า หรือว่าท่านทำมิตร- *ภาพกับใครๆ ไม่สำเร็จ ฯ

[๔๙๘] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรมารผู้เป็นเผ่าของบุคคลผู้ประมาทแล้ว เราขุดรากของ ความเศร้าโศกทั้งหมดแล้ว ไม่มีความชั่ว ไม่เศร้าโศก เพ่ง อยู่ เราชนะความติดแน่น กล่าวคือความโลภในภพทั้งหมด เป็นผู้ไม่มีอาสวะ เพ่งอยู่ ฯ

.............
[๕๐๔] ครั้นแล้ว มารผู้มีบาปได้ภาษิตคาถาอันเป็นที่ตั้งแห่งความเบื่อหน่ายเหล่านี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า ฝูงกาเห็นก้อนหินมีสีดุจมันข้น จึงบินเข้าไปใกล้ด้วยเข้าใจว่า เราทั้งหลาย พึงประสบอาหารในที่นี้เป็นแน่ ความยินดีพึงมี โดยแท้ ฯ เมื่อพยายามอยู่ไม่ได้อาหารสมประสงค์ในที่นั้น จึงบิน หลีกไป ฯ ข้าแต่พระโคดม ข้าพระองค์ก็เหมือนกามาพบศิลา ฉะนั้น ขอหลีกไป ฯ ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปครั้นกล่าวคาถาอันเป็นที่ตั้งแห่งความเบื่อหน่าย เหล่านี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคแล้ว จึงหลีกจากที่นั้น ไปนั่งขัดสมาธิที่พื้นดิน ไม่ไกลจากพระผู้มีพระภาค เป็นผู้นิ่ง เก้อเขิน คอตก ก้มหน้า ซบเซา หมด ปฏิภาณ เอาไม้ขีดแผ่นดินอยู่ ฯ

ที่มา : http://84000.org/tip...009&pagebreak=0 (อ่านต่อ)


[๕๐๕] ครั้งนั้นแล มารธิดาทั้ง ๓ คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา จึงพากันเข้าไปหาพระยามารถึงที่อยู่ ครั้นแล้วจึงถามพระยามารด้วยคาถาว่า ข้าแต่คุณพ่อ คุณพ่อมีความเสียใจด้วยเหตุอะไร หรือ เศร้าโศกถึงผู้ชายคนไหน หม่อมฉันจักผูกผู้ชายคนนั้นด้วย บ่วง คือราคะ นำมาถวาย เหมือนบุคคลผูกช้างมาจากป่า ฉะนั้น ชายนั้นจักตกอยู่ในอำนาจของคุณพ่อ ฯ

[๕๐๖] พระยามารกล่าวว่า ชายนั้นเป็นพระอรหันต์ผู้ดำเนินไปดีแล้วในโลก ไม่เป็นผู้ อันใครๆ พึงนำมาด้วยราคะได้ง่ายๆ ก้าวล่วงบ่วงมาร ไปแล้ว เพราะฉะนั้น เราจึงเศร้าโศกมาก ฯ

[๕๐๗] ครั้งนั้นแล มารธิดา คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา จึง พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคอย่าง นี้ว่า ข้าแต่พระสมณะ พวกหม่อมฉันจักขอบำเรอพระบาทของพระองค์ ฯ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงใส่พระทัยถึงคำของนางมารธิดาเหล่า นั้น เพราะพระองค์ทรงน้อมพระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม ฯ

[๕๐๘] ลำดับนั้น มารธิดา คือนางตัณหา นางอรดี นางราคา จึง หลีกออกไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วร่วมคิดกันอย่างนี้ว่า ความประสงค์ของ บุรุษมีต่างๆ กันแล อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรนิรมิตเพศเป็นนางกุมาริกาคน ละร้อยๆ ฯ ลำดับนั้น มารธิดา คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา จึงพากันนิรมิต เพศเป็นนางกุมาริกาคนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้ว กราบทูลพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระสมณะ พวกหม่อมฉันจะขอบำเรอ พระบาทของพระองค์ ฯ พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงใส่พระทัยถึงถ้อยคำของมารธิดา เพราะพระองค์ ทรงน้อมพระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม ฯ

...........
ที่มา : http://84000.org/tip...136&pagebreak=0 (อ่านต่อ)

นั้น มารผู้มีบาปใคร่จะให้อาฬวิกาภิกษุณีบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากวิเวก
ที่มา : http://84000.org/tip...164&pagebreak=0 (อ่านต่อ)

มารผู้มีบาปใคร่จะให้โสมาภิกษุณีบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิฯ
ที่มา : http://84000.org/tip...188&pagebreak=0 (อ่านต่อ)

มารผู้มีบาปใคร่จะให้กิสาโคตมีภิกษุณีบังเกิดความ- *กลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ
ที่มา : http://84000.org/tip...216&pagebreak=0 (อ่านต่อ)

มารผู้มีบาปใคร่จะให้วิชยาภิกษุณีบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ
ที่มา : http://84000.org/tip...240&pagebreak=0 (อ่านต่อ)


มารผู้มีบาปใคร่จะให้อุบลวรรณาภิกษุณีบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ
ที่มา : http://84000.org/tip...267&pagebreak=0 (อ่านต่อ)

มารผู้มีบาปใคร่จะให้จาลาภิกษุณีบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ
ที่มา : http://84000.org/tip...290&pagebreak=0 (อ่านต่อ)

มารผู้มีบาปใคร่จะให้อุปจาลาภิกษุณีบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ
ที่มา : http://84000.org/tip...315&pagebreak=0 (อ่านต่อ)

มารผู้มีบาปเข้าไปหาสีสุปจาลาภิกษุณีถึงที่นั่งพัก ครั้นแล้วได้กล่าวกะสีสุปจาลาภิกษุณีว่า ดูกรภิกษุณี ท่านชอบใจทิฐิของใคร หนอ ฯ
ที่มา : http://84000.org/tip...340&pagebreak=0 (อ่านต่อ)

มารผู้มีบาปใคร่จะให้เสลาภิกษุณีบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ
ที่มา : http://84000.org/tip...366&pagebreak=0 (อ่านต่อ)

มารผู้มีบาปใคร่จะให้วชิราภิกษุณีบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ
ที่มา : http://84000.org/tip...404&pagebreak=0 (อ่านต่อ)

๕. นันทิยเถรคาถา
สุภาษิตเตือนมาร

[๑๖๒] จิตของภิกษุใดได้บรรลุผลญาณ สว่างรุ่งเรืองอยู่เป็นนิตย์ ท่านมา เบียดเบียนภิกษุนั้นเข้า จักได้รับทุกข์แน่นอน นะมาร.

ที่มา http://84000.org/tip...6&A=5126&Z=5129

๖. สมิทธิเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับความไม่กลัวมาร

[๑๘๓] เราออกบวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา มีสติและปัญญาอันเจริญ มี จิตตั้งมั่นดีแล้ว ดูกรมาร ถึงท่านจักบันดาลรูปต่างๆ ที่น่ากลัว ให้เกิดขึ้น แต่ก็ไม่สามารถทำให้เราสะดุ้งกลัวได้เลย.

ที่มา http://84000.org/tip...6&A=5252&Z=5256

๙. รามเณยยกเถรคาถา
สุภาษิตเกี่ยวกับพลังจิต

[๑๘๖] ดูกรมาร บุคคลบางจำพวก ย่อมสะดุ้งกลัวเพราะเสียงคำรามของ ท่าน และเสียงร้องคำรามแห่งเทวดา แต่จิตของเราไม่หวั่นไหว เพราะเสียงเหล่านั้น เพราะจิตของเรายินดีในความเป็นผู้เดียว

ที่มา http://84000.org/tip...6&A=5266&Z=5270


เราชื่อว่าโมคคัลลานะโดยโคตร เป็นผู้ชำนาญในสมาธิและวิชชา ถึงที่สุดแห่งบารมี เป็นปราชญ์ในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้อันตัณหาไม่อาศัย มีอินทรีย์ มั่นคง ได้ตัดเครื่องจองจำคือกิเลสทั้งสิ้นเสียอย่างเด็ดขาด เหมือนกับ กุญชรชาติตัดปลอกที่ทำด้วยเถาหัวด้วนให้ขาดกระเด็นไป ฉะนั้น เราคุ้น เคยกับพระศาสดา ฯลฯ ถอนตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพขึ้นได้แล้ว เราบรรลุ ถึงประโยชน์ที่กุลบุตรผู้ออกบวชเป็นบรรพชิตต้องการนั้นแล้ว บรรลุถึง ความสิ้นสังโยชน์ทั้งปวงแล้ว มารผู้มักประทุษร้าย เบียดเบียนพระสาวก นามว่าวิธุระและพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนามว่ากกุสันธะ แล้วหมกไหม้ อยู่ในนรกใด นรกนั้นเป็นเช่นไร คือ เป็นนรกที่มีขอเหล็กตั้งร้อย และ เป็นที่ทำให้เกิดทุกขเวทนาเฉพาะตนทุกแห่ง มารผู้มักประทุษร้าย เบียด เบียนพระสาวกนามว่าวิธูระ และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงนามว่ากกุสันธะ หมกไหม้อยู่ในนรกใด นรกนั้นเป็นเช่นนี้

ภิกษุใดเป็นสาวกแห่ง พระพุทธเจ้า รู้กรรมและผลกรรมโดยประจักษ์ ดูกรมารผู้มีธรรมดำ ท่านเบียดเบียนภิกษุนั้นเข้า ก็จะต้องประสบทุกข์เป็นแน่แท้
.......................
ดูกรมารผู้มีธรรมดำ ท่านเบียดเบียน ภิกษุรูปนั้นเข้า ก็จะต้องประสบทุกข์เป็นแน่แท้ ไฟไม่ได้ตั้งใจว่าเราจะ ไหม้คนพาลเลย แต่คนพาลรีบเข้าไปหาไฟอันลุกโพลงให้ไหม้ตนเอง ฉันใด ดูกรมาร ท่านประทุษร้ายพระตถาคตนั้นแล้ว ก็จักเผาตนเอง เหมือนกับคนพาลถูกไฟไหม้ ฉะนั้น แน่ะมารผู้ชาติชั่ว ตัวท่านเป็นมาร คอยแต่ประทุษร้ายพระตถาคตพระองค์นั้น ก็ต้องพบแต่สิ่งซึ่งมิใช่บุญ หรือท่านเข้าใจว่า บาปไม่ให้ผลแก่เรา แน่นะมารผู้มุ่งแต่ความตาย เพราะท่านได้ทำบาปมาโดยส่วนเดียว จะต้องเข้าถึงทุกข์ตลอดกาลนาน ท่านจงอย่าคิดร้ายต่อพระพุทธเจ้า และภิกษุทั้งหลาย ผู้สาวกของ พระพุทธเจ้าอีกต่อไปเลย พระมหาโมคคัลลานเถระได้คุกคามมารที่ป่า เภสกฬาวันดังนี้แล้ว ลำดับนั้น มารนั้นเสียใจจึงได้หายไป ณ ที่นั้น นั่นเอง.

ที่มา http://84000.org/tip...6&A=8478&Z=8642

ว่าด้วยมารเสนา
[๑๓๔] คำว่า บุคคลผู้มีปัญญากว้างขวางดังแผ่นดินนั้น เป็นผู้กำจัดเสนาในธรรมทั้งปวง คือ ในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน หรืออารมณ์ที่ทราบอย่างใดอย่างหนึ่ง มีความว่า มารเสนาเรียกว่า เสนา กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ราคะ โทสะ โมหะ โกธะ อุปนาหะ ฯลฯ อภิสังขารคือ อกุศลกรรมทั้งปวง ชื่อว่ามารเสนา.

สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
กิเลสกาม เรากล่าวว่าเป็นมารเสนาที่ ๑ ของท่าน
ความไม่ยินดี เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๒ ของท่าน
ความหิวกระหาย เรากล่าวว่า เป็นเสนาที่ ๓ ของท่าน
ตัณหา เรากล่าวเป็นเสนาที่ ๔ ของท่าน
ความง่วงเพราะหาวนอน เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๕ ของท่าน
ความขลาด เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๖ ของท่าน
ความลังเลใจ เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๗ ของท่าน
ความลบหลู่และความกระด้าง เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๘ ของท่าน
ลาภ ความสรรเสริญ สักการะ และยศที่ได้โดยทางผิด เรากล่าวว่าเป็นเสนาที่ ๙ ของท่าน
ความยกตนและข่มผู้อื่น เรากล่าวว่า เป็นเสนาที่ ๑๐ ของท่าน

ดูกรพระยามาร เสนาของท่านเหล่านี้ เป็นผู้มี ปกติกำจัดผู้มีธรรมดำ คนไม่กล้าย่อมไม่ชนะเสนานั้นได้ ส่วนคนกล้า ย่อมชนะได้ ครั้นชนะแล้วย่อมได้สุข ดังนี้
..........................
ที่มา http://84000.org/tip...9&A=1822&Z=2239 (อ่านต่อ)

คำว่า มารย่อมไปตามสัตว์ด้วยอำนาจอภิสังขาร คือ กรรมนั้นนั่นแล ความว่า ขันธมาร ธาตุมาร อายตนมาร คติมาร อุปบัติมาร ปฏิสนธิมาร ภวมาร สังสารมาร วัฏฏมาร อันมีในปฏิสนธิ ย่อมไปตาม คือ ตามไป เป็นผู้ติดตามไป ด้วยอำนาจอภิสังขาร คือ กรรมนั้น นั่นแล.

คำว่า ชนฺตุ คือ สัตว์ นระ มาณพ บุรุษ บุคคล ชีวชน ชาตุชน ชันตุชน อินทคูชน ผู้เกิดจากพระมนู เพราะเหตุนั้น จึงชื่อว่า มารย่อมไปตามสัตว์ด้วยอำนาจอภิสังขาร คือกรรมนั้น นั่นแล. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า หมู่สัตว์พึงนำเสียซึ่งตัณหาเครื่องยึดถือทั้งหมด ทั้งเบื้องบน เบื้องต่ำ หรือแม้ชั้นกลางส่วนกว้าง. เพราะว่าสัตว์ทั้งหลาย ย่อมเข้าไปถือรูปาทิขันธ์ใดๆ ในโลก มารย่อมไปตามสัตว์ ด้วยอำนาจอภิสังขารคือกรรมนั้นนั่นแล.

[๔๒๘] เพราะเหตุนั้น ภิกษุรู้อยู่ เมื่อเห็นซึ่งหมู่สัตว์นี้ผู้ข้องอยู่ใน บ่วงแห่งมัจจุว่า เป็นผู้ติดอยู่ในรูปาทิขันธ์เครื่องยึดถือ พึง เป็นผู้มีสติไม่เข้าไปยึดถืออะไรๆ ในโลกทั้งปวง.

ที่มา http://84000.org/tip...0&A=3783&Z=3982 (อ่านต่อ)




#25912 ยาเสพติดทางการแพทย์

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 27 May 2006 - 05:07 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

QUOTE
แต่สติก็จะสะลึมสะลือ แล้วเกิด ผู้ป่วยตายไปตอนที่สติสะลึมสะลือเพราะมอร์ฟีน จะทำให้ผู้ป่วยนึกถึงบุญกุศล หรือ หมู่ญาติจะช่วยผู้ตายทำศึกชิงภพได้หรือไม่ เพราะผู้ป่วยสติเลอะเลือน อันนี้ก็ควรเป็นตัวหนึ่งในการพิจารณาก่อนจะใช้ยาประเภทมอร์ฟีนด้วยนะครับ

ตอบ พระเจ้าพิมพิสารแม้จะทรงเป็นถึงพระโสดาบัน แต่ด้วยความที่ทรงถูกกรีดฝ่าพระบาททำให้จิตใจไม่สงบ เกิดทุกขเวทนาอย่างหนักแต่ด้วยความเป็นพระอริยเจ้าแล้วปิดอบายก็ยังต้องไปเกิดเป็นยักษ์บนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาเลยครับ

กรณีที่คนป่วยโรคมะเร็งได้รับมอร์ฟีนสลบไสลเหมือนคนหลับนั้น ถ้าจะเทียบระหว่างไม่ได้รับมอร์ฟีนแล้วจิตเป็นทุกข์เพราะโรคแล้วผมว่าคตินิมิตในช่วงที่เกิดทุกขเวทนาไม่น่าจะดีนักนะครับ ส่วนกรณีได้รับมอร์ฟีนแล้วก็จะช่วยให้ใจสงบลง ผ่อนคลาย สบายกาย สบายใจทำให้จิตไม่เศร้าหมองเพราะความเจ็บปวดในสังขาร แม้ขณะที่จิตละโลกเมื่ออารมณ์จิตสบายเป็นฌานก็น่าจะเป็นคตินิมิตที่ดีนะครับ



#25909 ขอแสดงความยินดีกับนักเรียนอนุบาลระดับจักรวาลคนที่สองครับ

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 27 May 2006 - 04:16 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

แหมะเกรงใจจังครับ ไม่ต้องถึงกับชื่นชมก็ได้ครับ
ผมหละหวาดเสียวว่ากระทู้นี้จะเงียบเป็นป่าช้านะครับ 555+

ของทุกอย่างในโลกไม่เที่ยงครับมี ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
ก็ย่อมต้องมี เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ เป็นของธรรมดาครับ

วันนี้เราอาจจะได้พบเจอกันมาหมาดๆ แต่ในวันหน้าเราอาจจะไม่ได้
พบเจอกันอีกก็เป็นได้ครับ เพราะโลกนี้ล้วนอนิจจังครับ



#25906 มีคำถามค่ะ ..เรื่องเจริญอิทธิบาท 4

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 27 May 2006 - 04:07 PM ใน กระทู้ที่น่าสนใจ

QUOTE
4. แล้วธรรมข้อนี้พระอรหันต์หรือบุคคลท่านอื่นจะเจริญธรรมข้อนี้ได้หรือไม่

ตอบ
QUOTE
อิทธิบาท ๔ อันผู้ใดผู้หนึ่ง
เจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว กระทำให้เป็นดุจยาน กระทำให้เป็นที่ตั้ง ให้คล่องแคล่วแล้ว
สั่งสมแล้ว ปรารภดีแล้ว ผู้นั้น เมื่อจำนงอยู่พึงดำรงอยู่ได้กัลป์หนึ่ง หรือเกินกว่ากัลป์หนึ่ง


สำหรับเรื่องการนิมนต์พระพุทธองค์ให้มีพระชนชีพด้วยอิทธิบาทธรรม น่าจะเป็นพุทธประเพณีนะครับไว้มีโอกาสผมจะลองค้นมาเสริมอีกทีครับ



#25891 ยาเสพติดทางการแพทย์

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 27 May 2006 - 12:35 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

QUOTE
การฉีดมอร์ฟีน ซึ่งเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่ง ทำให้คนไข้ที่เจ็บปวดระงับความเจ็บปวดและรู้สึกมีความสุขบ้าง โดยใช้ในทางการแพทย์บางกรณี ควรหรือไม่

ตอบ ควรเป็นอย่างยิ่งครับ เพราะวัตถุประสงค์ของการใช้เพื่อระงับความเจ็บปวด ซึ่งความเจ็บปวดบางอย่างก็รุนแรงมาก ถ้าไม่มีมอร์ฟีนแล้วคนป่วยจะทุกข์ทรมานเป็นอย่างยิ่งครับ

อุปมามอร์ฟีนก็เหมือนกับมีดนั่นแหละครับ เป็นเหมือนดาบ 2 คม ถ้าใช้ในทางที่ดีก็จะเกิดผลดีตามมา ถ้าใช้ในทางที่ไม่ดีก็เป็นโทษภัยตามมาครับ

มีดใช้ทำกับข้าว หั่นผัก หั่นเนื้อ ผ่าตัดรักษาโรคได้ แต่ถ้าบุคคลที่ใช้มีดในทางที่ไม่ถูกต้อง
มีดก็สามารถเข่นฆ่าผู้คน ฆ่าสัตว์ ปล้น จี้ เป็นโทษภัยได้สารพัดครับ

มอร์ฟีนทางการแพทย์ก็เช่นกันครับเหมือนมีดฉันนี้แล



#25842 มีคำถามค่ะ ..เรื่องเจริญอิทธิบาท 4

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 26 May 2006 - 11:21 PM ใน กระทู้ที่น่าสนใจ


วิธีเจริญอิทธิบาท ๔ สามารถเข้าไปอ่านได้ในเวพด้านล่างนี้เลยครับ (ยาวนิดนึงนะครับ)
http://84000.org/tip...9&A=6907&Z=7002

ฤทธิ์สำเร็จได้เพราะเจริญอิทธิบาท
http://84000.org/tip...9&A=6453&Z=6471

แสดงฤทธิ์ได้หลายอย่างเพราะเจริญอิทธิบาท ๔
http://84000.org/tip...9&A=6864&Z=6882

ผู้ปรารภอิทธิบาทชื่อว่าปรารภอริยมรรค
http://84000.org/tip...9&A=6424&Z=6434

เจริญอิทธิบาท ๔ เพื่อความสิ้นทุกข์
http://84000.org/tip...9&A=6435&Z=6443

เจริญอิทธิบาท ๔ เพื่อความหน่าย
http://84000.org/tip...9&A=6444&Z=6452

เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะเจริญอิทธิบาท
http://84000.org/tip...9&A=6522&Z=6529

การเจริญอิทธิบาท ๔ ทำให้อายุยืน
http://84000.org/tip...9&A=6549&Z=6637

ได้เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติเพราะเจริญอิทธิบาท
http://84000.org/tip...9&A=6491&Z=6521

ฤทธิ์สำเร็จได้เพราะเจริญอิทธิบาท
[๑๑๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในอดีตกาลเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหมดนั้น เป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เพราะเป็นผู้เจริญ กระทำให้มาก ซึ่งอิทธิบาท ๔ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในอนาคตกาล จักมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหมดนั้น จักเป็นผู้มีฤทธิ์มากมีอานุภาพมาก เพราะเป็นผู้เจริญ กระทำให้มาก ซึ่งอิทธิบาท ๔ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในปัจจุบัน เป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหมดนั้น เป็นผู้มี
ฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เพราะเป็นผู้เจริญ กระทำให้มาก ซึ่งอิทธิบาท ๔ อิทธิบาท ๔ เป็นไฉน?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทสมาธิและปธานสังขาร ย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิริยสมาธิ ... จิตตสมาธิ ... วิมังสาสมาธิและปธานสังขาร.

[๑๑๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในอดีตกาลเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหมดนั้น เป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากเพราะเป็นผู้เจริญ กระทำให้มาก ซึ่งอิทธิบาท ๔ เหล่านี้แล สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
ในอนาคตกาล จักเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหมดนั้น จักเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ก็เพราะเป็นผู้เจริญ กระทำให้มาก ซึ่งอิทธิบาท ๔ เหล่านี้แล สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในปัจจุบัน ย่อมเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก สมณะหรือ
พราหมณ์ทั้งหมด ย่อมเป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก เพราะเป็นผู้เจริญ กระทำให้มาก ซึ่งอิทธิบาท ๔ เหล่านี้แล.

ที่มา : http://84000.org/tip...6845&w=อิทธิบาท


แสดงฤทธิ์ได้หลายอย่างเพราะเจริญอิทธิบาท ๔
[๑๑๗๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในอดีตกาลแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ ... ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหมดนั้น แสดงฤทธิ์ได้หลายอย่างเช่นนั้น เพราะเป็นผู้เจริญ กระทำให้มาก ซึ่งอิทธิบาท ๔ สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง

ในอนาคตกาล ... สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในปัจจุบัน แสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ ...
ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหมดนั้น แสดงฤทธิ์ได้หลายอย่างเช่นนั้น ก็เพราะเป็นผู้เจริญ กระทำให้มาก ซึ่งอิทธิบาท ๔ อิทธิบาท ๔ เป็นไฉน?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทสมาธิและปธานสังขาร ย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยวิริยสมาธิ ... จิตตสมาธิ ... วิมังสาสมาธิและปธานสังขาร.

[๑๑๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในอดีตกาลแสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ ... ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหมดนั้น แสดงฤทธิ์ได้หลายอย่างเช่นนั้น ก็เพราะเป็นผู้เจริญ กระทำ
ให้มากซึ่งอิทธิบาท ๔ เหล่านี้แล สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในอนาคตกาล ... สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ในปัจจุบัน แสดงฤทธิ์ได้หลายอย่าง คือ คนเดียวเป็นหลายคนก็ได้ ... ใช้อำนาจทางกายไปตลอดพรหมโลกก็ได้ สมณะหรือพราหมณ์ทั้งหมดนั้น แสดงฤทธิ์หลายอย่างเช่นนั้น ก็เพราะเป็นผู้เจริญ กระทำให้มาก ซึ่งอิทธิบาท ๔ เหล่านี้แล.

ที่มา : http://84000.org/tip...6865&w=อิทธิบาท


ได้เจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติเพราะเจริญอิทธิบาท
[๑๑๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ เพราะเป็นผู้เจริญ กระทำให้มาก ซึ่งอิทธิบาท ๔ อิทธิบาท ๔ เป็นไฉน?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมเจริญอิทธิบาทอันประกอบด้วยฉันทสมาธิและปธานสังขาร ย่อมเจริญอิทธิบาทอัน
ประกอบด้วยวิริยสมาธิ ... จิตตสมาธิ ... วิมังสาสมาธิและปธานสังขาร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่ เพราะเป็นผู้เจริญ กระทำให้มาก ซึ่งอิทธิบาท ๔ เหล่านี้แล.

ที่มา : http://84000.org/tip...6884&w=อิทธิบาท



เนื่องจากคำถามตอบได้ยากมากครับ เป็นพุทธวิสัยครับถ้ายังงัยก็คงจะต้องอ่านเนื้อหาเอง
ในพระไตรปิฎกแหละครับดีที่สุดครับ



#25832 ถ้าทานขนมเค้กที่มีส่วนผสมเป็นเหล้า จะบาปไหมค่ะ?

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 26 May 2006 - 09:36 PM ใน กระทู้ที่น่าสนใจ

QUOTE
คืออย่างนี้ครับ ที่ผมตอบว่า กินข้าวหมากอาจจะผิดศีล เพราะว่า มีคนเคยบอกว่า กินข้าวหมากแล้วรู้สึกหน้าตึง ๆ มึน ๆ (ผมก็ไม่เคยกินเองนะครับ) ผมก็รู้สึกว่า เจ้าฤทธิ์ของข้าวหมากมันทำได้ถึงขั้นนี้แล้ว ดังนั้นมันน่าจะผิดศีลครับ

ตอบ อย่าคิดมากครับ ผมเจตนาแซวเล่นเฉยๆ ครับ ความจริงแล้วการทำข้าวหมากนั้นเขาจะมีระยะเวลาการหมักว่าควรจะใช้ระยะเวลาเท่าไหร่แล้วจึงจะนำมากิน ยกเว้นข้าวหมักที่ใช้เวลานานเกินในกระบวนการหมักจนกลายสภาพจากข้ามหมากกลายไปเป็นกระแช่ สาโท อุ สาเก ถ้าแบบนั้นก็ศีลขาดเห็นๆ เลยครับเพราะน้ำเมาไม่ใช่แค่เจืออ่อนๆ แล้วครับแต่กลายเป็นน้ำเมาหรือแอลกอฮอล์ดีกรีแรงไปแล้วครับ

ดังนั้นถ้าถามว่ากินข้ามหมากผิดศีลไหมต้องถามก่อนว่าเขาหมักแอลกอฮอล์แรงแค่ไหนถ้าแรงกว่าปกติก็ศีลขาดชัวร์ครับ เพราะเหล้าสาเกของญี่ปุ่นก็ทำมาจากข้าวหมักนี่แหละครับ

ดังนั้น ถ้าหากใครไม่แน่ใจว่าข้าวหมากห่อนี้กินไปแล้วจะเมาไหมก็น่าจะเลี่ยงไม่กิน หรือไม่ก็นำข้าวหมากไปเข้าไมโครเวพก่อนให้แอลกอฮอล์ระเหยไปให้หมดก่อนค่อยกินก็ได้ครับจะได้ไม่ผิดศีลครับ

ปล.ข้าวหมากหนะของโปรดผมเลยครับ 555+



#25817 บรรลุธรรมที่เป็น "โลกุตรสัจจะ" ของพุทธในชาตินี้

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 26 May 2006 - 02:43 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

QUOTE
ผู้ที่เป็นเพียง "ผู้รู้" แต่ยังไม่เป็นผู้บรรลุธรรมนั้น ชื่อว่า ยังไม่มี"สัมมาทิฏฐิ" เข้าขั้น "ปรมัตถธรรม" จึงยังเป็นผู้ที่ยังไม่มี "ที่พึ่ง" หรือยังไม่มี "สรณะ"

ตอบ ผู้รู้ที่ยังไม่สามารถบรรลุธรรมได้มีด้วยกันหลายประเภทครับ คือ ผู้รู้ที่บารมีเกือบเต็มแล้วระดับปกติสาวกแต่ยังประมาทอยู่หรือยังไม่ค้นพบวิธีการเพื่อเข้าถึงสรณะภายใน

กับผู้รู้ที่กำลังบำเพ็ญบารมีเพื่อเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า ที่บารมียังไม่เต็มส่วนก็ยังไม่สามารถเข้าถึงบารมีขั้นปรมัตถบารมีได้โดยบริบูรณ์ยังไม่สามารถบรรลุธรรมได้นั่นเอง แต่จิตของพระโพธิสัตว์นั้นเป็น "สัมมาทิฏฐิ" แล้วตั้งแต่แรกเริ่มปรารถนาโพธิญาณครับไม่ใช่ไม่เป็นสัมมาทิฐิ เพราะถ้าเข้าใจว่าไม่เป็นสัมมาทิฐิเดี๋ยวจะกลายเป็นมิจฉาทิฐิไปจะซวยโดยใช่เหตุที่ไปคิดว่าพระโพธิสัตว์ไม่มี สัมมาทิฐิ อันตรายซวยบอกไม่ถูกเลยนะครับ 555+



#25815 ถ้าทานขนมเค้กที่มีส่วนผสมเป็นเหล้า จะบาปไหมค่ะ?

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 26 May 2006 - 02:28 PM ใน กระทู้ที่น่าสนใจ

QUOTE
น้ำเมาในน้ำอ้อยที่ดองมะขามป้อม ๑

ของหมักดองที่ทำให้เกิดน้ำเมาแต่ทำให้เกิดปริมาณของแอลกอฮอล์ไม่มากพอจะทำให้เมาได้
ก็ไม่ถือว่าเป็นอาบัติครับ

เอมีใครในโลกนี้กินข้าวหมากแล้วเมาหลับบ้างครับเนี่ย 5555+
ถ้ามีผมจะได้ตั้งหน้าตั้งตากินข้าวหมากเลยเอ้า 555+



#25813 รบกวนหน่อยค...

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 26 May 2006 - 02:00 PM ใน เว็บบอร์ด DMC

QUOTE
มีบุคคลหนึ่ง ทำการ download เป็นจำนวนมากอย่างตลอดเวลา ซึ่งทำให้เป็นการจำกัดสิทธิ์ไม่ให้ผู้ใดสามารถเข้าใช้เว็บได้

อ้าวตกลงมีเพื่อนสมาชิกที่มีความสนใจดาวน์โหลดทั้งวันทั้งคืนด้วยเหรอครับ สาธุครับ
สงกะสัยจะแฟนพันธุ์แท้ของเวพมั้งครับ

ว่าแต่เพื่อนคนหนึ่งท่านนั้นเป็นใครหละครับ เจ้าหน้าที่เวพน่าจะสามารถตรวจสอบเลข IP ได้นะครับเปิดเผยเลยดีกว่าไหมครับ ผมก็อยากทราบเหมือนกันว่าทำไมเพื่อนเขามีศรัทธากับเวพวัดเราแบบไม่มีลิมิตชีวิตเกินร้อยหนะครับ 5555+

คำถาม
ถ้าสมมุติมีสมาชิกชาว DMC จำนวน 100 คนทำการโหลดดูถ่ายทอดสด ผมสงสัยจังเลยว่าระบบจะล่มไหมครับเพราะบางทีศรัทธาของเพื่อนๆ ชาววัดก็มาพร้อมๆ กันนะครับ รบกวนถามเจ้าหน้าที่เวพหน่อยละกันครับว่าระบบของเวพเราสามารถรองรับการเข้าชมถ่ายทอดสดได้เพียงกี่คนหนะครับ??



#25772 10 ข้อคิด หากคุณต้องไปเอนเตอร์เทน!!!

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 26 May 2006 - 01:00 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

กุศโลบายดีมากเลยครับ "บัวไม่ช้ำน้ำไม่ขุ่น" โมทนาสาธุการด้วยครับสาธุ



#25771 ศาสน์ VS ศาสตร์

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 26 May 2006 - 12:53 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

เนื้อหายาวมากครับ อ่านซะเหนื่อยเลย

QUOTE
ไอน์สไตน์ที่เคยกล่าวว่า คนที่อยู่บนยานความเร็วสูง เวลาย่อมแตกต่างกันกับเวลาบนโลก

เวลาหรือมิติที่ 4 มีการเกิดดับอย่างต่อเนื่องเป็นสันตติ เมื่อใดก็ตามที่เราสามารถหยุดเวลาได้เมื่อนั้นเราจะสามารถเข้าถึงมิติที่ 4 หรือมิติแห่งเวลา ผู้ที่สามารถหยุดใจของตนเองจนสามารถเข้าถึงมิติแห่งเวลาได้ย่อมสามารถรู้แจ้งในทุกสรรพสิ่งทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต อันไกลโพ้นได้ขึ้นอยู่กับว่าเขาจะสามารถเข้าถึงการหยุดเวลาได้มากน้อยเพียงใดนั่นเองครับ



#25770 ถ้า 7 ข้อ ที่ไม่ควรทำ กับ ถ้าอีก 1 ที่ควรทำ (กลอนของฝาก)

โพสต์เมื่อ โดย xlmen บน 26 May 2006 - 12:44 AM ใน บทความดี๊ดี ... จากสมาชิก

สาธุจ้.....า บทความอ่านแล้วสบายๆ ดีครับ