ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

นักฟิสิกส์วิพากษ์โยง “พุทธ” เกี่ยว “วิทย์” อันตรายต่อศาสนา


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 15 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ตาล

ตาล
  • Members
  • 69 โพสต์
  • Location:ดุสิตบุรีวงบุญพิเศษ เขตของบรมโพธิสัตว์

โพสต์เมื่อ 18 May 2006 - 07:20 PM

ขณะที่ภาพยนตร์ซึ่งสร้างจากนิยายเรื่องดังอย่าง “ดาวินชี โคด” กำลังเข้าฉายแล้วได้สร้างความขัดแย้งในประเด็นศาสนาอยู่นั้น ใครจะคาดคิดว่าอนาคตข้างหน้า “พุทธศาสนา” ก็อาจตกอยู่ในภาวะเดียวกันจากการ “จับแพะชนแกะ” ด้วยการโยงพุทธศาสนาเข้ากับวิทยาศาสตร์ อาจจะเพื่อให้ศาสนาดูทันสมัย แต่ความจริงแล้วทั้ง 2 อย่างต่างกันอย่างชัดเจน นั่นคือศาสนาเป็นเรื่องของจิตใจแต่วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องของวัตถุ

ทั้งนี้ในทัศนะของ ผศ.ดร.พรชัย พัชรินทร์ตนะกุล อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาจารย์พิเศษคณะพุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย กับคณะศาสนาและปรัชญา มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยให้ความเห็นว่าการอิงพระพุทธศาสนาเข้ากับวิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่อันตรายเพราะวิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด การเชื่อมโยงหลักคำสอนของศาสนาพุทธเข้ากับ วิทยาศาสตร์ อาจจะสร้างปัญหาให้พุทธศาสนาในอนาคตหากว่าทฤษฎีวิทยาศาสตร์ที่นำมาเชื่อมโยงด้วยนั้นเปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากมีการค้นพบใหม่ๆ

“สิ่งที่พุทธศาสนาและฟิสิกส์เหมือนกันคือต้องการค้นความจริง โดยใช้เหตุและผลในการศึกษา แบบมีขั้นมีตอน มีกฎมีเกณฑ์ พุทธศาสนาจึงเป็นวิทยาศาสตร์ที่ตรงนี้ ไม่ใช่เพราะศึกษาสิ่งเดียวกับที่วิทยาศาสตร์ศึกษา เพราะวิทยาศาสตร์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ยกตัวอย่างเล่นๆ ว่าตอนนี้พบว่าโลกกลม ต่อไปโลกอาจจะไม่กลม อาจเป็นรูปลูกแพร์หรือแอปเปิลก็ได้”

พร้อมกันนี้ได้ชี้ถึงความแตกต่างระหว่างพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์ว่ามีความแตกต่างกันต้องต้นจากขอบเขตในการศึกษา โดยวิทยาศาสตร์เน้นหนักไปทางวัตถุซึ่งศาสนาแยกวัตถุว่าคือ “รูป” ในขณะที่ศาสนาสนใจในเรื่องของจิต ดังนั้นวิธีการศึกษาจึงต่างกัน วิทยาศาสตร์สนใจวัตถุจึงต้องใช้วัตถุศึกษาวัตถุ ส่วนศาสนาก็ต้องใช้จิตศึกษาเรื่องจิต

“แล้ว “ศาสดา” ท่านรู้ไหมเรื่องวัตถุ เรื่องนี้ไม่ได้เขียนไว้ในคัมภีร์ ก็อาจกล่าวได้ว่า “รู้” แต่รู้ในขอบเขตเฉพาะกฎเกณฑ์ในธรรมชาติ แต่คงไม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างถึงขั้นผลฟุตบอลโลกที่เยอรมันใครจะชนะ คงไม่รู้ในสิ่งที่เป็นกฎเกณฑ์ของมนุษย์ การตีความ “สัพพัญญู” หรือ “รู้ทุกอย่าง” ต้องระวัง หรือถ้าจะรู้ก็คงไม่จำเป็น”

ทางด้าน ดร.อรรถกฤต ฉัตรภูติ อาจารย์ภาควิชาฟิสิกส์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีความเห็นในลักษณะเดียวกันว่า การเชื่อมโยงวิทยาศาสตร์และพุทธศาสนาอาจเป็นเพราะต้องการทำให้ศาสนาดูทันสมัย แต่ในขณะเดียวกันก็อาจเป็นอันตรายได้ ถ้าเป็นการเชื่อมโยงกันแบบ “จับแพะชนแกะ” และคิดว่าควรจะเน้นที่หลักของศาสนาจริงๆ ซึ่งเป็นหลักการคิดที่สอนให้สังคมเป็นเหตุเป็นผลและไม่งมงาย มากกว่าที่จะสนใจโยงพระธรรมในพระพุทธศาสนากับความรู้วิทยาศาสตร์ซึ่งเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา

“ปัจจุบันมีนักคิดทั้งทางพุทธและทางวิทยาศาสตร์จำนวนไม่น้อย ที่พยายามจับหลักบางอย่างที่เขียนไว้ในพระไตรปิฎกมาเชื่อมโยงกับความรู้วิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเชื่อมโยงเรื่องจักรวาลในพระพุทธศาสนากับทฤษฎีการกำเนิดจักรวาลในวิชาฟิสิกส์ หรือแม้แต่เรื่ององค์ประกอบของสสารก็ยังมีการเชื่อมโยงกับเรื่องปรมาณูที่กล่าวไว้ในพระไตรปิฎก บางคนพยายามอ้างว่า สิ่งที่นักฟิสิกส์ศึกษาอยู่ในขณะนี้ องค์พระพุทธเจ้าทรงทราบตั้งแต่ตอนตรัสรู้แล้ว ซึ่งแนวคิดแบบนี้ไม่น่าจะเป็นประโยชน์แก่ทั้งพุทธศาสตร์และวิทยาศาสตร์”

ดร.อรรถกฤต ให้ความเพิ่มเติมว่า ศาสนาพุทธถือกำเนิดขึ้นในยุคโบราณของอินเดีย จึงเป็นไปได้ว่าเรื่องราวในพระไตรปิฎกของพุทธศาสนา หลายเรื่องอาจเป็นสิ่งที่อ้างอิงได้กับวิทยาศาสตร์ที่แพร่หลายกันอยู่แล้วในหมู่นักปราชญ์ในสมัยพุทธกาล ซึ่งแน่นอนว่าเมื่อวิทยาการของโลกเจริญก้าวหน้าขึ้น ความรู้ความเข้าใจในสิ่งเหล่านี้ย่อมเปลี่ยนไป แต่สิ่งเหล่านั้นไม่ใช่แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา พระธรรมหลายๆอย่างซึ่งเป็นแก่นของพุทธศาสนา เช่น อริยสัจ 4 ก็ยังคงเป็นอริยสัจ 4 ยังเป็นความจริงอยู่เสมอไม่ขึ้นอยู่กับยุคสมัยซึ่งเป็นส่วนที่เราควรจะสนใจมากกว่าจะนำพระธรรมไปโยงกับวิทยาศาสตร์

“ถ้าจะคิดตามพระสูตรในพุทธศาสนา ความรู้ฟิสิกส์คงเป็นเหมือนใบไม้ที่อยู่ในป่า ไม่ใช่ใบไม้ในพระหัตถ์ของพระพุทธเจ้า เพราะมันไม่ใช่ความรู้ที่จำเป็นในการการหลุดพ้นกิเลสและการเข้าสู่นิพพาน” ดร.อรรถกฤต กล่าว

อย่างไรก็ดี รศ.ดร.โสรัจจ์ หงส์ลดารมภ์ อาจารย์จากภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เห็นว่าพุทธศาสนาและวิทยาศาสตร์มีบางอย่างที่คล้ายกัน และเพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันจึงได้เชิญอาจารย์ฟิสิกส์ จุฬาฯ กับนักปฏิบัติธรรมมาเสวนาร่วมกันในหัวข้อ “พุทธศาสนากับฟิสิกส์ยุคใหม่” ในวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา ณ คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาจจะได้ขยายไปยังสาขาอื่นๆ ต่อไป




#2 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 May 2006 - 01:08 AM

QUOTE
แต่คงไม่รู้ทุกสิ่งทุกอย่างถึงขั้นผลฟุตบอลโลกที่เยอรมันใครจะชนะ คงไม่รู้ในสิ่งที่เป็นกฎเกณฑ์ของมนุษย์ การตีความ “สัพพัญญู” หรือ “รู้ทุกอย่าง” ต้องระวัง หรือถ้าจะรู้ก็คงไม่จำเป็น”

โมทนาสาธุกับบทความข่าวล่าสุดด้วยครับสาธุ
ความรู้แจ้งของพระพุทธองค์ หรือสัพพัญญุตญาณ นั้นจัดเป็นความรู้ที่ยิ่งใหญ่วิเศษมากเกินกว่าที่มนุษย์อย่างเราๆ จะเข้าใจได้ครับ พระพุทธองค์ทรงรู้ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ทรงรู้ถึงที่มาแห่งการเกิด ที่มาของความทุกข์ และดับทุกข์ได้ในที่สุดครับ

ดังนั้นเพียงแค่ผลบอลโลกแล้วถือว่าเป็นความรู้ที่ง่ายเกินไปสำหรับคำว่า "สัพพัญญุตญาณ" ครับ
แหมะแต่ก็อย่างว่าแหละครับ นักวิชาการเขา หรือฝรั่งเขาคงไม่ค่อยจะเชื่อกันเท่าไหร่หรอกครับ เขาต้องลองมาเป็นสาวก
ของพระพุทธองค์และลองฝึกหลักสูตรเล่าเรียนในพุทธศาสนาเบื้องต้น คือ วิชชา 3 แล้วลองไปดูอนาคตให้เห็นกับตานั่นแหละครับถึงจะรู้แจ้งหมดสงสัยกันหนะครับ



หยุดเหมือนรถเบรค นิ่งเหมือนน้ำในโอ่งที่ปราศจากลม แน่นเหมือนหลักที่ปักลงในเลน
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน

#3 ฟ้ายังฟ้าอยู่

ฟ้ายังฟ้าอยู่
  • Members
  • 2511 โพสต์

โพสต์เมื่อ 19 May 2006 - 09:46 AM

เป็นเรื่องธรรมดาของโลกค่ะ
อย่าตกใจ ตื่นเต้นไปเลย เพราะมีมานานแล้ว เรื่องการโยงนู่น โยงนี่เข้ามาทำให้ศาสนาเสื่อมเนี่ย

เป็นเรื่องธรรมดาของผู้ไม่รู้นั่นเอง
"เกิดมาว่าจะมาหาแก้ว พบแล้วไม่กำจะเกิดมาทำไม
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)


#4 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 21 May 2006 - 05:22 AM

ถ้าโยงเป็นก็ไม่อันตราย แต่เกิดอันตราย ก็เพราะโยงแล้วเอามา applied ไม่เป็นน่ะครับ
"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#5 opt

opt
  • Members
  • 5 โพสต์

โพสต์เมื่อ 21 May 2006 - 07:43 AM

วิทย์ กับพุทธ ศืกษาความรู้ในธรรมชาติเดียวกัน โดยเน้นคนละด้าน
ธรรมชาติในจ้กรวาลประกอบด้วยธาตุ6 ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ วิญญาณ
วิทย์ วิเคราะห์ออกมาได้100กว่าธาตุแต่ยังหาวิญญาณธาตุไม่เจอ
พุทธ เห็นแก่ตัวเน้นวิเคราะห์และพัฒนาเฉพาะวิญญาณ ไม่เห็นแก่วัตถุ
เพราะเห็นว่าว้ตถุเป็นที่อาศ้ยชั่วคราวของวิญญาณ
พุทธไม่มีใครUpdate ข้อมูลมากว่า2500ปี พวกกเราจืงอยากโยง
เข้าหากันเพราะอยู่ในธรรมชาติเดียวกัน แต่ปัจจุบันยากจะหาคนที่เข้าใจ
วิญญาณได้อย่างลืกซื้ง และวิทย์ก็โลเลปรับเปลี่ยนกติกาไปมาไม่แน่นอน
ยกตัวอย่างจากที่เคยศืกษามาทั้งวิทย์และพุทธ ใครเห็นด้วยกรุณายกมึอ(มาพิมพ์ตอบ)

ธาตุ100กว่าชนิดในตารางธาตุ ต่างมีคุณสมบัติเฉพาะตัว
บางตัวอะตอมสมบูรณ์ อยู่ได้อย่างอิสระเช่นทองคำ Au
บางตัวไม่สมบูรณ์อยู่เดี่ยวไม่ได้ ต้องอยู่ร่วมกับธาตุอึ่นเช่น อ๊อกซิเจน O2
จากการศืกษาอนุมานได้ว่าวิญญาณธาตุก็ต้องอยู่ร่วมกับธาตุอึ่นที่เรียกว่ารูปกาย
จะไปรวมกับอะไรก็ขื้นกัเจคนาหรือแรงปรารถนา
ถืงจะไม่บอกว่าให้ไปสู่ที่ชอบที่ชอบ ก็จะไป เพราะมีแรงปรารถนาจะไป
พุทธจืงไห้ความสำคัญกับเวลาก่อนตาย
โดยจะเปลี่ยนกายไปมาเช่นนี้ จนกว่าได้กายที่มั่นคงเพราะหมดแรงปรารถนา
ขออภ้ย ลายมึอสวย แต่พิมพิ์ไม่เก่ง เท่านี้ก่อน


#6 Omena

Omena
  • Members
  • 1409 โพสต์
  • Location:44/5 หมู่ 10 ตำบลหนองอ้อ ถนนเพชรเกษม อำเภอบ้านโป่ง จังหวัดราชบุรี 70110

โพสต์เมื่อ 29 May 2006 - 02:09 PM

ในตารางธาตุจะมีช่องที่เป็น ??? อยู่หลายช่อง

ช่องเหล่านั้นจะเป็นวิญญาณธาตุได้ไหมหนอ
เมื่อไหร่หนอจะได้พบทหารหาญ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที

สุนทรพ่อ




muralath2@hotmail

#7 light mint

light mint

    ขออนุโมทนาบุญค่ะ

  • Members
  • 1423 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:THAILAND
  • Interests:ธรรมะ

โพสต์เมื่อ 05 June 2006 - 01:48 AM

มานั่งหลับตา ค้นหาเรื่องจริงๆ กันดีกว่า

บางเรื่องไม่รู้ ไม่เป็นไร
แต่บางเรื่อง ถ้าไม่รู้ แล้วอันตราย
ขออนุโมทนาบุญนะคะ สาธุ


#8 Mai D na

Mai D na
  • Members
  • 282 โพสต์

โพสต์เมื่อ 22 June 2006 - 08:11 PM




@@@@@@@@@@@@@@@@@@@

วิทยาศาสตร์ ต้อง การ ค้น หา อะ ไร ที่ ออก มา เป็น รูป ธรรม

เพื่อ การ พิ สูจน์

แต่..

ศาสนา เป็น นาม ธรรม

พิ สูจน์ ได้

แต่ คน ละ แบบ กับ วิทยาศาสตร์ ต้อง การ

จะ เอา มา เปรียบ เทียบ กัน ไม่ ได้

อยาก ได้ ลูก เสือ ทำ ไม ไม่ เข้า ถ้ำ เสือ น๊อ

อยาก ได้ ความ จริง แบบ พุทธ ศาสนา ก็ ต้อง ปฏิบัติ ตาม พุทธ ซิ


@@@@@@@@@@@@@@@@@@@





แม้กาลเวลาจะเปลี่ยนไป
แต่..
เ ป้ า ห ม า ย ไ ม่ เ ป ลี่ ย น แ ป ร




#9 gioia

gioia
  • Members
  • 593 โพสต์

โพสต์เมื่อ 22 June 2006 - 11:50 PM

การเอาความรู้ทางพระพุทธศาสนาออกมาเผยแผ่ ถือว่าเป็นธรรมทาน..ได้บุญค่ะ
แต่ถ้าเอามาประกอบเชื่อมโยงกับความเชื่อหรือหลักฐานที่นักวิชาการอ้างว่าเป็นเรื่องจริง
..แต่ไม่จริง เพราะค้านกับสิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ อันนี้ควรระวังค่ะ
เป็นการโกหกหลวงหลวงโลก เอาความจริงมาบิดเบือน และเอาความเท็จมาโมเมว่าเป็นจริง
ผิดศีล และมีอบายเป็นที่ไปแน่นอน .. ทั้งคนที่ให้ข้อมูลและคนที่เชื่อข้อมูลนั้น
รวมทั้งคนที่เอาข้อมูลนั้นมาเผยแพร่ ก็ไม่พ้นวิบากของกรรมนี้

การกล่าวอ้างถึงความเป็นสัพพัญญูของพระพุทธองค์
จึงควรเป็นไปด้วยความเคารพอย่างยิ่งค่ะ




#10 옴 นักรบกองทับธรรม

옴 นักรบกองทับธรรม
  • Members
  • 53 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 July 2006 - 09:00 AM

จะคิด หรือ ทำอะไร จะโยงกันไป เชื่อมกันมา ก็สุดแต่ท่าน

แต่ขอให้เป็นการทำแล้วมีประโยชน์กับทุกๆฝ่าย ก็ทำไปเถิดครับ
เหมือนที่คำสอนในพุทธศาสนา เรื่องการตัดสินใจว่า
ร้อนเขา ร้อนเรา อย่าไปทำ
ร้อนเขา เย็นเรา ก็อย่าไปทำ
เย็นเขา ร้อนเรา ก็อย่าไปทำ
เย็นเขา เย็นเรา นี่แหละที่ควรทำ

#11 ป่าน072

ป่าน072
  • Members
  • 371 โพสต์
  • Location:โคราช
  • Interests:การศึกษาต่อในวิชา วิทยาศาสตร์<br />วิศวะปิโตรเคมี

โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 04:26 PM

ความคิดดีดีทั้งนั้นเลยนะคะ
เมื่อดวงตาปิดสนิมอย่างละมุน
ไม่มีลุ้นเร่งจองมองที่หมาย
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง

#12 huy072

huy072
  • Members
  • 168 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:เชียงใหม่

โพสต์เมื่อ 25 August 2006 - 05:11 PM

นิ่งๆนุ่มๆ เบาๆ อย่าเอามาคิดเลย ปล่อยวางเถอะ

#13 เคยเข้าวัด

เคยเข้าวัด
  • Members
  • 1296 โพสต์
  • Interests:สร้างบุญบารมีอย่างยวดยิ่ง ตราบเท่าชีวีหมดอายุขัย

โพสต์เมื่อ 31 August 2006 - 07:56 AM

ผมว่าที่จะเป็นอันตรายเนี่ยน่าจะเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่านะครับ เพราะณ.ปัจจุบันแม้วิทยาศาสตร์จะก้าวหน้าไปมากเพียงใด แต่กว่านักวิทยาศาสตร์สักคนจะหาทฤษฎีมายืนยันสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ต้องลองผิดลองถูกกันเป็นปีๆ บางสิ่งแม้จะผ่านนักวิทยาศาสตร์มาหลายรุ่นก็ยังหาคำตอบไม่ได้ บางคนคิดทฤษฎีจนตัวเองหมดอายุขัยก็ไม่สามารถที่หาความจริงที่ถูกต้องได้ต้องทิ้งให้รุ่นต่อๆไปสานต่อ อย่างเช่นทษฎีสัมพันธ์ภาพของอัลเบิร์ต ไอน์สไตล์ E=MCกำลัง2 กว่าจะหาหลักฐานยืนยันยอมรับได้ อัลเบิร์ต ไอน์สไตล์ก็ละโลกไปร่วม50ปี และอีกหลายๆทฤษฎีที่ยังไม่มีการยืนยัน

ในความเห็นของปัญญาอันน้อยนิดของผมนะครับ หากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงให้ความรู้ในทางวิทยาศาตร์ด้วยผมว่าป่านนี้มนุษย์สามารถข้ามจักรวาลไปได้นานแล้วล่ะครับ แต่เนื่องจากพระองค์ทรงเห็นว่าเรื่องราวในทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่เรื่องราวที่จะพามนุษย์หรือสรรพสัตว์ไปสู่พระนิพพานได้ท่านจึงไม่ให้ความสำคัญในเรื่องนี้ อย่างที่พระองค์ท่านได้ตรัสไว้"ว่าพระองค์จะไม่ทรงตรัสเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อเราและท่านทั้งหลาย"

อีกประการในความเห็นอันน้อยนิดของผมนะครับ ในคำสอนของพระพุทธศาสนามีเรื่องราวบ้างเรื่องที่สามารถยืนยันวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี นี่แค่บางเรื่องนะครับแล้วถ้าหากพระองค์ทรงสอนทั้งหมด ผมว่าที่จะเป็นอันตรายจริงๆคือวิทยาศาสตร์แน่นอน เพราะจะไม่มีใครเชื่อถือวิทยาศาสตร์อีกต่อไปไงครับ

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเห็นในปัญญาอันน้อยนิดของผมนะครับ ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะครับ หรือหากเวปมาสเตอร์เห็นว่าไม่สมควรลงก็ขอให้ลบความเห็นของผมไปได้เลยนะครับ
1) พระปัญญาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 20 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 4 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน คือ พระสมณโคมสัมมาสัมพุทธเจ้า (อย่างน้อยที่สุด)
2) พระศรัทธาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 40 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 8 อสงไขย กับ แสนมหากัป) (อย่างน้อย)
3) พระวิริยาธิกพุทธเจ้า สร้างบารมีรวม 80 อสงไขย กับอีก แสนมหากัป (รวมระยะเวลาสร้างบารมีหลังรับพุทธพยากรณ์ คือ 16 อสงไขย กับ แสนมหากัป) เช่น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ต่อไป คือ พระศรีอาริยเมตไตรยสัมมาสัมพุทธเจ้า (เป้าหมาย

#14 คนรักวัด

คนรักวัด
  • Members
  • 626 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 September 2006 - 03:07 PM

วิทยาศาสตร์ ต้อง การ ค้น หา อะ ไร ที่ ออก มา เป็น รูป ธรรม

เพื่อ การ พิ สูจน์

แต่..

ศาสนา เป็น นาม ธรรม

พิ สูจน์ ได้

แต่ คน ละ แบบ กับ วิทยาศาสตร์ ต้อง การ

จะ เอา มา เปรียบ เทียบ กัน ไม่ ได้

อยาก ได้ ลูก เสือ ทำ ไม ไม่ เข้า ถ้ำ เสือ น๊อ

อยาก ได้ ความ จริง แบบ พุทธ ศาสนา ก็ ต้อง ปฏิบัติ ตาม พุทธ ซิ

สาธุ ครับ
อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ
โก หิ นาโถ ปโร สิยา
อตฺตนา หิ สุทนฺเตน
นาถํ ลภติ ทุลฺลภํ . . . ฯ ๑๖๐ ฯ

เราต้องพึ่งตัวเราเอง
คนอื่นใครเล่าจะเป็นที่พึ่งได้
บุคคลผู้ฝึกตนดีแล้ว
ย่อมได้ที่พึ่งที่ได้แสนยาก

Oneself indeed is master of oneself,
Who else could other master be?
With oneself perfectly trained,
One obtains a refuge hard to gain

#15 เราคือใคร

เราคือใคร
  • Members
  • 137 โพสต์

โพสต์เมื่อ 12 October 2006 - 08:21 PM

เคยอ่านเจอมาเยอะครับ ประเภทมีนำพุทธศาสตร์กับวิทยาศาตร์มารวมกัน แบบการจับแพะมาชนแกะ
จำได้ว่าตอนเด็ก ๆ เคยอ่านคอร์ลัมหนึ่งผู้เขียนเป็นถึงอ.ในมหาวิทยาลัย ได้แปรปริศนา เรื่องที่เทวดามาฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
บางครั้งเทวดาลงมาฟังเป็นจำนวนนับโกฏิ
อ.ก็เลยงงว่า เทวดาจะลงมาเป็นจำนวนมากมายได้อย่างไร ในที่สุด ก็มีการจับแพะชนแกะขึ้น บอกว่า เทวดาคืออิเลคตรอนนั่นเอง

อ่านจบแล้วแทบจะเป็นลม โอ..จินตนาการของคนเราช่างไม่มีประมาณจริง ๆเลยอ่ะ

#16 นักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยว
  • Members
  • 2378 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:รู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้อยู่กะที่อ่ะ มาดูอารายกานอ่ะ
  • Interests:มาสร้างบารมีตามติดหมู่คณะดีกว่า

โพสต์เมื่อ 17 October 2006 - 09:16 PM

น่าศึกษาน่าอนุโมทนา
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ


เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี