ศาสนาพุทธในสายตาของฉันนั้นไม่ใช่เป็นเพียงแค่ศาสนา แต่ยังเป็นปรัชญาชีวิต เราไม่จำเป็นที่จะต้องเชื่อทุกสิ่ง ทุกอย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ชีวิตของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าดลบันดาลให้เป็นไป แต่ชีวิตเป็นของเรา เราสามารถที่จะมีชีวิตที่ดีได้ หรือไม่ดีก็ได้
อยู่ที่การทำตัวของเราเอง เราเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งของตัวเรา พระพุทธเจ้า ไม่เคยทรงตรัสว่าให้เชื่อ แต่ท่านสอนให้เราหาความจริงด้วยการปฎิบัติเอง พิสูจน์ทดสอบธรรมะที่ท่านตรัสไว้ ด้วยการปฎิบัติให้รู้จริง ด้วยตัวเอง คำนี้เองที่ทำให้ฉันสนใจพุทธศาสนา ที่ฉันไม่ต้องทำตัวเหมือนเป็นลูกแกะ ที่เอาแต่เดินตามคนเลี้ยง
ด้วยคำสอนของครูบาอาจารย์เราก็สามารถนำมาเป็นวิถีทางแห่งการปฎิบัติ แต่ทุกคนก็ยังคงต้องปฎิบัติ ด้วยตนเอง ไม่มีใครมาทำแทนให้ได้ เราควรดีใจที่วันนี้ยังมีครูบาอาจารย์ที่พอจะมีความรู้จากประสบการณ์มาถ่ายทอดให้ด้วยตัวเอง สอนในวิถีทางที่ถูกต้องซึ่งสำคัญมาก เราไม่สามารถเข้าใจได้ ถ้าเราฟังธรรมะแต่เพียงอย่างเดียว เราจะได้ความรู้จากการอ่าน แต่ถ้าเราต้องการจะรู้จริงให้ลึกซึ้ง ต้องปฎิบัติด้วยตนเอง เป็นทาง เดียวที่จะรู้ได้ บางครั้งมีคนมาถามฉันเกี่ยวกับพระเจ้าว่า พระเจ้ามีจริงหรือไม่ ฉันก็ตอบว่า"พระเจ้ามีจริง แต่ ฉันเชื่อในแนวทางที่พระพุทธเจ้าสอน พระพุทธเจ้ารู้ทุกอย่างในโลกนี้ รู้ทั้งจักรวาล พระองค์ยังคงรู้เรื่อง พระเจ้าด้วย และท่านยังคงรู้ว่าใครสร้างเรา นั่นก็คือตัวเราสร้างตัวเราเอง"
วิบากกรรม
มีทุกข์และการดับทุกข์อยู่ที่ใจเรานี้เอง ไม่มีใครมาลงโทษเราเว้นตัวเราเองที่จะได้รับผลแห่งการกระทำของเรา ไม่มีใครให้รางวัลเราโดยที่เราไม่ได้ทำความดีอะไร ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นั่นคือสิ่งทั้งหมดที่เป็นไป ไม่มีพระเจ้าสร้าง เราสร้างทุกอย่างเอง
เราเห็นวิบากกรรมอย่างนี้ เราจะระมัดระวังการกระทำของเรา บาปที่ เราทำมันจะย้อนกลับมามีผลกับตัวเราเอง จากการที่เข้าใจอย่างนี้ ความกลัวในการทำบาป ความละอายต่อบาป จะเกิดขึ้นในใจ ไม่ใช่กลัวว่าพระเจ้าจะลงโทษ เราเข้าใจในบาปที่เราทำไปว่ามันจะมามีผลกับเราอยู่ในใจเรา ตลอดเวลา เมื่อมากๆขึ้น ผลมันก็ก่อให้เกิดทุกข์ให้กับเรา และทุกอย่างที่เราทำดีมันก็จะเป็นวิบากกรรมที่ก่อให้ เกิดความสุข ทุกอย่างอยู่ที่เราเลือก ทุกข์หรือสุขเราเลือกเอง
ความดับทุกข์
สิ่งหนึ่งที่สำคัญในคำสอนของพระพุทธเจ้าคือ ความดับทุกข์ ไม่มีเกิด ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ ไม่มีตาย มันมีผล ทำให้เราไม่ติดสุขไม่ติดทุกข์ มีอุเบกขา ที่เรียกว่านิพพาน
ไม่มีคำสอนในศาสนาอื่นใด สอนทางออก ทางแก้ทุกข์ ในเรื่องของการเกิด การแก่ การเจ็บ และการตาย ที่เรียกว่า " สังสารวัฎ" แน่นอนว่าทุกศาสนานั้นดี อยากให้ทุกคนเป็นคนดี เค้าสอนเรื่องศีลจะได้ไม่มีบาป ไม่ไปเกิดในนรก หรือไปเกิดเป็นเปรต เป็นสัตว์เดรัจฉาน สอนให้คนทำดี เกิดมาอีกที อย่างน้อยก็ขอให้ได้เป็นคน
ที่ไหนมีการสอนทางออกจากสังสารวัฎ เป็นไม่มี และด้วยพระกรุณาอันยิ่งใหญ่ที่พระพุทธเจ้าท่านทรงสั่งสอนศิษย์ ที่เรียกว่า มรรคมีองค์แปด ธรรมะที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ไว้ ให้เราดูทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค และทางดับทุกข์ โดยดับสมุทัย เราสามารถทำได้โดยปฎิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และนี่คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเมื่อ 2500 ปีมาแล้ว จนทุกวันนี้มีลูกศิษย์สำเร็จมรรคผลเป็นล้านคนได้ เราโชคดีที่เรายังมีพระอริยเจ้าคอยสั่งสอน เราจึงไม่ควรจะเสียเวลา มาดับทุกข์ของตัวเราเองเลย และมาสำรวจดูความสงบสุขและการหลุดพ้นกัน
ความกรุณา
บางครั้งคนเรามักจะพูดถึงพระและแม่ชี รวมถึงผู้ปฎิบัติธรรมอื่นๆ ตามแนวทางการปฎิบัติพุทธศาสนา แบบเถรวาท ว่าเป็นการปฎิบัติเพื่อตัวเองเท่านั้น พวกเค้าต้องการหาทางหลุดพ้นจากความทุกข์และสังสารวัฎ โดยไม่เอาใจใส่ต่อผู้อื่น แต่สำหรับฉันไม่ได้คิดเช่นนั้นกับแนวทางการปฎิบัติเพื่อพัฒนาสติปัญญา แต่ถ้า ปราศจากความเมตตากรุณาต่อผู้อื่น พวกเค้าเหล่านั้นก็ไม่สามารถจะบรรลุถึงปัญญาได้
ฉันเห็นว่าบางเวลา ฉันก็สามารถทำให้บางคนมีความสุขได้ และฉันก็มีความสุขใจยิ่งกว่า และ ความสุขใจนั้นทำให้การปฎิบัตินั้นง่ายขึ้น ถ้าใจเราไม่มีความสุขก็ยากที่จะปฎิบัติให้ได้ผลดี ดังนั้นการที่ฉันช่วยให้ผู้คนมีความสุขนั้นก็เท่ากับช่วยตัวฉันเองด้วย ถ้าเราพบว่าเรายังมีความความทุกข์อยู่ ซึ่งเป็นธรรมดา ของมนุษย์ผู้ที่ยังเวียนว่ายตายเกิด เราก็จะรู้ได้ว่าไม่ใช่แต่เราเท่านั้นที่ยังมีความทุกข์แต่มนุษย์ทุกคนที่ยัง เวียนว่ายตายเกิดอยู่ต่างก็เผชิญกับความทุกข์ทั้งนั้น
การที่ได้พบกับอาจารย์ที่สามารถชี้ทางออกจากทุกข์ให้กับเราได้นั้นนับว่าโชคดีที่สุดแล้ว เราจะสามารถปฎิบัติเพื่อหลุดพ้นจากทุกข์ด้วยตัวของเราเองหรือ สำหรับฉันแล้วมันไม่เพียงพอ การมีครูบาอาจารย์นั้นสำคัญมาก ถ้าเรายังคงเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในสังสารวัฎ ดังนั้นจะดูเหมือนว่าเป็นเหตุเป็นผลกันกับที่เราทำกรรมไว้ ทุกสิ่งทุกอย่างแม้ว่าเราจะจำไม่ได้แล้วก็ตามว่าทำอะไรไปบ้าง กรรมดี กรรมชั่ว ถ้าเราสามารถระลึกได่ว่าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเรานี้เคยเป็นแม่ของเราเมื่ออดีตชาติใดชาติหนึ่ง และเขากำลังเผชิญความทุกข์อยู่ เขาอาจจะไม่เชื่อว่าทำอย่างไรจะพ้นทุกข์ได้ แต่ทำไมเราจะไม่ช่วยเค้าคนนั้นหรือ
นี้เป็นสิ่งที่สำคัญส่วนหนึ่งในการปฎิบัติ เพื่อนนักปฎิบัติธรรมในคอร์สเข้มข้นของฉันบางคน ยังคงไม่ลืมสิ่งต่างๆ บางครั้งที่ปฎิบัติเสร็จแล้วพวกเขาก็ได้แผ่เมตตาให้กับครูบาอาจารย์ พ่อแม่ บุคคลอันเป็นที่รักและ สรรพสัตว์ทั้งหลาย และบุคคลที่ต้องการความช่วยเหลือทางด้านจิตใจและจิตวิทยา การให้ความช่วยเหลือกับ บุคคลที่แตกต่างกันก็ต้องใช้ความสามารถที่แตกต่างกันไป และทางใดที่พวกเค้าสามารถจะช่วยเหลือให้กับผู้อื่น มีความสุขได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นวิถีทางที่แตกต่างออกไปก็จะทำ สิ่งนี้คือธรรม บางครั้งอาจจะมาก บางครั้งอาจจะน้อยแต่ถ้าปราศจากความเมตตากรุณา ปัญญาก็จะไม่เกิด
ฉันเองก็ต้องการที่จะแผ่เมตตาของฉันที่มีให้กับผู้อื่นและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้บังเกิดความสุขทั้ง ในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต และสิ่งใดก็ตามที่จะพัฒนาการการให้และสติปัญญาอันจะนำไปสู่นิพพาน
(บริจิต สล็อตเทนเบเชอร์)
ที่มา-http://www.budpage.com/forum/view.php?id=3978
" พุทธศาสนาในสายตาแม่ชีฝรั่ง "
เริ่มโดย kuna, Sep 17 2008 05:46 PM
มี 2 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้