ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

ความสัมพันธ์ดาวในจักรวาลกับมนุษย์


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 11 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 21 February 2006 - 11:23 AM

โดย Uncle fat / MG O nline 27 พฤษภาคม 2547 03:14 น.

ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ชอบดู “ดาว” ในท้องฟ้ายามราตรี คงจะมีความคิดตรงกันว่า
โลกมนุษย์เรานั้นช่างเล็กเสียเหลือเกิน เพราะยังมีสิ่งที่ลี้ลับและไม่สามารถค้นหาคำตอบได้อีกมากมาย
รวมทั้งก่อให้เกิดคำถามตามมาว่า ชีวิตมนุษย์ที่เกิดมามีความสัมพันธ์กับดาวในจักรวาลอย่างไร
และดวงดาวเหล่านั้น มีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตมากน้อยขนาดไหน?

ในสมัยพุทธกาลนั้น พระพุทธเจ้าเคยตรัสถาม “พระอานนท์” ว่า
ทรายที่ท่านกอบจากท้องทะเลซึ่งอยู่ในมือท่าน กับทราบในท้องทะเลอย่างไหนมากกว่ากัน

พระอานนท์ตอบว่า ทรายที่อยู่ในมือมีน้อยกว่า

พระพุทธเจ้าจึงตรัสตอบไปว่า ดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้านั้น มีมากกว่าทรายในท้องทะเล
อีก

และนั่นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ผู้คนเริ่มสงสัย ตีความและค้นหาคำตอบว่า มนุษย์กับดวงดาวในจักรวาลนั้นมีความสัมพันธ์และข้องเกี่ยวกันอย่างไร

อาจารย์ศุภชัย จารุสมบูรณ์ ผู้อำนวยการอโรคยาสถานและที่ปรึกษามูลนิธิเพื่อการพัฒนาแพทย์ทางเลือกประเทศไทย ยกตัวอย่างให้ฟังว่า เวลาที่เราโมโห ดีใจหรือเสียใจจะก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือน ซึ่งสามารถสะท้อนออกไปจากตัวเราและเดินทางเคลื่อนเข้าไปในอวกาศได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด แต่จะไปหยุดอยู่ที่ “หลุมดำ” เพราะหลุมดำมีแรงดึงดูดเป็นก้นหอยเข้าไปหาใจกลางของกาแล็กซี่

จากนั้น หลุมดำก็จะบันทึกเอาไว้ว่า คนเราทำอะไรมาบ้าง ทั้งดีและไม่ดี
ขณะที่ร่างกายของมนุษย์นั้น จะมีเซลล์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “นิวคลิโอไทด์”
เซลล์นี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางถ่ายทอดรหัสพันธุกรรมของมนุษย์หรือควบคุมดีเอ็นเอ เจ้านิวคลิโอไทด์นี้นี่เองก็จะรับบันทึกคุณงามความดีจากหลุมดำที่ส่งคลื่นเสียงสะท้อนกลับมา
ถ้าเราทำความชั่ว ไม่ว่าจะมากหรือน้อย นิวคลิโอไทด์ก็จะสั่นสะเทือนผิดปกติ
และก็หลั่งสารชนิดหนึ่งออกมาเรียกว่า “สารแห่งความตาย” ซึ่งจะทำให้เกิดการเจ็บป่วยและตายในที่สุด

“คุณไม่เคยสงสัยหรือว่า ทำไมมนุษย์ต้องแก่ตาย ทำไมไม่อยู่ไปเรื่อยๆ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะความชั่วที่ถูกบันทึกไว้จะเป็นตัวกำหนดชีวิตของคุณ และเป็นข้อมูลที่ไม่มีวันผิดพลาด”
ฟังอาจารย์ศุภชัยแล้ว ใครที่ทำชั่วไว้ก็เตรียมตัวเตรียมใจกันเอาไว้ได้เลย เพราะยังไงๆ ก็ไม่รอดแน่


ประเด็นสำคัญที่จะต้องอธิบายเป็นประการถัดมา และเชื่อว่า หลายคนคงไม่รู้ นั่นก็คือ “ความสัมพันธ์ของอวัยวะต่างๆ ในร่างกายกับจักรวาล” ที่ดำรงอยู่อย่างน่าอัศจรรย์ใจยิ่งนัก
ยกตัวอย่างเช่น...

หัวใจและลำไส้เล็กได้รับอิทธิพลของสนามแม่เหล็กจากดาวอังคาร
ปอดและลำไส้ใหญ่ได้รับอิทธิพลของดาวพระศุกร์
กระเพาะและม้ามได้รับอิทธิพลของดาวเสาร์
ตับและถุงน้ำดีได้รับอิทธิพลของดาวพฤหัสบดี
ไตและกระเพาะปัสสาวะได้รับอิทธิพลของดาวพุธ


นอกจากนั้น มนุษย์แต่ละคนเวลาที่เกิดมาก็อยู่ในจังหวะที่ดวงดาวหมุนวนรอบโลกไม่เหมือนกันอีกด้วย
ตรงนี้ อาจารย์ศุภชัยอธิบายว่า ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจร่วมกันว่า

โลกเรานั้นหมุนรอบตัวเองแล้วก็หมุนรอบดวงอาทิตย์ด้วย เพราะฉะนั้นตำแหน่งจังหวะเวลาที่เราเกิด
ดวงดาวจึงอยู่ในตำแหน่งไม่เหมือนกัน ซึ่งตำแหน่งของดวงดาวเหล่านั้นมีความสำคัญกับพลังงานในร่างกายมนุษย์
เพราะว่า ตำแหน่งของดวงดาวจะส่งพลังประจุและปราณผ่านเข้ามาทางจุดชีพจร
จากนั้นจึงเข้ามาทำปฏิกิริยากับสนามแม่เหล็กในร่างกายมนุษย์

ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเหตุที่ทำให้คนมีโรคภัยไข้เจ็บที่ไม่เหมือนกัน
ขณะเดียวกัน ธรรมชาติร่างกายของมนุษย์ทุกคนก็จะมีจุดอ่อนอยู่ 3 เดือน
คือเป็นจุดอ่อนในช่วงที่ไม่ได้อยู่ในครรภ์ของผู้เป็นแม่
ทำให้ได้รับพลังงานจากจักรราศีได้เพียงแต่ 9 เดือนเท่านั้น

สมมติว่า คุณเกิดในเดือนธันวาคม เดือนที่ร่างกายอ่อนแอและมีโอกาสเจ็บไข้ได้ป่วยมากที่สุด
ต้องนับย้อนหลังไปอีก 3 เดือน ซึ่งก็คือ เดือนกุมภาพันธ์ มีนาคมและมกราคม ส่วนเดือนที่อ่อนแอที่สุดก็คือเดือนกุมภาพันธ์ที่มีความสัมพันธ์กับถุงน้ำดี

ดังนั้น คุณก็มักจะเจ็บป่วยที่ข้องเกี่ยวกับถุงน้ำดี
เพราะฉะนั้นจะต้องดูแลเรื่องการกินอาหารมันๆ เนื้อสัตว์ที่ติดมันหรือกะทิ เป็นต้น

หรือถ้าคุณเกิดกันยายน 3 เดือนที่อ่อนแอก็จะประกอบด้วยเดือนตุลาคม พฤศจิกายนและธันวาคม และเดือนที่มีปัญหามากที่สุดก็คือพฤศจิกายน ซึ่งต้องระมัดระวังเรื่องไตและไม่ควรอั้นปัสสาวะไว้

ทีนี้ ในกรณีที่คนๆ นั้นคลอดออกมาก่อนกำหนด 9 เดือน
ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม ต้องผ่าออกก่อนเมื่ออายุครรภ์ได้เพียงแค่ 7 เดือน
ก็ย่อมหมายความว่า คนๆ นั้น จะขาดพลังของจักรราศีที่ควรจะได้รับไป จึงทำให้มีโอกาสที่จะอ่อนแอและมีอาการผิดแผกแตกต่างไปจากธรรมชาติ

ส่วนถามว่า เรื่องเพศมีความสำคัญกับโรคภัยไข้เจ็บหรือไม่ อาจารย์ศุภชัยบอกว่า มีอย่างแน่นอน โดยผู้ชายจะมีจุดอ่อนอยู่ที่อวัยวะซึ่งมีลักษณะทึบตัน ได้แก่ ตับ หัวใจ
ขณะที่ผู้หญิงจะมีจุดอ่อนอยู่ที่อวัยวะกลาง เช่น กระเพาะ ลำไส้และกระเพาะปัสสาวะ

มาถึงตรงนี้ คนที่เกิดเดือนอื่นๆ นอกเหนือจากที่ยกตัวอย่างให้ฟังข้างต้นคงอยากรู้กันบ้างแล้วว่า เดือนที่อ่อนแอที่สุดของคุณคือเดือนอะไร และจำเป็นต้องระมัดระวังโรคภัยไข้เจ็บประเภทไหน...เอาเป็นว่า สัปดาห์หน้าคงต้องติดตามกันต่อไป

27 พฤษภาคม 2547 03:11 น.
ถ้าหากอยากจะดู “ดาว” ให้สวยแล้วละก็ คงต้องหาโอกาสไปดูกันในช่วง “หน้าหนาว” เพราะเป็นช่วงที่อากาศปลอดโปร่งและท้องฟ้าแจ่มใสมากที่สุด

ยิ่งถ้าเป็นหน้าหนาวบนดอยสูง ก็จะยิ่งเห็นดาวเกลื่อนกลาดและพร่างพราวอยู่บนแผ่นฟ้าเต็มไปหมด เนื่องจากไม่มีแสงไฟประดิษฐ์และหมอกควันพิษจากอุตสาหกรรม รวมทั้งไอเสียรถยนต์มาบดบังทัศนียภาพ

เรื่องราวของดวงดาวในจักรวาลกับมนุษย์นั้น เป็นสิ่งที่ลี้ลับและยังไม่สามารถหาคำตอบได้อย่างลงตัว อย่างไรก็ตาม นักปราชญ์และผู้รู้จำนวนไม่น้อยก็เชื่อว่า ดวงดาวนั้นมิอิทธิพลต่อชีวิตมนุษย์อย่างแน่นอน

คราวที่แล้ว อาจารย์ศุภชัย จารุสมบูรณ์ได้อธิบายเรื่องเดือนเกิดและความเจ็บไข้ได้ป่วยไปบ้างแล้วบางส่วน แต่ก็ยังไม่จุใจบางคนที่มีวันเกิดและเดือนเกิดไม่ตรงกับที่ยกตัวอย่างให้ฟัง
คราวนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมาไขปริศนากันต่อ ไม่เช่นนั้นแล้ว
แฟนานุแฟนของ “ผู้จัดการสุขภาพ” คงจะไม่ยอมเป็นแน่แท้

อาจารย์ศุภชัยยกตัวอย่างของคนเกิดเดือนตุลาคมว่า คนที่เกิดเดือนนี้จะมีปัญหาในเรื่องของกระเพาะปัสสาวะ
ดังนั้น จึงไม่สมควรที่จะอั้นปัสสาวะ เวลาเดินทางไปไหนมาไหนก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมเกี่ยวกับเรื่องนี้
ไม่เช่นแล้วจะทำให้เกิดปัญหาได้

อย่างไรก็ตาม มีเกร็ดนิดหนึ่งเกี่ยวกับน้ำที่อยากจะนำมาฝากแถมกันสักนิด เพราะว่าน้ำในแต่ละแห่งหนตำบลหนึ่งก็มีคุณภาพที่ไม่เหมือนกัน

อย่างเช่นที่ “จังหวัดภูเก็ต” คนส่วนใหญ่จะมีปัญหาอยู่ 2 เรื่อง
เรื่องแรกคือนิ่วอันเกิดจากน้ำบาดาลที่มีตะกอนเยอะ
เรื่องที่สอง โคเลสเตอรอลเพราะรับประทานอาหารทะเลเยอะ
ด้วยเหตุนี้ คนภูเก็ตจึงต้อระมัดเรื่องน้ำและอาหารการกินให้มาก

กลับมาทีเรื่องเดือนเกิดกับโรคภัยไข้เจ็บกันต่อดีกว่า
สำหรับคนที่เกิดดือนมกราคม อวัยวะที่ต้องดูแลก็คือ ถุงน้ำดี
เดือนมีนาคม ได้แก่ ตับ
เมษายนอยู่ที่ปอด
พฤษภาคมเป็นลำไส้ใหญ่
มิถุนายนคือกระเพาะอาหาร
กรกฎาคมคือม้าม
สิงหาคมคือหัวใจ
กันยายนคือลำไส้เล็ก
ตุลาคมคือกระเพาะปัสสาวะ
พฤศจิกายนคือไต
และธันวาคมคือเยื่อหุ้มหัวใจ

ทีนี้ ในแต่ละปีนั้นจะมีช่วงเวลาที่พิเศษในการรับพลังจากจักรวาลหรือ
ปีอธิกสุรทินมายกเครื่องร่างกายได้ที่ทรุดโทรมหรือสึกหรอได้
เพราะดวงดาวอยู่ในตำแหน่งพิเศษ ซึ่ง 4 ปีมีครั้งเดียวคือวันที่ 29 กุมภาพันธ์

อาจารย์ศุภชัยบอกว่า วิธีการรับพลังง่ายๆ ก็คือ
นั่งสบายๆ หลังตรง เท้าวางแนบกับพื้นแล้วกางออกเล็กน้อย จากนั้นยกข้อศอกขึ้นมา
ฝ่ามือขนานกับพื้น แล้วค่อยๆ ใช้นิ้วโป้งเป็นประธาน
โดยในท่าแรกให้นิ้วชี้และและนิ้วโป้งติดกัน นิ้วอื่นชี้ตรงธรรมดา ไม่ต้องเกร็ง
ทำอย่างนี้ประมาณ 5 วินาที

จากนั้นให้เอานิ้วโป้งกับนิ้วกลางมาติดกัน เสร็จแล้วเปลี่ยนจากนิ้วโป้งกับนิ้วนางเป็นนิ้วโป้งกับนิ้วก้อย
แล้วก็เป็นนิ้วโป้งกับนิ้วกลาง
คือไล่ตั้งแต่นิ้วชี้ นิ้วนาง นิ้วก้อยและนิ้วกลาง ทำท่าละประมาณ 5 วินาที
จะทำให้สามารถเริ่มสัมผัสถึงพลังแม่เหล็กที่วิ่งไปวิ่งมาที่ปลายนิ้ว
โดยทำควบคู่กันกับการสวดมนตราชินบัญชรคือ ชิน นะ บัน ชะ ระ มัง รัก ขะ ตุ สับ พะ คา
และเมื่อทำครบ 36 รอบก็จะเกิดปฏิกิริยามหัศจรรย์ขึ้นในร่างกาย

อาจารย์ศุภชัยบอกว่า จริงๆ แล้วนอกปีอธิกสุรทินก็ทำได้ แต่ต้องเน้นไปที่การสวดมนต์กำกับด้วย
ส่วนใครสงสัย หรืออยากรู้รายละเอียดมากกว่านี้
ก็สามารถโทรศัพท์ไปสอบถามเพิ่มเติมกันได้ที่อโรคยาสถาน โทร.0-2391-6778

27 พฤษภาคม 2547 03:10 น.

ช่วงนี้ คนไทยคงได้รับอิทธิพลจากดวงดาวกันอย่างหนักทีเดียว แม้จะไม่ใช่ “
คลื่นความร้อน (Hot Wave)” เหมือนที่เกิดในยุโรป แต่เพียงแค่ร้อนแบบไทยๆ ในปีนี้ ก็เล่นเอาสุขภาพจิตของหลายคนถูกทำลายไปอย่างย่อยยับทีเดียว

ก็พ่อเจ้าประคุณ “ดวงอาทิตย์” เล่นปล่อยความร้อนออกมาอย่างไม่บันยะบันยัง
บวกกับการที่มนุษย์ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ป่าไม้” ไปเรื่อยๆ ก็ทำให้ไม่มีสิ่งที่สกัดกั้นรังสีจากสุริยเทพได้เหมือนในอดีตกาลที่ผ่านมาหนักขึ้น
ก็ต้องถือว่า เป็น “กรรม” ที่ทุกคนต้องรับร่วมกันไป....


สัปดาห์นี้ เรื่องราวของความสัมพันธ์ดาวในจักรวาลกับมนุษย์ได้เดินทางมาถึงตอนสุดท้ายกันแล้ว
ซึ่งก็เช่นเคยว่า ต้องปิดท้ายกันที่ “น.พ.จักรกฤษณ์ ภูมิสวัสดิ์” ผู้ช่วยปลัดกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะเลขาธิการมูลนิธิเพื่อการพัฒนาแพทย์ทางเลือก

อย่างไรก็ตาม คุณหมอจักรกฤษณ์ได้ออกตัวก่อนว่า เรื่องจะถ่ายทอดให้ฟังนับแต่นี้เป็นต้นไป
ไม่ได้วิเคราะห์ในนาม น.พ.จักรกฤษณ์ แต่วิเคราะห์ในนามของนายจักรกฤษณ์เท่านั้น
ไม่เช่นนั้นอาจผิดกฎเกณฑ์ของแพทยสภาได้
เพราะไม่ได้มีการบรรจุความรู้เหล่านี้ไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอนของแพทย์

คุณหมอจักรกฤษณ์บอกว่า มีเพื่อนคนหนึ่งเรียนจบวิศวกรรมศาสตร์บัณฑิตมา
แต่มีความสนใจในเรื่องของ “โหราศาสตร์”มาก เนื่องจากเกิดเหตุการณ์ต่างๆ กับชีวิตมากมาย
ทั้งลูกป่วย ลูกตาย เมียเจ็บเมียตาย เหมือนกับต้องเผชิญเคราะห์กรรมอยู่คนเดียวตลอดเวลา

จากนั้นก็เริ่มต้นศึกษาโหราศาสตร์ ทั้งของไทย จีน อินเดีย และก็พบว่า สามารถนำมาอธิบายหรือประยุกต์ใช้และให้คำอธิบายกับเรื่องของดาราศาสตร์ได้ ซึ่งตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ ดวงจันทร์ซึ่งเป็นดาวที่อยู่ใกล้โลกมาที่สุด ก็มีอิทธิพลต่อโลกในเรื่องของน้ำขึ้นน้ำลง
เวลาที่พระจันทร์เต็มดวงทีไร ก็จะเป็นช่วงน้ำขึ้นทุกครั้งไป

ดังนั้น จึงได้ให้คำแนะนำว่า เวลาที่จะผ่านตัดคนไข้คนหนึ่ง ถ้าใช้โหราศาสตร์ก็ต้องวิเคราะห์เรื่องอิทธิพลของดวงจันทร์ด้วยว่ามีอิทธิพลต่อราศีเกิดหรือไม่
ถ้าอยู่ในตำแหน่งที่มีอิทธิพล คนไข้อาจจะเสียเลือดมากกว่าปกติ
ซึ่งก็เป็นเรื่องที่แพทย์มักเจออยู่เสมอและหาคำตอบไม่ได้

ถ้าอธิบายในเชิงวิทยาศาสตร์ก็ต้องบอกว่า ดาวแต่ละดวง ไม่ว่าจะเป็นดาวอังคาร ดาวพุธ ยูเรนัส พลูโต ฯลฯ มีองค์ประกอบที่เป็นธาตุไม่เหมือนกัน มีสนามแม่เหล็กหรือการเรียงตัวของโมเลกุลต่างกัน ซึ่งเมื่อต่างกันก็มีองค์ประกอบของคลื่นพลังงานไม่เหมือนด้วย และมีอิทธิพลต่อบุคคลแต่ละบุคคลที่แตกต่างกันออกไป

อย่างไรก็ตาม องค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ คุณหมอจักรกฤษณ์บอกว่า แม้จะพิสูจน์ให้เห็นผลชัดๆ ไม่ได้ แต่ถ้าเราดำเนินชีวิตและทำงานอยู่ด้วยความไม่ประมาท มีการเตรียมพร้อมเอาไว้เสมอ หรือนำมาประยุกต์ใช้ ก็จะป้องกันเหตุที่ไม่คาดฝันหรือไม่คาดคิดว่าจะเกิดได้เหมือนกัน

ไฟล์แนบ


ใจหยุดที่สุดแห่งบุญ มุ่งสู่ที่สุดแห่งธรรม

#2 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 21 February 2006 - 11:53 AM

QUOTE
ขณะที่ร่างกายของมนุษย์นั้น จะมีเซลล์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “นิวคลิโอไทด์” เซลล์นี้จะทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางถ่ายทอดรหัสพันธุกรรมของมนุษย์หรือควบคุมดีเอ็นเอ

นิวคลีโอไทด์ไม่ใช่เซลล์นะครับ แต่เป็นหน่วยย่อยของ polynucleotide ซึ่ง nucleotide นั้น ประกอบไปด้วย nitrogenous base, aldopentose sugar และ phosphoric acid ครับ


#3 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 21 February 2006 - 12:03 PM

สาธุ ที่ช่วยแก้ไขให้นะครับ

คุณเกียรติก้องธรณินทร์ ช่างรู้ลึกซึ้ง
เรื่องวิทยาศาสตร์ร่างกายจริงๆ
เหมือนแพทย์เฉพาะทางเลยนะครับ


ไฟล์แนบ

  • แนบไฟล์  00003_28.gif   22.04K   21 ดาวน์โหลด


#4 มองอย่างแมว

มองอย่างแมว
  • Members
  • 722 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:NYC

โพสต์เมื่อ 22 February 2006 - 01:09 AM

ผมไม่ค่อยเชื่อนะ
อ่านแล้วเหมือนกับเอาพุทธศาสนาไปปนๆกับพลังจักรวาลอะไรเทือกนั้น
ดูไม่เหมือนพุทธแท้เท่าไหร่
"ฉุดมันเอาไว้ หยุดมันเอาไว้ ไม่ให้มันรวนเร ต้องหยุดนิ่งสุดใจ หยุดมันเอาไว้ ฉุดมันเอาไว้ ไม่ให้มันซวนเซ ต้องฉุดให้ใจหยุด"
- ไมโคร (เพลง หยุดมันเอาไว้)
"แค่หลับตา... (ลบเลือนทุกสิ่ง เหลือเพียงหนึ่งเดียว) เธอจะเห็นยามเธอหลับตา... (ใช้ใจสัมผัสและมองสิ่งนั้น) เธอจะเห็นตัวฉันเป็นอย่างที่เป็น"
- อุ๊ หฤทัย (เพลง แค่หลับตา)

#5 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 23 February 2006 - 11:55 PM

พุทธะเป็นศาสตร์ของผู้รู้แจ้งในทุกสรรพสิ่ง บางทีพลังจักรวาลพระพุทธองค์อาจจะทรงค้นพบแล้วและทรงทราบละเอียดยิ่งกว่าที่พวกเราทราบกันก็ได้ครับ

โมทนาบุญกับภาพนี้ด้วยครับ สวยมากครับมีปริศนาในภาพปรากฎด้วยครับคือ
กาแลกซี่ด้านซ้ายหมุนเวียนซ้าย กาแลกซี่ด้านขวาหมุนเวียนขวา
กาแลกซี่ทั้งสองกำลังจะเข้าหากัน หรือกำลังแยกออกจากกันเอ่ย?

ความเห็นผมคือ ธรรมดาใจกลางของแกแลกซี่ย่อมต้องมีอยู่เป็นของตนเอง ดังนั้นภาพนี้น่าจะหมายถึงการเข้าหากัน หรือกำลังจะชนกันของสองกาแลกซี่ครับ

สังเกตได้จากพลังจักรวาลพูดถึงจักระต่างๆ ในร่างกาย มีสีสันต่างๆ ลมปราณหรือรัศมีกายทิพย์ (รังสีออร่าในกายมนุษย์) มีสีสันต่างๆ กันไปขึ้นอยู่กับภูมิธรรม รัศมีกายของวิญญาณในระดับต่างๆ เทวดามีรัศมีกายไม่เท่ากัน และพระพุทธเจ้าทรงมีฉัพพรรณรังสี 7 สี เป็นต้นครับ
หยุดเหมือนรถเบรค นิ่งเหมือนน้ำในโอ่งที่ปราศจากลม แน่นเหมือนหลักที่ปักลงในเลน
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน

#6 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 01 March 2006 - 12:41 AM

ดูทิศทาง หมุนเข้าหากันนะครับ

#7 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 01 March 2006 - 02:04 AM

QUOTE
และพระพุทธเจ้าทรงมีฉัพพรรณรังสี 7 สี เป็นต้นครับ

ผมขอแก้ไขนะครับ พระรัศมีที่เปล่งออกจากพระวรกายขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ประกอบด้วยรัศมี ๖ ประการ ได้แก่

๑. นีล เขียวเหมือนดอกอัญชัญ
๒. ปีต เหลืองเหมือนหรดาล
๓. โลหิต แดงเหมือนตะวันอ่อน
๔. โอทาต ขาวดั่งแผ่นเงิน
๕. มัญเชฐ สีหงสบาท
๖. ประภัสสร เลื่อมพรายดุจแก้วผลึก ครับผม


#8 nemo

nemo
  • Members
  • 77 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 March 2006 - 03:44 PM

"พระพุทธเจ้าจึงตรัสตอบไปว่า ดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้านั้น มีมากกว่าทรายในท้องทะเลอีก"
ขออภัยนะครับ เอามาจากพระสูตรไหนหรือครับ รบกวนช่วยตอบที

#9 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 07 March 2006 - 04:28 PM

ขอบคุณน้องก้องฯด้วยครับ แหะๆๆ จำผิดครับผมขออภัยอย่างแรงครับสาธุ

หยุดเหมือนรถเบรค นิ่งเหมือนน้ำในโอ่งที่ปราศจากลม แน่นเหมือนหลักที่ปักลงในเลน
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน

#10 ป่าน072

ป่าน072
  • Members
  • 371 โพสต์
  • Location:โคราช
  • Interests:การศึกษาต่อในวิชา วิทยาศาสตร์<br />วิศวะปิโตรเคมี

โพสต์เมื่อ 22 August 2006 - 05:03 PM

ขอชมพี่นับถือในตัวพี่คนเขียนกระทู้มากเลยค่ะ
เมื่อดวงตาปิดสนิมอย่างละมุน
ไม่มีลุ้นเร่งจองมองที่หมาย
ก็จะพบผู้รู้อยู่กลางกาย
ธาตุอ่อนแก่มากมายถึงปลายทาง

#11 เราคือใคร

เราคือใคร
  • Members
  • 137 โพสต์

โพสต์เมื่อ 12 October 2006 - 08:25 PM

"พระพุทธเจ้าจึงตรัสตอบไปว่า ดวงดาวที่อยู่บนท้องฟ้านั้น มีมากกว่าทรายในท้องทะเลอีก"

พระสูตรไหนหรือครับ

#12 นักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยว
  • Members
  • 2378 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:รู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้อยู่กะที่อ่ะ มาดูอารายกานอ่ะ
  • Interests:มาสร้างบารมีตามติดหมู่คณะดีกว่า

โพสต์เมื่อ 17 October 2006 - 08:54 PM

ถูกเลยครับเคยเรียนมาแบบนี้เหมือนกัน
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ


เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี