ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

2545-11-02: หลักวิชชาในการสร้างมหาทานบารมี


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
ไม่มีการตอบกลับในกระทู้นี้

#1 extra

extra
  • Members
  • 409 โพสต์

โพสต์เมื่อ 27 June 2006 - 07:51 PM

ย่อเรื่อง หลักวิชชาในการสร้างมหาทานบารมี (2 พฤศจิกายน 2545) โดย Extra

หลักวิชชาในการสร้างบารมี ต้องเตรียม กาย วาจา ใจ ให้ใสตลอดทั้งวัน อย่าให้ขุ่นมัว ถ้าเจอเรื่องขุ่นมัวให้สั่งหมองออกทันที ตื่น หลับ ฝัน ต้องให้ใจใส ๆ ใจใส ๆ จะต้องทำยังไง ต้องนึกถึงบุญ หลับอยู่ในอู่แห่งทะเลบุญ

บุญเป็นเรื่องของความสุข และความสำเร็จในชีวิต เป็นทุกสิ่งของเราในทางด้านที่ดี ตั้งแต่มีรูปร่างครบอาการ 32 แข็งแรง อายุยืน เกิดมาในตระกูลที่ดี ครอบครัวเป็นสัมมาทิฐิ มีศรัทธา มีศีล ความเชื่อเลื่อมใสในพระรัตนตรัย มีอาหารให้เราได้รับประทาน มีน้ำให้ดื่ม มีน้ำให้อาบ ล้างหน้า แปรงฟัน เกิดจากบุญทั้งนั้น บางทีเราไม่รู้หรอก เพราะว่าคุ้นเคย ทุกอย่างมีที่มา เรามีเสื้อผ้า ไม่ต้องนุ่งใบไม้ ได้เรียนหนังสือ เจริญเติบโต จบการศึกษา ได้ทำงานการดี ๆ มียศตำแหน่งดี มีคนนับหน้าถือตา มีพวกพ้องญาติมิตรที่ดี บริวารคอยเป็นมือเป็นเท้าให้เรา ธุรกิจเจริญรุ่งเรือง เป็นบุญของเราทั้งนั้น ตลอดสังสารวัฏเราหนีเรื่องนี้ไม่พ้น ทุกวันนี้เราใช้บุญเก่าไปทุกวัน บุญเก่าคือบุญที่เราทำผ่านมาในอดีตชาติ ปัจจุบันเป็นเหตุที่เราใช้ไปทุกวัน บุญมีวันหมด อะไรก็ตามเวลามีแข่งขัน เราใช้บุญกัน บางคนมีเงินอะไรต่าง ๆ แต่ไม่สำเร็จเพราะบุญเท่านั้น ที่เราเห็นว่าเป็นเพราะฝีมือ นั่นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ใช้บุญกันทั้งนั้น ตั้งแต่ปุถุชนจนถึงพระอริยเจ้า เพราะเหตุนี้แหละเราถึงต้องสร้างบุญกัน ทำไปใช้ไป ทำในอดีตก็เอามาใช้ในปัจจุบัน ทำในปัจจุบันก็เอาไปใช้ในอนาคต ปัจจุบันเป็นผังสำเร็จมาแล้ว แก้ไขอะไรลำบาก แต่อนาคตนี้เราสามารถออกแบบชีวิตของเราได้


ภพชาติต่อไปอีกยาวนาน ซึ่งไม่รู้จะสิ้นสุดเมื่อใด เราต้องสั่งสมบุญมาก ๆ ชาติต่อไปจะได้สมบูรณ์กว่าชาตินี้ ให้เราระลึกชาติย้อนหลังในปัจจุบันนี้ คือเรายังไม่มีญาณทัศนะย้อนไกลไปในอดีตชาติ ให้เราระลึกตั้งแต่เกิดมาจนจำความได้จนถึงปัจจุบัน เรามีความสมบูรณ์ชีวิตตรงไหนและขาดตกบกพร่องอะไรบ้าง ข้อที่บกพร่องในชีวิตที่ผ่านมา อย่าให้ไปเจอในอนาคต ข้อบกพร่องจะมีได้สำหรับผู้ไม่รู้ ที่ยังไม่ได้มาถึงแสงสว่างแห่งธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่รู้ว่าตัวเองบกพร่อง นึกว่าเกิดมาก็เป็นอย่างนี้ เจออะไรก็ทำตามกันไป เมื่อเรามาเจอแบบนี้ก็ถือว่ามีบุญในระดับหนึ่งที่มารู้มาเข้าใจเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต เราก็มองไปในอนาคตข้างหน้า จะให้ชีวิตของเราสมบูรณ์อย่างไร ออกแบบเลย ซึ่งสรุปย่อ ๆ คือ ต้องมีรูปสมบัติที่ดี ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มรรคผลนิพพาน จะต้องให้สมบูรณ์ เกิดมาแล้วต้องได้สมบัติอจินไตย เป็นสมบัติที่ไม่ใช่มาจากการทำมาหากิน ค้าขาย เพราะมันลำบาก สมบัติประเภทนี้อย่าไปสนใจเลย ไปดูยอดสมบัติที่ผู้มีบุญในกาลก่อนเขาได้ ต้องฉลาดดูอย่างนี้ ทำความเข้าใจศึกษาในข้อวัตรปฏิบัติ เขาทำกันอย่างไรถึงได้อย่างนี้ เอาสมบัติอจินไตยตักไม่พร่องเหมือนท่านชฎิลเศรษฐี ท่านโชติกะเศรษฐี ท่านเมณฑกเศรษฐี ซึ่งเป็นต้นแบบที่ดีของเรา ประวัติของผู้มีบุญเหล่านี้มีบันทึกไว้ในพระไตรปิฎก ถ้าประวัติของท่านเหล่านี้สูญหายไป เราจะไม่รู้เลยว่าเคยมีผู้มีบุญในกาลก่อน มีสมบัติประเภทนี้เอาไว้ใช้สร้างบารมี นั่นแหละคือเป้าหมายของเราที่จะมีสมบัติอจินไตย แบบเหนือธรรมชาติ เกิดขึ้นเอาไว้ใช้สร้างบารมี

ท่านชฎิลเศรษฐีส่งคนออกไปสืบดูว่ามีใครรวยเหมือนตัวบ้าง ท่านให้คนในบ้านเอาผ้าผืนหนึ่ง ราคาแสนกหาปณะ ออกไปเร่ขาย เผอิญไปเจอท่านโชติกะเศรษฐี ไปขายท่านเมื่อท่านโชติกะเศรษฐีได้มาก็ส่งให้คนรับใช้ที่บ้านไปใช้ คนรับใช้ที่บ้านร้องไห้เลย ท่านเศรษฐีผมทำผิดอะไรไปหรือ ถึงเอาผ้าสัปปะรังเคอย่างนี้มาให้ เปล่า ไม่ใช่ให้เอาไปเช็ดเท้า ขณะที่พระราชาไม่มี ผ้านั้นเกิดจากต้นกัลปพฤกษ์ เกิดจากกายสิทธิ์ เกิดขึ้นด้วยบุญเป็นแสงสว่างวาบออกมา

ผู้มีบุญในกาลก่อน แม่กับลูกคุยกัน ลูกเป็นหนุ่ม แม่ก็อยากให้ไปเที่ยวเผื่อจะเจอสาว ๆ ถูกใจบ้าง ก็คัดเสื้อผ้าที่ดีที่สุดในบ้านให้ ลูกชายบอกไม่เอาไม่สวย แม่บอกว่านี่ผ้าราคาแสนกหาปณะเชียวนะ แม่เลยพูดประชด ไปเอาผ้าเทวดาไปใช้ไป ไปเป็นพระราชาเลยไป แต่การประชดนี่ใช้ได้เฉพาะบางคนนะ แม่ที่รักลูกทั้งหลาย ถ้าไปเจอลูกที่มีบุญ ก็จะบอกว่าสาธุแม่ ขอให้เป็นอย่างนั้น ก็เดินออกจากบ้านไปเฉย ๆ ไปนอนที่อื่น ตื่นขึ้นมาราชรถมาเกย ต้นกัลปพฤกษ์เกิด ด้วยอานุภาพแห่งทานบารมี ด้วยการทอดผ้าป่าและ เนื้อนาบุญมารับผ้าป่าไป เลยได้ผ้าแบบเทวดามาใส่จริง ๆ ไปเที่ยวงาน แล้วได้เป็นพระราชาในวันนั้น

ผู้มีบุญในกาลก่อน บางคนเกิดมามีขนอ่อนที่เท้า พระโสณโกฬิวิสะ เรื่องลือไปถึงพระราชา อยากดูขนอ่อนที่ฝ่าเท้า ทำอย่างไรให้พระราชาดูแล้วเอ็นดู นึกออกไหมจะทำอย่างไร ผู้มีบุญเขามีปัญญา ไปถึงก็นั่งขัดสมาธิให้ดูแบบท่านั่งขัดสมาธิ ทีนี้พอเกิดมาเดินได้ พ่อแม่ก็เอาเครื่องลาดปูไม่ให้เดินบนพื้น แม้สนามหญ้าก็ปูพรม มีอยู่วันหนึ่งงอนแม่ บอกว่าเดี๋ยวไม่เดินบนพรมซะนี่ จะเดินบนพื้นดิน เดินแล้วขนจะร่วง เป็นปุ่มเป็นปมเป็นแผล นี่เคยทำหน้าที่ผู้นำบุญ ตั้งกองกฐินชวนคนทำบุญ ชวนคนสร้างบารมี และมีบุญพิเศษเดินชวนคนทำบุญ พูดเรื่องเป็นอรรถเป็นธรรม พูดเรื่องความจริงของชีวิตเป็นอย่างไร ชวนเขาสร้างบุญสร้างกุศลไป ทำให้มีขนอ่อนที่เท้า


มีสามีภรรยาอยู่คู่หนึ่ง สามีมีศรัทธาในพระพุทธศาสนา เดิมไม่อยากแต่งงาน พ่อแม่แก่ลงก็พาไปดูตัว ลูกก็ยังปฏิเสธไม่แต่งงาน พ่อแม่รู้นิสัยของลูกชายดีว่าเป็นผู้มีศรัทธาในพระรัตนตรัย เลยไปบอกฝ่ายหญิงว่าให้นิมนต์พระมาแล้วทำบุญเลี้ยงพระ จะได้ไปบอกลูกชายว่าเธอเป็นคนมีศรัทธา ฝ่ายหญิงก็ทำตาม พ่อแม่บอกลูกชายว่าเขาดีนะ ใจดีนะ นิมนต์พระมาเลี้ยงพระที่บ้าน หน้าตาก็สวย พูดก็เพราะ แถมใจบุญอีก ฝ่ายชายก็บอกว่าแต่งก็แต่ง พอแต่งแล้วก็ดีอยู่แค่ 2 วันเท่านั้น สามีนิมนต์พระมาดูแลได้แค่ 2-3 วัน ภรรยารักแต่สามี แต่ไม่ได้รักการสร้างบุญ ต่อมาก็เบื่อ ขี้เกียจทำ ต่อมาสามีต้องไปทำมาค้าขายต่างจังหวัด ก็บอกภรรยาว่าระหว่างตัวไม่อยู่ให้เลี้ยงพระทุกวันนะ พอพระมา ก็แกล้งเอาของเหลือเดินไปใส่บาตร พูดตะเพิดไล่พระ จนกระทั่งพระไม่มาบ้านเลย เมื่อสามีกลับมาจากทำมาค้าขายก็บอกสามีว่า พระไม่มาเลย ใส่บาตรอย่างดีเลย แต่ว่าพระเอาไปเททิ้ง สามีเป็นคนหนักแน่นก็ไปสืบดู พบว่าพระดี แต่ภรรยาไม่มีศรัทธาไปไล่พระ ก็เลยเกิดหงุดหงิดไล่ภรรยาออกจากบ้านเลย ตัวเองก็ไปนิมนต์พระมาจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ปรนนิบัติพระเรื่อยมา มีอยู่วันหนึ่งได้ฟังธรรมพูดถึงเรื่องอานิสงส์การสร้างมหาวิหาร ก็เกิดศรัทธา ได้สร้างวิหารจตุรมุขมี 4 ห้อง ถวายแด่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อมาพระโมคคัลลานะเหาะไปบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เห็นวิมานหนึ่งสว่างอย่างกับดวงอาทิตย์ มีนางเทพอัปสร เทพนารี มากมาย ท่านไปถามว่าเป็นของใคร เทพอัปสรเทพนารีที่นั่นก็บอกว่า เจ้านายยังอยู่ในเมืองมนุษย์ เขาสร้างบุญแล้ววิมานนี้ก็เกิดขึ้น เขาพยายามดูแลวิมานนี้ตลอดเวลา และมีความระลึกนึกถึงเจ้านายซึ่งเป็นเจ้าของวิมานว่าเมื่อไหร่จะขึ้นมาสักที จะได้ปรนนิบัติรับใช้ มัวแต่อยู่ในเมืองมนุษย์ พระคุณเจ้าลงไปแล้วช่วยบอกหน่อยเถอะว่าอย่าไปอยู่เลยในเมืองมนุษย์ เปรียบเสมือนภาชนะดิน เมืองสวรรค์เปรียบเหมือนภาชนะทองคำ ทิ้งภาชนะดินมาเอาภาชนะทองคำดีกว่า พระโมคคัลลานะเหาะกลับมาไปเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบทูลว่ามีวิมานบนสวรรค์สำหรับผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่จริง หรือ พระผู้มีพระภาคตอบว่า จริง บางคนสั่งสมบุญเมืองมนุษย์มาก วิมานก็จะเกิดรอคอยอยู่บนสวรรค์อย่างที่เธอได้ไปเห็นนั่นแหละ

ต่อมาไม่นานเจ้าของวิมานก็ละจากโลกมนุษย์ ได้ไปเสวยสุขบนวิมานสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ฝ่ายภรรยาก็กลับมารับมรดกที่บ้านแทนในฐานะภรรยา แต่มีความตระหนี่ ไม่ได้ทำทาน ไม่ได้ใส่บาตรพระ จนกระทั่งเหลืออีก 7 วันจะหมดอายุขัย ท้าวเวสวัณโณผู้ปกครองยักษ์ ให้ยักษ์บริวารมาประกาศให้ชาวบ้านบริเวณนั้นได้รับทราบว่า อีก 7 วันภรรยาของเจ้าของวิมานจะตาย ยักษ์นั้นก็ มาประกาศเสียงดังลั่นแต่ไม่เห็นตัว ชาวบ้านแถวนั้นได้ยินหมด พอครบ 7 วันก็ตาย พอตายยักษ์ก็มาเลย ยักษ์ทั้ง 2 มาจับจะพาไปลงนรก แต่ก่อนที่จะไป ได้พาไปชมวิมานของสามี ภรรยาเห็นก็ถามว่า วิมานของใคร สว่างอย่างกับดวงอาทิตย์ สวยงามมาก ยักษ์ตอบว่า วิมานของสามีเธอนั่นแหละ ตอนเป็นมนุษย์สั่งสมบุญ วิมานจึงเกิดขึ้น ภรรยาบอกว่า อ้าว ถ้าสามีอยู่ตรงนี้ ฉันก็อยู่ได้ด้วยสิ ยักษ์ก็ตอบว่า ไม่ได้ นี่สำหรับผู้มีบุญ เธอไม่ได้สร้างบุญ ถึงแม้จะเคยเป็นภรรยา นี่ให้ดูเป็นขวัญตาว่าบุญบาปมีจริง ตอนเธอมีชีวิตอยู่ เธอประมาท เธอตระหนี่ ไม่สร้างบุญสร้างบารมี ก็พาไปอุสสทนรกขุมบริวาร พอไปถึงก็ร้องไห้ ขอโอกาสหน่อยเถอะ อย่าพึ่งเอาฉันมาลงนรกเลย ถ้าไปอยู่ในเมืองมนุษย์ จะสร้างบุญให้เต็มที่เลย ยักษ์บอกว่า ไม่ได้ หมดโอกาสแล้ว ตอนนี้เธอตายแล้ว ทำอย่างไรได้อย่างนั้น ฝ่ายภรรยาบอกว่า ถ้าอย่างนั้นใครจะไปเกิดในโลกมนุษย์ ช่วยไปบอกลูกชายให้เขาสั่งสมบุญไว้เยอะ ๆ ยักษ์ตอบว่า ทำอย่างนั้นก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน ภรรยาบอกว่า ถ้างั้นขอตั้งใจไว้ว่า ถ้าพ้นโทษอย่างนี้แล้ว จะทำแต่ความดี สิ่งไม่ดีจะไม่ทำ รู้แล้วก็เอามาใช้ตอนนี้ไม่ได้ เมื่อนายนิรยบาลปรากฏขึ้น ยักษ์นั้นก็อันตรธานหายไป ภรรยาท่านนี้ชื่อดี แต่ทำไม่ค่อยจะดี ชื่อมาพ้องกับคนที่หลวงพ่อรู้จัก แต่เขาจิตใจงามอยู่ต่างประเทศมาทำบุญที่วัดเราอย่างสม่ำเสมอ ชื่อเรวดี คนละคนกัน วิมานของเขาอยู่ที่ดุสิตบุรี เขาเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาทำบุญที่วัด ดวงบุญสุกใส ส่วนสามีของนางเรวดีที่ไปอยู่บนดาวดึงส์ชื่อ นายนันทิยะ