บาปไหม ทุบพระพรหมเอราวัณ
#1
โพสต์เมื่อ 21 March 2006 - 12:39 PM
#2
โพสต์เมื่อ 21 March 2006 - 01:51 PM
อยากทราบว่า คุณเด็กดอย ถือศีลแปด สวดมนต์ ทำวัตรเช้าเย็น และได้นั่งสมาธิบ่อยแค่ไหนครับ เรื่องบางเรื่องเป็นเรื่องละเอียด ต้องใจละเอียด มีธรรมะละเีอียด
เรื่องนี้ต้องหาคำตอบด้วยตัวเองครับ ผมแนะนำลองหาโหลดธรรมะ ดี ๆ จากเวบกัลยาณมิตร มาฟังหาคำตอบจากเรื่องที่ีถามได้ดีกว่านะครับ http://www.kalyanami..._dhammabook.asp
อย่าให้ความตั้งใจที่ดี เปลี่ยนแปลงไป กับกาลเวลา
เพราะเราไม่รู้ว่า่วันพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร เราอาจจะอยู่หรือตาย
สิ่งที่เอาไปได้มีแต่บุญกับบาปเท่านั้น ฉนั้น เราต้องอยู่กับวันนี้
วันที่เราบอกตัวเองว่า วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุด ในวันหนึ่งของชีวิตการสร้างบารมีของเรา
โอไดบะ
โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
#3
โพสต์เมื่อ 21 March 2006 - 04:25 PM
#4
โพสต์เมื่อ 21 March 2006 - 04:44 PM
เมื่อมีผู้คนไปสักการะ ภุมเทวาและวิทยาธรเหล่านั้นก็ต้องการลาภสักการะ และบริวาร เมื่อผู้ใดพอจะมีบุญอยู่บ้าง แล้วอธิษฐานก็จะช่วยเสริมให้สำเร็จ แต่ที่จะสำเร็จจริง ๆ นั้นขึ้นอยู่กับบุญของคน ๆ นั้นเป็นหลัก
สิ่งที่เป็นตัวแทนนั้นก็เหมือนสื่ออย่างหนึ่ง ที่จะเชื่อมระหว่างมนุษย์กับอาจารย์วิทยาธร , ภุมมเทวา เมื่อถูกทำลายลงไม่บาปถึงกับต้องไปตกนรก แต่เป็นการไปทำลายทรัพย์สินของผู้อื่น ก็จะมีวิบากกรรมทรัพย์สินของตนต้องถูกทำลายบ้าง
แต่ถ้าวัตถุนั้นมีอาจารย์วิทยาธรรักษาอยู่ เขาก็ต้องโกรธเป็นธรรมดา คนที่นับถือเมื่อตายไปแล้วก็ต้องไปเป็นบริวารอยู่ตรงนั้น และช่วยรักษาวิชาวิทยาธรให้ศักดิ์สิทธิ์ เพื่อเป็นทางมาของลาภสักการะและบริวาร
สถานที่นั้นก็มิได้เป็นที่เจาะจงของภุมมเทวาตนใด เป็นที่ชุมนุมของเหล่าวิทยาธรและภุมมเทวา พอถูกทำลายก็ไม่ได้ถือว่าหมดบุญ เพียงแต่จะขาดลาภสักการะไป
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ขอให้ยึดมั่นในพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุด จะได้ไม่ต้องไปเป็นบริวารใคร
#5
โพสต์เมื่อ 21 March 2006 - 10:00 PM
แต่พวกที่ไปทำร้ายคนทุบรูปปั้น จนถึงแก่ความตายนั้น บาปแน่ๆ ขุม 1 สิคะ
อ้ายที่อยากมันก็หลอก อ้ายที่หยอกมันก็ลวง ทำให้จิตเป็นห่วงเป็นใย.."
พระมงคลเทพมุนี (สด จันทสโร)
#6
โพสต์เมื่อ 21 March 2006 - 10:06 PM
อารามรุกขฺเจตฺยานิ มนุสฺสา ภยตชฺชิตา
เนตํ โข สรณํ เขมํ เนตํ สรณํมุตฺตมํ
เนตํ สรณมาคมฺม สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ
โย จ พุทธญฺจ ธมฺมญจ สงฺฆญฺจ สรณํ คโต
จตฺตาริ อริยสจฺจานิ สมฺมปฺปญฺญาย ปสฺสติ
ทุกฺขํ ทกฺขสมุปฺปาทํ ทุกฺขสฺส จ อติกฺกมํ
อริยญฺจฏฐํคิกํ มคฺคํ ทุกฺขูปสมาคามินํ
เอตํ โข สรณํ เขมํ เอตํ สรณมุตฺตมํ
เอตํ สรณมาคมฺม สพฺพทุกฺขา ปมุจฺจติ
ย่อมยึดเอาภุเขาบ้าง ป่าบ้าง อารามบ้าง ต้นไม้ที่เป็นเจดีย์บ้าง
ว่าเป็นที่พึ่ง นั่นไม่ใช่สรณะอันเกษม นั่นไม่ใช่สรณะอันอุดม
เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั้นแล้ว ไม่สามารถหลุดพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้
ส่วนผู้ใดยึดพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ ว่าเป็นที่พึ่ง
เห็นอริยสัจ ๔ ด้วยปัญญาอันชอบของตน
คือ เห็นทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ความดับทุกข์ และมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ
ซึ่งยังบุคคลให้ถึงความสงบแห่งทุกข์
สรณะนั่นแลเกษม สรณะนั่นแลอุดม
เพราะบุคคลอาศัยสรณะนั่นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวง
ท้ายที่สุดนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายพึงอาศัยสรณะอันสูงสุดเกษมศานต์อย่างไม่มีอื่นใดยิ่งกว่า เป็นนิยยานิกธรรมนำพาตนเองและหมู่สัตว์ให้ล่วงพ้นจากบ่วงแห่งมาร อีกทั้งเครื่องร้อยรัดทั้งหลายในสังสาร และพึงเป็นผู้ถึงพร้อมบริบูรณ์ด้วยพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ สังฆรัตนะ ญาณรัตนะ อันขึ้นตรงต่อธรรมภาคขาวที่บริสุทธิ์สะอาดปราศจากมลทินโดยส่วนเดียว ทั้งในภพนี้และตลอดไปทุกภพทุกชาติ ตราบกระทั่งถึงที่สุดแห่งธรรมเทอญฯ
ปล. ต้องตอกย้ำซ้ำเดิมให้ขึ้นใจ และให้เข้าไปอยู่ในใจของมวลมนุษย์ทุกคน
ไฟล์แนบ
#7
โพสต์เมื่อ 21 March 2006 - 11:08 PM
ที่พึ่งที่ระลึกอันสูงสุดนอกเหนือจากนี้ ไม่มีอีกแล้ว
ขอเรียนเชิญสมาชิก DMC และพุทธศาสนิกชนทุกๆท่านร่วมกัน
สวดสรรเสริญคุณของพระรัตนตรัย โดยพร้อมเพรียงกันนะ
.........
ขออนุโมทนาบุญค่ะ.....สาธุ
#8
โพสต์เมื่อ 22 March 2006 - 12:35 AM
ถามว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์หมดอานุภาพหรืออย่างไร? ขอตอบครับว่าความศักดิ์สิทธิ์นั้นไม่ได้อยู่ที่รูปสักการะครับแต่อยู่ที่จิตของเทวดาที่ท่านรับทราบและคอยให้ความช่วยเหลือที่สถิตย์ ณ ที่แห่งนั้นตะหากครับที่ศักดิ์สิทธิ์จริง วัตถุในโลกนี้ก็คือวัตถุ ย่อมตกอยู่ในอำนาจของไตรลักษณ์เป็นธรรมดา สามารถพังได้ ผุได้ เสียหายได้ เสื่อมได้เป็นธรรมดา คำถามข้อนี้ก็เหมือนกับถามว่าพระพุทธเจ้าเราท่านปรินิพพานไปแล้วกายเนื้อท่านพินาศไปแล้วหมดความศักดิ์สิทธิ์หรือไม่หละครับ ถ้าอานุภาพท่านยังคงอยู่ตราบใด อานุภาพของเทวดา พรหม ในภพ 3 ย่อมต้องมีอยู่เช่นกันครับ
การนับถือเทวดาหรือพรหม ไม่ใช่สิ่งเลวร้ายครับ เพราะถ้าใครนับถือเทวดา หรือพรหม มีจิตเป็นเทวตานุสติ ปฏิบัติใน หิริ-โอตตัปปะ พรหมวิหาร 4 ก็ย่อมมีโอกาสได้สหายเป็นเทวดา และพรหมได้ครับ ดีกว่าไปได้เพื่อนในมหานรกเยอะนะครับ 555+
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน
#9
โพสต์เมื่อ 22 March 2006 - 01:04 PM
#10
โพสต์เมื่อ 22 March 2006 - 07:50 PM
นักเรียนอนุบาลฝันในฝันคงเข้าใจความหมายนะคะ
รอตั้งนานผู้ชาญศึกหายไปไหน
บอกจะพบกันครึ่งทางที่กลางใจ
อีกนานไหมจะให้พบช่วยบอกที
#11
โพสต์เมื่อ 22 March 2006 - 09:14 PM
#12
โพสต์เมื่อ 23 March 2006 - 12:34 PM
ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์ของเราก็มีเพื่อนชื่อว่า โชติปาละ สิ้นชีวิตแล้วก็ไปเป็นพรหมชั้นสุทธาวาส ปัจจุบันก็ยังอยู่ชั่นสุทธาวาส ซึ่งพระพุทธเจ้าของเราก็ได้ชื่อว่ามีเพื่อนเป็นพรหมเหมือนกัน
แม้แต่พระพาหิยะ ก็มีเพื่อนเป็นพรหมเช่นเดียวกัน โดยในอดีตท่านกับเพื่อนพระภิกษุ 7 รูปปีนขึ้นไปบนยอดเขา ผลักบันไดออก และนั่งสมาธิ เพื่อนบางรูปบรรลุเป็นพระอรหันต์ เหาะไปเอาอาหารมาให้ แต่รูปอื่นๆ ก็ไม่ยอมฉัน นั่งสมาธิต่อไป ต่อมาเพื่อนบางรูปบรรลุเป็นพระอนาคามี เหาะไปเอาอาหารมาให้ ก็เหมือนเดิม สุดท้ายพระพาหิยะ ก็เสียชีวิต ส่วนเพื่อนที่เป็นพระอนาคามีกลายเป็นพรหมชั้นสุทธาวาส
ในชาติปัจจุบัน พระพาหิยะมีความเห็นผิด เนื่องจากเรือแตก ลอยคอมาถึงฝั่งไม่มีเสื้อผ้าใส่ ชาวบ้านนึกว่าเป็นพระอรหันต์ ไม่ยึดติดในเสื้อผ้า เลยมากราบกราน พระพาหิยะหลงเคลืบเคลิ้ม จึงคิดว่าตนเป็นพระอรหันต์จริงๆ จนเพื่อนพรหมนี่แหละ(มีเพื่อนดี ก็ดีอย่างนี้) แว็บมาหา แล้วบอกว่า พาหิยะท่านไม่ใช่อรหันต์นะ ท่านหลงผิดแล้ว ตอนนี้พระพุทธเจ้าเกิดขึ้นแล้ว ไปฟังธรรมจากพระพุทธเจ้าสิ นั่นแหละครับ พระพาหิยะถึงได้สติ ไปฟังธรรม แล้วก็ได้เป็นพระอรหันต์
มีเพื่อนเป็นพรหมไว้ก็ไม่เสียหลายครับ เพราะจะช่วยพาเราไปถึงพระรัตนตรัยที่เป็นที่พึ่งไปถึงฝั่งพระนิพพานได้ เหมือนเราลอยคออยู่ในทะเล มีขอนไม้มาเราก็เกาะไว้ก่อนไม่งั้นเราหมดแรงตายได้ พอเรือมา เราก็ทิ้งขอนไม้แล้วไปเกาะเรือเพื่อแล่นไปถึงฝั่ง ก็เท่านั้นแหละครับ
#13
โพสต์เมื่อ 23 March 2006 - 06:42 PM
สหายที่ไปเกิดเป็นพรหมสุทธาวาสมีชื่อว่า "คติการะ" ส่วนสหายผู้มีความเห็นผิดนั้น คือ "โชติปาละ" ต่างหากล่ะครับพี่หัดฝัน
#14
โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 11:57 AM
#15
โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 01:13 PM
#16 *ผู้มาเยือน*
โพสต์เมื่อ 24 March 2006 - 05:17 PM
แสดงให้เห็นว่า...ถ้ายอมรับมันซะอย่างนะ....อะไรๆก็ถูกบดบังหมดครับ
#17
โพสต์เมื่อ 25 March 2006 - 04:19 PM
ก็ต้องพึ่งคนอื่นค่ะ
ส่วนคนที่เราจะไปพึ่งนั้นก็ต้องดูว่า เข้าทำนอง เตี้ยอุ้มค่อมไหม
ถ้าพระพรหมที่ว่านี้ ท่านยังไม่สามารถพาตัวเองข้ามทะเลแห่งทุกข์ไปได้ก็อย่าไปพึ่งท่านเลยค่ะ
หันกลับมาพึ่งพระองค์ผู้ข้ามฝั่งแห่งทุกข์ได้แล้วเถิด
คือ พระรัตนตรัย อันเป็นที่สูงสุด จะปลอดภัยกว่าค่ะ
#18
โพสต์เมื่อ 16 December 2008 - 09:30 PM