ไปที่เนื้อหา


foox

เป็นสมาชิกตั้งแต่ 11 Nov 2005
ออฟไลน์ ใช้งานล่าสุด Oct 13 2008 05:47 PM
-----

โพสต์ที่ฉันโพสต์

ในกระทู้: ขอรูปหลวงปู่ค่ะ

13 October 2008 - 05:25 PM

.

ในกระทู้: ขอคำอธิบายดีๆไปตอบคำถามเรื่องพระเวสสันดรหน่อยค่ะ

22 September 2008 - 07:49 AM


พระเวสสันดรยกพระโอรสและพระธิดาเป็นทานแก่ชูชก
การให้ทานในลักษณะนี้ถูกต้องหรือไม่




ถาม

...กราบนมัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูงคนส่วนใหญ่มักจะมีความสงสัยว่า
การที่พระเวสสันดรยกพระโอรส และพระธิดาให้แก่ชูชก ทำให้ทั้ง ๒พระองค์ได้รับความลำบาก
การให้ทานในลักษณะนี้ถูกต้องหรือไม่ ?


ตอบ


... ในการที่จะตัดสินว่าใครทำอะไรผิด หรือถูกนั้น มีสิ่งที่ต้องพึงระมัดระวังอยู่ ๒ ประการด้วยกัน คือ

๑. กฎเกณฑ์ของเรื่องนั้นมีอย่างไร

๒. สถานภาพของผู้ทำเป็นอย่างไร


เพราะฉะนั้น อย่าเพิ่งประเมินเหตุการณ์ใด โดยเอาความรู้สึกนึกคิดของเราเข้าไปใส่
ต้องนำกฎเกณฑ์ของเรื่องนั้นๆ กับสถานภาพของผู้ทำ เข้ามาประกอบในการพิจารณาด้วย
ไม่อย่างนั้น เดี๋ยวจะตัดสินผิดพลาดไปได้

ในกรณีของพระเวสสันดร ให้ทานพระโอรสและพระธิดาแก่ขอทานเฒ่านั้น
ในกรณีนี้ ก่อนที่จะเอาตัวของเราเข้าไปเปรียบเทียบ หลวงพ่ออยากจะให้หลักในการตัดสินใจว่า
จะทำอะไร เอาไว้สัก ๓ ประการด้วยกัน คือ

ประการที่ ๑ เวลาจะทำอะไร ถามตัวเองก่อนว่า มีอะไรเป็นเป้าหมายหลัก และมีอะไรเป็นเป้าหมายรอง

ประการที่ ๒ เวลาจะทำอะไร แน่นอนว่า ต้องเอาเป้าหมายหลักเป็นที่ตั้ง แต่ว่าเป้าหมายรองก็ต้องไม่เสียหาย หรือถ้าจะมีความเสียหายบ้าง ก็ให้เสียหายน้อยที่สุด

ประการที่ ๓ หลังจากตัดสินใจทำลงไปแล้ว ถ้าจะให้ดีที่สุดล่ะก็ ทั้งเป้าหมายหลัก
และเป้าหมายรอง ต้องทำให้สำเร็จด้วยกันทั้งคู่
หรือว่าถ้าเกิดมีความผิดพลาดอะไรขึ้นมา อย่างน้อยเป้าหมายหลักต้องสำเร็จ
ส่วนเป้าหมายรองค่อยว่ากันอีกที


... ในกรณีของพระเวสสันดร เป้าหมายหลักที่พระองค์ทรงตั้งเอาไว้ ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สำคัญสูงสุด
ซึ่งติดตัวข้ามภพข้ามชาติ มานับชาติกันไม่ถ้วน คือ

๑. การบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์มุ่งในเรื่องของการบรรลุธรรม
คือ การปราบกิเลสในตัวเองให้หมดไป

๒. การรื้อสัตว์ขนสัตว์ เมื่อตัวของพระองค์หมดกิเลสแล้ว ก็ยังตั้งใจที่จะช่วยชาวโลก
ทั้งหลายให้หมดกิเลส จะได้พ้นทุกข์ตามไปด้วย เพราะที่มนุษย์ทั้งหลายเป็นทุกข์อยู่ขณะนี้
จริงๆ แล้วเกิดจากกิเลสที่ฝังอยู่ในใจของแต่ละคนนั่นเอง

... หน้าที่หลัก หรือว่าเป้าหมายหลักที่พระองค์ทรงตั้งเอาไว้ ข้ามภพข้ามชาติมาเป็นอย่างนี้
ส่วนเป้าหมายรอง หรือว่าหน้าที่รอง คือ หน้าที่แห่งความเป็นพ่อ ซึ่งมีต่อพระโอรสและพระธิดา
ของพระองค์นั่นเอง

ในเหตุการณ์นี้จึงมีอยู่ ๒ เรื่องใหญ่ๆ เพราะฉะนั้น เมื่อพระองค์ตัดสินใจยกพระโอรสและพระธิดา
ให้ชูชกไป ถามว่า พระองค์ทำผิดหรือถูก เพราะในสถานภาพของพระองค์นั้น ถ้าทำผิดก็ไม่ได้บุญ
แต่ถ้าทำถูกล่ะก็ ได้บุญอย่างเต็มที่ทีเดียว

เมื่อเอาหน้าที่สำคัญสูงสุดของพระองค์เป็นตัวตั้ง ก็ตอบได้ชัดเจนเลยว่า การที่พระองค์ยก
พระโอรสและพระธิดาให้ชูชกไปนั้น พระองค์ทำถูกแล้ว

เพราะว่าที่พระองค์ต้องไปบำเพ็ญภาวนาอยู่ในป่าครั้งนี้ ก็ตั้งใจที่จะไปค้นคว้าทางจิต
คือการทำสมาธิภาวนา เพื่อจะได้บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ

เมื่อเป็นอย่างนี้ การที่ยกพระโอรสและพระธิดาเป็นทาน จึงเป็นการตัดความกังวลออกไป
เพราะว่าให้ไปครั้งนี้ไม่ได้ให้ไปตาย เมื่อให้ไปแล้ว พระองค์ก็จะมีเวลาสำหรับทำการสมาธิภาวนา
ค้นคว้าทางจิตได้เต็มที่

... แต่อย่างไรก็ตาม เพื่อไม่ให้เป้าหมายรองเกิดความเสียหาย พระองค์ทรงใช้ปฏิภาณในการป้องกัน
ไม่ให้หน้าที่แห่งความเป็นพ่อของพระองค์เสียไปคือ

ประการที่ ๑ ทรงตั้งค่าไถ่ตัวพระโอรสและพระธิดาเอาไว้แพงลิ่ว ผู้ที่จะมาไถ่ตัวได้
ต้องเป็นกษัตริย์เท่านั้น พูดง่ายๆ ให้ปู่กับย่าเตรียมไถ่ตัวเอาไปก็แล้วกัน

ประการที่ ๒ เมื่อเป็นอย่างนี้ ผู้ที่ได้พระโอรสและพระธิดาของพระองค์ไป
อย่างไรเสีย ก็ต้องถนอมทั้ง ๒ พระองค์อย่างดี เพราะเขาก็อยากเงินเหมือนกัน

ประการที่ ๓ พอกลับไปถึงเมืองหลวง พระโอรสและพระธิดาก็จะมีความสะดวกสบาย
มากกว่าอยู่กับพระองค์ในป่า

ประการที่ ๔ พระราชบิดา พระราชมารดาของพระองค์เอง รวมทั้งพระญาติพระวงศ์
และประชาชนทั้งหลาย ก็จะพากันดีใจ

เพราะฉะนั้น แม้หนทางจะทุรกันดาร แต่ว่าเมื่อตอนเสด็จมา พระโอรสและพระธิดาก็เดินมา
เหมือนกัน เพียงแต่ว่าตอนนั้น มากับเสด็จพ่อ เสด็จแม่ แต่ครั้งนี้จะต้องไปกับขอทานเฒ่า อาจจะลำบาก
หน่อย และคิดถึงเสด็จพ่อ เสด็จแม่ ต้องร้องไห้กระจองอแงบ้าง ก็ต้องอดทน เพราะอย่างไรก็ไม่ถึงตาย

แล้วที่แน่ๆ พระนางมัทรีซึ่งเป็นพระมารดา ก็คงจะเสียอกเสียใจไม่น้อย แต่ว่าก็ไม่ถึงตายอีกเช่นกัน
เมื่อไม่ถึงกับตายกันอย่างนี้ แล้วยังมีทางก้าวหน้า มีทางลดภาระ จึงทรงยกให้เขาไป

นี่เป็นความคิดของคนที่ใจใหญ่ เป็นความคิดของคนที่มุ่งจะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิ
เพื่อจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ต่อไปข้างหน้า เขาคิดกันอย่างนี้เอง


... อุปมาเหมือน ทหาร กับ ประชาชน ย่อมคิดไม่เหมือนกันหรอกลูกเอ๊ย
เช่น ในภาวะสงคราม ประชาชนอย่างไรก็ห่วงลูกห่วงหลาน อุ้มลูกจูงหลานกันกระจองอแง
ไม่ยอมทิ้งลูกหลานให้ห่างตัว นั่นคือความรักของพ่อแม่ทั่วไป

ทหารก็มีลูกเหมือนกัน แต่ว่าเมื่อเป็นหน้าที่ แม้ลูกและภรรยาจะร้องไห้อย่างไร
ทหารก็ต้องออกไปรบ ออกไปรบทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าตัวเองจะได้กลับมาอีกหรือไม่

เพราะถ้าบ้านเมืองแพ้สงครามก็ต้องตายกันทั้งหมด หากออกไปรบแล้วชนะ
ยังมีสิทธิ์ได้กลับมา หรือแม้จะตายในสงคราม แต่ว่าโดยรวมแล้วประเทศชาติชนะ
ลูกกับภรรยาที่อยู่ข้างหลัง ก็ยังรอดอยู่ดี

ทหารทิ้งลูก ทิ้งภรรยา ออกไปรบ ยังไม่มีใครว่าเลย กลับชมเสียอีก ว่าทหารทำถูก ทหารเสียสละ

เช่นเดียวกัน พระเวสสันดรก็กำลังทำสงคราม กำลังสู้รบกับกิเลสอยู่ในป่า
จึงทรงตัดใจส่งพระโอรสและพระธิดากลับบ้านกลับเมือง โดยยืมมือขอทานเฒ่าชูชก

ตรงนี้นี่เองคือสิ่งที่หลวงพ่ออยากจะเตือนเอาไว้ ว่าอย่าเที่ยวเอาตัวของเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
เนื่องจากเราอยู่กันคนละสถานภาพนะลูก

เพราะฉะนั้น ขอยืนยันอีกครั้งหนึ่งว่า พระเวสสันดรท่านทำถูกต้องแล้ว ทำถูกในฐานะของผู้มุ่ง
ที่จะบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ เพื่อที่จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ต่อไปข้างหน้า


แต่ว่าอย่านำมาเปรียบเทียบกับพวกเรา ซึ่งงานการอะไรที่จะรับผิดชอบทางโลกก็มีไม่เท่าไหร่
ขี้เกียจเลี้ยงลูก เลยถือโอกาส ยกลูกให้คนนั้น คนนี้ไป เพื่อจะเอาบุญ อย่างนี้ทำผิดแน่นอน
เพราะเป็นคนละเรื่องกัน ห้ามนำมาปนกันอย่างเด็ดขาด




"หลวงพ่อตอบปัญหา" โดย พระภาวนาวิริยคุณ
วัดพระธรรมกาย



................................................................




ทำไมต้องบริจาคบุตรเป็นทาน คนดีแน่หรือ ?





.......ทั้งชาวพุทธและศาสนิกชนศาสนาอื่น ๆ มักมีคำถามเกิดขึ้นเป็นประจำว่า " การที่พระเวสสันดร
บริจาคบุตรเป็นทาน เป็นความดีหรือไม่ " ข้อนี้มีวิสัชนาว่าพระเวสสันดร (อดีตชาติของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า)
ไม่ได้บังคับใจผู้ใดให้มาเกิดเป็นบุตรหรือภริยา

พระมหาสัตว์ทุกพระองค์ ย่อมมีความปรารถนาเสมอกัน คือ ให้ส่ำสัตว์ทั้งหลายสามารถข้ามพ้น
ห้วงแห่งความทุกข์ทั้งปวงให้สิ้นไป โดยพระองค์จะเป็นผู้แบกรับภาระในการบำเพ็ญบารมีถ้วนอสงไขยกัปป์
รับเอาความทุกข์ยากทั้งหมดในการฝึกฝนกำลังใจ แล้วนำประสบการณ์เหล่านั้นมาสั่งสอนพุทธบริษัท
ซึ่งบำเพ็ญบารมีร่วมกับพระมหาสัตว์พระองค์นั้น ๆ โดยพร้อมแล้ว เพื่อข้ามพ้นห้วงโอฆสงสาร

อตีตํ กาเล , อันว่าสมัยอดีตกาลโพ้น พระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันนี้ กำเนิดเกิดเป็น
พราหมณ์มหาศาลผู้หนึ่ง ได้ฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์โน้น บัดนั้นแล พระมหาสัตว์มี
ความปรารถนาอันแรงกล้าในอันที่จะบรรลุปรมาภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ จึงได้กล่าวสัจวาจา ณ ที่นั้น

พุทฺโธ , ดูกร ท่านทั้งหลาย บัดนั้นแล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้พ้นวิเศษทั้งปวงแล้ว ตรัสแก่
พราหมณ์มหาสัตว์นั้นว่า การบรรลุพระโพธิญาณนั้น ในที่สุดแห่งทานบารมีอันยิ่งกว่าบารมีทั้งปวงนั้น
พระมหาสัตว์พึงบริจาคบุตรแลภริยาเป็นทาน ก็เธอเล่า ยังหาผู้สั่งสมบารมีร่วมกับเธอ คือ เกิดเป็นบุตร
เกิดเป็นภริยา ยังมิได้ เธอจักถึงที่สุดแห่งบารมีได้อย่างไร

บัดนั้นแล มีชายหญิงผู้หนึ่งปฏิญาณว่า "ข้าพเจ้าจักเกิดเป็นบิดาแลมารดาแห่งมหาสัตว์นี้ไปทุกชาติ"

บัดนั้นแล มีชายผู้หนึ่งปฏิญาณว่า "ข้าพเจ้าจักเกิดเป็นบุตรเพื่อมหาสัตว์นี้ได้บริจาคเป็นทาน"

บัดนั้นแล มีหญิงผู้หนึ่งปฏิญาณว่า "ข้าพเจ้าจักเกิดเป็นภริยาเพื่อมหาสัตว์นี้ได้บริจาคเป็นทาน"

ดูกร ท่านทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายมีพระมหาสัตว์เป็นต้น ได้เวียนว่ายตายเกิดบำเพ็ญบารมีร่วมกันดังคำ
อธิษฐานนี้ พระองค์หาได้บังคับฝืนใจใครไม่ หากสัตว์ทั้งหลายบำเพ็ญบารมีร่วมแก่พระองค์ด้วยจิตเมตตา
แก่ส่ำสัตว์ทั้งหลายเป็นสำคัญ ดังนี้ แล

บุรพกรรมของพระกัณหา ชาลี

พระกัณหา ชาลี ในอดีตชาติเกิดเป็นกุมารแลกุมารีแห่งพระมหาสัตว์ (พระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน)
บัดนั้น บิดามารดาใช้ให้กุลบุตรทั้ง ๒ ดูแลควายมิให้เข้ากัดกินข้าวกล้าในนาข้าว
ควายนั้น ดื้อ ด้าน ทาน ขืน ก้าวลงสู่ท้องนาเพื่อกัดกินข้าวกล้า กุลบุตรทั้ง ๒ จึงเฆี่ยนตีควายนั้นให้เข็ดหลาบ
ด้วยบุรพกรรมนั้นแล ควายนั้นกำเนิดเกิดเป็นตาพราหมณ์ชูชกในชาตินี้ กุลบุตรทั้ง ๒ เกิดเป็น
พระกัณหาชาลีร่วมภพชาติ
พราหมณ์ชูชกจึงกระทำทรมานเฆี่ยนตีพระกัณหาชาลี นี้เป็นบุรพกรรมของพระกัณหาชาลีเอง มิได้เกี่ยวข้อง
แก่พระมหาสัตว์แต่อย่างใด


ไฉนพระมหาสัตว์ต้องบริจาคบุตรแลภริยาเป็นทาน

กำลังใจของพระมหาสัตว์เป็นไฉน ? กำลังใจของพระมหาสัตว์บารมีเปี่ยมแล้ว แม้นผู้ใดขอพระพาหา
ท่านย่อมให้ แม้นผู้ใดขอพระนัยนา ท่านย่อมให้ แม้นผู้ใดขอพระโลหิตา ท่านย่อมให้ แม้นผู้ใดขอหทยา
ท่านย่อมให้ แม้นผู้ใดขอพระองค์ลงเป็นทาษ ท่านย่อมให้

ดูกร ท่านทั้งหลาย การให้บุตรแลภริยาเป็นไฉน ? การบริจาคบุตรแลภริยาเป็นของยาก เพราะธรรมดาวิสัย
ของผู้เป็นบิดามารดา ที่รักยิ่งชีวิตตนย่อมเป็นบุตรนั้นเอง ที่รักเยี่ยงชีพย่อมเป็นคู่สิเน่หานี้เอง
การบริจาคบุตรแลภริยาจึงเป็นของทำได้ยากยิ่ง

การบริจารบุตรแลภริยาเป็นทานแห่งพระมหาสัตว์ จึงเป็นของยากแลควรสรรเสริญ ดังนี้