ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

พระศาสดาทรงพยาบาลภิกษุผู้อาพาธ!!!!!


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 8 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 JOYSA

JOYSA
  • Members
  • 234 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 February 2006 - 11:52 AM

พระภิกษุนามว่า “ติสสะ” นอนแซ่วอยู่บนเตียงภายในกุฏิที่อุดอู้อย่างเดียวดายร่างกายทั้งหมดเต็มไปด้วยบาดแผล น้ำเลือดน้ำเหลืองจับเกรอะกรังอยู่บนสบงและจีวรที่พันกาย ไร้ซึ่งเพื่อนภิกษุและสัทธิวิหาริก จะเหลียวแล จะขยับกายแต่ละครั้งก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวดทุกข์ทรมานเหลือจะพรรณนา ไม่อยู่ในสภาพที่จะทำอะไรได้ แม้เพียงเพื่อช่วยเหลือตนเอง
แต่เดิมพระติสสะเป็นชาวสาวัตถี เมื่อมีบุญกุศลได้ฟังธรรมในสำนักของพระบรมศาสดาแล้ว ก็บังเกิดความปิติยินดียิ่งนัก มีศรัทธาแก่กล้า ได้บวชถวายชีวิตในพระศาสนา
เมื่อเวลาล่วงไป เกิดโรคชนิดหนึ่งขึ้นในร่างกายของท่าน โดยปรากฏเป็นเม็ดผื่นคันขึ้นทั่วตัว มีขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียว ต่อมาขยายขนาดเท่ากับเมล็ดถั่วดำ เท่าผลมะขามป้อม ในที่สุดใหญ่ถึงผลมะตูมขนาดย่อมๆ เบียดกันอยู่ทั่วร่าง แล้วก็เริ่มแตกร่างกายเหวอะหวะเป็นแผลเล็กแผลใหญ่ทั่วไปหมด เมื่อแผลเริ่มเน่าจึงส่งกลิ่นเห็นคละคลุ้งไปทั้งกุฏิ ภิกษุด้วยกันรังเกียจที่จะปฏิบัติดูแล จึงพากันทอดทิ้งไป พระภิกษุผู้น่าเวทนานี้ ไร้ซึ่งที่พึ่งพิงใด ๆ ทั้งสิ้น

พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ทรงตรวจดูโลกด้วยพระญาณใน ๒ วาระ คือในเวลาใกล้รุ่งและในเวลาเย็น ในคราวนั้นพระติสสเถระผู้มีกายเน่า ได้ปรากฏขึ้นในข่ายพระญาณของพระองค์ พระศาสดาทรงเห็นอุปนิสัยแห่งพระอรหัตของพระภิกษุรูปนี้ ทรงดำริว่า
“ภิกษุผู้นี้ ถูกพวกลัทธิวิหาริกทอดทิ้ง ยกเว้นจากเราเสียแล้วจะไม่มีที่พึ่งอื่นใด”
พระองค์จึงเสด็จออกจากพระคันธุฎี พร้อมด้วยพระอานนท์ ทรงทำดังเสด็จเที่ยวจาริกในพระวิหาร ตรงไปสู่โรงไฟ ทรงล้างหม้อน้ำด้วยพระองค์เอง พระอานนท์ใส่น้ำจนเต็ม แล้วยกขึ้นตั้งบนเตา เมื่อน้ำเดือดแล้ว จึงเสด็จไปยังกุฏิของพระภิกษุผู้น่าสงสาร ทรงโน้มพระวรกายจับปลายเตียงที่พระติสสะนอนคนละด้านกับพระอานนท์
ขณะนั้นพวกภิกษุทั้งหลายที่เห็นเหตุการณ์ จึงเข้ามากราบทูลว่า
“ขอให้พระองค์เสด็จหลีกไปเถิดพระเจ้าข้า พวกข้าพระองค์จักยกเอง”
แล้วจึงช่วยกันยกเตียงนั้นพร้อมทั้งพระติสสเถระไปที่โรงไฟ พระบรมศาสดาทรงสั่งให้พระภิกษุเหล่านั้น เปลื้องเอาผ้าห่มกายของพระติสสะออก นำมาซักในน้ำเดือดจนสะอาด แล้วนำไปผึ่งแดด ส่วนพระองค์เองทรงผสมน้ำอุ่น ประทับยืนอยู่ใกล้ๆ พระเถระ ทรงรดร่างกายที่เน่าเปื่อยด้วยน้ำอุ่นนั้น ถูสรีระของพระเถระด้วยพระหัตถ์ของพระองค์เอง โดยมิได้ทรงรังเกียจ ขำระล้างร่างกายและบาดแผลอย่างละเอียดแผ่วเบา ใช้เวลาในการอาบและชำระล้างนานจนกระทั่งผ้าที่ตากไว้แห้งพอดี ทรงช่วยพระเถระนุ่งห่มผ้านั้น แล้วให้ขยำผ้าอีกผืนที่เหลือกับน้ำเดือดแล้วนำไปผึ่งแดดเมื่อผ้าผืนนั้นแห้งแล้ว ทรงนำมาห่มให้พระเถระด้วยพระเมตตากรุณา
พระติสสเถระได้เป็นผู้มีกายอันโปร่งเบา นอนพนมมืออยู่บนเตียง กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า
“โอ้พระบรมโลกนาถ พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาต่อข้าพระองค์เหลือเกิน” น้ำตาแห่งความปิติและความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณไหลพรากเป็นสาย
เมื่อพระติสสเถระมีจิตอารมณ์เป็นหนึ่งแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงตรัสด้วยพระสุรเสียงที่อ่อนโยนยิ่งนักว่า
“ดูก่อนภิกษุ กายของเธอนี้ เมื่อปราศจากวิญญาณแล้ว จักนอนบนแผ่นดินเหมือนท่อนไม้หาประโยชน์มิได้” แล้วตรัสพระคาถานี้ว่า
“ไม่นานหนอ ร่างกายนี้จักนอนทับแผ่นดิน ปราศจากวิญญาณ
อันบุคคลทิ้งแล้ว ราวกับท่อนไร้ค่าที่เขาไม่ไยดีฉะนั้น”
ในเวลาจบพระธรรมเทศนา พระปูติคัตตติสสเถระ ได้บรรลุพระอรหันต์ พร้อมด้วยปฏิสัมภิทา แล้วก็ปรินิพพานในทันที
พระผู้มีพระภาคทรงหันมายังภิกษุทั้งหลายที่อยู่ ณ ที่นั้น ตรัสสอนว่า
“ดูก่อนภิกษุ พวกเธอจากบ้านเรือนมา
ไม่มีมารดา-บิดา และญาติพี่น้อง
พวกเธอพึงดูแลกันและกัน ถ้าพวกเธอไม่ดูแลกันเอง
แล้วใครเล่าจะมาดูแล”
พระองค์ตรัสต่อไปว่า
“ภิกษุทั้งหลาย หากใครมีความประสงค์จะอุปัฏฐากตถาคต
ก็พึงอุปัฏฐากดูแลภิกษุผู้อาพาธเถิด จะเสมือนกับได้อุปัฏฐากดูแลเรา”
ด้วยพระมหากรุณาที่ทรงกระทำให้ดูเป็นแบบอย่าง ทำให้พระติสสเถระผู้นอนจมอยู่ด้วยความอาดูรในเบื้องต้น ได้พลิกฟื้นคืนกลับมีจิตใจที่แจ่มใส ตื่นรู้ เกิดปัญญาในการพิจารณาร่างกายและเวทนาอันไม่เที่ยง ตามคำตรัสสอนของพระบรมศาสดา จนกระทั่งบรรลุซึ่งพระนิพพานในที่สุด

จากหนังสือก่อนอาทิตย์อัสดง
โดยพระไพศาล วิสาโล และ อาทิตย์ยามเช้า


ทุกชีวิตต้อง เกิด - แก่ - เจ็บ – ตาย


#2 xlmen

xlmen
  • Members
  • 978 โพสต์

โพสต์เมื่อ 10 February 2006 - 04:19 PM

QUOTE
“ไม่นานหนอ ร่างกายนี้จักนอนทับแผ่นดิน ปราศจากวิญญาณ
อันบุคคลทิ้งแล้ว ราวกับท่อนไร้ค่าที่เขาไม่ไยดีฉะนั้น”

อนุโมทนาสาธุด้วยคนครับ
หยุดเหมือนรถเบรค นิ่งเหมือนน้ำในโอ่งที่ปราศจากลม แน่นเหมือนหลักที่ปักลงในเลน
ไม่สั่นคลอน ใสเหมือนน้ำที่ปราศจากตะกอน

#3 LiL' Faery

LiL' Faery
  • Members
  • 1160 โพสต์
  • Location:@ Time : Europe
  • Interests:Basic and Advance Meditation;วิชชา ธรรมกาย<br />Birth Day : 19 January

โพสต์เมื่อ 10 February 2006 - 04:31 PM

Sathu kah!
คุณครูไม่ใหญ่ บอกว่า :
1. อดีตที่ผิดพลาด ลืมให้หมด 2. บาปทุกชนิดไม่ทำเพิ่มเด็ดขาด 3. หมั่นนึกถึงบุญอย่างสม่ำเสมอ
4. บุญทุกบุญทำให้เข้มข้นทับทวี 5. ปฏิบัติธรรมให้เข้าถึงพระธรรมกาย

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ _/|\_ สาธุ สาธุ สาธุ ^_^ ด้วยรักจากใจ ด้วยห่วงใย จากใจจริง

#4 extra

extra
  • Members
  • 409 โพสต์

โพสต์เมื่อ 11 February 2006 - 10:07 AM

สาธุค่ะ happy.gif

#5 ปัจเจกชน บนทางสายกลาง

ปัจเจกชน บนทางสายกลาง
  • Members
  • 4109 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:จ. สงขลา

โพสต์เมื่อ 18 March 2007 - 02:55 PM

กราบอนุโมทนาบุญครับ สาธุ

#6 Boontomak

Boontomak
  • Members
  • 431 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 September 2010 - 12:54 AM

ขอบคุณครับสำหรับธรรมะดีดี

สาธุ

ไฟล์แนบ


ทำมากได้มาก ทำน้อยได้น้อย ยายทำ ยายก็ได้ คุณก็ไม่ได้ คุณทำคุณก็ได้ เพราะฉะนั้นก็ทำมากๆ ไว้ก่อน เราทำทุกๆ วัน "ขอให้ข้าพเจ้าได้เข้าวัดตลอดชีวิต"

#7 ธาตุล้วนธรรมล้วน

ธาตุล้วนธรรมล้วน
  • Members
  • 255 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 September 2010 - 01:27 AM



นี้คือพระบุคคลิกภาพอันเป็นสุนทรียะของพระพุทธศาสดา

ผมอยากจะกล่าวแบบสมัยนี้ว่า เป็นเหตุการณ์ที่คลาสสิคมากมาย สัมผัสได้ถึงเมตตาความรัก ความอบอุ่น และพระกรุณาของพระพุทธองค์

ผมชอบภาพเหตุการณ์เหล่านี้นะครับ ทาง DMC จะรับไปพิจารณาไหม ที่จะจัดทำภาพพระศาสดาในเหตุการณ์แบบคลาสสิค อบอุ่น เมตตาความรัก ที่แบบว่ามองแล้วให้ความรู้สึกนุ่มนวล สบายใจ มีความสุข

เพราะผู้มีจริตแบบนี้มีมากมาย โดยเฉพาะผู้กำลังเหนื่อ ท้อแท้ และหาที่พึ่งทางจิตใจ หากเรานำภาพแห่งความอบอุ่นนี้ไปให้เขาดูแล้วเล่าเรื่องของพระพุทธองค์ จะสามารถดึงจริตศรัทธาได้อย่างมากมาย

แนวคิดนี้ผมได้กับตัวเอง และเห็นมาจากชาวตะวันตกครับ ที่เขาชอบนำภาพแนวนี้มาดึงความรู้สึกให้ศรัทธาในศาสนาและเรื่องต่างๆได้


ละธรรมดำ ยังธรรมขาวให้เจริญ

ธัมมะกาโย อะหัง อิติปิ

เราตถาคต คือธรรมกาย

#8 Dreadwind

Dreadwind
  • Members
  • 1 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 September 2010 - 10:18 AM

แบบอย่างที่ประเสริฐที่สุด

สาธุ~ ครับ
นตฺถิ ปญฺญาสมา อาภา
♦แสงสว่าง เสมอด้วยปัญญา ไม่มี♦
•••
"The only real valuable thing is intuition."
"สิ่งที่มีค่าอย่างจริงแท้ คือการหยั่งรู้"

#9 ์Nee.Sansanee

์Nee.Sansanee
  • Members
  • 73 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 September 2010 - 12:04 PM

สาธุ อนุโมทนาบุญกับทุก ๆท่านและโดยเฉพาะ JOYSA ที่นำบทความดี ๆ มาแบ่งปันกันค่ะ

และขอสนับสนุนความคิดเห็นของท่านธาตุล้วนธรรมล้วนด้วยค่ะ