ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
- - - - -

พระพุทธเจ้ากับไอน์สไตน์


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 4 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 usr20351

usr20351
  • Members
  • 109 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 March 2008 - 12:05 PM

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธ์อันยิ่งใหญ่ หลังจากที่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งแล้วก็ออกมายอมรับว่า “การสัมผัสรับรู้ความจริงแท้ของจักรวาลทางศาสนา เป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดของการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์”

เรื่อง “จักรวาล” และเรื่อง “ปรมาณู” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงค้นพบอธิบายมาก่อน ถ้านักวิทยาศาสตร์นำบทสรุปของพระองค์ไปค้นคว้าต่อยอด วันนี้ความใฝ่ฝันเรื่อง การเดินทางข้ามเวลา ข้ามดาราจักร ข้ามจักรวาล การหายตัวได้ แทบจะกลายเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์ไปเลย

เมื่อกาลิเลโอค้นพบ “ทางช้างเผือก” เมื่อ 395 ปีก่อน หลังจากที่มีการสร้างกล้องโทรทรรศน์ขึ้นมาแล้ว เห็นดาวนับล้านๆดวงในทางช้างเผือก นักวิทยาศาสตร์ก็ตื่นเต้นกันใหญ่ เมื่อส่องกล้องออกไปนอกจักรวาล ก็พบแต่ความว่างเปล่า กาลิเลโอจึงสรุปว่า ขอบจักรวาลก็คือขอบของทางช้างเผือกนั่นเอง

ทางช้างเผือกมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 100,000 ปีแสง หมายความว่า ยานที่แล่นด้วยความเร็วเท่าแสง คือ 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที ต้องใช้เวลาวิ่งถึง 100,000 ปี ทางช้างเผือกใหญ่แค่ไหนไปหลับตานึกดูเอาเอง

แต่วันนี้นักดาราศาสตร์ได้ค้นพบจักรวาลใหม่ๆเพิ่มขึ้นอีกมากมาย นอกเหนือจากจักรวาลของเรา มีการคำนวณกันว่า จักรวาลเหล่านี้อาจมีมากถึง 10 ยกกำลัง 500 แห่ง คือ 1 ตามด้วยเลขศูนย์ 500 ตัว ไปลองเขียนนับกันดูเป็นเท่าไร แต่ละจักรวาลก็มีกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์ แตกต่างกันไป จักรวาลของเราเป็นเพียงอณูเล็กๆในหมู่จักรวาลทั้งหมดเท่านั้น

สิ่งเหล่านี้ “พระพุทธเจ้า” ทรงค้นพบเมื่อกว่าสองพันห้าร้อยปีก่อนแล้ว ทรงตรัสไว้ใน “จูฬนีสูตร” พระไตรปิฎก หน้า 215 เล่ม 20 ว่า

“ระบบสุริยะประกอบด้วยดวงจันทร์ โลก ดวงอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลาย โคจรไปร่วมกัน ดาราจักรมี 3 ขนาด คือ ดาราจักรอย่างเล็ก มีจำนวนนับพัน ดาราจักรอย่างกลาง มีจำนวนนับล้าน ดาราจักรอย่างใหญ่ มีจำนวนแสนโกฏิ และดาราจักรเหล่านี้ มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และแตกดับในที่สุด”

ฟริตจอฟ คาปรา ผู้เขียนหนังสือ “เต๋าแห่งฟิสิกส์” บอกว่า ทฤษฎีควอนตัม และทฤษฎีสัมพันธภาพ ทำให้ความเข้าใจเกี่ยวกับโลกของเราคล้ายคลึงกับความเข้าใจของชาวพุทธและเต๋า เมื่อเอาสองทฤษฎีนี้มาใช้อธิบายปรากฏการณ์ของอนุภาคที่เล็กกว่าอะตอม เราพบว่า “อนุภาคเหล่านี้มีความไม่เที่ยง แปรเปลี่ยนไปตลอดเวลาและไม่มีตัวตนที่แท้ คล้ายคลึงอย่างยิ่งกับหลักแห่ง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา”

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบทฤษฎีสัมพัทธ์อันยิ่งใหญ่ หลังจากที่ได้ศึกษาพระพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้งแล้วก็ออกมายอมรับว่า “การสัมผัสรับรู้ความจริงแท้ของจักรวาลทางศาสนา เป็นพื้นฐานที่แข็งแกร่งที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดของการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์”

ถามว่า แล้วทำไม “พระพุทธเจ้า” จึงไม่ให้ความสำคัญกับการค้นพบที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ คำตอบก็คือ ทรงเห็นว่าสิ่งที่ค้นพบนั้นเป็นความจริงทางธรรมชาติ แต่ไม่ใช่หนทางแห่งการหลุดพ้น ทางเดียวที่จะหลุดพ้นได้ก็คือ “มรรค” ที่นำไปสู่การนิพพานนั่นเอง.


#2 Sahapol

Sahapol
  • Members
  • 3 โพสต์

โพสต์เมื่อ 05 March 2008 - 12:59 AM

จูฬนีสูตร
[๕๒๐] ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย
บังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้น แล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่า ดูกรอานนท์
สาวกของพระสิขีสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู ยืนอยู่ในพรหมโลก ให้พันแห่งโลกธาตุ
รู้แจ้งได้ด้วยเสียง พระเจ้าข้า ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถ
ที่จะทำโลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอานนท์
นั้นสาวก ส่วนพระตถาคตนับไม่ถ้วน ฯ
ท่านพระอานนท์ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเป็นครั้งที่ ๒ ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่าดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขี
สัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู ยืนอยู่ในพรหมโลก ทำให้พ้นแห่งโลกธาตุรู้แจ้งได้ด้วยเสียง
พระเจ้าข้า ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำโลกธาตุ
เท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง ฯ
พ. ดูกรอานนท์ นั้นเป็นสาวก ส่วนพระตถาคตนับไม่ถ้วน
ท่านพระอานนท์ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคแม้เป็นครั้งที่ ๓ ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
ข้าพระองค์ได้สดับรับฟังมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคว่าดูกรอานนท์ สาวกของพระสิขี
สัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งมีนามว่า อภิภู สถิตอยู่ในพรหมโลก ทำให้พันแห่งโลกธาตุรู้แจ้งได้
ด้วยเสียง พระเจ้าข้า ส่วนพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเล่า ทรงสามารถที่จะทำ
โลกธาตุเท่าไรให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง ฯ
พ. ดูกรอานนท์ เธอได้ฟังเรื่องพันโลกธาตุ เพียงเล็กน้อย ฯ
อา. ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าแต่พระสุคต บัดนี้เป็นกาลเวลาแห่งเทศนาที่พระองค์
จะพึงตรัส ภิกษุทั้งหลายได้สดับธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้ ฯ
พ. ดูกรอานนท์ ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าวท่านพระอานนท์
ทูลรับสนองพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรอานนท์ จักรวาลหนึ่ง
มีกำหนดเท่ากับโอกาสที่พระจันทร์พระอาทิตย์โคจร ทั่วทิศสว่างไสวรุ่งโรจน์ โลกมีอยู่พัน
จักรวาลก่อน ในโลกพันจักรวาลนั้น มีพระจันทร์พันดวง มีอาทิตย์พันดวง มีขุนเขา
สิเนรุพันหนึ่ง มีชมพูทวีปพันหนึ่ง มีอปรโคยานทวีปพันหนึ่ง มีอุตตรกุรุทวีปพันหนึ่ง
มีปุพพวิเทหทวีปพันหนึ่ง มีมหาสมุทรสี่พัน มีท้าวมหาราชสี่พัน มีเทวโลกชั้นจาตุ
มหาราชิกาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้น
ดุสิตพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นนิมมานรดีพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหนึ่ง
มีพรหมโลกพันหนึ่ง ดูกรอานนท์ นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างเล็กมีพันจักรวาล โลกคูณ
โดยส่วนพันแห่งโลกธาตุ อย่างกลางมีล้านจักรวาลนั้น นี้เรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณ
แสนโกฏิจักรวาล ดูกรอานนท์ตถาคตมุ่งหมายอยู่ พึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณ
แสนโกฏิจักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมาย ฯ
อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาคพึงทำโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสน
โกฏิจักรวาล ให้รู้แจ้งด้วยพระสุรเสียง หรือทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมายอย่างไร ฯ
พ. ดูกรอานนท์ พระตถาคตในโลกนี้ พึงแผ่รัศมีไปทั่วโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณ
แสนโกฏิจักรวาล เมื่อใด หมู่สัตว์พึงจำแสงสว่างนั้นได้ เมื่อนั้นพระตถาคตพึงเปล่ง
พระสุรเสียงให้สัตว์เหล่านั้นได้ยิน พระตถาคตพึงทำให้โลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล
ให้รู้แจ้งได้ด้วยพระสุรเสียง หรือพึงทำให้รู้แจ้งได้เท่าที่พระองค์ทรงมุ่งหมาย ด้วยอาการเช่นนี้แล ฯ
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสดังนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลว่า เป็นลาภของ
ข้าพระองค์หนอ ข้าพระองค์ได้ดีแล้วหนอที่ข้าพระองค์มีพระศาสดาผู้มีฤทธิ์มีอานุภาพมากอย่างนี้
เมื่อท่านพระอานนท์กราบทูลอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายีได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์
ในข้อนี้ท่านจะได้ประโยชน์อะไร ถ้าศาสดาของท่านมีฤทธิ์ มีอานุภาพมากอย่างนี้ เมื่อท่าน
พระอุทายีกล่าวอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระอุทายีว่า ดูกรอุทายี เธออย่าได้กล่าว
อย่างนี้ ถ้าอานนท์ยังไม่หมดราคะเช่นนี้ พึงทำกาละไป เธอพึงเป็นเจ้าแห่งเทวดาในหมู่เทวดา
๗ ครั้งพึงเป็นเจ้าจักพรรดิในชมพูทวีปนี้แหละ ๗ ครั้ง เพราะจิตที่เลื่อมใสนั้น ดูกรอุทายี
ก็แต่ว่าอานนท์จักปรินิพพานในอัตภาพนี้เอง ฯ
จบอานันทวรรคที่ ๓


#3 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 06 March 2008 - 08:31 AM

Sa Thu Krub

#4 วัดในดวงใจ

วัดในดวงใจ
  • Members
  • 1199 โพสต์

โพสต์เมื่อ 06 March 2008 - 09:24 AM

สาธุครับ
พระพุทธเจ้ารู้
และท่านก็ตรัสสรุป
ว่าทางเดียวที่จะรู้ตามท่าน
ตลอดจนหยุดตามท่าน
คือการมองเข้าข้างใน
และการหยั่งรู้สรรพสิ่งออกมาจากภายใน
คือสัญลักษณ์สำคัญของพุทธแท้
พุทธแท้จะรู้ว่าการพยายามมองออกข้างนอก
เป็นวิธีที่ไม่ทำให้รู้จักประโยชน์สูงสุด
อันพึงมีพึงได้จากความเป็นมนุษย์

#5 *ผู้มาเยือน*

*ผู้มาเยือน*
  • Guests

โพสต์เมื่อ 27 August 2011 - 01:58 AM

ต่อให้วิทยาศาสตร์ก้าวไปไกลแค่ไหน..หรือสุดขอบจักรวาล วิทยาศาสตร์ก็ไม่อาจทำให้มนุษย์อย่างเราเราหายตัว หรือล่องหนได้หร๊อก เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติ วิทยาศาสตร์เป็นเรื่องที่อยู่ภายใต้กฏธรรมชาติ เช่นวิทยาศาสตร์ไม่อาจห้ามไม่ให้ฝนตกแดดออกได้ ห้ามไม่ให้เกิดซึนามิได้ อย่างรถที่เราขับอยู่ทุกวันนี้ต่อให้วิ่งเร็วเท่าแสงได้แต่ถ้าเชื้อเพลิงบนโลกนี้หมดแล้วจะมีความหมายอะไรกับการค้นพบให้ทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ แล้วถ้าไฟฟ้าหรือพลังงานที่เราใช้อยู่ทุกวันอย่างไม่รู้เลยว่ามันจะหมดเมื่อไหร่ แต่ไม่ช้าไม่นานมันก็ต้องหมด พอมันหมดแล้วเครื่องบินที่บินได้ลัดฟ้าภายในพริบตาเดียวก็กลายเป็นเศษเหล็กหรือพิพิธภันณ์ไว้ดูชมเท่านั้นเอง เพราะเราอยู่ใต้กฏธรรมชาติ เมื่อมีการกำเนิดขึ้น ก็ตั้งอยู่ได้ชั่วคราว สุดท้ายก็ต้องแตกสลายดับไปตามวัฏธรรมชาติ เราเกิดมาเป็นมนุษย์เป้าหมายคืออะไรยังไม่รู้เลย จะมีสักกี่คนที่คิดอยากเอาชนะวัฏสงสาร อยากจะชนะความตายได้ อยากอยู่เหนื่อกฏธรรมชาติ พอมีคนคิดมนุษย์คนอื่นก็หาว่าเสียสติ จะเล่าให้ฟังมาทางนี้..ว่ายังมีสิ่งที่อยู่เหนือกฏธรรมชาติอยู่จริง ยังมีพลังที่อยู่เหนือวัฏสงสารอยู่ ในทางพุทธเรียกว่าพลังจิต แต่ไม่ใช้พลังจิตแบบพวกนักมายากลเล่นกันนะ ( อันนั้นมันเด็กๆ ) จิตเป็นสิ่งหรือพลังที่อยู่เหนือแสง เหนือกาลเวลา เมื่อมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งฝึกจิต ทำสมาธิตั้งมั่นประกอบด้วยความเพียรถึงพร้อมแล้วจนหลุดพ้นถึงขั้นเจโตวิมุต จิตเข้าสู่ความว่างอันพิสุทธิ์ อย่าว่าแต่หายตัว หรือล่องหนเลย...เกิดเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่าหลงคิดว่าโลกนี้มีเราเป็นผู้วิเศษ อย่าหลงเสียสติคิดว่ามนุษย์ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก เราอาจเป็นเพียงกบในกะลาที่หลงคิดว่ากะลาคือขอบฟ้าจักรวาลของเราก็ได้ เราอาจทำการวิจัย หรือทดลองเปลือกกะลาใบนี้อยู่ก็ได้...จงถามตัวเองเถิดว่าเราเกิดมาทำไม ดีกว่าถามว่าถ้าเราตายแล้วเราจะไปสู้ที่ไหน ถามตัวเองเถิดว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร..ดีกว่าถามว่าเราจะทำไปเพื่ออะไร..สิ่งที่พระพุทธองค์ตรัสรู้มานั้นมีอยู่จริงแต่นักวิทยาศาสตรไม่อาจเอาอุปกรณ์อะไรเข้าไปทดลองหรือพิสูจน์ได้หร๊อก.......