ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * - 1 คะแนน

หลักธรรมที่เอาชนะความวิตกกังวล


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 6 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 suppy001

suppy001
  • Members
  • 2210 โพสต์

โพสต์เมื่อ 18 September 2007 - 07:14 PM

หลักธรรมที่เอาชนะความวิตกกังวล



เรียบเรียงจากพระธรรมเทศนาของพระอาจารย์ พม. ดร.สมชาย ฐานวุฑโฒ ในรายการทันโลก ทันธรรม ประจำวันที่ ๙ กันยายน ๒๕๕๐
ช่วงทันโลก ความวิตกกังวลคืออาหารจานเลิศของความล้มเหลว ยิ่งมีมากเท่าไหร่ความล้มเหลวยิ่งใกล้เข้ามาเท่านั้น ความวิตกกังวลคืออาการของจิตใจที่เกิดความกลัวในสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เช่นกลัวภยันตรายต่าง ๆ กลัวความล้มเหลว หรือกลัวในสิ่งที่เราไม่ต้องการให้เกิดขึ้น ความวิตกกังวลเป็นสิ่งที่สร้างปัญหาให้คนหลาย ๆ คน ซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อะไรเลยกับเจ้าของความคิด ความวิตกกังวลจะแตกต่างจากความไม่ประมาทอย่างสิ้นเชิง ความไม่ประมาท คือการระมัดระวังป้องกันสิ่งต่าง ๆ ที่อาจจะเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อการงานที่เรากำลังทำอยู่ ความไม่ประมาทเป็นสิ่งที่ดีมีประโยชน์ ทำให้เราไม่ดูเบาในสิ่งที่อาจจะสร้างปัญหาให้กับเรา ทำให้เรามีความละเอียดรอบคอบและสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ความวิตกกังวลกับตรงกันข้ามจะคอยบั่นทอนจิตใจเราทำให้ไม่สามารถทำงานได้ เปรียบเสมือนสนิมที่คอยกัดกร่อนความเข้มแข็งของจิตใจเราให้ลดลงไปเรื่อย ๆ ความวิตกกังกลจะเริ่มต้นภายในจิตใจของเราแล้วก็จะลุกลามมาถึงร่างกายของเรา ทำให้มีอาการต่าง ๆ เช่น ใจสั่น เหงื่อออก ท้องใส้ปั่นป่วน มวนท้อง หูอื้อตาลาย ใบหน้าหมองคล้ำ ท่าทางหดหู่เซื่องซึม เป็นต้น ความวิตกกังวลสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งกับคนและสัตว์
คนในโลกนี้เราสามารถแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่มใหญ่ ๆ ตามลักษณะการตอบสนองตอบต่อความวิตกกังวล คือ

๑.พวก Pro-active คนกลุ่มนี้จะไม่วิตกกังวล ถ้ามีปัญหาอุปสรรคเกิดขึ้น คนกลุ่มนี้จะพยายามมองหาทางเลือกต่าง ๆ ในการแก้ไขปัญหาเพื่อจะมุ่งไปสู่เป้าหมาย คนกลุ่มนี้จะมองว่าภายใต้เงื่อนไขข้อจำกัดต่าง ๆ นั้น เขาจะทำอะไรได้บ้าง โดยจะไม่สนใจในรายละเอียดจนเกินไป แต่จะใส่ใจในเป้าหมายเป็นสำคัญ

๒.พวก Re-active คนกลุ่มนี้เมื่อเกิดปัญหาขึ้นมักจะจมอยู่กับปัญหาโดยไม่คิดที่จะหาทางออกจากปัญหา และมักจะพยายามหาข้ออ้างต่าง ๆ เพื่อที่จะไม่สู้ และไม่ทำอะไร เช่น อ้างว่าเรายังไม่พร้อม เราไม่มีอำนาจ ยังไม่มีใครสั่งมา สถานการณ์ยังไม่เอื้ออำนวย เร็วเกินไป สายเกินไป ร้อนเกินไป หนาวเกินไป เป็นต้น

ดังนั้นเมื่อเกิดเหตุการณ์ใด ๆ ขึ้นมาก็ตาม เราจะต้องรู้จักแยกแยะเรื่องราวออกเป็นส่วน ๆ คือ

๑ . สิ่งที่เราสามารถควบคุมจัดการได้ด้วยตัวของเราเอง (Direct control) การจัดการกับปัญหากลุ่มนี้ก็คือเราต้องเอาชนะใจตนเอง
๒.สิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมจัดการได้ด้วยตนเองแต่จะเกี่ยวข้องกับคนอื่น(Indirect control) การจัดการกับปัญหาแบบนี้ก็คือเราต้องมีวิธีการที่จะเอาชนะใจคนอื่น
๓. สิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุม (Out of control) เป็นสิ่งที่ใครก็ควบคุมไม่ได้ เช่น ภัยธรรมชาติ เศรษฐกิจตกต่ำ เป็นต้น วิธีจัดการกับสิ่งเหล่านี้คือ ทำใจสงบนิ่ง ๆ แล้วก็กล้าที่จะเผชิญหน้ากับปัญหาอย่างกล้าหาญและเข้าใจ ยิ้มสู้กับปัญหา คิดว่าอะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิดโดยไม่วิตกกังวลกับสิ่งเหล่านั้น

วิธีการฝึกตัวเองให้เป็นคน Pro- active

ขั้นตอนที่ ๑ ต้องเปลี่ยนทัศนคติตัวเอง ว่าทุกสิ่งมีทางออกเสมอ อย่าไปเสียเวลากับความวิตกกังวลเลย

ขั้นตอนที่ ๒ ต้องทุ่มเทความพยายามของเราลงไปในสิ่งที่เราจัดการได้ สิ่งใดที่เราจัดการไม่ได้ก็ให้พักไว้ก่อน ลงมือทำภายใต้ความเชื่อมั่นว่าเราทำได้ ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ที่เป็นไปได้ มันย่อมเป็นไปได้จริง แล้วสิ่งนั้นก็จะสำเร็จได้ด้วยฝีมือของเราได้จริง ๆ

ขั้นตอนที่ ๓ ให้กำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน และต้องมีความรับผิดชอบต่อเป้าหมายนั้น

ขั้นตอนสุดท้าย ถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นให้เรียนรู้และแก้ไข อย่ามัวจมปลักอยู่บนกองความผิดพลาดนั้น คนเราเมื่อล้มแล้วให้รีบลุกขึ้นมา ปัดฝุ่นทิ้งไปแล้วเดินหน้าต่อโดยไม่ต้องไปใส่ใจในฝุ่นนั้น

ช่วงทันธรรม ความวิตกกังวลเกิดขึ้นจากการคิดสมมติอย่างขาดสติและปัญญา ทำให้ไม่กล้าที่จะทำอะไรเลย ชีวิตจะมีแต่ความอับเฉา เพราะความวิตกกังวลจะเป็นตัวขัดขวางบั่นทอนการทำงานทุกอย่างของเรา ความวิตกกังวลจะแตกต่างจากความไม่ประมาท เพราะความไม่ประมาทคือการมองไปข้างหน้าว่ามีโอกาสที่จะเกิดอะไรขึ้นได้บ้างและทำการไตร่ตรองด้วยปัญญาอย่างมีสติ เมื่อพิจารณาทุกอย่างด้วยความละเอียดรอบคอบดีแล้วก็กล้าที่จะตัดสินใจลงไป เมื่อได้ตัดสินใจแล้วจะไม่มีความกังวลใด ๆ แต่จะมุ่งมั่นเดินหน้าต่อไปโดยไม่คิดว่าต้องรอให้พร้อมเสียก่อนเพราะความพร้อมไม่มีในโลก ถ้ารอให้พร้อมค่อยทำจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาในโลกใบนี้เลย คนที่ไม่ประมาทเมื่อไตร่ตรองดีแล้วจะกล้าตัดสินใจ และเมื่อตัดสินใจแล้วก็กล้าที่จะเดินหน้าทำให้สำเร็จตามที่ได้ตัดสินใจนั้น แต่อย่าเอาไปปะปนกับคนที่มีลักษณะที่กล้าแบบบ้าบิ่น สำหรับคนที่ขี้วิตกกังวลแล้วจะเป็นลักษณะเดินหน้าถอยหลัง คิดวนไปเวียนมาเพราะมัวแต่คอยจะวิตกกังวลเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่ตลอดทำให้ไม่กล้าตัดสินใจ

ธรรมชาติของทั้งคนและสัตว์ การที่จะทำอะไรให้ประสบความสำเร็จ มีองค์ประกอบ ๒ อย่าง คือ ๑. มีฝีมือ คือมีความสามารถที่จะทำเรื่องนั้น ๆ และ ๒. ต้องมีความเชื่อมั่นว่าตนเองทำได้ ดังนั้นการที่จะประสบความสำเร็จได้นั้นจะต้องประกอบไปด้วยทั้ง ๒ องค์ประกอบดังกล่าว

การจะตัดความวิตกกังวล และสร้างความกล้าหาญ สร้างความเชื่อมั่นขึ้นมาในจิตใจของเราพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ให้หลักการไว้ เรียกว่า เวสารัชชะการะณะธรรม คือหลักธรรมที่ทำให้เกิดความกล้าหาญ มี ๕ ประการ คือ

๑.มีศรัทธา คือมีความเข้าใจในเรื่องกฎแห่งกรรม โลกนี้โลกหน้า บุญ-บาป อย่างถูกต้อง พอเราเป็นคนที่มีศรัทธามีความเชื่อมั่นในสิ่งเหล่านี้จะทำให้เราเป็นคนที่มีกรอบความคิดขยายกว้างขึ้น คือไม่คิดเพียงแค่ชาตินี้เพียงชาติเดียว เพราะถ้าคนใดมีความเข้าใจแค่เพียงชาตินี้เท่านั้นจะทำให้ขาดหลักประกันที่มั่นคงของชีวิต แต่ถ้าเรามีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องโลกนี้โลกหน้าแล้วละก็ เปรียบเสมือนเรามีบริษัทประกันที่มีความมั่นคงอันดับหนึ่งแห่งจักรวาลเลยทีเดียว เป็นบริษัทประกันที่ไม่เบี้ยวให้ผลตอบแทนที่แน่นอนแม้ละโลกไปแล้วยังตามให้หลักประกันได้อีก สามารถให้หลักประกันไม่เฉพาะเรื่องทรัพย์อย่างเดียวแต่จะให้หลักประกันในความสุขทุกสิ่งทุกอย่างที่พึงปรารถนาเลยทีเดียว ดังนั้นการมีศรัทธาในเรื่องดังกล่าวจะทำให้มีเราเป็นคนที่มีความเชื่อมั่นและมีหลักประกันในการดำรงชีวิต ไม่มีความหวั่นไหว เช่น ถ้าเรามีความมั่นใจเต็มร้อยเปอร์เซนต์ว่าถ้าเราละจากโลกนี้ไปแล้วเราจะไปสู่ภพภูมิที่ดีกว่าประเสริฐกว่าแล้วละก็ จะทำให้เราเป็นคนที่ไม่มีความกังวลใจใด ๆ มาเหนี่ยวรั้งในการทำความดีเลย พร้อมที่จะทุ่มทั้งกายและใจในการทำความดี เพราะหลักประกันแห่งชีวิตคุณค่าของบุญจะเป็นหลักประกันให้กับเราว่าเราจะพบกับสิ่งที่ดีงามอย่างแน่นอน แล้วเราจะไม่มัวเสียเวลาวิตกกังวลอะไรเลยเพราะเชื่อมั่นอย่างเต็มที่ว่าเราจะได้ยิ่งกว่าได้ ถ้ามองในแง่ของการลงทุนแล้วก็จะเป็นการลงทุนที่คุ้มแสนคุ้ม คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม ชนิดที่ว่าไม่มีกองทุนใด ๆ ในโลกนี้ที่จะให้ผลตอบแทนการลงทุนที่คุ้มยิ่งกว่านี้อีกแล้ว ให้ผลตอบแทนเป็นล้านเท่า ทุกบาททุกสตางค์ที่ลงทุนไปให้เติมเลขศูนย์ไปอีกเป็นสิบๆ ตัวได้เลย ดังนั้นการที่เรามีศรัทธามีความเข้าใจในเรื่องบุญ-บาป กฎแห่งกรรม โลกนี้โลกหน้าจะทำให้เรามีความเชื่อมั่น มีความกล้าหาญในการทำความดีโดยปลอดจากความวิตกกังวลใด ๆ ทั้งสิ้น เมื่อเรามีความเชื่อมั่นเช่นนี้ ทำให้เราสามารถตัดความวิตกกังวลต่าง ๆ ในชีวิตออกไปได้ เพราะมีความเข้าใจโลกและชีวิตไปตามความเป็นจริงนั่นเอง
๒.ศีล เป็นการอุดช่องโหว่ หรืออุดจุดอ่อนของเรา ทำให้สายบุญสายสมบัติเชื่อมติดที่ศูนย์กลางกายของเราและไม่ถูกบาปอกุศลมาตัดรอน ทำให้เราไม่มีความระแวง ไม่มีความแหนงใจ ไม่ต้องคอยกังวลกลัวว่าจะมีใครมารู้เรื่องที่ไม่ดีของเรา เรื่องที่เราไปทำผิด ๆ พลาด ๆ ทำให้เรามีความสบายใจ ปลอดโปร่งโล่งใจ ทำให้บุญหนุนส่งได้เต็มที่ มีความเชื่อมั่น มีความกล้าหาญ ดังคำกล่าวที่ว่า “มือที่ไม่มีแผล ย่อมไม่กลัวยาพิษ” ดังนั้นเราต้องรักษาตัวของเราให้เป็นคนไม่มีแผลด้วยการรักษาศีลของเราให้ดี จะทำให้เราเป็นคนที่มีความเชื่อมั่น ความกล้าหาญ และเป็นคนที่ปลอดกังวล
๓.พาหุสัจจะ คือการเป็นผู้มีความรู้มาก การจะทำเรื่องอะไรก็ต้องใฝ่ศึกษาหาความรู้ในเรื่องนั้น ๆ ให้แตกฉาน ให้มีความเชี่ยวชาญ ให้รู้จริง เพราะการที่เรารู้จริง จะทำให้เกิดความเชื่อมั่นในสิ่งที่เราทำอย่างเต็มที่ แต่ถ้าเราไม่รู้จริงเวลาทำอะไรก็จะไม่ค่อยมั่นใจ ดังนั้นเมื่อเราจะทำอะไรให้เตรียมตัวแสวงหาความรู้ให้พร้อมเสียก่อน
๔.วิริยารัมภะ คือมีความพากเพียร วิริยะ อุตสาหะ บากบั่น หนักเอาเบาสู้ทุ่มทุกอย่าง เวลาเราทำอะไรก็แล้วแต่เมื่อเกิดปัญหาอุปสรรคขึ้น อย่ามัวเสียเวลานั่งวิตกกังวล อย่ามัวนั่งท้อแท้ใจ นั่งกลุ้มจมอยู่กับปัญหา แต่ควรจะไตร่ตรองปัญหาอุปสรรคนั้นๆ ให้รอบคอบด้วยความไม่ประมาท แล้ว “ให้เดินหน้าทำงาน อย่าอยู่เฉย ๆ เป็นอันขาด” เพราะถ้าอยู่เฉย ๆ นิ่ง ๆ เมื่อใด เราจะนั่งคิดวิตกกังวลทำให้จิตใจเราหมกมุ่นอยู่กับเรื่องนั้นอย่างไม่รู้จบ จนในที่สุดเราจะกลายเป็นคนขี้วิตกกังวลไปเลย ดังนั้นเมื่อมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นให้เดินหน้าทำงาน คือแก้ปัญหาเรื่องนั้นด้วยหรือเดินหน้าทำงานเรื่องใหม่ที่มีความสำคัญยิ่งขึ้นไปอีก ถ้าตอนนั้นยังคิดอะไรไม่ออกก็ให้ลุกขึ้นทำงานบ้านก็ได้ ปัดกวาดเช็ดถู ทำนั่นทำนี่ อย่าอยู่เปล่า ๆ เพราะการอยู่เปล่า ๆ จะทำให้ความวิตกกังวลมีโอกาสกัดกร่อนจิตใจของเราเองไปเรื่อย ๆ แต่ถ้าเราเดินหน้าลุยทำงาน ใจของเราก็จะไปจรดอยู่ที่งานนั้น และจะทำให้เราเกิดความคิดในเชิงสร้างสรรค์ขึ้นมาแทนทำให้ใจไม่ไปหมกมุ่นวิตกกังวลในเรื่องที่ผิดพลาด การลงมือทำงานทำให้พลังสร้างสรรค์เกิดขึ้นมา ให้มองไปข้างหน้าเชิดศีรษะให้สูงขึ้น แล้วเดินหน้าทำงานที่สำคัญกว่าเดิม ทำงานที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ตั้งเป้าหมายให้สูงส่งยิ่งกว่าเดิม ทุ่มเททำงานให้เต็มที่ นี่แหละจะเป็นวิธีแก้ความวิตกกังวลอย่างชั้นหนึ่งทีเดียวแล้วความกล้าหาญความเชื่อมั่นจะกลับคืนมาสู่ตัวของเรา
๕.ปัญญา ดีที่สุดคือระดับภาวนามยปัญญา คือปัญญาที่เกิดจากการทำสมาธิภาวนาทำใจให้สงบ ถ้าใจของเรานิ่ง ๆ บุญในตัวของเราก็จะหล่อเลี้ยงใจส่งผลทำให้เรามีพลังใจทำให้เราสามารถเอาชนะความกังวลทั้งหลาย ทำให้เราสามารถปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จตามที่ตั้งใจไว้ทุกประการ



#2 KATCH

KATCH
  • Members
  • 105 โพสต์

โพสต์เมื่อ 20 September 2007 - 02:09 PM

อนุโมทนา...ที่นำโอวาทดีๆ มาแบ่งปันเพื่อนกัลยาณมิตรค่ะ

#3 usr18379

usr18379
  • Members
  • 6 โพสต์

โพสต์เมื่อ 25 September 2007 - 05:27 PM

สาธุ

#4 กลุ่มพลังใส

กลุ่มพลังใส
  • Members
  • 2 โพสต์
  • Gender:Female
  • Location:52 Bangyeeruel thonburee Bkk 10600

โพสต์เมื่อ 28 September 2007 - 03:02 PM

ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ช่วงนี้กำลัง low Batt นิดหน่อย พออ่านแล้วมีความรู้สึกดีมากมาก

สาธุค่ะ

 

Smile Everyday Keep Stress Away

คิด พูด ทำ สิ่งที่ดี ใจจะไร้ความทุกข์

อนุโมธนาบุญทุกบุญกับทุกท่านใน DMC.TV  By :กลุ่มพลังใส

http://www.positivedesigns.net

 


#5 usr16239

usr16239
  • Members
  • 6 โพสต์

โพสต์เมื่อ 28 September 2007 - 05:30 PM

ขอขอบคุณมากครับ เพราะผมมีอาการวิตกกังวล ที่เป็นปัญหามาตั้งแต่เกิดเลยครับ อ่านแล้วก็เริ่มเข้าใจตัวเอง เข้าใจความเป็นจริง tongue.gif "ความวิตกกังวลเกิดขึ้นจากการคิดสมมติอย่างขาดสติและปัญญา ทำให้ไม่กล้าที่จะทำอะไรเลย ชีวิตจะมีแต่ความอับเฉา เพราะความวิตกกังวลจะเป็นตัวขัดขวางบั่นทอนการทำงานทุกอย่างของเรา " และผมจะพยายามหัดพัฒนาตนให้เป็นคน Pro- active ให้ได้ครับ ขออนุโมทนาบุญด้วยครับ ที่ส่งกระทู้ที่เป็นแสงสว่างทางปัญญาให้ครับ

#6 กิตติ ไตรรัตน์

กิตติ ไตรรัตน์
  • Members
  • 51 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 28 September 2010 - 01:49 PM

อนุโมทนาบุญครับ สาธุ
Website Coach Kitti http://coachkitti.com


ความดี คนดีทำได้ง่าย คนชั่วทำได้ยาก
ความชั่ว คนชั่วทำได้ง่าย คนดีทำได้ยาก
ดังนั้น ความดี ทำได้ง่ายมากๆๆๆ

#7 Nee-Sansanee 2

Nee-Sansanee 2
  • Members
  • 893 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 28 September 2010 - 11:11 PM

สาธุค่ะ ดีทีเดียวกำลังเป็นอยู่พอดี(นิดหน่อย)

สบายธรรมนำมาทบทวนพอดีเลย ขอบคุณด้วยน้าจ้ะ