สิริอัญญา, ข้างประชาราษฎร์
โรคมะเร็งซึ่งถือกันว่าเป็นโรคร้ายแรงในยุคปัจจุบัน
ได้ถูกค้นพบโดยนักวิทยาศาสตร์ชาวเยอรมันว่ามีโครงสร้างของโมเลกุลเป็นอย่างไร
ทำให้สามารถตรวจสอบอาการของมะเร็งได้ง่ายขึ้น
เพราะเมื่อพบโมเลกุลของเซลล์ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายว่าเป็นโมเลกุลของมะเร็งแล้ว
ก็รู้ได้โดยง่ายว่าเป็นมะเร็ง
พวกฝรั่งเขาเก่ง โฆษณาเก่ง อะไรๆ ก็อ้างว่าเป็นผู้คิด ผู้รู้
หรือเป็นผู้คนพบ แล้วเหมารวมเอาว่าเป็นภูมิปัญญาของฝรั่ง
อย่างดินปืนหรือเข็มทิศนั่นประไร คนจีนเขาคิดได้ก่อนร่วมสองพันปี
ฝรั่งเอาไปพัฒนาแล้วอ้างเอาว่าเป็นต้นคิด
แม้กระทั่งปืนกลอะไรนั่น ความจริงขงเบ้งได้คิดใช้ก่อนแล้วตั้งแต่เกือบสองพันปี
ดังที่มีเรื่องราวปรากฏอยู่ในสามก๊ก
เซรุ่มหรือวัคซีนในการรักษาป้องกันโรคและพิษหลายอย่าง ฝรั่งก็อ้างผูกขาดเอาว่าเป็นต้นคิด
ทั้งๆ ที่ความจริงแนวความคิดในการผลิตเซรุ่มหรือวัคซีนไม่ใช่เรื่องใหม่
หากเป็นเรื่องที่มีมานานแล้วอย่างน้อยก็สองพันกว่าปี
อันเซรุ่มหรือวัคซีนนั้นหลักการอันเป็นแนวคิดก็คือการใช้พิษฆ่าพิษหรือข่มพิษ
มีการเอาพิษหรือเชื้อโรคไปบ่มไปเพาะ แล้วนำไปใช้ในการป้องกันหรือรักษาพิษหรือโรค
ฝรั่งคิดเรื่องนี้ได้ในระยะเพียงประมาณไม่กี่ร้อยปีมานี้
แต่จีนคิดและใช้ความรู้เกี่ยวกับพิษข่มพิษหรือใช้พิษแก้พิษมาร่วมสองพันปีแล้ว ยาแผนโบราณของจีนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันจำนวนมากล้วนได้ใช้หลักพิษข่มพิษหรือพิษแก้พิษ
ฝรั่งเคยเอายาจีนไปพิสูจน์แล้วออกข่าวโวยวายว่าเป็นยาที่กินไม่ได้เพราะมีสารพิษเจือปน
ก็เพราะนัยดังกล่าวนี้เอง ทั้งๆ ที่ในการใช้บำบัดรักษาจริงๆ แล้ว สามารถใช้ได้ผลเป็นอย่างดี
ดังเช่นยารักษาโรคมะเร็งตับ มะเร็งกระเพาะลำไส้ที่มีชื่อว่าเปี่ยนเซฮวง หรือเพี้ยนจื่อ หวัง หากเอาไปพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ก็จะพบว่ามีสารพิษบางอย่างซึ่งฝรั่งถือว่าใช้ไม่ได้ แต่ในการใช้บำบัดรักษาผู้เป็นโรคมะเร็งในหลายประเทศทั่วโลกปรากฏว่าใช้ได้ผลดี
พรรคพวกคนหนึ่งเป็นโรคไวรัสบีที่ตับ ตัวเหลืองซีด เดินไม่ได้ กินไม่ได้
อีกไม่นานก็จะตายแล้ว แต่พอได้กินยาดังกล่าวเข้าประมาณ 20 เม็ด ก็เริ่มสามารถเดินได้
ครั้นกินไปได้ครบ 60 เม็ด ตัวที่เหลืองซีดก็หาย ผลตับก็ดีขึ้นและเป็นปกติจนถึงทุกวันนี้
พระพุทธเจ้าของชาวพุทธเราทรงพบหลักการบำบัดรักษาโรคทำนองเดียวกับ
เซรุ่มหรือวัคซีนก่อนใครในโลก เป็นวิธีที่ง่าย สะดวกในการใช้สอย และได้ผลจริง
มีความแสดงไว้อย่างชัดเจนทั้งในพระสูตรและพระวินัย
อย่าได้คิดว่าเป็นการค้นพบโดยการทดลองทางวิทยาศาสตร์
หากเป็นการรู้เห็นด้วยญาณอันวิเศษ และปฏิบัติใช้ได้ผลมาแล้วกว่าสองพันห้าร้อยปี
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงเห็นผลดีของโอสถวิเศษดังกล่าวนี้
จึงบัญญัติไว้ในพระวินัยให้เป็นวัตรปฏิบัติสำคัญ 1 ใน 3 ประการของภิกษุ
พระภิกษุต้องมีวัตรปฏิบัติ 3 ประการคือ
การถือไตรจีวรเป็นประจำอย่างหนึ่ง
การบิณฑบาตอย่างหนึ่ง
และการทำน้ำมูถเน่าฉันอีกอย่างหนึ่ง
การบิณฑบาตเป็นวัตรก็คือการออกกำลังกายในยามเช้า ซึ่งปัจจุบันเรียกว่า morning walk
หรือ จ็อกกิ้งอะไรก็ตามเถิด แต่แท้จริงแล้วก็คือการออกกำลังกายอย่างหนึ่ง
ที่ทำให้เลือดลมในกายไหลเวียนเป็นปกติ เส้นสายได้คลี่คลาย ได้ทั้งเหงื่อ ได้ทั้งอาหาร
โดยเฉพาะเวลาอุ้มบาตรแนบกับท้องน้อย ความอุ่นของบาตรพระที่มีข้าวสุกอยู่ในบาตร
ได้เคล้าคลึงอยู่กับหน้าท้อง
ซึ่งเป็นจุดศูนย์รวมของเส้นสายและเลือดลมทั้งปวง ทำให้กายมีความเป็นปกติ เป็นอยู่สบาย แม้ในทางธรรมเล่าก็ทำให้ผู้เป็นพุทธบริษัทได้มีโอกาสทำบุญ บำรุงจิตใจให้อาบเอิบอยู่ด้วยบุญ
จาคะ และการสละละวาง ประโยชน์ใหญ่หลวงอันเกิดแต่บิณฑบาตมีอยู่ดังนี้
ส่วนการทำมูถเน่าฉันนั้นก็คือการเอาน้ำปัสสาวะของตนเองทิ้งหัวทิ้งท้ายเอาแต่กลางน้ำ
ดองกับลูกสมอหรือมะขามป้อมก็ได้ หมักบ่มไว้เป็นเวลา 90 วัน ก็ใช้ฉันได้
หรือจะฉันสดโดยรองเอาแต่เฉพาะช่วงกลาง ทิ้งหัวทิ้งท้ายก็ได้
และนี่เป็นวัตรปฏิบัติที่สำคัญอย่างหนึ่งที่มีผลในการป้องกัน บำบัด และรักษาโรคที่มีผลชะงัด
พิสูจน์เมื่อใดก็ใช้ได้เมื่อนั้น ได้ผลเมื่อนั้น ไม่ว่าจะเป็นคนในลัทธิศาสนาใดๆ หรือมีเพศวัยอะไร
คนโบราณหรือคนที่มีอายุเกินกว่า 45 ปี
ก็คงเคยได้กินยาแผนโบราณที่ใช้น้ำปัสสาวะเด็กเป็นกระษัยยามาบ้างแล้ว
นั่นเป็นเรื่องของคนที่ขยะแขยงน้ำปัสสาวะหรือน้ำมูถ
พระผู้มีพระภาคเจ้าวางพุทธบัญญัติให้ใช้น้ำปัสสาวะของตนเองย่อมมีมาแต่เหตุว่า
อาการของโรคใดๆ ของคนใดคนหนึ่งย่อมต้องบำบัดรักษาด้วยน้ำมูถหรือน้ำปัสสาวะของผู้นั้น
จะใช้ของผู้อื่นไม่ได้
มีผู้ใช้โอสถทิพย์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าในการบำบัดรักษาโรคหลายอย่างหลายชนิดตั้งแต่อดีตจวบปัจจุบัน
ตั้งแต่ป่วยเป็นไข้ เป็นฝีในท้อง เป็นโรคลำไส้ เป็นโรคตับ โรคไต ความดันโลหิตสูง มะเร็ง และโรคอื่นๆ สารพัด
ได้ทราบข่าวหลายกระแสและค่อนข้างจะแน่ชัดแล้วว่า น้ำมูถเน่าหรือน้ำปัสสาวะนั้นสามารถบำบัดรักษาโรคเอดส์ได้ด้วย เหตุที่มีการทดลองใช้น้ำปัสสาวะหรือน้ำมูถเน่ารักษาโรคเอดส์เนื่องจากการรักษาแผนปัจจุบันนั้นเป็นอันสิ้นหวัง และยังไม่สามารถค้นพบยาขนานอื่นใดที่รักษาโรคเอดส์ได้อย่างแท้จริง
จึงทำให้ผู้เป็นโรคเอดส์ที่ว่านี้ทอดอาลัยตายอยาก แล้วคิดว่าไหนๆ ก็จะตายแล้ว
ลองใช้โอสถวิเศษของพระพุทธเจ้าบ้างจะเป็นไรไป
ครั้นทดลองเอามากินเพียง 10 กว่าวัน
ลิ้นและปากที่เป็นฝ้ากินอะไรไม่ได้ก็เริ่มกินน้ำได้คล่องคอแล้วค่อยๆ กินอาหารได้
พอกินอาหารได้ความซูบซีดผอมแห้งแรงน้อยก็ค่อยๆ หาย
เริ่มมีเนื้อมีหนังขึ้นโดยลำดับ 6 เดือนผ่านไปเนื้อหนังมังสาผิวพรรณ
เริ่มเหมือนผู้คนมากกว่าที่เหมือนเปรตดังแต่ก่อน ค่อยๆ เดินได้ ออกกำลังกายได้
8 เดือนผ่านไปก็มั่นใจว่าโอสถวิเศษของพระพุทธเจ้าสามารถรักษาโรคเอดส์ให้หายได้อย่างแน่นอน
จึงกินต่อมาเรื่อยๆ 5 ปีผ่านไปแล้วบางราย 3 ปีผ่านไปแล้วก็สามารถดำรงชีวิตเป็นปกติยิ่งขึ้น
หรือเหมือนกับคนปกติแล้ว
ตรองดูเหตุผลซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าวางพุทธบัญญัติให้พระภิกษุฉันน้ำมูถเน่าเป็นวัตร
ก็คงเนื่องมาแต่ยุคพุทธกาลนั้นบ้านเมืองยังทุรกันดาร หมอก็คงหาลำบาก
ยามพระภิกษุป่วยไข้จะหาหยูกยาที่ไหนมารักษา
และวิธีที่ดีและง่ายที่สุด หาได้ทุกเมื่อทุกวันเวลาก็คือน้ำปัสสาวะของตนเอง
เหตุที่ต้องใช้น้ำปัสสาวะของตนเองก็เพราะว่าน้ำปัสสาวะของคนเรานั้นเป็นสิ่งที่กลั่นจากน้ำในกาย
ทั้งน้ำเลือด น้ำหนอง และน้ำทุกชนิดในกายอันยาววาหนาคืบนี้
โดยไตเป็นกลไกในการขับกรอง โรคทั้งหลายในกายย่อมอาศัย ย่อมมีเหตุปัจจัยและย่อมมีผลเกี่ยวด้วยน้ำหลายชนิดดังกล่าวในกายของตัวเองนั่นเอง
เป็นโรคอะไรน้ำในกายก็ย่อมมีสารอันเป็นเหตุเป็นปัจจัยของโรคนั้นอยู่
เมื่อผ่านการกลั่นกรองของไตกลายเป็นน้ำปัสสาวะแล้ว
น้ำปัสสาวะนั้นจึงเหมือนกับเซรุ่มหรือวัคซีนที่พวกฝรั่งเพิ่งค้นพบในภายหลังนั่นแหละ
เมื่อมองดังนี้ก็จะเห็นได้ว่าน้ำปัสสาวะของคนเราแท้จริงแล้วก็คือ
เซรุ่มหรือวัคซีนที่ธรรมชาติประทานไว้ให้กับคนเรานั่นเอง
เป็นเซรุ่มหรือวัคซีนธรรมชาติที่สามารถใช้ป้องกันบำบัดรักษาโรคประจำกายได้โดยอัตโนมัติ
เป็นโรคอะไรหรือจะเป็นโรคอะไรร่างกายก็จะผลิตน้ำปัสสาวะ
ที่เสมือนดังหนึ่งเซรุ่มหรือวัคซีนที่จะมีผลต่อการบำบัดรักษาโรคนั้นอย่างตรงตัวที่สุด
อุปมาเหมือนกับการเอาพิษงูเห่าไปทำเซรุ่มรักษาพิษงูเห่า หรือการเอาพิษงูจงอางไปทำเซรุ่มรักษาพิษงูจงอางนั่นแล
โรคเอดส์ก็ประกอบด้วยน้ำ มีเหตุมีปัจจัยจากน้ำ และก่อผลแก่น้ำอันมีอยู่ในกาย
เมื่อเป็นเช่นนี้ร่างกายคนเราจึงผลิตเซรุ่มหรือวัคซีนที่รักษาโรคเอดส์ โดยการใช้น้ำปัสสาวะของผู้ป่วยเป็นโรคเอดส์นั้นในการบำบัดรักษาโรคเอดส์ให้หาย
สมญานามของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่ว่าเป็นผู้แจ้งโลกนั้น ไม่ว่าจะคิดจะพิจารณาศึกษาค้นคว้าในเรื่องไหนๆ ก็จะเห็นได้ถึงความรู้แจ้งโลกหรือความเป็นสัพพัญญูอย่างถ่องแท้
ได้ลองค้นคว้าตำรายาในพระไตรปิฎกก็ได้พบตำรายามากหลาย
หากมีวันเวลาว่างและกองบรรณาธิการอนุญาตแล้วก็ตั้งใจว่าจะเขียนเรื่องตำรายาในพระไตรปิฎก
เพื่อเป็นธรรมทานแก่เพื่อนมนุษย์สักครั้งหนึ่ง ท่านผู้ใดสนใจก็คอยติดตามเอาเองก็แล้วกัน
น้ำปัสสาวะสดอย่าได้คิดว่าเป็นเรื่องสกปรกโสมม คิดเสียว่าเหมือนกับน้ำลายที่อยู่ในปาก
สามารถกลืนกินได้ฉันใด น้ำปัสสาวะก็ดื่มกินได้ฉันนั้น แต่เอาหละเพื่อความสะอาดช่วงต้นช่วงปลายอาจจะมีกลิ่นอันน่ารังเกียจอยู่บ้างก็ทิ้งไปเสีย
เอาแต่ตอนกลางดื่มเช้าหนหนึ่ง ก่อนนอนหนหนึ่งก็ถือได้ว่าเป็นโอสถวิเศษที่เป็นยาอายุวัฒนะ และสามารถบำบัดรักษาโรคที่มีอยู่ในตนได้ทุกอย่าง
รสชาติของน้ำปัสสาวะของแต่ละคนและที่เป็นโรคแต่ละโรคย่อมแตกต่างกัน
บ้างมัน บ้างหวาน บ้างเค็ม บ้างเปรี้ยว บ้างจืด บ้างมีกลิ่นฉุน บ้างขื่น บ้างเหมือนกลิ่นสับปะรด ก็ถือเสียเถิดว่านั่นเป็นยาแต่ละขนานสำหรับโรคแต่ละโรค
ส่วนการทำน้ำมูถเน่านั้น ให้ใช้น้ำปัสสาวะตอนเช้าและตอนก่อนเข้านอน
ทิ้งหัวทิ้งท้ายเอาเฉพาะส่วนกลาง ดองใส่โหลไว้ ใส่สมอหรือมะขามป้อมแล้วปิดฝาให้มิดชิด
ถ้วน 90 วันแล้วก็ดื่มกินได้ ทั้งรสชาติดีและรักษาโรคได้ทุกชนิด
จะกินน้ำปัสสาวะเพื่อป้องกันรักษาโรคก็ได้
หรือถ้ารังเกียจก็คอยจนเป็นโรคใดโรคหนึ่งที่หมอไม่รับรักษาแล้วค่อยทดลองกินก็ได้
ขออำนาจแห่งพระรัตนตรัยที่ยังประโยชน์ยิ่งแก่หมู่สัตว์จงประสิทธิ์ประสาทฤทธิ์ของโอสถทิพย
์แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่คนทั้งปวงเทอญ
สิริอัญญา, ข้างประชาราษฎร์
ผู้จัดการ 31 มีนาคม 2545