ไปที่เนื้อหา


รูปภาพ
* * * * * 1 คะแนน

แบบทดสอบย่อย เรื่อง องค์คุณแห่งความเป็นพระโสดาบัน


  • คุณไม่สามารถตั้งกระทู้ใหม่ได้
  • กรุณาลงชื่อเข้าใช้เพื่อตอบกระทู้
มี 32 โพสต์ตอบกลับกระทู้นี้

#1 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 02:31 PM

คุณสมบัติประการอื่นนอกจากการละซึ่งสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส อันเป็นองค์คุณที่แสดงถึงความเป็นพระโสดาบันแล้ว ยังมีองค์คุณประการอื่นอันเป็นจุดเด่นที่บ่งบอกและแสดงถึงความเป็นพระโสดาบันอีกหรือไม่? ถ้ามี องค์คุณเหล่านั้นได้แก่อะไรบ้าง?

ปล. สำหรับการยกพระสูตรมาประกอบการตอบกระทู้นั้น ขอให้ท่านได้สรุปและอธิบายถึงความหมายของเนื้อหาอันมีปรากฏอยู่ในพระสูตรนั้นๆ มาพอสังเขปตามความเข้าใจของท่านด้วยนะครับ

"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#2 หยุดอะตอมใจ

หยุดอะตอมใจ
  • Members
  • 729 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 03:05 PM

ได้ข้อหนึ่งๆ

พระโสดาบันจะมีความศรัทธาในพระรัตนตรัย ตั้งมั่นไม่คลอนแคลนครับ nerd_smile.gif

(เย้ๆ ตอบคำถามท่านขุนศึกได้กะเค้าบ้างซะที)

QUOTE
174 สุมังคลวิลาสินี อรรถกถาทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค

นิวิฏฺฐา ความว่า ตั้งมั่นแล้ว คือดำรงอยู่อย่างไม่หวั่นไหว. ถามว่าก็ศรัทธาเห็นปานนี้ย่อมมีแก่ใคร. ตอบว่า ย่อมมีแก่พระโสดาบัน. ก็พระโสดาบันนั้นมีศรัทธาตั้งมั่น แม้เมื่อจะถูกเขาเอาดาบตัดศีรษะก็ยังไม่ กล่าวว่าพระพุทธเจ้าไม่ใช่พระพุทธเจ้าดังนี้บ้าง พระธรรมไม่ใช่ พระธรรมดังนี้บ้าง พระสงฆ์ไม่เป็นพระสงฆ์ดังนี้บ้าง. พระโสดาบันย่อมเป็น ผู้มีศรัทธาดำรงมั่นแท้ เปรียบเหมือนสูรอัมพัฏฐอุบาสกฉะนั้น

แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง


#3 พิมพ์บุญ

พิมพ์บุญ
  • Members
  • 73 โพสต์

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 03:21 PM

แล้วอย่างคนทั่วไปที่ไปวัดนั่งสมาธิ อย่างนี้ถือว่าศรัทธา ในพระรัตนตรัย
แต่ไม่เป็นพระโสดาบัน
¤นักเรียนใหม่***
รักบุญ เชื่อในบุญ
mata072 windowslive.com

#4 หยุดอะตอมใจ

หยุดอะตอมใจ
  • Members
  • 729 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 04:40 PM

QUOTE
แล้วอย่างคนทั่วไปที่ไปวัดนั่งสมาธิ อย่างนี้ถือว่าศรัทธา ในพระรัตนตรัย
แต่ไม่เป็นพระโสดาบัน


ก็ศรัทธา แต่ยังไม่มั่นคงครับผม อย่างเช่น เวลาที่วัดมีข่าว ก็มีความคิดเล็กๆ ในใจว่า เอ๊ะ มันจะเป็นอย่างที่เค้าบอกหรือเปล่านา แค่นี้ก็เห็นชัดๆ ว่าคลอนแคลนแล้วครับ

นอกจากนั้นพระโสดาบัน ก็ยังเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยองค์แห่งศีล คือจะไม่ผิดศีลเป็นอันขาดครับ

แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง


#5 panu

panu
  • Members
  • 530 โพสต์

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 05:55 PM

ถ้าจำไม่ผิด พระโสดาบัน จะต้องไม่โกรธ คือไม่มีความโกรธอยู่ในใจ ...

#6 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 06:11 PM

QUOTE
ถ้าจำไม่ผิด พระโสดาบัน จะต้องไม่โกรธ คือไม่มีความโกรธอยู่ในใจ ...

nerd_smile.gif ใบ้ให้นิดนึงว่า การสละละความโกรธได้โดยเด็ดขาดนั้น ไม่ใช่คุณสมบัติอันเป็นลักษณะเด่นแห่งความเป็นพระโสดาบันนะครับ laugh.gif
"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#7 สาคร

สาคร
  • Members
  • 764 โพสต์

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 06:12 PM

ไม่ล่วงละเมิด ศีล 5 เป็นปกติ


เกิดอีกไม่เกิน 7 ชาติก็จะถึงซึ่งนิพพาน


ความรักความเมตตาและการให้อภัยเป็นสิ่งที่คนดีเขามีกัน


[email protected]

#8 หยุดอะตอมใจ

หยุดอะตอมใจ
  • Members
  • 729 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 06:30 PM

พระโสดาบันจัดเป็น ๓ ขั้น คือ

๑. สัตตักขัตตุง สำหรับที่ท่านเป็นพระโสดาบันมีอารมณ์ยังอ่อน จะต้องเกิดและตายในระหว่างเทวดาหรือพรหมกับมนุษย์อีกอย่างละ ๗ ชาติ เป็นมนุษย์ชาติที่ ๗ และเข้าถึงความเป็นอรหัตผล

๒. ถ้ามีอารมณ์เข้มแข็งปานกลาง ที่เรียกกันว่า โกลังโกละ อย่างนี้จะทรงเป็นเทวดาหรือมนุษย์อีกอย่างละ ๓ ชาติครบเป็นมนุษย์ชาติที่ ๓ เป็นพระอรหันต์

๓. สำหรับพระโสดาบันที่มีอารมณ์เข้มแข็งเรียกว่า เอกพิชี นั่นก็จะเกิดเป็นเทวดาอีกครั้งเดียว มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็เป็นพระอรหันต์

ความว่า ท่านผู้นั้นเมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วเกิดใหม่ไม่ได้พบพระพุทธศาสนา จะต้องฝึกฝนตนเองอยู่เสมอทุกชาติ แต่ว่าความเป็นมิจฉาทิฏฐิในชาติต่อๆ ไป จะไม่มีแก่พระโสดาบัน เพราะว่าพระโสดาบันไม่มีสิทธิที่จะไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานจะเกิดได้แค่ช่วงแห่งความเป็นมนุษย์กับเทวดาหรือพรหมสลับ กันเท่านั้น

ข้อมูล http://www.banfun.co...dha/arom02.html

อีกข้อหนึ่ง ที่ยังไม่มีท่านผู้ใดกล่าวถึงเลยก็คือ พระโสดาบันคือ ผู้ที่สามารถเป็นพระธรรมกายโสดาบัน ชัดใสสว่างตลอดเวลา แต่ที่ผมยังหาคำตอบไม่ได้ก็คือ เมื่อท่านไปเกิดใหม่ ท่านยังจะเห็นพระธรรมกายตั้งแต่ออกจากครรภ์มารดาหรือไม่ nerd_smile.gif

แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง


#9 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 06:32 PM

QUOTE
พระโสดาบันจัดเป็น ๓ ขั้น คือ

๑. สัตตักขัตตุง สำหรับที่ท่านเป็นพระโสดาบันมีอารมณ์ยังอ่อน จะต้องเกิดและตายในระหว่างเทวดาหรือพรหมกับมนุษย์อีกอย่างละ ๗ ชาติ เป็นมนุษย์ชาติที่ ๗ และเข้าถึงความเป็นอรหัตผล

๒. ถ้ามีอารมณ์เข้มแข็งปานกลาง ที่เรียกกันว่า โกลังโกละ อย่างนี้จะทรงเป็นเทวดาหรือมนุษย์อีกอย่างละ ๓ ชาติครบเป็นมนุษย์ชาติที่ ๓ เป็นพระอรหันต์

๓. สำหรับพระโสดาบันที่มีอารมณ์เข้มแข็งเรียกว่า เอกพิชี นั่นก็จะเกิดเป็นเทวดาอีกครั้งเดียว มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็เป็นพระอรหันต์

nerd_smile.gif ที่พี่ตอบมานี่ถูกหมดเลยครับ แต่คำถามของผมไม่ได้ถามถึงประเภทของพระโสดาบันนะครับ ขอบพระคุณมากครับสำหรับคำตอบ happy.gif
"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#10 หยุดอะตอมใจ

หยุดอะตอมใจ
  • Members
  • 729 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 06:34 PM

คือผมจะขยายความของคุณสาครนะครับ nerd_smile.gif แหะๆ ที่เหลือผมคงจะตอบไม่ได้แล้วครับ คงต้องให้ผู้รู้ท่านอื่นมาตอบ เรื่องศีล อยากให้ท่านผู้รู้่ ช่วยตอบเปรียบเทียบกับ อธิศีล ด้วย

แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง


#11 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 06:39 PM

QUOTE
ความว่า ท่านผู้นั้นเมื่อเป็นพระโสดาบันแล้วเกิดใหม่ไม่ได้พบพระพุทธศาสนา จะต้องฝึกฝนตนเองอยู่เสมอทุกชาติ แต่ว่าความเป็นมิจฉาทิฏฐิในชาติต่อๆ ไป จะไม่มีแก่พระโสดาบัน เพราะว่าพระโสดาบันไม่มีสิทธิที่จะไปเกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย เป็นสัตว์เดรัจฉานจะเกิดได้แค่ช่วงแห่งความเป็นมนุษย์กับเทวดาหรือพรหมสลับ กันเท่านั้น

nerd_smile.gif ในส่วนของข้อความที่ขีดเส้นใต้นั้น กระผมขอขยายความเพิ่มเติมดังนี้ "ท่านผู้นั้นเมื่อบรรลุถึงซึ่งความเป็นพระโสดาบันแล้ว แม้การเกิดใหม่ในอีกอัตภาพ ท่านจะไม่ได้พบพระพุทธศาสนาก็ตาม" happy.gif
"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#12 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 07:14 PM

nerd_smile.gif เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับคำถาม แต่ผมขอนำมาเพิ่มเติมเป็นความรู้ให้แก่เพื่อนสมาชิกในชุมชนทุกท่านครับ happy.gif

QUOTE
นอกจากนี้ ยังมีพระโสดาบันประเภทพิเศษอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่า "วัฏฏาภิรตโสดาบัน" ด้วย ซึ่งหมายถึง พระโสดาบันผู้มีจิตยินดีในการเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะ

อธิบายว่า พระโสดาบันนั้น แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท ได้แก่

๑. เอกพีชีโสดาบัน (กลับมาเกิดอีกเพียงชาติเดียว)
๒. โกลังโกลโสดาบัน (กลับมาเกิดอีกเพียง ๒-๓ ชาติ)
๓. สัตตักขัตตุปรมโสดาบัน (กลับมาเกิดอย่างมากที่สุดไม่เกิน ๗ ชาติ)

ในคัมภีร์ปรมัตถทีปนีได้กล่าวถึง "วัฏฏาภิรตโสดาบัน" ไว้ ๗ ท่าน อันปรากฏพระนามและรายนามดังต่อไปนี้

๑. สมเด็จพระอมรินทราเทวาธิราช
๒. อนาถบิณฑิกเทวาโสดาบัน
๓. วิสาขาเทพนารีโสดาบัน
๔. จูฬรถเทวาโสดาบัน
๕. มหารถเทวาโสดาบัน
๖. อเนกวรรณเทวาโสดาบัน
๗. นาคทัตตเทวาโสดาบัน

ถึงอย่างไรก็ดี แม้ท่านเหล่านี้จะยินดีในการเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะก็ตาม แต่ที่สุดแล้วก็ไม่เกิน ๗ ชาติ เช่นเดียวกันกับพระโสดาบันประเภทสัตตักขัตตุปรมะ

"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#13 koonpatt

koonpatt
  • Members
  • 616 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 07:15 PM

พระโสดาบัน ทรงคุณธรรมเพียง ๓ ประการเท่านั้น คือนึกอยู่เสมอว่า เราจะต้อง
ตายเป็นปกติ เห็นความเกิด ความแก่ ความกลัดกลุ้มใด ๆ ก็ตามมันเป็นของธรรมดา
แต่ความโลภ อยากรวยยังมีอยู่ ความโกรธยังมีอยู่ ความหลงยังมีอยู่
แต่ความอยากสวย อยากรวย อยากโกรธ อยากหลงมันอยู่ในขอบเขตของศีล
อยากสวยก็สวยโดยไม่ผิดศีล อยากรวยได้มาโดยไม่ผิดศีล
ไม่คดไม่โกงใคร โกรธได้แต่ทำร้ายใครเขาไม่ได้ กลัวศีลขาด
ยังหลงในร่างกายว่าเป็นเรา เป็น ของเรามีอยู่
แต่ว่ารู้อยู่เสมอว่า เราจะต้องตาย จิตใจมันปล่อยได้
งานทุกอย่างทำตามหน้าที่ แล้วมีอารมณ์ยอมรับนับถือ คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
มี ศีล ๕ บริสุทธิ์ มีอารมณ์รักพระนิพพาน เป็นปกติ นี่แค่นี้เอง พระโสดาบัน

ท่านที่เข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน หรือกำลังจะเข้าถึงความเป็นพระโสดาบัน จะต้องทรง
พรหมวิหาร ๔ ตามปกติ เมื่อทรง พรหมวิหาร ๔ แล้วก็เป็นปัจจัยให้ศีลบริสุทธิ์
ด้วยทรงพรหมวิหาร ๔ เป็นปัจจัยระงับ โทสะ และ พยาบาท ทำให้ โทสะ และ พยาบาท คลายตัว
แล้วก็ พรหมวิหาร ๔ เป็นปัจจัยให้คนใจดี พอใจในการให้ทาน แล้วก็ทานตัวนี้เป็นปัจจัยตัด
โลภะ คือความโลภคือปรารถนาในการยื้อแย่งเขา พอใจในการหาได้ด้วย สัมมาอาชีวะ ฉะนั้น
ขอบรรดาท่านทั้งหลายจงปรับกำลังใจของท่านให้ดีตามนี้ การเข้าสู่ความเป็น
พระโสดาบัน จะเป็นของไม่ยาก ไม่มีอะไรลำบาก ที่บรรดาท่านพุทธบริษัทจะต้องหนักใจ

ความเป็นพระโสดาบันนี้มีความสำคัญอยู่ที่ศีล ถ้าหากว่าทุกท่านมีศีลบริสุทธิ์
ก็ไม่ต้องกล่าวย้อนไปถึงการเคารพในพระรัตนตรัย ทั้งนี้เพราะว่าศีลมาจากพระรัตนตรัยทั้ง
๓ ประการ การที่เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ก็แสดงว่าเป็นผู้เข้าถึงพระรัตนตรัยอยู่แล้ว ฉะนั้นศีลของท่าน
ทั้งหลายจึงบริสุทธิ์ ศีลจะบริสุทธิ์ได้ต้องอาศัย เมตตา กับ กรุณา เป็นสำคัญ และยังมีเพื่อน
อีกสอง เป็นฝ่ายสนับสนุน นั่นก็คือ มุทิตา กับ อุเบกขา

พระโสดาบัน ไม่สงสัยในคำสั่งและคำสอน ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
คำสั่งก็ได้แก่ ศีล คำสอนก็ได้แก่ จริยาอันหนึ่งที่เราเรียกกันว่า ธรรมะ เป็นความ
ประพฤติดีประพฤติชอบศีล พระพุทธเจ้าสั่งให้ละตามสิกขาบทที่กำหนด ธรรมะคำสอนทรง
แนะนำว่าจง จงอย่าทำอย่างนี้จะมีความสุข ทั้งคำสั่งก็ดี ทั้งคำสอนก็ดี พระโสดาบัน มีความ
เชื่อมั่นในคุณพระรัตนตรัย

พระโสดาบัน มีปัญญาเพียงเล็กน้อย รู้แค่ตายเท่านั้น ยังไม่สามารถจะจำแนกร่างกาย
ว่าไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราได้ พระโสดาบัน ยังมีความรู้สึกว่า ร่างกายเป็นเรา เป็นของเรา
ทรัพย์สินทั้งหลายยังเป็นเราเป็นของเรา
แต่ทว่ามีความรู้สึกว่า สิ่งทั้งหลายที่เป็นของเรานี้ ทั้งหมดเมื่อตายแล้ว
เราก็ไม่มีสิทธิที่จะเข้ามาครอบครอง หรือถ้าว่าเรายังไม่ตาย สักวันหนึ่ง
ข้างหน้ามันก็ต้องสลายตัวไป

ถ้าเราจะคิดว่า หญิงโสเภณีเป็นพระโสดาบันไม่ได้ มันก็ผิด ถ้าเขาเป็นด้วยการสุจริต
การเช่าเขาไป เขาไม่ได้คด ไม่ได้โกง เขาตกลงราคาซึ่งกันและกัน ศีล ๕ ของเขาก็ไม่มี
การขาดเขาไม่ได้ไปฆ่าใคร เขาไม่ได้ไปขโมยใคร หรือหลอกลวงใคร เขาไม่ได้ไปแย่งสามี
ของใคร เขาถือว่าเขาเป็นสินค้าประเภทหนึ่งชั่วคราว เขาไม่ได้โกหกมดเท็จว่า เขาไม่ได้
เป็นหญิงโสเภณี เขาไม่ได้ดื่มสุราเมรัย เราจะเอาคำว่าเสียตรงไหนมากล่าวกับหญิงโสเภณี
ถ้าปฏิบัติด้วยความบริสุทธิ์ นางสิริมาเธอก็มีลักษณะอยู่ในเกณฑ์นี้ องค์สมเด็จพระชินศรี
จึงได้ทรงรับรองว่านางเป็น พระโสดาบัน

คนที่เขาไม่เคยเจริญพระกรรมฐาน แต่ชอบสวดมนต์เป็นปกติ มีศีลห้าบริสุทธิ์ จะ
ถามว่าคนประเภทนี้เป็น พระโสดาบัน ได้ไหม ก็ต้องตอบว่าได้ คนที่เขานั่งสวดมนต์เป็นปกติ
เขาสวดด้วยความเคารพพระพุทธเจ้า เคารพพระธรรมในพระอริยสงฆ์ เพราะบทสวดมนต์
ทุกบทมีค่าเท่ากันคือสรรเสริญความดีของพระพุทธเจ้า สรรเสริญความดีของพระธรรม
สรรเสริญความดีของพระอริยสงฆ์ แล้วเขาก็มีศีลบริสุทธิ์ แต่ตอนนี้ต้องระวังนิดหนึ่ง ถ้าเรา
มีจิตเบา เพียงเท่านี้อาจจะยังไม่ได้ พระโสดาบัน อาจจะเรียกว่า กัลยาณชน

ที่นี้ ถ้าบุคคลผู้นั้นเขามีกำลังใจเพิ่มไปอีกนิดหนึ่งว่า ที่เขายอมเคารพในพระพุทธเจ้า
ยอมเคารพในพระธรรม ยอมเคารพในพระสงฆ์ มีศีล ๕ บริสุทธิ์อย่างนี้ เขามีความประสงค์
อย่างเดียวคือพระนิพพาน ถ้าอารมณ์ใจเขาหยั่งถึงพระนิพพานอย่างนี้เป็น พระโสดาบัน แน่
นี่อารมณ์ของ พระโสดาบัน มีเท่านี้ พระสกิทาคามี ก็เหมือนกัน

จิตใจของท่านที่มีอารมณ์ถึง โคตรภูญาณ ใจมีความต้องการอย่างเดียวคือ พระนิพพาน
เป็นปกติ แต่ทว่าพอจิตพ้น โคตรภูญาณ ไปแล้ว ถ้าเข้าสู่ความเป็น พระโสดาบัน เต็มที่
ที่เรียกว่าโสดาปัตติผล ตอนนี้อารมณ์จิตของท่านละเอียดขึ้นมานิดหนึ่ง นอกจากจะรักพระ-
นิพพานเป็นอารมณ์แล้ว ก็มีความรู้สึกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกมันเป็นของธรรมดา การนินทา
ว่าร้ายที่จะปรากฏขึ้นกับบุคคลผู้ใดกล่าวถึงเรา จิตตัวนี้จะมีความรู้สึกว่า ธรรมดาของคนที่เกิดมา
ในโลก มันเป็นอย่างนี้ ความป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้น การพลัดพรากจากของรักของชอบใจเกิดขึ้น
มีความรู้สึกหนักไปในด้านของธรรมดา แต่ทว่าธรรมดาของ พระโสดาบัน ยังอ่อนกว่าธรรมดา
ของพระอรหันต์มาก ฉะนั้นท่านที่เข้าถึงความเป็น พระโสดาบัน จึงยังมีความรักในระหว่างเพศ
ยังมีการแต่งงาน ยังมีความอยากรวย ยังมีความโกรธ ยังมีความหลง


คำอธิบายเพื่อ พระโสดาบัน ว่ากันไปว่ากันมาก็ เลี้ยวลง ๗ จุด คือ
มรณานุสสติกรรมฐาน
พุทธานุสสติกรรมฐาน
ธัมมานุสสติกรรมฐาน
สังฆานุสสติกรรมฐาน
สีลานุสสติกรรมฐาน
จาคานุสสติกรรมฐาน และก็
อุปสมานุสสติกรรมฐาน

note :

มรณานุสสติกรรมฐาน แปลว่านึกถึงความตายเป็นอารมณ์ เรื่องของความตายเป็นของธรรมดาของสัตว์และมนุษย์ที่เกิดมา เมื่อมีความเกิดมาได้แล้ว ก็ต้องตายในที่สุดเหมือนกันหมด ความตายนี้รู้สึกว่าเป็นปกติธรรมดาของคนและสัตว์ทั่วไป

พุทธานุสสติกรรมฐาน หมายถึง การนึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์

ธัมมานุสสติกรรมฐาน แปลว่า ตั้งอารมณ์เป็นการงาน เป็นงานในการระลึกนึกถึงคุณพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์

สังฆานุสสติกรรมฐาน แปลว่า ตั้งอารมณ์ให้เป็นการเป็นงานในการระลึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์ การระลึกถึงคุณพระสงฆ์เป็นอารมณ์นี้ ท่านให้คิดถึงความดีของพระสงฆ์ ในส่วนที่เป็นความดีอันเป็นเนื้อแท้ของพระศาสนา ไม่ใช่คิดถึงความดีอันเป็นส่วนประกอบที่ไม่เข้าถึงพระศาสนา

สีลานุสสติกรรมฐาน แปลว่า ระลึกถึงคุณศีลเป็นอารมณ์

จาคานุสสติกรรมฐาน แปลว่า ระลึกถึงการบริจาคทานเป็นนิตย์ กรรมฐานกองนี้ท่านแนะให้ระลึก ถึงการให้เป็นปกติ ผลของการให้เป็นการตัด มัจฉริยะ ความตระหนี่ ตัดโลภะ ความโลภ ซึ่ง จัดว่าเป็นกิเลสตัวสำคัญไปได้ตัวหนึ่ง กิเลสประเภทรากเหง้าของกิเลสมีสาม คือ ๑. ความโลภ ๒. ความโกรธ ๓. ความหลง

อุปสมานุสสติกรรมฐาน แปลว่า ระลึกคุณพระนิพพานเป็นอารมณ์ ตามศัพท์ท่านน่าจะแปลว่า ระลึกถึงคุณของความเข้าไปสงบระงับจิตจากกิเลสและตัณหา ก็คือการเข้าถึงพระนิพพาน นั่นเอง

สรุปคำตอบค่ะ (ตอบยาวเหลือเกิน เดี๋ยว คุณครูจะเหนื่อยอ่าน)

พระโสดาบันก็ยังมีความหลง ถ้าพูดให้ย่อลงมาอีกนิดเพื่อความเข้าใจง่ายถ้าเป็นพระโสดาบันแล้วอารมณ์อย่างนี้จะทรงตัว คือ

๑. ไม่เคยประมาทในชีวิต มีความรู้สึกว่าชีวิตมันจะต้องตาย แต่ก็ไม่ได้คิดทุกลมหายใจเข้าออก ไม่ลืมคิดว่าถ้าจะตายเราไม่ยอมไปอบายภูมิ จุดที่เราจะไปมีจุดเดียว คือ....”พระนิพพาน"

๒. พระโสดาบันเคารพในพระพุทธเจ้าจริง เคารพในพระธรรมจริง เคารพในพระอริยสงฆ์จริง

๓. พระโสดาบันมีศีล ๕ บริสุทธิ์

๔. พระโสดาบันมีจิตรักพระนิพพานเป็นอารมณ์

จึงยังคง เชื่อมั่นและศรัทธาใน "รัก" เหมือนอย่างที่เคย...เสมอมา...และจะตลอดไป
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ

#14 SmilingCat

SmilingCat
  • Members
  • 1209 โพสต์

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 09:00 PM

ลองค้นอ่านแล้วยังไม่เข้าใจเรื่อง โสดาปัตติมรรค กับ โสดาปัตติผล เลย


หยุดคือตัวสำเร็จ

#15 หยุดอะตอมใจ

หยุดอะตอมใจ
  • Members
  • 729 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 09:08 PM

คุณ SmilingCat สงสัยเหมือนผมเลยครับ smile.gif ถ้าบุคคลตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค แต่ยังไม่บรรลุโสดาปัตติผล จะเป็นอย่างไรครับ

แค่นี้ยังทำไม่ได้ แล้วจะไปปราบมารได้ไง


#16 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 09:31 PM

QUOTE
คุณ SmilingCat สงสัยเหมือนผมเลยครับ ถ้าบุคคลตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค แต่ยังไม่บรรลุโสดาปัตติผล จะเป็นอย่างไรครับ?

nerd_smile.gif เรื่องนี้ผมเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกันนะครับ เป็นเรื่องของเพชฌฆาตผู้มีนามว่า "ตัมพทาฐิกะ (เพชฌฆาตเคราแดง)" ซึ่งในบันทึกที่มีปรากฏมาถึงเรานั้น ได้บอกไว้ในตอนท้ายว่า "นายเคราแดงได้บรรลุอนุโลมขันติภายใน โสดาปัตติมรรค" สำหรับเรื่องนี้ ผมเองมีทัศนคติต่อผู้ที่มีกระแสอันเข้าสู่พระนิพพาน (พระโสดาบัน) เช่น นายเคราแดง ว่า "เป็นอจินไตย ไม่ควรครุ่นคิด" ครับ laugh.gif
"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#17 koonpatt

koonpatt
  • Members
  • 616 โพสต์
  • Gender:Female

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 10:06 PM

โสดาปัตติมรรค แปลว่า ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุผล คือ ความเป็นพระโสดาบัน
หรือ ญาณคือความรู้อันเป็นเหตุละสังโยชน์ได้ 3 ได้แก่ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส..

โสดาปัตติผล แปลว่า ผลคือการถึงกระแสสู่นิพพาน
หรือ ผลที่ได้รับจากการละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ด้วยโสดาปัตติมรรค ทำให้ได้เป็นพระโสดาบัน..

หรือ ให้เข้าใจง่ายขึ้น คือ

พระโสดาปัตติมรรค (ผู้ปฏิบัติเพื่อเป็นโสดาบัน)

พระโสดาปัตติผล (พระโสดาบัน)

QUOTE
คุณ SmilingCat สงสัยเหมือนผมเลยครับ ถ้าบุคคลตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค แต่ยังไม่บรรลุโสดาปัตติผล จะเป็นอย่างไรครับ


koonpatt คิดว่า ก็จะยังเป็น พระโสดาปัตติมรรคต่อไปค่ะ จนกว่าจะ สำเร็จ โสดาปัตติผล คือ พระโสดาบัน

note :

สักกายทิฏฐิ ก็ได้แก่ การปฏิบัติละความเห็นว่ามีอัตตาหรือตัวตนใด ในเรื่อง สัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา ด้วยการสอนจิตตัวเองอย่างต่อเนื่องว่า คนเรานี้ สักแต่ว่า ธาตุ 4 ขันธ์ 5

วิจิกิจฉา ก็ได้แก่ การปฏิบัติละความลังเลสงสัย เช่น ความสงสัยในพระรัตนตรัย ว่า มีอยู่จริงหรือ ..? อาจเป็นอุบายของใคร กำหนดขึ้นมาหรือเปล่า ..? ก็โดยการหมั่นปลูกศรัทธา (อินทรีย์) ในตน ด้วยการสร้างความเลื่อมใส เชื่อมั่น ในพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า

สีลัพพตปรามาส ก็ได้แก่ การปฏิบัติละการรักษาศีลแบบผิด กล่าวคือ ไม่รักษาศีล ไม่ถือศีล ไม่ยึดมั่นศีล


เห็นมาอย่างนี้ค่ะ ไม่ทราบว่า ถูกต้องหรือเปล่าค่ะ
จึงยังคง เชื่อมั่นและศรัทธาใน "รัก" เหมือนอย่างที่เคย...เสมอมา...และจะตลอดไป
แด่
เธอ...ผู้นำแสงสว่างสู่...กลางใจ

#18 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 10:09 PM

QUOTE
โสดาปัตติมรรค หมายถึง

ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุผล คือความเป็นพระโสดาบัน ,ญาณคือความรู้เป็นเหตุละสังโยชน์ได้ ๓ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส

โสดาปัตติผล หมายถึง

ผลคือการถึงกระแสสู่นิพพาน,ผลที่ได้รับจากการละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส ด้วยโสดาปัตติมรรค ทำให้ได้เป็นพระโสดาบัน

nerd_smile.gif ถูกต้องครับ laugh.gif
"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#19 niwat

niwat
  • Members
  • 1420 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 10:31 PM

“ สีเลน โสตาปันน สกิทาคามี ภาวัสส ”
เหตุที่จะให้ได้เป็นพระโสดาบันบุคคล พระสกิทาคามีบุคคล คือ ศีล


ไม่เกี่ยวกับคำถามแต่ขอเสริมความรู้ครับ........
QUOTE
ใบ้ให้นิดนึงว่า การสละละความโกรธได้โดยเด็ดขาดนั้น ไม่ใช่คุณสมบัติอันเป็นลักษณะเด่นแห่งความเป็นพระโสดาบันนะครับ
โดยปกติ โทสะ แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือโทสะชนิดร้ายแรง มีผลให้ไปสู่อบายภูมิ
และโทสะชนิดไม่รุนแรง ไม่ถึงกับทำให้ต้องไปอบายภูมิ เช่น ความขัดใจโกรธ
ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ถึงกับล่วงอกุศลกรรมบถ
อย่างแรก พระโสดาบัน ละได้เด็ดขาด, อย่างที่สอง พระสกิทาคามี ละได้เด็ดขาด

QUOTE
เมื่อสำเร็จทั้งฝ่ายมรรคและผล ดังนี้เรียกว่า เป็นพระโสดาบันบุคคล ละอกุศลต่างๆ ได้โดยเด็ดขาดดังนี้
๑. ละอกุศลจิตได้ ๕ ชนิด คือ จิตโลภ ที่ประกอบด้วยมิจฉาทิฏฐิ ๔ และจิตหลง ที่ประกอบด้วยวิจิกิจฉา
๒. ละอกุศลเจตสิกได้ ๕ คือ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา อิสสา มัจฉริยะ กุกกุจจะ
๓. ละสังโยชน์ อันเป็นเครื่องผูกสัตว์ให้ติดอยู่ในภพ ได้ ๓ คือ ทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
๔. ละนิวรณ์ อันเป็นเครื่องกั้นความดี ได้ ๒ คือ วิจิกิจฉา และกุกกุจจะ-ความรำคาณใจ
๕. ละอนุสัย อันเป็นสิ่งนอนเนื่องอยู่ในสันดาน ได้ ๒ คือ ทิฏฐิ และวิจิกิจฉา
๖. ละอุปาทาน-ความยึดมั่น ได้ ๓ คือ ทิฏฐุปาทาน สีลัพพัตตุปาทาน และอัตตวาทุปาทาน
๗. ละคันถะ อันเป็นเครื่องผูกมัด ได้ ๒ คือ สีลัพพัตตปรามาสกายคันถะ และอิทังสัจจาภินิเวสกายคันถะ-การยึดมั่นว่าความเห็นของตนถูก ของผู้อื่นผิดหมด
๘. ละโยคะ อันเป็นเครื่องผูกสัตว์ ได้ ๑ คือ ทิฏโฐคะ
๙. ละโอฆะ อันเป็นห้วงน้ำให้จมลง ได้ ๑ คือ ทิฏโฐฆะ
๑๐. ละอาสวะ อันเป็นเครื่องหมักดอง ได้ ๑ คือ ทิฏฐาสวะ




#20 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 10:48 PM

QUOTE
อย่างแรก พระโสดาบัน ละได้เด็ดขาด, อย่างที่สอง พระสกิทาคามี ละได้เด็ดขาด

nerd_smile.gif อย่างที่สอง "พระอนาคามีบุคคล" ต่างหากล่ะครับ ที่สามารถละได้โดยเด็ดขาดน่ะครับ laugh.gif
"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#21 Tanay007

Tanay007
  • Members
  • 616 โพสต์

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 11:05 PM

งั้นผมถามบ้าง
พระเจ้ามหานามศากยราช ว่ากันว่าพระองค์เป็นพระสกทคามี แต่ไม่ทรงร่วมเสวยกระยาหารร่วมกับพระเจ้าวิทูฑภะพระนัดดาแท้ เพราะรังเกียจว่าเป็นลูกของนางทาส และตนเองเป็นกษัตริย์
เมื่อกล่าวว่าพระโสดาบันละสักกายทิฏฐิได้ ทำไมพระเจ้ามหานามซึ่งเป็นถึงพระสกทาคามีจึงทรงรังเกียจพระนัดดา ด้วยถือว่าตนเองเป็นกษัตริย์ (คำถามทิ้งท้ายก่อนนอน)

#22 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 11:17 PM

QUOTE
งั้นผมถามบ้าง
พระเจ้ามหานามศากยราช ว่ากันว่าพระองค์เป็นพระสกทคามี แต่ไม่ทรงร่วมเสวยกระยาหารร่วมกับพระเจ้าวิทูฑภะพระนัดดาแท้ เพราะรังเกียจว่าเป็นลูกของนางทาส และตนเองเป็นกษัตริย์
เมื่อกล่าวว่าพระโสดาบันละสักกายทิฏฐิได้ ทำไมพระเจ้ามหานามซึ่งเป็นถึงพระสกทาคามีจึงทรงรังเกียจพระนัดดา ด้วยถือว่าตนเองเป็นกษัตริย์ (คำถามทิ้งท้ายก่อนนอน)

nerd_smile.gif เพราะเหตุว่า พระโสดาบันนั้น ยังมิอาจละซึ่ง "มานานุสัย (ความถือตัวว่าเป็นนั่นเป็นนี่)" อันเป็น ๑ ใน ๗ ของกิเลสขั้นละเอียด สุขุม ประณีต (อนุสัย) ที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานได้น่ะสิครับ องค์มหานามศากยราชจึงยังทรงประพฤติตนเช่นนั้นอยู่น่ะครับ laugh.gif
"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#23 niwat

niwat
  • Members
  • 1420 โพสต์
  • Gender:Male

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 11:26 PM

QUOTE
อย่างที่สอง "พระอนาคามีบุคคล" ต่างหากล่ะครับ ที่สามารถละได้โดยเด็ดขาดน่ะครับ
สาธุ ชอบคุณท่านไชยานุภาพที่ชี้ขุมทรัพย์ให้ครับ เนื่องจากทำการคัดลอกมาไม่สมบูรณ์ ขออนุญาตเพิ่มเติมครับ smile.gif

QUOTE
โดยปกติ โทสะ แบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ
โทสะชนิดร้ายแรง มีผลให้ไปสู่อบายภูมิ และโทสะชนิดไม่รุนแรง ไม่ถึงกับทำให้ต้องไปอบายภูมิ เช่น ความขัดใจโกรธในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ถึงกับล่วงอกุศลกรรมบถ
อย่างแรก พระโสดาบัน ละได้เด็ดขาด,อย่างที่สอง พระสกิทาคามี ละได้เด็ดขาด

แต่อย่างสุดท้ายที่เป็นโทสะสุขุมละเอียด นอนเนื่องอยู่ในสันดาน ไม่ปรากฏแสดงให้เห็น พระอนาคามีเท่านั้น จึงจะปหาณได้สิ้นเชิง
ref: จากหนังสือเราคือใคร

#24 ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

    "ความเพียรเครื่องเผากิเลสพึงกระทำเสียแต่วันนี้"

  • Members
  • 2171 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:ราชอาณาจักรสยามประเทศ
  • Interests:ADVANCE MEDITATION

โพสต์เมื่อ 23 October 2006 - 11:38 PM

QUOTE
อย่างที่สอง พระสกิทาคามี ละได้เด็ดขาด

nerd_smile.gif ขอแนะนำให้ตอบว่า พระสกทาคามี ทำให้บรรเทาเบาบาง (ตนุกร) จะดีกว่านะครับ laugh.gif
"ปญฺญา นรานํ รตนํ ปัญญาเป็นรัตนะของนรชน"
พระพุทธภาษิต


ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง ของแท้ แต่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด ไม่จริง ไม่แท้ ไม่ประกอบไปด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตไม่ตรัสวาจานั้น

ตถาคตรู้วาจาใด แม้เป็นของจริง เป็นของแท้ และไม่ประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ แม้วาจานั้นตถาคตก็ไม่ตรัส

อนึ่ง ตถาคตรู้วาจาใด เป็นของจริง เป็นของแท้ ประกอบด้วยประโยชน์
ทั้งวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจของคนอื่นๆ ตถาคตย่อมรู้กาลอันควรที่จะใช้วาจานั้น
พระอมตะวจนา แห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า


[/color]
"...พระพุทธศาสนา บริบูรณ์ด้วยสัจธรรมที่เป็นสาระ และเป็นประโยชน์ในทุกระดับ
แต่จะต้องศึกษาให้มีความรู้ความเข้าใจ และปฏิบัติให้เหมาะสมแก่ภาวะปัจจุบัน
ด้วยศรัทธาและปัญญาที่ถูกต้อง จึงจะเกิดเป็นประโยชน์ขึ้นได้..."

พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๑๗ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๑๒



"รู้ใดก็ไม่ประเสริฐ เท่ารู้แจ้งด้วยปัญญาธรรมอันเกิดมีในตน"

"อัศวินปฏิญาณตนเป็นคนกล้า
ดวงใจเปี่ยมคุณธรรม
ซื่อตรงยึดมั่นในวาจาสัตย์
อุทิศชีวิตพิชิตมาร"

[color="#990000"]ไชยานุภาพ ปราบหงสาวดี

#25 Dd2683

Dd2683
  • Members
  • 2477 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:กรุงเทพ มหานคร
  • Interests:ความรู้ในพระพุทธศาสนา-วิชชาธรรมกาย<br />ผลแห่งการปฏิบัติธรรม

โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 12:57 AM

สงสัยว่าต้องมี QUIZ Room

ไว้สำหรับ ทดสอบความเข้าใจธรรมะ ภาคปริยัติ แล้วกระมังครับ happy.gif happy.gif happy.gif

ขอเข้าห้องเรียน ( กระทู้ QUIZ )ด้วยครับ

อยากศึกษาความรู้เพิ่มเติมครับ


มีหนังสือไว้ค้นคว้าเกี่ยวกับศัพท์สภาวธรรม


ชื่อ นามานุกรมสภาวธรรม

มาฝากครับ

ตัวอย่าง

เสขะ ผู้ยังต้องศึกษา ได้แก่

พระอริยบุคคลที่ยังไม่บรรลุอรหัตตผล โดยพิสดารมี ๗ คือ
ท่านผู้ตั้งอยู่ใน
โสดาปัตติมรรค
ในโสดาปัตติผล

ในสกทาคามิมรรค
ในสกทาคามิผล

ในอนาคามิมรรค
ในอนาคามิผล

และในอรหัตตมรรค,

พูดเอาแต่ระดับเป็น ๓ คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี

เสขปฏิปทา ทางดำเนินของพระเสขะ, ข้อปฏิบัติของพระเสขะ ได้แก่ จรณะ ๑๕

เสขภูมิ ภูมิของพระเสขะ, ระดับจิตใจและคุณธรรมของพระอริยบุคคลที่ยังต้องศึกษา

โสดาบัน ผู้ถึงกระแสที่จะนำไปสู่นิพพาน, พระอริยบุคคลผู้ได้บรรลุโสดาปัตติผล มี ๓ ประเภทคือ

๑. เอกพีชี เกิดอีกครั้งเดียว
๒. โกลังโกละ เกิดอีก ๒-๓ ครั้ง
๓. สัตตักขัตตุปรมะ เกิดอีก ๗ ครั้ง เป็นอย่างมาก

โสดาปัตติมรรค ทางปฏิบัติเพื่อบรรลุผล คือความเป็นพระโสดาบัน,
ญาณคือความรู้เป็นเหตุละสังโยชน์ได้ ๓ คือ
สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส

โสดาปัตติผล ผลคือการถึงกระแสสู่นิพพาน,
ผลที่ได้รับจากการละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
ด้วยโสดาปัตติมรรค ทำให้ได้เป็นพระโสดาบัน

*** ขออนุโมทนา สาธุ กับการสนทนาธรรมของทุกท่านด้วยครับ สาธุ ๆ ๆ

ไฟล์แนบ


ใจหยุดที่สุดแห่งบุญ มุ่งสู่ที่สุดแห่งธรรม

#26 SmilingCat

SmilingCat
  • Members
  • 1209 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 11:02 AM

เห็นด้วยกับการมี QUIZ ROOM นะครับ เพราะการตั้งกระทู้ในนี้
เช่นในกระทู้นี้ก็ยากพอควร การค้นคำตอบหรือการหาคำตอบไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ เลย
และสำหรับคนที่มีภูมิธรรมไม่มากนัก อย่างผมก็ต้อง สืบค้นหานานหน่อย กว่าจะ
พบคำตอบที่เหมาะสมได้ แต่กว่าจะหาได้กระทู้นี้ก็ลงไปไกลเสียแล้ว บางคน
อาจจะขี้เกียจตอบแล้วก็ได้เพราะสนใจกระทู้ใหม่ ๆ ต้องใช้เวลาเหมือนกันหมด
สำหรับผู้ที่มีปัญญาทางธรรมมากอยู่แล้วคงไม่มีปัญหา


หยุดคือตัวสำเร็จ

#27 Tanay007

Tanay007
  • Members
  • 616 โพสต์

โพสต์เมื่อ 24 October 2006 - 12:43 PM

QUOTE
เพราะเหตุว่า พระโสดาบันนั้น ยังมิอาจละซึ่ง "มานานุสัย (ความถือตัวว่าเป็นนั่นเป็นนี่)" อันเป็น ๑ ใน ๗ ของกิเลสขั้นละเอียด สุขุม ประณีต (อนุสัย) ที่นอนเนื่องอยู่ในขันธสันดานได้น่ะสิครับ องค์มหานามศากยราชจึงยังทรงประพฤติตนเช่นนั้นอยู่น่ะครับ


ถูกต้องเลยครับ happy.gif เคลียร์ดีครับ
ปัญหาการตั้งปุจฉา ก็คือ บางทีการให้วิเคราะห์วินิจฉัยจากหัวข้อธรรมสั้นๆ แต่ต้องการคำตอบที่เคลียร์มันก็เหลือวิสัยสำเร็จคนที่ไม่ใช้ประเภทพุทธิจริต ผมอยากจะให้ลดดีกรีความยากของปัญหาลงมาในระดับโจทย์ที่เป็นโจทย์ตุ๊กตา จะรู้สึกว่าสนุกและได้มีส่วนร่วมวิเคราะห์วินิจฉัยกันได้ในวงกว้างขึ้น
แต่ก็พูดยากเหมือนกัน พอดีผมจบการศึกษามาแบบด้วยการตอบแบบโจทย์ตุ๊กตาซะด้วย

#28 นักท่องเที่ยว

นักท่องเที่ยว
  • Members
  • 2378 โพสต์
  • Gender:Male
  • Location:รู้สึกว่าจะไม่ค่อยได้อยู่กะที่อ่ะ มาดูอารายกานอ่ะ
  • Interests:มาสร้างบารมีตามติดหมู่คณะดีกว่า

โพสต์เมื่อ 25 October 2006 - 07:20 PM

ได้แต่อนุโมทนาอ่ะครับ ตอบไม่ทันเขา
กายธรรมควรเทิดไว้ ในใจ
เป็นสรณะภายใน เทียงแท้
กว่านี้ บ่ มีใด เทียบได้
น้อบนบท่านไว้แล ค่ำเช้าสุขเสมอ


เอาบุญมาฝากจ้า นั่งสมาธิเยี่ยมไปเลย แถมไปติดจานมาอีกด้วย เด็กชาวเขานี้น่ารักนะแม้คุยไม่รู้เรื่องก็ตามล่ะ สนุกดี

#29 SmilingCat

SmilingCat
  • Members
  • 1209 โพสต์

โพสต์เมื่อ 03 November 2006 - 03:53 PM

องค์คุณอีกอย่างที่บอกจุดเด่นความเป็นพระโสดาบัน

จิตของพระโสดาบันจะต้องอบรมให้ถึงขั้นฌานมาก่อน หรือ ฝึกสติจนเป็นสมาธิตลอดเวลา
แล้วเห็นอริยสัจ คือ ได้มรรคญาณ เป็นอย่างน้อย คือถัดจากโคตภูญาณขึ้นไป

กำลังหาพระสูตรมาอ้างอิงอยู่
หยุดคือตัวสำเร็จ

#30 JJ.

JJ.
  • Members
  • 129 โพสต์
  • Location:คลอง4 ปทุมธานี
  • Interests:สมาธิ ความสงบ โลกหน้า

โพสต์เมื่อ 13 November 2006 - 07:35 PM

ได้แต่อนุโมทนาครับ ตอบไม่ทันเขา แต่ได้ความรู้ดีครับ ขอบคุณท่านเจ้าของกระทู้และเพื่อนสมาชิก...__/I\__อนุโมทนาด้วยครับ
...โปรดพิจารณา...นี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัว... ถ้าผิดพลาดประการใด...วอนผู้รู้ หรือ คิดแตกต่างช่วยแก้ไขให้ด้วย _/I\_ ขอบคุณครับ